กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 779.3 ท่ามกลางการพูดคุยด้วยรอยยิ้ม
กระบี่สามเล่มอย่างเต้าจ้าง ไท่ป๋าย ว่านฝ่า ยังพูดง่าย เพราะถึงอย่างไรก็ปรากฎตัวอยู่บนโลกมานานมากแล้ว มีเพียง ‘เทียนเจิน’ ของหนิงเหยาเท่านั้นที่ทำให้อู๋ซวงเจี้ยงต้องรอคอยอย่างยากลำบากมานานหลายปีจริงๆ
ดังนั้นการเดินทางมาเยือนเรือราตรีครั้งนี้ หนิงเหยาพกกระบี่บินทะยานมายังใต้หล้าไพศาล สุดท้ายตรงดิ่งมายังที่แห่งนี้ รวมตัวกับเฉินผิงอันที่ได้ครอบครองปลายกระบี่ของไท่ป๋ายท่อนหนึ่ง สำหรับอู๋ซวงเจี้ยงแล้วจึงเป็นเรื่องยินดีที่ไม่คาดฝันซึ่งไม่เล็กเลยทีเดียว
สองกระบี่ทะยานจากไปไกล ไปหาหนิงเหยาและเฉินผิงอัน แน่นอนว่าที่ต้องการมากกว่านั้นคือดูดดึงเอาปณิธานกระบี่ของเทียนเจินและไท่ป๋ายมามากกว่าเดิม
เพียงแต่ว่าหนิงเหยาออกกระบี่เร็วเกินไป ประเด็นสำคัญคือปณิธานกระบี่บริสุทธิ์เข้มข้นเกินไป ยากที่จะจับมาได้แม้สักเสี้ยว ส่วนอิ่นกวานหนุ่มก็ยิ่งระมัดระวังจนเกินเหตุ ถึงกับเก็บกระบี่พกเล่มนั้นลงไป ทำให้ผลเก็บเกี่ยวน้อยกว่าที่อู๋ซวงเจี้ยงคาดการณ์ไว้
เด็กหนุ่มชุดขาวคลี่ยิ้มไม่พูดไม่จา เรือนกายหายไป ไปยังฟ้าดินจิตธรรมแห่งถัดไปอย่างบึงใหญ่สู่โบราณ
แต่ก่อนจะจากไป ชายแขนเสื้อใหญ่สีขาวหิมะข้างหนึ่งได้พลิกตวัด ถึงกับเก็บตัวอักษรสีทองที่เกิดจากตัวอักษรสี่คำที่อู๋ซวงเจี้ยงพูดว่า ‘วาดงูเติมขา’ ไปไว้ในชายแขนเสื้อ แล้วนำพาไปยังฟ้าดินจิตธรรมด้วยกัน ในฟ้าดินบึงใหญ่สู่โบราณ ชุยตงซานโยนตัวอักษรใหญ่สีทองเหล่านั้นสาดออกไป เผ่าพันธ์เจียวที่มีมากนับพันตัวเหมือนได้รับฝนรสหวาน ราวกับได้รับคำสั่งจากอริยะปราชญ์ที่ปากอมกฎสวรรค์ ไม่ต้องเดินลงน้ำ งูก็กลายร่างเป็นเจียวได้
อู๋ซวงเจี้ยงนึกถึงไม้เท้าเดินป่าสีเขียวของเด็กหนุ่มชุดขาวก่อนหน้านี้ขึ้นมา บังเกิดความคิดจึงเสกวัตถุชิ้นหนึ่งขึ้นมาไว้บนมือ คือไม้เท้าเดินป่าสีเขียวที่มีปณิธานความเก่าแก่ยิ่งใหญ่อันดับหนึ่ง ประดับหัวไม้เท้าด้วยหยก ไม่ด้อยไปกว่าใบหลิวครึ่งใบนั้นเลย สิบสองหน้าของหยกเขียวเหมือนตราประทับจันทร์เต็มดวงชิ้นหนึ่ง แกะสลักตัวอักษรทั้งสิ้นสามสิบหกคำ โดยมีสองคำว่า ‘ขับปราณ’ เขียนเป็นบทนำ ตัวอักษรแบบโบราณเพียงสามสิบหกคำ ทว่ากลับเป็นคาถาโบราณที่ลำดับศักดิ์สูงอย่างยิ่ง ประโยคหนึ่งในนั้นที่บอกว่า ‘กลไกฟ้าขยับอยู่ด้านบน กลไกดินขยับอยู่ด้านล่าง’ จนถึงทุกวันนี้ก็ยังมีคำกล่าวหลากหลาย เพราะว่าคำพูดประโยคนี้เป็นสาขาที่แยกออกไปของการแสดงออกบนมหามรรคา ตามคำกล่าวของลู่เฉินแล้ว จนถึงทุกวันนี้คำกล่าวนี้ก็ยังไม่ได้รับคำอธิบายที่ถูกต้องเสียที
อู๋ซวงเจี้ยงโยนไม้เท้าสีเขียวในมือออกไป ให้มันติดตามเด็กหนุ่มชุดขาวไปเยือนหนองบึงใหญ่สู่โบราณก่อน ไผ่เขียวกลายเป็นมังกร คือเวทลับของบรรพจารย์ภูเขาเซียนจ้าง ราวกับว่ามังกรที่แท้จริงตัวหนึ่งเผยกาย กรงเล็บข้างหนึ่งของมันกดพื้นทีเดียวก็ขยุ้มให้ขุนเขาที่อยู่ริมบึงใหญ่สู่โบราณแหลกสลาย หางตวัดกวาดผ่าน แบ่งน้ำของทะเลสาบใหญ่ยักษ์ออกเป็นสองส่วน ฉีกแหวกออกเป็นร่องลึกหมื่นจั้ง น้ำทะเลสาบแทรกซึมเข้าไปด้านใน เผยให้เห็นวังมังกรโบราณแห่งหนึ่งที่อยู่ใต้ก้นทะเลสาบ แสงกระบี่ที่อยู่ระหว่างฟ้าดินของจิตธรรมพากันพุ่งมาถึง เกล็ดมังกรของมังกรที่จำแลงมาจากไม้เท้าไผ่เขียวส่องประกายแสงระยิบระยับ พุ่งปะทะกับแสงกระบี่ที่เห็นเพียงแสงสว่างไม่เห็นตัวเซียนกระบี่ หนึ่งเกล็ดแลกหนึ่งกระบี่
สองนิ้วของอู๋ซวงเจี้ยงประกบกันคีบปิ่นชิ้นหนึ่งที่ลักษณะเป็นไผ่เขียวมรกตออกมา แล้วปักปิ่นลงบนมวยผมของสตรีที่สวมเสื้อคลุมหนังจิ้งจอกด้วยท่วงท่าอ่อนโยน จากนั้นในมือก็มีกลองป๋องแป๋งเล็กจิ๋วเพิ่มมาอีกชิ้นหนึ่ง เขายิ้มพลางยื่นมันส่งให้เด็กหนุ่มหน้าตางดงาม ด้ามกลองเล็กทำมาจากไม้ท้อ เป็นไม้ท้อที่หลอมมาจากส่วนหนึ่งของต้นท้อบรรพบุรุษอารามเสวียนตูใหญ่ หน้ากลองที่วาดลวดลายสีสันสดใสเย็บขึ้นจากหนังมังกร ตรงด้านล่างห้อยไข่มุกแก้วใสร้อยด้ายแดงไว้เม็ดหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นเชือกแดงหรือไข่มุกวิเศษก็ล้วนมีประวัติความเป็นมา เชือกแดงได้มาจากพื้นที่มงคลของหลิ่วชี ไข่มุกได้มาจากพื้นที่ลับวังมังกรในทะเลลึกแห่งหนึ่ง ล้วนเป็นของที่อู๋ซวงเจี้ยงได้มาด้วยตัวเอง จากนั้นจึงหลอมพวกมันด้วยตัวเอง
เพียงแต่ว่าของสองสิ่งของอู๋ซวงเจี้ยงนี้ไม่ใช่ของจริง ก็แค่สามารถมองเป็นสมบัติหนักบนภูเขาที่เป็นของแท้ได้เท่านั้น
สำนักทั่วไปล้วนสามารถเอาไปทำเป็นสมบัติพิทักษ์ภูเขาได้แล้ว ทว่าอยู่กับอู๋ซวงเจี้ยงกลับเป็นได้แค่ของแทนตัวของคนรักเท่านั้น
อู๋ซวงเจี้ยงผู้นี้
ความคิด ชอบคิดจินตนาการบรรเจิด เวทคาถา เชี่ยวชาญการปักบุปผาลงบนผ้าแพร
มนุษย์ล่างภูเขา มีทักษะมากมายติดตัวย่อมไม่ทับตัวตาย ยิ่งเชี่ยวชาญในทักษะวิชามากเท่าไรก็ยิ่งมีประโยชน์มากเท่านั้น
ทว่าสำหรับผู้ฝึกตนบนยอดเขาแล้ว ความใหญ่เล็กของฟ้าดินเล็กร่างกายมนุษย์ ถึงอย่างไรก็มีคอขวดอยู่ ปราณวิญญาณมากน้อยก็มีจำนวนที่กำหนดไว้แล้ว
ยิ่งขยับเข้าใกล้ขอบเขตสิบสี่ก็ยิ่งจำเป็นต้องทำการเลือกและสละทิ้ง ยกตัวอย่างเช่นฮว่อหลงเจินเหรินที่เชี่ยวชาญด้านไฟ สายฟ้าและน้ำสามคาถา ก็ถือว่าเชี่ยวชาญจนเกินเหตุถึงขั้นที่มากพอให้ผู้คนตะลึงพรึงเพริดแล้ว
ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดเขาถึงไม่ฝึกสามวิชาอย่างทอง ไม้ ดินให้ลึกซึ้งต่อไป แม้แต่ฮว่อหลงเจินเหรินก็จำต้องยอมรับว่าในเรื่องนี้ ขอแค่ยังอยู่ในขอบเขตสิบสามก็มิอาจฝึกได้สำเร็จ ได้แต่เรียนรู้อย่างผิวเผินเท่านั้น ยากที่จะพัฒนาไปข้างหน้าได้อีกขั้น
ในความเป็นจริงแล้วเมื่อถึงขอบเขตบินทะยาน ต่อให้เป็นขอบเขตเซียนเหริน ขอแค่ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ก็แทบจะไม่มีทางขาดแคลนวัตถุดิบวิเศษแห่งฟ้าดินเลย แต่การเพิ่มวัตถุแห่งชะตาชีวิตกลับจะมีคอขวดในด้านปริมาณเกิดขึ้น
ดังนั้นวิธีการผสานมรรคาสามชนิดของขอบเขตสิบสี่ก็คือการบุกเบิกเส้นทางวิถีของตนที่ยิ่งใหญ่อย่างมาก
และก่อนที่อู๋ซวงเจี้ยงจะเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตสิบสี่ก็ถือว่าเอาคำกล่าวที่ว่า ‘ทักษะมากไม่ทับตัวตาย’ มาทำได้จนถึงขั้นสูงสุดแล้ว หล่อหลอมทุกอย่างไว้ในเตาเดียวกัน ความจริงและมายาไม่แน่นอน เรียกได้ว่าเชี่ยวชาญถึงขั้นสุดยอด
สตรีเรือนกายอรชรที่สวมชุดคลุมหนังจิ้งจอกสีขาวหิมะเรียกปิ่นกระบี่บินออกมา หลังจากที่กระบี่บินพุ่งไปไกลพันกว่าจั้งแล้ว ก็เปลี่ยนมาเป็นลำคลองสีเขียวมรกตสายหนึ่ง ลำคลองสายยาววาดวงกลมอยู่กลางอากาศ กลายมาเป็นห่วงหยกมรกตหนึ่งชิ้น ลำคลองสีเขียวเข้มปูแผ่ออกมา สุดท้ายคล้ายกลายมาเป็นจดหมายแผ่นหนึ่งที่บางราวแผ่นกระดาษ ในจดหมายมีตัวอักษรมากมายลอยขึ้นมาแน่นขนัด ในตัวอักษรทุกตัวมีหญิงสาวสวมชุดเขียวคนหนึ่งพลิ้วกายออกมา พันคนมีรูปโฉมเหมือนกัน เครื่องประดับเสื้อผ้าเหมือนกัน เพียงแต่ว่าสีหน้าท่าทางของหญิงสาวทุกคนกลับมีความต่างกันเล็กน้อย เหมือนจิตรกรเอกคนหนึ่งที่ถือพู่กันวาดภาพ คอยจ้องมองหญิงสาวที่รักอยู่เนิ่นนาน ก่อนจะวาดภาพออกมาหลายพันภาพ ทุกภาพเหมือนจริง แต่กลับวาดเพียงแค่อารมณ์ทุกข์สุขเศร้าใจดีใจของนางภายในหนึ่งวันเท่านั้น
ส่วนเด็กสาว ‘เทียนหราน’ ที่รูปโฉมงดงามคล้ายคุณชายผู้สูงศักดิ์คนนั้นกลับเพียงแค่เขย่ากลองป๋องแป๋งเบาๆ เพียงแค่ไข่มุกแก้วใสตีกระทบผิวกลองที่เป็นหนังมังกรครั้งเดียวก็สามารถทำให้มัลละแม่ทัพเทพและภูตผีจำนวนหลายพันตนพากันร่วงลงมาระนาว
อู๋ซวงเจี้ยงยิ้มกล่าว “อย่าเห็นว่าวันนี้อาจารย์ชุยกับเจียงซ่างเจินพูดจาไม่มีแก่นสาร อันที่จริงล้วนวางแผนอย่างมีเป้าหมายในทุกชั่วขณะ”
เด็กสาวคนนั้นแกว่งกลองเล็กไม่หยุด พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
อู๋ซวงเจี้ยงสัมผัสได้ถึงภาพปรากฎการณ์ของฟ้าดินอีกแห่งหนึ่งจึงผงกศีรษะ “จิตแห่งกระบี่ของหนิงเหยาพบเห็นได้ยากจริงๆ”
สตรีที่สวมเสื้อคลุมจิ้งจอกขมวดคิ้วน้อยๆ อู๋ซวงเจี้ยงรีบหันหน้ามาขออภัยทันใด “พี่หญิงเทียนหราน อย่าโกรธ อย่าโกรธ”
เด็กสาวยิ้มจนตาหยีเป็นพระจันทร์เสี้ยว ปิดปากหัวเราะคิกคัก
อู๋ซวงเจี้ยงมองเด็กสาวที่เป็น ‘เทพเซียนหวงโซ่วน้อย’ (หวงโซ่วสมัยโบราณหมายถึงเข็มขัดสีเหลืองที่ประทับตราขุนนาง) ในใจของตน จากนั้นจึงหันไปมองหญิงสาวสวมเสื้อคลุมจิ้งจอกที่ใบหน้าแตกต่างไปบ้างเล็กน้อย เขาดึงมือของพวกนางมา ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เคยรับปากพวกเจ้าว่าพวกเราจะจับมือกันท่องเที่ยวไปทั่วใต้หล้าทุกแห่ง จะต้องทำได้แน่นอน”
สตรีสวมเสื้อคลุมหนังจิ้งจอกพลันถามว่า “เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าใครเป็นคนสังหารข้า?”
อู๋ซวงเจี้ยงยิ้มบางๆ “แบบนี้ไม่น่ารักเลยนะ”
สตรีเรือนกายอรชรที่สวมเสื้อคลุมหนังจิ้งจอกคนนั้นพลันเหมือนภาชนะกระเบื้องที่เปราะบาง อู๋ซวงเจี้ยงบีบเบาๆ หนึ่งทีก็ประหนึ่งค้อนหนักๆ ที่ทุบลงมา มีเสียงเบาๆ ดังขึ้นหนึ่งครั้ง รอยร้าวลามออกไปเหมือนใยแมงมุมทั่วผิวหนังของสตรี จากนั้นร่างของนางก็ปริแตกเป็นเศษเล็กเศษน้อย
เด็กสาวก็มีจุดจบเช่นเดียวกัน
อู๋ซวงเจี้ยงสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ร่ายเวทเป่าเมฆ พายุลมกรดม้วนหอบฟ้าดิน ค่ายกลค้นภูเขาพลันแตกกระจุยกระจาย
ข้ามผ่านบึงใหญ่สู่โบราณที่แตกเป็นเสี่ยงๆ ไปโดยตรง มาถึงฟ้าดินเล็กนกในกรง แต่กลับไม่ได้ไปพบหนิงเหยา ทว่ามาปรากฏตัวในดินแดนไร้อาคมซึ่งเป็นถ้ำสวรรค์อีกแห่งหนึ่ง อู๋ซวงเจี้ยงร่ายเวทกักร่าง ‘หนิงเหยา’ จึงยกกระบี่ขึ้นฟันไหล่อิ่นกวานหนุ่มผู้นั้น
ไหล่ของเฉินผิงอันเอียงลงไปข้างหนึ่ง ก่อนจะใช้เรือนกายที่เคลื่อนที่เร็วยิ่งกว่าข้ามผ่านภูเขาสายน้ำ ไม่เพียงแต่หลบพ้นกระบี่นั้นมาได้ ยังขยับออกห่างจากอู๋ซวงเจี้ยงไปได้หลายสิบจั้ง ผลคือถูกอู๋ซวงเจี้ยงที่ยื่นมือข้างหนึ่งออกมากดลงเบื้องล่าง ตรงหน้าผากเฉินผิงอันก็เกิดเป็นรอยประทับรูปฝ่ามือ ร่างทั้งร่างถูกตบจนกลิ้งตลบไปกับพื้น อู๋ซวงเจี้ยงรู้สึกสงสัยเล็กน้อย ใช่ว่าเขาจะไม่เคยพบเห็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบมาก่อน ก็แค่ขอบเขตปราณโชติช่วงเท่านั้น กลับมีเรือนกายที่เกินจริงถึงขั้นนี้เชียวหรือ? ยันต์บนร่างของเฉินผิงอันเปล่งแสงวูบ เรือนกายก็สลายหายไป ใบหลิวท่อนหนึ่งเข้ามาแทนที่ตำแหน่งของเฉินผิงอัน แทงตรงเข้าใส่อู๋ซวงเจี้ยง อยู่ห่างระยะไม่ถึงยี่สิบจั้ง สำหรับกระบี่บินที่มีระดับขั้นเท่าเทียมกับขอบเขตบินทะยานเล่มหนึ่งแล้ว นี่คือเวลาเพียงชั่วประกายไฟแลบเท่านั้น จะมีอะไรที่ฟันไม่โดนบ้าง?
อู๋ซวงเจี้ยงยกชายแขนเสื้อขึ้นหอบหุ้มกระบี่บินเล่มนั้นเอาไว้ ร่างทั้งร่างถอยไปข้างหลังหนึ่งก้าว ชุดคลุมอาคมกลับหยุดลอยอยู่ที่เดิม ในจักรวาลชายแขนเสื้อ แสงกระบี่คมกริบของใบหลิวท่อนหนึ่งยังคงหลั่งไหลออกมา มากพอจะแสดงให้เห็นถึงพลานุภาพของกระบี่บินได้
เฉินผิงอันคนหนึ่งเหยียบลงบนชุดคลุมอาคมอย่างไม่มีลางบอกกล่าว ค้อมเอวแล้วพุ่งกระโจนมาข้างหน้า มีดคู่ในมือตวัดกรีดหนึ่งที
อู๋ซวงเจี้ยงขยับเท้าไปข้างหลังอีกครั้ง
เฉินผิงอันโจมตีครั้งหนึ่งไม่สำเร็จ เรือนกายก็หายวับไปอีกครั้ง
อู๋ซวงเจี้ยงขมวดคิ้วน้อยๆ ขยับเท้าไปด้านข้างหนึ่งก้าว ข้ามผ่านขุนเขาสายน้ำพันลี้ ตรงตำแหน่งเดิมก็มีเฉินผิงอันผู้นั้นโผล่ออกมาอย่างลับๆ ล่อๆ อีกรอบ หมัดพุ่งมาราวกับสายรุ้ง พายุหมัดฉีกกระชากฟ้าดิน
ในที่สุดใบหลิวครึ่งท่อนก็แทงทะลุชุดคลุมอาคม กลับคืนมามีอิสระอีกครั้ง ตามติดอู๋ซวงเจี้ยงไป อู๋ซวงเจี้ยงขบคิด ในมือก็มีแส้ปัดฝุ่นอันหนึ่งเพิ่มเข้ามา ถึงกับเลียนแบบภิกษุรูปนั้นใช้แส้ปัดฝุ่นสร้างวงกลม เบื้องหน้าอู๋ซวงเจี้ยงจึงปรากฎเป็นวงแสงทรงกลดของดวงจันทร์ ใบหลิวท่อนหนึ่งหล่นลงมาในฟ้าดินเล็กอีกครั้ง จึงจำเป็นต้องหาวิธีการฝ่าพันธนาการใหม่
ส่วนเฉินผิงอันก็ปรากฏตัวอีกครั้ง อยู่ห่างจากด้านข้างของอู๋ซวงเจี้ยงไปสิบกว่าจั้ง หมัดนี้ไม่เพียงแต่พละกำลังหนักหน่วงเหนือความคาดคิด ประเด็นสำคัญคือคล้ายจะสะสมกำลังเอาไว้นานแล้ว ส่งหมัดปล่อยไปเบื้องหน้า ปรากฎกายอยู่ด้านหลัง ช่วงชิงโอกาสได้เปรียบไปหมด
ไม่มีทางใช่ความช่วยเหลือจากดินอวยพรของฟ้าดินเล็กนกในกรงอย่างแน่นอน แต่เป็นผลลัพธ์จากการฝึกฝนร่วมกันกับใบหลิวครึ่งท่อนของเจียงซ่างเจิน หนึ่งคนหนึ่งหมัด หนึ่งคนหนึ่งกระบี่มานับครั้งไม่ถ้วนนานแล้ว ถึงสามารถทำได้อย่างไร้ช่องโหว่ขนาดนี้ กลายมาเป็นความแตกต่างทางขอบเขตที่เฉินผิงอันคิดคำนวณมาล่วงหน้าได้นานแล้ว เป็นเหตุให้อู๋ซวงเจี้ยงเพิ่งจะมารู้ตัวทีหลัง
ในมือของอู๋ซวงเจี้ยงถือแส้ปัดฝุ่น ตวัดรัดแขนของเฉินผิงอันเอาไว้
ขณะเดียวกันนั้นก็มีอู๋ซวงเจี้ยงอีกคนหนึ่งยืนอยู่ในจุดที่ห่างไปไกล ในมือถือกระบี่จำลองไท่ป๋าย
คนหนุ่มชุดเขียว กระบี่เย่โหยวหนึ่งเล่ม ฟันฉับลงมาแสกหน้า
จากนั้นก็มีอู๋ซวงเจี้ยงปรากฏตัวอยู่ในจุดที่ห่างไปไกลอย่างถึงที่สุดอีกครั้ง ฝ่ามือที่ใหญ่ราวขุนเขากดทับลงมา คือวิชาห้าอสนีดั้งเดิม
อู๋ซวงเจี้ยงคนถัดไปกลับมาสวมชุดคลุมอาคมที่ลอยตัวอยู่ตรงที่เดิมอีกครั้ง แล้วก็มีเฉินผิงอันที่สองมือถือกริชตามติดเป็นเงา เรือนกายของอู๋ซวงเจี้ยงหลายคนที่รับมือกับคนชุดเขียวตัวต่อตัว ร่างสลายหายไปแทบจะเวลาเดียวกัน ถึงกับเป็นได้ทั้งจริงและเท็จ สุดท้ายก็พลันเปลี่ยนมาเป็นภาพลวงตาทั้งหมด
‘หนิงเหยา’ ที่ชมศึกอยู่ด้านข้างตลอดเวลาผู้นั้นกลายมาเป็นตำแหน่งที่อู๋ซวงเจี้ยงตัวจริงยืนอยู่ แส้ปัดฝุ่นและกระบี่จำลองไท่ป๋ายต่างก็ทยอยกลับคืนมาทีละชิ้น
เพียงแต่ว่าครั้งนี้เฉินผิงอันกลับไม่ได้ปรากฏตัว แม้แต่ใบหลิวครึ่งท่อนนั้นก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอยตามไปด้วย
อู๋ซวงเจี้ยงกวาดตามองไปรอบด้าน
เฉินผิงอันเปลี่ยนกระบี่บินนับพันนับหมื่นเล่มของจันทร์ในบ่อให้กลายมาเป็นใบหลิวครึ่งใบของเจียงซ่างเจินทั้งหมด เพียงแต่ว่านอกจากนี้แล้ว กระบี่บินทุกเล่มล้วนมีตัวอักษรสีทองร้อยเรียงกันเป็นแถวซึ่งเนื้อความแตกต่างกันสลักอยู่
อู๋ซวงเจี้ยงยืนอยู่ที่เดิม ถูกค่ายกลกระบี่กักตัวไว้ภายใน ขมวดคิ้วน้อยๆ วิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตของกระบี่บินเฉินผิงอัน ปณิธานกระบี่ของใบหลิวเจียงซ่างเจิน บวกกับวิชาอภินิหารอริยะปราชญ์ลัทธิขงจื๊อ การเขียนยันต์ของชุยตงซานอย่างนั้นหรือ?
คิดได้อย่างไร ทำได้อย่างไร?
——