กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 779.2 ท่ามกลางการพูดคุยด้วยรอยยิ้ม
“ภาพดวงดาวของอาจารย์ชุยก่อนหน้านั้นมองดูเหมือนกว้างไกลไร้ที่สิ้นสุด เป็นการลงมือเล่นตุกติกกับจิตสำนึกของผู้ฝึกตนที่หล่นเข้ามาอยู่ในนั้น การมีขีดจำกัดและการไร้ขีดจำกัดสับสนปะปนกัน เหมาะแก่การล้อมฆ่าเซียนเหรินที่สุด แต่หากคิดจะรับมือกับขอบเขตบินทะยานกลับเปลืองแรงอย่างมากแล้ว ส่วนฟ้าดินเล็กค่ายกลค้นภูเขาแห่งนี้ แก่นแท้ของมันกลับอยู่ที่ความจริงเท็จไม่แน่นอน ไม่อย่างนั้นเจียงซ่างเจินที่อยู่บนสนามรบของใบถงทวีป คุณความชอบที่สะสมไว้ในศาลบุ๋นอย่างน้อยที่สุดก็ต้องเพิ่มมากไปอีกเป็นเท่าตัว แต่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเจียงซ่างเจินได้ซ่อนตัวอยู่ด้านในมานานแล้ว สามารถเปลี่ยนร่างกับแม่ทัพเทพ ภูตผีประหลาด คาถาอาคมสมบัติอาคมใดๆ ก็ได้ ขอแค่มีปลาที่หลุดรอดตาข่ายสักตัวขยับมาใกล้ ผู้ฝึกตนทั่วไปที่เจอกับเขาก็ต้องมีจุดจบที่ต้องถูกกระบี่บินตัดหัว น่าเสียดายที่ปมปัญหาใหญ่ที่สุดของฟ้าดินเล็กทุกแห่งที่เป็นพวกจิตธรรม พวกยันต์ค่ายกลทั้งหลายนั้นอยู่ที่มี ‘หนึ่ง’ ซึ่งเป็นจำนวนที่คงที่แล้ว ไม่อาจเป็นวงจรต่อเนื่องกับมหามรรคาได้ ดังนั้นภาพกลุ่มดวงดาวและค่ายกลค้นภูเขา หากไม่เป็นเพราะข้ารีบเดินทางต่อก็คงต้องชมทัศนียภาพแปลกใหม่ให้มากสักหน่อย สามารถรอให้อาจารย์ชุยและเจียงซ่างเจินเผาผลาญหนึ่งนั้นให้หมดสิ้นไปอย่างแท้จริงก่อน แล้วค่อยไปยังฟ้าดินแห่งถัดไป”
ชุยตงซานโบกชายแขนเสื้อครั้งแล้วครั้งเล่า กวาดเอาท่วงทำนองที่เหลืออยู่ของปราณกระบี่ที่กระเพื่อมออกมาจากกระบี่จำลองเทียนเจินพวกนั้นทิ้งไป น่าสงสารม้วนภาพไท่ผิงภาพค้นภูเขาที่ถูกกระบี่เซียนจำลองทั้งสี่เล่มปักตรึงแน่นอยู่บน ‘โต๊ะหนังสือ’ และยิ่งเหมือนถูกคนหลายคนที่ถือตะเกียงชมภาพอยู่ใกล้ๆ ไฟของตะเกียงแต่ละดวงขยับเข้ามาใกล้จึงลวกร้อน เป็นเหตุให้สี่ทิศของฟ้าดินม้วนภาพปรากฏเป็นสีเหลืองอ่อนๆ ในระดับที่ไม่เท่ากัน
เพียงแต่ว่าสำหรับเรื่องนี้เจียงซ่างเจินไม่เสียดายแม้แต่น้อย ชุยตงซานก็ยิ่งมีสีหน้าเป็นธรรมชาติ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ผู้ฝึกกระบี่จับคู่เข่นฆ่าก็คือการรับมือกับศัตรูบนสนามรบ เหล่าเว่ยพูดถูกที่สุดแล้ว นี่ก็หนีไม่พ้นการจัดเรียงขบวนทัพเป็นแนวตั้งแนวนอนแล้วโบกดาบฆ่าส่งเดช โบกดาบฟันสะเปะสะปะ การประลองวิชาคาถาของผู้ฝึกลมปราณก็คล้ายการวางแผนกลยุทธ์ของสองแคว้น ต้องดูแค่ว่าใครมีแผนการแยบยลในใจมากกว่ากัน นิสัยไม่เหมือนกัน รสชาติก็ไม่เหมือนกัน พวกเราเองก็อย่าถูกเจ้าตำหนักอู๋ทำให้ตกใจขวัญหนีดีฝ่อเลย นี่ต้องเป็นครั้งแรกที่สี่กระบี่มารวมตัวครบถ้วนแน่นอน มองดูเหมือนเจ้าตำหนักอู๋ผ่อนคลายสบายอารมณ์ แค่กวักมือเรียกก็ได้มา แต่แท้จริงแล้วต้องทุ่มทุนที่เก็บออมมาอย่างยากลำบากแน่ๆ”
อู๋ซวงเจี้ยงยืนอยู่ตรงม่านฟ้า พยักหน้าอยู่ไกลๆ หัวเราะเสียงดังกังวานเอ่ยว่า “อาจารย์ชุยคาดการณ์ได้ถูกต้องแล้ว เดิมทีจะต้องเอาไปถามกระบี่ที่อารามเสวียนตูก่อน จากนั้นค่อยขอความรู้วิชากระบี่จากเต๋าเหล่าเอ้อ ครั้งนี้มาพบกันบนเรือข้ามฟาก เป็นโอกาสที่หาได้ยาก อาจารย์ชุยก็สามารถมองเป็นผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งได้ จะได้เอาพวกเจ้ามาลองฝึกปรือฝีมือได้พอดี ผลัดกันถามกระบี่สักครั้ง เพียงแค่หวังว่าบินทะยาน หยกดิบและเซียนเหรินสองคน เซียนกระบี่ทั้งสี่ร่วมมือกันสังหารขอบเขตสิบสี่ ก็อย่าได้ทำให้ข้าดูแคลนผู้ฝึกกระบี่ของไพศาลก็แล้วกัน”
เจียงซ่างเจินยื่นมือออกไป ในมือก็มีธงเพิ่มขึ้นมาอันหนึ่ง เขาโบกมันอย่างแรง ยังคงอยู่ในรูปลักษณ์ของภูตน้อยตลอดเวลา สบถด่าโฉงเฉงจนน้ำลายกระจายแตกฟอง “ข้าผู้อาวุโสคิดว่าตัวเองก็ถือเป็นคนที่คุยเก่งแล้วนะ ประจบสอพลอเป็นแล้วก็ทำให้คนสะอิดสะเอียนได้ด้วย คิดไม่ถึงว่านอกจากพี่น้องตู้แล้ววันนี้กลับได้มาเจอศัตรูบนมหามรรคาอีกคน! โดนสัพยอกอย่างนี้ก็ยิ่งทนไม่ได้ ทนไม่ได้จริงๆ น้องชุยเจ้าอย่าได้ห้ามข้า วันนี้ข้าจะต้องไปพบเจอกับเทพเซียนผู้เฒ่าอู๋ท่านนี้ดูสักหน่อย!”
เมื่อธงโบกสะบัด พายุลมกรดก็พัดกระโชกเป็นระลอก ฟ้าดินเกิดภาพเหตุการณ์ผิดปกติขึ้นมาอีกครั้ง นอกจากแม่ทัพเทพและภูตผีในภูเขาที่เดิมถอยหลังกลับไม่กล้าเดินหน้าซึ่งเริ่มทะยานลมพุ่งเข้าไปสังหารคนสามคนบนม่านฟ้าอย่างยิ่งใหญ่เกรียงไกรอีกครั้งแล้ว ระหว่างนี้ก็มีแม่ทัพเทพสี่คนที่โดดเด่นสะดุดตาที่สุด เรือนกายสูงพันจั้ง เท้าเหยียบอยู่บนเจียวหลง สองมือถือกระบี่ยักษ์ บุกนำไปสังหารพวกอู๋ซวงเจี้ยงสามคนก่อน
ทูตพิทักษ์ภูเขาที่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ยักษ์ตนหนึ่งยืนอยู่บนยอดเขาที่เต่าตัวใหญ่แบกเอาไว้ ในมือถือคันฉ่องกักมาร ภายใต้แสงตะวันเจิดจ้าสาดส่อง แสงคันฉ่องสาดยิงออกมา แสงกระบี่เส้นหนึ่งประดุจน้ำในแม่น้ำที่ซัดเชี่ยวกรากไม่ขาดสาย ทุกที่ที่ผ่านทำร้ายภูตผีไปนับไม่ถ้วน ราวกับว่าได้หล่อหลอมแสงกระบี่เฉียบคมที่มีปณิธานของแก่นตะวันไร้ที่สิ้นสุด ตรงดิ่งเข้าหาแผ่นหยกที่เหมือนดวงจันทร์ลอยอยู่กลางอากาศนั่น
มัลละแม่ทัพเทพที่สวมเสื้อเกราะสีทองตนหนึ่งมีสามเศียรหกกร ในมือถือดาบทวนง้าวและกระบี่ ร่างเปล่งวูบหนึ่งทีก็หดย่อขุนเขาสายน้ำ เดินก้าวออกไปไม่กี่ก้าว เพียงชั่วพริบตาก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าอู๋ซวงเจี้ยง
นางฟ้าขุนนางเทพตนหนึ่งที่สวมชุดสีสันสดใสพลิ้วไสวกอดผีผาไว้ในอ้อมกด บนศีรษะกลับมีใบหน้าสี่หน้า เป็นรูปโฉมที่ประหลาดยิ่ง
แผ่นหยกที่ลอยอยู่กลางอากาศซึ่งถูกเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาขว้างออกไปนั้น ถูกเสาลำแสงของกระจกกักมารซึ่งดำรงอยู่อย่างยาวนานกระแทกชน สะเก็ดไฟแตกกระจายไปทั่วทิศ ระหว่างฟ้าและดินเกิดพายุฝนสีทองครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายแผ่นหยกก็ปรากฏรอยแตกเสี้ยวหนึ่งพร้อมกับเสียงแตกร้าว
อู๋ซวงเจี้ยงยิ้มเอ่ย “เก็บไปเถอะ ถึงอย่างไรก็เป็นของจริงที่เก็บรักษาอย่างดีมานานหลายปี”
เด็กหนุ่มพยักหน้า เตรียมจะเก็บแผ่นหยกกลับเข้ามาไว้ในถุง คิดไม่ถึงว่าท่ามกลางแสงที่กระจกกักมารบนยอดเขาบานนั้นสาดยิงออกมากลับมีแสงกระบี่สีเขียวมรกตเสี้ยวหนึ่งที่ยากจะสังเกตเห็น คล้ายปลาที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางแม่น้ำ ว่ายพุ่งไปอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าฟาด พริบตาเดียวก็เตรียมจะโจมตีลงตรงจุดที่แผ่นหยกปริแตก อู๋ซวงเจี้ยงยิ้มบางๆ กายธรรมร่างหนึ่งโผล่ออกมาได้ตามแต่ใจ ใช้มือทำท่าวักน้ำ กอบเอาแสงกระบี่ที่มหาศาลราวกับทะเลสาบไว้ตรงกลางฝ่ามือ ในนั้นยังมีปลาสีเขียวมรกตที่ตัวเล็กมากตัวหนึ่งพุ่งชนสะเปะสะปะไปทั่ว เพียงแต่ว่าอยู่ในสายตาของผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่คนหนึ่งกลับยังคงมองเห็นได้อย่างชัดเจน กายธรรมประกบสองมือบดขยี้แสงกระจกให้ปริแตก หลงเหลือไว้เพียงปณิธานกระบี่กลุ่มนั้น เพื่อจะได้เอามาขัดเกลา สุดท้ายหลอมออกมาเป็นกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่งของเจียงซ่างเจินที่ใกล้เคียงกับของจริงอย่างมาก
อู๋ซวงเจี้ยงเก็บกายธรรม แบมือออก ตรงกลางฝ่ามือมีงูสีเขียวที่เล็กมากตัวหนึ่งเลื้อยอยู่ เพราะถูกมหามรรคาสยบกำราบจึงจำต้องหดตัวให้เล็กลงเท่านี้ ไม่อย่างนั้นหากปล่อยให้มันเผยร่างจริงก็คงจะ… อู๋ซวงเจี้ยงพลันคลี่ยิ้มส่ายหน้า งูเขียวที่ตามหลักแล้วไม่ควรจะขยับตัวได้พลันขยายใหญ่ บนหัวมีเขาหนึ่งเขา ตรงท้องมีกรงเล็บสี่เล็บ ดวงตาทั้งคู่เป็นสีทอง เห็นได้ชัดว่าเป็นเผ่าพันธุ์น้ำเจียวหลงตัวหนึ่ง มันล้อมพันอยู่บนข้อมือของอู๋ซวงเจี้ยง อู๋ซวงเจี้ยงสะบัดข้อมือเบาๆ เลือดเนื้อของเจียวหลงก็พลันสลายกลายเป็นความว่างเปล่าทั้งหมดในเสี้ยววินาที เพียงแค่ทิ้งกายธรรมของเจียวหลงเอาไว้ ราวกับหลงเหลือเพียงภาพมังกรลายเส้นขาวดำจากที่ใช้น้ำหมึกสีทอง แต่กระนั้นก็ยังตามตอแยไม่เลิกรา เป็นเหตุให้ชายแขนเสื้อชุดคลุมอาคมข้างหนึ่งของอู๋ซวงเจี้ยงถึงกับถูกเจียวหลงตัวนั้นกัดเสียงดังสวบๆ เจียวหลางอ้าปากกัดชุดคลุมอาคมของอู๋ซวงเจี้ยงแล้วก็ยังพยายามจะสัมผัสผิวหนังของผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่ท่านนี้ อู๋ซวงเจี้ยงหัวเราะหยัน เอ่ยว่า “เผ่าพันธุ์น้ำที่เป็นกากเดนตัวน้อยๆ ไม่สู้กลับคืนไปสู่แม่น้ำทะเลสาบดีหรือไม่”
ชุดคลุมอาคมบนร่างของอู๋ซวงเจี้ยงเปล่งประกายแสงวาบหนึ่งที ไม่รู้ว่าเจียวหลงหายไปไหน ครู่หนึ่งต่อมาก็ถึงกับหล่นเข้าไปในฟ้าดินของชุดคลุมอาคมตัวจริง จากนั้นก็ถูกหลอมดวงจิตทั้งหมดไปในเสี้ยววินาที
เผ่าพันธุ์น้ำตัวนั้นไม่เพียงแต่อาบย้อมไว้ด้วยปณิธานกระบี่ของเจียงซ่างเจิน เพื่อเป็นการเสแสร้งอย่างหนึ่ง จึงยังมีเวทอำพรางตาที่ผ่านการหล่อหลอมอยู่ด้วย ซึ่งก็หมายความว่าวิธีการนี้ย่อมไม่ใช่วิธีการที่นำมาใช้กะทันหันหลังจากพบเจออู๋ซวงเจี้ยงโดยบังเอิญแน่นอน แต่เป็นแผนการที่วางเอาไว้นานแล้ว ไม่อย่างนั้นในฐานะอาจารย์หล่อหลอมที่มีน้อยจนนับนิ้วได้บนโลกอย่างอู๋ซวงเจี้ยงก็คงไม่มีทางเจอกับเรื่องไม่คาดคิดเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นการหลอมกระบี่หรือการหลอมวัตถุ เขาล้วนเป็นหนึ่งในผู้ฝึกตนใหญ่จำนวนไม่กี่คนที่ได้ยืนอยู่บนยอดเขาสูงสุด ไม่อย่างนั้นจะสามารถหลอมแม้กระทั่งจิตมารได้อย่างไร? ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่เทวบุตรมารนอกโลกขอบเขตบินทะยานตนหนึ่งก็ยังถูกเขาหล่อหลอมอีกรอบ
อู๋ซวงเจี้ยงยิ้มถาม “พวกเจ้ามีวิธีการมากมายขนาดนี้ เดิมทีคิดจะเอาไว้ใช้รับมือกับผู้ฝึกตนใหญ่คนใดหรือ? เผยหมิ่นแห่งเวทกระบี่งั้นรึ? หรือจะบอกว่าเป็นข้ามาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว? ดูท่าการปรากฏตัวของเสี่ยวป๋ายในปีนั้นเป็นการวาดงูเติมขาอยู่บ้างจริงๆ”
ภูเขาห้อยหัวบินทะยานกลับมายังใต้หล้ามืดสลัว ผู้ฝึกตนสี่คนของตำหนักสุ้ยฉูปล่อยจิตหยินออกเดินทางไกล ตอนนั้นก็ได้ติดตามตราประทับอักษรภูเขาชิ้นนั้นกลับมายังบ้านเกิดด้วย มีเพียงเสี่ยวป๋ายคนเฝ้าปีที่ไปเยือนซากปรักของกำแพงเมืองปราณกระบี่มารอบหนึ่ง ใช้เวทลับไปพบหน้าอิ่นกวานหนุ่มที่เฝ้าหัวกำแพงเมืองครึ่งหนึ่งเพียงลำพัง เสนอว่าจะทำการค้าครั้งหนึ่ง รับปากว่าขอแค่เฉินผิงอันตอบตกลงว่าจะมอบตัวเทวบุตรมารตนนั้นมาให้ เขาก็ยินดีที่จะใช้สถานะซึ่งคล้ายคลึงกับเค่อชิงออกแรงให้ตัวเฉินผิงอันเอง หรือไม่ก็นครบินทะยานของใต้หล้าแห่งที่ห้าเป็นเวลาร้อยปี
ใต้หล้ามืดสลัวต่างก็รู้กันว่าคนเฝ้าปีของตำหนักสุ้ยฉูมีขอบเขตสูงมาก พลังพิฆาตสูงมาก ระหว่างที่อู๋ซวงเจี้ยงปิดด่านก็ล้วนอาศัยให้เสี่ยวป๋ายผู้นี้คอยเฝ้าพิทักษ์หอกว้านเชวี่ย ภายใต้การวางแผนของเขา กองกำลังของสำนักไม่เพียงไม่ลดกลับยังเพิ่มมากขึ้น
เสี่ยวป๋ายไม่ได้เห็นอิ่นกวานหนุ่มที่รู้จักมานานหลายปีคนนั้นเป็นคนโง่ มิตรภาพก็ส่วนมิตรภาพ การค้าก็ส่วนการค้า ถึงอย่างไรก็เป็นเทวบุตรมารนอกโลกตนหนึ่งที่หนีออกมาจากตำหนักสุ้ยฉู ไม่เพียงแต่มีการช่วงชิงบนมหามรรคากับอู๋ซวงเจี้ยงเจ้าตำหนัก ยังเป็นศัตรูใหญ่ตัดสินเป็นตายของตลอดทั้งตำหนักสุ้ยฉูด้วย
ในฐานะที่ก่อกำเนิดมาจากการคู่รักในใจของอู๋ซวงเจี้ยง เด็กชายผมขาวที่หนีไปอยู่ในคุกของกำแพงเมืองปราณกระบี่ผู้นั้นคือเทวบุตรมารตนหนึ่งอย่างจริงแท้แน่นอน ตามกฎบนภูเขาแล้วไม่ใช่แม่นางน้อยเกเรซุกซนที่หนีออกจากบ้านอะไร ไม่ใช่ว่าแค่ผู้อาวุโสในตระกูลตามหาตัวเจอแล้วก็สามารถพากลับบ้านได้ง่ายๆ นี่ก็เหมือนในอดีตที่ซิ่วหู่ลูกศิษย์คนแรกของเหวินเซิ่งหลอกลวงอาจารย์ลบล้างบรรพชน ฉีจิ้งชุนจึงสร้างสำนักศึกษาซานหยาขึ้นที่ต้าหลี แน่นอนว่าไม่มีทางพูดคุยเรื่องมิตรภาพร่วมสำนักอะไรกันอีก ไม่ว่าจะเป็นจั่วโย่วที่ภายหลังได้เจอกับชุยตงซานที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ หรืออาเหลียงที่ปีนั้นได้กลับมาพบเจอราชครูชุยฉานอีกครั้งที่เมืองหลวงต้าหลี อย่างน้อยที่สุดภายนอกก็ไม่ได้เรียกว่าเบิกบานชื่นมื่นอะไร
แต่ผิดไปจากที่คาดการณ์ อิ่นกวานหนุ่มกลับปฏิเสธข้อเสนอของคนเฝ้าปีแห่งตำหนักสุ้ยฉู
ค้าขายส่วนค้าขาย แผนการส่วนแผนการ
เดิมทีขอแค่เฉินผิงอันตอบตกลงกับเรื่องนี้ อยู่ในนครบินทะยานกับใต้หล้าแห่งที่ห้า อาศัยตบะและตัวตนของเสี่ยวป๋าย ทั้งยังเป็นพันธมิตรกับผู้ฝึกกระบี่ ภายในหนึ่งร้อยปีตลอดทั้งใต้หล้าจะค่อยๆ กลายมาเป็นสนามรบสำนักการทหารที่เต็มไปด้วยลมคาวฝนเลือดแห่งหนึ่ง ซากปรักสนามรบทุกแห่งล้วนเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมของเสี่ยวป๋าย กำแพงเมืองปราณกระบี่มองดูเหมือนเรืองอำนาจ ฉายประกายคมกริบภายในเวลาร้อยปี รุดไปข้างหน้าราวกับผ่าลำไม้ไผ่ ยึดครองดินอวยพรไปทั้งหมด แต่กลับใช้ความเสียหายของฟ้าอำนวยและดินอวยพรมาเป็นค่าตอบแทนแบบที่มองไม่เห็น ตำหนักสุ้ยฉูถึงขั้นมีโอกาสที่จะได้แทนตำแหน่งนครบินทะยานในท้ายที่สุด ผู้ฝึกกระบี่ในใต้หล้าชอบการเข่นฆ่ามากที่สุด อันที่จริงเสี่ยวป๋ายกลับไม่ค่อยชอบฆ่าคนมากนัก แต่เขากลับเชี่ยวชาญในเรื่องนี้อย่างมาก
เพียงแต่ว่าในเมื่อเสี่ยวป๋ายกับเฉินผิงอันเจรจากันไม่สำเร็จ ไม่สามารถช่วยให้ตำหนักสุ้ยฉูชิงโอกาสได้เปรียบอย่างลับๆ มาได้ อู๋ซวงเจี้ยงก็ไม่ได้คิดอะไรมากกับเรื่องนี้ ไม่ได้รู้สึกเสียดายสักเท่าไร อู๋ซวงเจี้ยงไม่เคยสนใจสถานการณ์ใหญ่ในใต้หล้า ไม่สนใจอยู่แล้วว่าการแตกกิ่งก้านสาขาและพลังอำนาจของสำนักจะเหนืออารามเสวียนตูใหญ่ของซุนไหวจงได้หรือไม่
คงเป็นเพราะเขาไม่ค่อยอยากให้ภาพค้นภูเขาของม้วนภาพไท่ผิงถูกทำลายเร็วเกินไป กระบี่จำลองสองเล่มอย่างไท่ป๋ายและเทียนเจินจึงพลันหายวับไป
ไล่ตามเส้นเบาะแสไปยังฟ้าดินที่หนิงเหยากับเฉินผิงอันอยู่ด้วยกัน
กระบี่จำลองของกระบี่เซียนสี่เล่มล้วนเป็นวัตถุที่อู๋ซวงเจี้ยงหลอมกลางมาแล้ว ไม่ใช่วัตถุแห่งชะตาชีวิตที่ผ่านการหลอมใหญ่ แล้วนับประสาอะไรกับที่เขาเองก็ไม่อาจหลอมใหญ่ได้จริงๆ ไม่ใช่เพียงแค่อู๋ซวงเจี้ยงที่ทำไม่ได้ แม้แต่เจ้าของตัวจริงของกระบี่เซียนทั้งสี่เล่มก็ยังได้แต่มีใจแต่ไร้กำลังเหมือนกัน
ลำพังเพียงแค่เพื่อให้อู๋ซวงเจี้ยงสร้างตัวอ่อนกระบี่เซียนสี่เล่ม ตำหนักสุ้ยฉูก็ต้องทุ่มวัตถุดิบวิเศษแห่งฟ้าดินไปนับไม่ถ้วน บนเส้นทางการฝึกตน อู๋ซวงเจี้ยงก็ยิ่งรวบรวมและซื้อกระบี่บินตกทอดของเซียนกระบี่ไว้หลายสิบเล่มแต่เนิ่นๆ แล้ว สุดท้ายทำการเปิดเตาเอาพวกมันมาหลอมใหม่ อันที่จริงตอนที่อู๋ซวงเจี้ยงเลื่อนขั้นเป็นเซียนดินโอสถทอง ก็มีความคิดที่ ‘เพ้อเจ้อ’ นี้แล้ว อีกทั้งยังเริ่มวางแผนไปทีละก้าว ค่อยๆ สะสมทรัพย์สมบัติไปทีละนิด
——