กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 783.3 อริยะปราชญ์ผู้กล้าแห่งใต้หล้า
“เห็นดีในตัวเฉินผิงอันขนาดนี้เลยหรือ?”
“ข้าแค่เห็นดีในตัวอู๋ซวงเจี้ยงทุกคน”
อู๋ซวงเจี้ยงพลันหัวเราะ คล้ายนึกถึงเรื่องสนุกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้
ป๋ายลั่วสงสัยเล็กน้อย
“คือผู้อำนวยการใหญ่ของสถานศึกษาที่เชิญตัวจางเถียวเสีย ถ้าอย่างนั้นเจ้าคิดว่าใครเป็นคนเชิญเฉินผิงอัน?”
“หนึ่งหลักสองรอง หนึ่งในสามเจ้าลัทธิศาลบุ๋นงั้นหรือ? หรือว่าจะเป็นอาจารย์ต่งที่มีความสัมพันธ์ดีเยี่ยมที่สุดกับเหวินเซิ่ง?”
อู๋ซวงเจี้ยงส่ายหน้า ไม่ได้ให้คำตอบ
ผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่ท่านนี้ขี่ปลาอ๋าวเดินทางไกลไประหว่างฟ้าดิน
สิ่งที่เขามองเห็นก็คือสิ่งที่คู่รักในใจจะได้เห็นในอนาคต
อู๋ซวงเจี้ยงเอาสองมือไพล่หลังแล้วเริ่มหลับตาทำสมาธิ ในใจยิ้มเอ่ยประโยคหนึ่งว่า
ธรรมะสูงหนึ่งฉื่อ อธรรมสูงหนึ่งจั้ง (หรือหากแปลตรงตัวก็คือเต๋าสูงหนึ่งฉื่อ มารสูงหนึ่งจั้ง)
……
อุตรกุรุทวีป ยอดเขาพาตี้
ในที่สุดจางซานเฟิงก็เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตชมมหาสมุทรได้สำเร็จ กำลังจะฝ่าทะลุขอบเขตออกจากด่าน
นักพรตหนุ่มผู้นี้ยังต้องการเวลาอีกสองสามชั่วยามเพื่อทำให้ขอบเขตมั่นคง
อาจารย์ของเขาที่พิทักษ์มรรคาให้เขาอยู่นอกถ้ำจวนเซียนพึมพำเสียงเบาว่า “วิชามังกรจำศีลวิชาหนึ่ง อันดับแรกใจหลับก่อน แล้วค่อยตาหลับ จากนั้นจึงเป็นวิญญาณหลับ การนอนหลับก็คือการกลับสู่รากใหญ่ การทำสมาธิคือการกลับสู่รากเล็ก ระหว่างที่หายใจนั่งสมาธิสามารถรวบรวมดวงจิตให้กลายเป็นเมล็ดงาหนึ่งเมล็ด ก็คือการกลับสู่รากบน นี่ก็คือสรรพสิ่งที่มีมากมายหลายหลาก ต่างก็ต้องกลับคืนสู่รากฐานต้นกำเนิดเดิมของตัวเอง…”
ฮว่อหลงเจินเหรินขอบเขตบินทะยานขั้นสูงสุดคนหนึ่ง ป๋ายอวิ๋น เถาซานสองสาย หยวนจื่อเตี้ยนแห่งยอดเขาจื่อเสวียน ศิษย์พี่ทั้งหลายเหล่านี้ รวมไปถึงเจ้ายอดเขาคนใหม่ของสายไท่เสีย ต่างก็พิทักษ์มรรคาให้กับผู้ฝึกตนขอบเขตถ้ำสถิตคนหนึ่งอยู่นอกถ้ำ…
พวกเขาเอาโต๊ะใหญ่ตัวหนึ่งมาตั้งวางไว้นานแล้ว บนโต๊ะมีสุรา มีกับแกล้ม มีผลไม้สดตระกูลเซียนถาดใหญ่ รอคอยข่าวดีอยู่ตรงนี้อย่างสงบ
ศิษย์พี่สายเถาซานพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ศิษย์น้องเล็กฝ่าขอบเขตได้ไม่ธรรมดา ไม่สามัญเลยจริงๆ ภาพบรรยากาศมากมายนับพันหมื่น น่าชื่นชม น่ายินดี”
แต่ในความเป็นจริงแล้วการฝ่าทะลุขอบเขตของจางซานเฟิงไม่มีภาพบรรยากาศใดๆ ให้พูดถึงเลย มีเพียงแค่ความลุ่มๆ ดอนๆ ก่อนจะเลื่อนเป็นขอบเขตชมมหาสมุทรเท่านั้น
เจินเหรินผู้เฒ่าลูบหนวดยิ้ม “ถึงอย่างไรความองอาจหล่อเหลาของศิษย์น้องเล็กเจ้าก็เหนือกว่าเฉินผิงอันไประดับหนึ่ง นี่ไม่มีอะไรให้ต้องปฏิเสธ”
ศิษย์พี่สายป๋ายอวิ๋นบ่นว่า “อาจารย์ เรื่องจริงที่เห็นกันได้ชัดเจนเช่นนี้ พูดออกมาจากปากก็ไม่มีความหมายอะไรแล้ว ไม่จำเป็นต้องพูดหรอก”
เดิมทีหยวนหลิงเตี้ยนคิดอยากจะพูดคล้อยตามอาจารย์สักสองสามคำ แต่กลับถูกศิษย์พี่ชิงพูดตัดหน้าไปก่อน มาลองคิดอีกทีก็รู้สึกว่ายังคงเป็นคำพูดประโยคนี้ของศิษย์พี่ที่แสดงให้เห็นว่าตบะสูงยิ่งกว่า
เจินเหรินผู้เฒ่าพยักหน้ารับเบาๆ “ก็จริงนะ”
“ศิษย์น้องเล็กที่อยู่บนเส้นทางการฝึกตนสามารถลงหลักปักฐานอย่างมั่นคง ต่อสู้ได้อย่างมั่นคง จิตแห่งมรรคาใสกระจ่างมาโดยตลอด นี่ไม่ง่ายเลยจริงๆ”
เจินเหรินผู้เฒ่าได้ยินแล้วก็พยักหน้าพร้อมยิ้มบางๆ
หยวนหลิงเตี้ยนอยากจะพูดว่าเป็นเพราะอาจารย์สอนได้ดี
คิดไม่ถึงว่าจะมีศิษย์พี่เอ่ยขึ้นมาอีกประโยคว่า “อันที่จริงความสามารถที่ใหญ่ที่สุดของศิษย์น้องเล็กยังคงเป็นสายตาในการเลือกอาจารย์ อาจารย์ โปรดอภัยที่ศิษย์พูดจาไม่เคารพ แล้วก็เป็นเพราะว่าอาจารย์โชคดีถึงได้รับซานเฟิงมาเป็นลูกศิษย์ได้”
หยวนหลิงเตี้ยนหมดคำจะกล่าวทันใด
เจินเหรินผู้เฒ่าเอ่ยอย่างสะท้อนใจ “มีอะไรก็พูดอย่างนั้นเถอะ เพราะเป็นเช่นนี้จริง”
เจ้าหมอนั่นหยิบจอกเหล้าที่ว่างเปล่าขึ้นมา “ล่วงเกินอาจารย์แล้ว ศิษย์ต้องดื่มลงโทษตัวเองหนึ่งจอก”
เจินเหรินผู้เฒ่าผลักเหล้าชิงเสินกาหนึ่งที่อยู่ตรงหน้าตัวเองออกไป “จอกเดียวไม่พอ ลงโทษตัวเองสามจอก”
หยวนหลิงเตี้ยนจึงคล้ายคนนอกที่มาร่วมวงเพื่อให้ครบจำนวนคนเท่านั้น ไม่มีโอกาสได้เปิดปากพูดแม้แต่น้อย
มารดามันเถอะ หากรู้ว่าจะเป็นอย่างนี้ตั้งแต่แรก ตอนอยู่บนภูเขาลั่วพั่วก็คงต้องถ่อมตัวขอความรู้จากเฉินผิงอันมาสักหน่อยแล้ว
บนภูเขาลั่วพั่ว ขนบธรรมเนียมไม่เป็นรองยอดเขาพาตี้เลยแม้แต่น้อย นับตั้งแต่เจ้าขุนเขาไปจนถึงนักเรียนถึงลูกศิษย์ แล้วก็ไปจนถึงผู้ถวายงาน เค่อชิง แต่ละคนพูดเก่งไม่แพ้กัน
ฮว่อหลงเจินเหรินพลันลุกขึ้นยืน เอ่ยว่า “ต้องรีบไปเยือนศาลบุ๋นแล้ว ครั้งนี้คงไม่พาซานเฟิงไปด้วยแล้ว คนสนิทมีเยอะเกินไป ง่ายที่จะเผยพิรุธ พวกเจ้าจำไว้ว่าต้องปกป้องเขาให้ดี”
ทุกคนพากันลุกขึ้นตาม ก้มหัวคารวะตามขนบลัทธิเต๋าส่งอาจารย์เดินทางไกลไปยังแผ่นดินกลาง
ฮว่อหลงเจินเหรินเหล่ตามองหยวนหลิงเตี้ยนที่ทำตัวเหมือนคนใบ้ “หมายถึงเจ้านั่นแหละ!”
หยวนหลิงเตี้ยนอับจนคำพูด
ร่างของฮว่อหลงเจินเหรินเปล่งวูบหนึ่งทีก็ข้ามทวีปเดินทางไกล ช่วยไม่ได้ ภูเขายากจน ซื้อเรือข้ามฟากข้ามทวีปไม่ไหว ก็เลยได้แต่อาศัยตบะน้อยนิดแค่นี้แล้ว
ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง จวนอริยะแห่งหนึ่ง
ทายาทรุ่นหลังสายหนึ่งของอริยะได้พักอยู่ที่นี่สืบต่อกันมาหลายรุ่น
จวนหย่าเซิ่งแห่งนี้กินอาณาบริเวณหนึ่งร้อยแปดสิบกว่าไร่ มีห้องสี่ร้อยกว่าห้อง
ที่พักสร้างขึ้นติดกับศาล ด้านข้างจวนก็คือศาลหย่าเซิ่งที่ควันธูปโชติช่วง
ชายฉกรรจ์ผู้หนึ่งทะยานลมมาพลิ้วกายลงหน้าประตูเมืองที่ตั้งของจวน แล้วเลือกเดินเท้าต่อไป
ผู้ดูแลเฒ่าคนหนึ่งของจวนมารออยู่ล่างบันไดจวนนานมากแล้ว พอเห็นชายฉกรรจ์คนนั้นก็รีบเดินเร็วๆ ก้าวไปหา
คนทั้งสองเดินเข้าไปในบ้านด้วยกัน ประตูบานใหญ่ทาสีน้ำมันสีดำขอบแดง ฝังเลื่อมรูปปั้นซวนหนี (หรือพญาสิงห์ สัตว์ในตำนานจีน เป็นบุตรตัวที่ห้าในบรรดาเก้าบุตรของมังกร) เหนือประตูบานใหญ่แขวนกรอบป้ายพื้นสีฟ้าตัวอักษรสีทองคำว่า ‘จวนหย่าเซิ่ง’
เขียนด้วยลายมือของหลี่เซิ่ง
อ้อมผ่านกำแพงบังตาสีขาวหิมะไป ประตูชั้นที่สองก็คือประตูอี๋เหมิน สองข้างประตูมีภาพเทพทวารบาลสีสันสดใสแปะอยู่ฝั่งละสองภาพ ล้วนมีความสูงเท่าตัวคน คือสี่ในสิบปราชญ์ของศาลบู๊ผู้มีคุณูปการไร้ข้อด่างพร้อย
ชายฉกรรจ์ที่ค่อนข้างเงียบขรึมเดินเข้ามาจากประตูเย่เหมินพร้อมกับพ่อบ้านผู้เฒ่า เดินผ่านภาพแขวนของหย่าเซิ่งภาพหนึ่ง ด้านข้างสองฝั่งเป็นคำกลอนคู่ ‘หลักแห่งการควบคุมการเปลี่ยนแปลงของสวรรค์คือหยินและหยาง หลักแห่งการวางตัวเป็นคนคือจิตเมตตาและคุณธรรม’
กลางลานบ้านขนาดใหญ่มีต้นไม้โบราณสูงเสียดฟ้าอยู่ต้นหนึ่ง พุ่มใบเขียวชอุ่ม และยังมีแท่นสี่เหลี่ยมโล่งกว้างสูงกว่าลานบ้านอยู่แห่งหนึ่ง สองด้านมีตานฉือ (พื้นที่ว่างโล่งที่ตั้งอยู่ตรงกลางขั้นบันไดแดงที่ทอดไปสู่ตำหนักใหญ่ พื้นที่ว่างนี้มักจะแกะสลักเป็นรูปมงคล) ที่ตั้งวางเสาหินขุยหลงและอิฐเขียวสลักรูปบุปผาเป็นกำแพงล้อมป้องกันเอาไว้ ตรงหัวมุมฝั่งตะวันออกเฉียงใต้มีนาฬิกาแดด ตรงมุมตะวันตกเฉียงใต้มีเครื่องชั่งเจียเลี่ยง ตรงกลางคือห้องโถงใหญ่ห้าเสา แล้วก็เป็น ‘ห้องโถงใหญ่’ ของจวนหย่าเซิ่งด้วย กรอบป้ายที่แขวนหน้าโถงคือ ‘กฎระเบียบเจ็ดบท’ ตัวอักษรสีทองขอบเป็นลายมังกร แน่นอนว่ายังมีกลอนคำขวัญอยู่ด้วย
ด้านหลังโถงรองคือโถงสาม เป็นสถานที่ ‘รวมตัว’ ยามที่หย่าเซิ่งจัดการกิจธุระภายในตระกูล
ชายฉกรรจ์ชะงักฝีเท้าเล็กน้อย แหงนหน้ามองกลอนคู่บทนั้น การที่เขาหยุดเท้ายืนอยู่ที่นี่ไม่ใช่เพราะถูกใจคำขวัญนี้มากที่สุดจากในบรรดากลอนคู่หลายสิบบทของจวน แต่เป็นเพราะตั้งแต่เล็กจนโต นอกจากศาลบรรพชนของตระกูลแล้ว ก็เป็นที่แห่งนี้ที่เขาถูกลงโทษมากที่สุด เนื้อความในคำขวัญบทล่างก็คือ ชื่อเสียงของตระกูลยังคงเป็นการอ่านตำรา
ขยับถัดต่อไปจากนั้นก็คือเรือนพักฝ่ายในของจวนอริยะแห่งนี้แล้ว ดังนั้นฝั่งขวาของประตูใหญ่บานนี้จึงมีหินน้ำไหลเผยให้เห็นด้านนอกกำแพง เพราะว่าเหล่าสตรีของตระกูลที่พักอยู่เรือนฝ่ายใน ยามที่ต้องใช้น้ำมักจะต้องให้คนตักน้ำเอาน้ำเทราดหินน้ำไหลจากตรงจุดนี้ และอีกฝั่งหนึ่งก็จะมีสาวใช้มาคอยรับน้ำไป
ชายฉกรรจ์ที่นามว่า ‘อาเหลียง’ เลื่องลือระบือไกลไปหลายใต้หล้ายิ่งกว่าชื่อจริงของตัวเองผู้นี้ตบแขนพ่อบ้านผู้เฒ่า ยิ้มพูดคุยกับอีกฝ่ายสองสามประโยคก็เดินก้าวเข้าไปด้านในเพียงลำพัง
ระหว่างที่เดินมาเหล่าลูกหลานเด็กรุ่นหลังของจวนหย่าเซิ่งที่พบเห็นชายฉกรรจ์ผู้นี้จะต้องหยุดเดินทันที แล้วประสานมือคารวะอย่างนอบน้อม อาเหลียงเองก็ประสานมือคารวะกลับไปทุกคน บ้างก็สอบถาม บ้างก็ให้กำลังใจสองสามประโยค ยกตัวอย่างเช่นถามว่าศึกษาหาความรู้ไปถึงไหนแล้ว
อาเหลียงเข้าไปในเรือนชั้นใน ไม่ได้ไปยังที่พัก แต่เดินผ่านระเบียงตรงไปยังสวนดอกไม้ที่อยู่ด้านหลังสุด มีพุ่มดอกไม้ที่เรียกภาษาบ้านๆ ว่าข้าวต้าม่าย (ข้าวบาร์เลย์) สุก แต่แท้จริงแล้วมันมีชื่อที่ไพเราะอย่างมาก ฉัตรทอง
เคยมีเด็กคนหนึ่ง หนังสือก็อ่าน แต่ชอบฝึกกระบี่มากกว่า มักจะมาถามกระบี่กับกิ่งไม้และพุ่มฉัตรทองอยู่ที่นี่
ปีนั้นไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึงว่าจวนอริยะที่กฎระเบียบเข้มงวดที่สุดแห่งนี้ ในกาลข้างหน้าจะมีมือกระบี่คนหนึ่งชื่ออาเหลียงที่ออกจากบ้านเดินทางไกลอยู่ตลอด ไม่ค่อยชอบกลับบ้านเท่าใดนัก
อาเหลียงนั่งอยู่บนขั้นบันไดของสวนดอกไม้ ห่างไปไม่ไกลก็คือโรงเรียนของตระกูล ถ้อยคำของอริยะดังขึ้นๆ ลงๆ อยู่ที่นั่นปีแล้วปีเล่า มีทั้งเสียงท่องตำรา มีทั้งการถามตอบ มีทั้งการโต้แย้ง
คนนอกยากจะจินตนาการได้ว่าทุกครั้งที่กลับมาถึงบ้าน อาเหลียงจะมีท่าทางจริงจังเช่นนี้
บางทีคงมีเพียงได้เห็นกับตาจริงๆ เท่านั้นถึงจะค้นพบด้วยความตื่นตะลึงว่า เจ้าคนที่ไม่ว่าไปที่ไหนก็ล้วนเป็นเจ้าชาติสุนัขผู้นี้ แท้จริงแล้วคือบุตรชายสายตรงของหย่าเซิ่ง คือบัณฑิตที่สมชื่อจริงแท้แน่นอน
ไม่มีใครรู้ว่าทำไมอาเหลียงถึงได้ไปสนิทสนมคลุกคลีอยู่กับสายเหวินเซิ่ง
แล้วเหตุใดถึงได้กลายเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่ชอบเรียกตัวเองว่ามือกระบี่ ทำไมถึงได้ชอบพเนจรร่อนเร่อยู่ในยุทธภพ ทำไมถึงไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไปเยือนใต้หล้ามืดสลัว
อาเหลียงเอามือตบเข่าสองข้างเบาๆ คลอเพลงในลำคอ
เตรียมจะไปเปลี่ยนมาสวมชุดลัทธิขงจื๊อเพื่อไปหาคนสนิทสนมคุ้นเคยที่ศาลบุ๋นแผ่นดินกลาง
มีสหายอยู่ทั่วทั้งใต้หล้าก็ดีอยู่อย่าง ดื่มเหล้าไม่ต้องจ่ายเงิน
นอกประตูใหญ่ของจวนหย่าเซิ่ง ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊ออายุน้อยคนหนึ่งที่ท่าทางเหนื่อยล้าจากการเดินทาง ข้างกายมีผู้เฒ่าชุดเหลืองที่ตรงเอวห้อยหยกที่ศาลบุ๋นเป็นผู้มอบให้ติดตามมาด้วย
ก็คือหลี่ไหวและผู้ติดตาม ทุกวันนี้ผู้เฒ่าเปลี่ยนฉายาใหม่อีกแล้ว ชื่อว่านักพรตเนิ่น
หลี่ไหวมองประตูใหญ่ของจวนหย่าเซิ่งที่เปี่ยมไปด้วยพลานุภาพน่าเกรงขามอยู่ไกลๆ แล้วกลืนน้ำลาย ไม่ค่อยกล้าขยับเข้าใกล้เท่าใดนัก จะให้เขาไปเคาะประตูก็ยิ่งไม่มีความกล้านี้
รู้สึกเสียใจภายหลังเล็กน้อย หากรู้อย่างนี้แต่แรกคงไปศาลบุ๋นแผ่นดินกลางพร้อมกับเฒ่าตาบอดอาจารย์เกินครึ่งตัวไปแล้ว ไม่อย่างนั้นขอแค่ได้พบเจอหลี่เป่าผิงและอาจารย์เหมา ไม่ว่าอะไรก็พูดง่ายไปหมด
นักพรตเนิ่นที่มีขอบเขตบินทะยานตื่นเต้นยิ่งกว่าหลี่ไหวเสียอีก ถามเสียงเบาว่า “คุณชาย ข้ารู้สึกนะว่าอาเหลียงผู้นั้นต้องไม่อยู่บ้านแน่นอน”
เจ้าชาติสุนัขนั่นไม่อยู่บ้านสิถึงจะดี
จะได้ไม่ต้องถูกคิดบัญชีย้อนหลังอย่างไรล่ะ
หลี่ไหวสะพายหีบหนังสือไม้ไผ่ ในมือถือไม้เท้าเดินป่า ถามหยั่งเชิงว่า “ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ตรงไปรอที่ศาลบุ๋นเลยดีไหม?”
นักพรตเนิ่น (เนิ่นแปลว่าอ่อนนุ่ม หน่ออ่อน) ที่อายุจริงๆ ไม่น้อยแล้ว ถูมือพยักหน้า “แบบนั้นแหละดี”
คาดไม่ถึงว่าตรงหน้าประตูใหญ่จะมีชายฉกรรจ์คนหนึ่งสวมชุดลัทธิขงจื๊อก้าวเร็วๆ เดินออกมา เจ้าสันดานสุนัขถึงกับมีสภาพเป็นผู้เป็นคนบ้างแล้ว
ชายฉกรรจ์เห็นหลี่ไหวและขอบเขตบินทะยานตัวนั้นแล้วก็พูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง “โอ้โห นี่มันนายท่านใหญ่หลี่ของพวกเราไม่ใช่หรือ ไม่เห็นจะหล่อเหมือนตอนเด็กเลย เวลานั้นดีจะตายไป เซ่อซ่าดี”
หลี่ไหวโบกมือทักทาย
อาเหลียงเดินอยู่บนถนนใหญ่ หลี่ไหวก้าวยาวๆ เดินไปหา จู่ๆ ก็พลันยื่นไม้เท้าเดินป่าส่งให้นักพรตเนิ่นที่เดินตามมาด้านหลังด้วยฝีเท้าหนักอึ้ง
แทบจะเวลาเดียวกันนั้น อยู่ห่างกันอีกประมาณห้าหกก้าว หลี่ไหวกับอาเหลียงก็หยุดฝีเท้า
ทั้งสองฝ่ายตั้งท่าหมัด จากนั้นคนทั้งสองก็เริ่มเดินวนเป็นวงกลม อาเหลียงกระโดดผลุงหนึ่งที ปล่อยหมัดซ้ายสลับฝ่ามือขวาไปเบื้องหน้า หลี่ไหวกระโดดหนึ่งที บิดเอว สีหน้าเคร่งขรึม หมัดสูงอย่าได้ปล่อยออกมา
ทำเอานักพรตเนิ่นที่เห็นอยู่เกือบจะขุดรูแทรกหนีลงไป คนสองคนที่สมองมีรูนี้ เอาเป็นว่าข้าผู้อาวุโสไม่รู้จักเลยสักคน
คนทั้งสองตวาดเบาๆ หนึ่งที ขณะเดียวกันก็ซอยเท้าก้าวเล็กๆ ไปเบื้องหน้า แล้วเริ่มประมือกัน เจ้าส่งมาข้าโต้กลับ
ความเคลื่อนไหวเชื่องช้ายิ่ง แต่กลับมีพลังอำนาจของหมัดพุ่งดุจสายฟ้า พละกำลังสามารถผ่าอิฐแตก
นักพรตเนิ่นทนรับไม่ไหวแล้วจริงๆ จึงหมุนตัวหันไปมองร้านค้าร้านหนึ่งที่อยู่ข้างถนนแทน
คนทั้งสองพลันโถมตัวกอดกัน
หลี่ไหวหัวเราะร่าเสียงดัง “พี่อาเหลียง!”
อาเหลียงเองก็พูดกลั้วหัวเราะดังลั่น “น้องหลี่ไหว!”
ต่างคนต่างถอยหลังไปหนึ่งก้าว อาเหลียงกดเสียงต่ำถามว่า “ตอนนี้จะเป็นพี่เขยของเจ้า ยังได้อยู่ไหม?”
หลี่ป๋ายเหลือกตามองบน “ไม่ได้แล้ว พี่สาวข้าออกเรือนแล้ว แต่งให้กับบัณฑิตคนหนึ่ง ตัวสูงกว่าเจ้าด้วย”
อาเหลียงเอ่ยอย่างขุ่นเคือง “เจ้าก็ไม่รู้จักขัดขวางพี่สาวเจ้ารึ?! ปล่อยให้พี่สาวของเจ้าพลาดบุรุษแสนดีที่เป็นคู่สร้างคู่สมไปทั้งอย่างนี้รึ?!”
หลี่ไหวหัวเราะหึหึ “อาเหลียง ดูเหมือนว่าเจ้าจะเตี้ยลงอีกแล้วนะ”
อาเหลียงลูบหัว ทอดถอนใจหนึ่งที
หลี่ไหวเอ่ย “ช่วยไม่ได้ เจ้าสามารถกลับบ้านไปอีกรอบแล้วยัดปุยฝ้ายใส่ไว้ในรองเท้าให้หนาๆ หน่อย”
อาเหลียงดวงตาเป็นประกายวาบ “น้องหลี่ไหว ฉลาดจริง!”
อาเหลียงรู้สึกว่าเรื่องนี้สามารถทำได้ จึงอารมณ์ดีโดยพลัน จากนั้นหันไปมองนักพรตเนิ่นที่ทำท่าทางขลาดๆ ใบหน้าของเขาพลันเต็มไปด้วยความตกตะลึงระคนยินดี ลูบปากอย่างแรง “โอ้โห นี่มันพี่เถาถิงไม่ใช่หรือ”
บินทะยานตัวนั้นรู้สึกว่าตัวเองแย่แล้ว
หลี่ไหวเจ้าเด็กนี่ยังพอมีมโนธรรมในใจอยู่บ้าง แต่เจ้าอาเหลียงชาติสุนัขตรงหน้าผู้นี้กลับเป็นคนที่กินหม้อไฟเนื้อหมาได้จริงๆ
ราชวงศ์ต้าตวน บนหัวกำแพงเมืองแห่งหนึ่งของเมืองหลวง
บุรุษผู้หนึ่งสวมชุดคลุมมังกร เส้นผมทั้งศีรษะเป็นสีขาวโพลน
ข้างกายมีสตรีที่เรือนกายสูงมาก ตรงเอวห้อยกระบี่ยาวฝักไม้ไผ่ยืนอยู่
เทพีแห่งการต่อสู้ เผยเปย
และยังมีคนหนุ่มชุดขาวอีกคนหนึ่ง เฉาสือ
เผยเปยมีลูกศิษย์ผู้สืบทอดทั้งสิ้นสี่คน ดังนั้นนอกจากศิษย์พี่ใหญ่ที่เป็นคอขวดขอบเขตยอดเขาแล้ว เฉาสือจึงยังมีศิษย์พี่หญิงอีกสองคน พวกนางต่างก็อายุไม่มาก แค่ห้าสิบกว่าปีเท่านั้น แต่ก็กลายเป็นขอบเขตเดินทางไกลกันแล้ว พื้นฐานล้วนไม่เลว เลื่อนเป็นขอบเขตยอดเขาได้อย่างไม่มีปัญหา
อีกทั้งคำว่า ‘ไม่เลว’ ที่คล้ายจะเป็นคำวิพากษ์วิจารณ์ทั่วไปนี้ก็แค่เปรียบเทียบกับศิษย์น้องอย่างเฉาสือเท่านั้น
โชคชะตาบู๊ของราชวงศ์ต้าตวนน่าตะลึงมากจริงๆ
หากใช้คำกล่าวบนภูเขาของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางก็คือ ราชวงศ์ต้าตวนแห่งนี้คงจะเปิดร้านขายโชคชะตาบู๊กระมัง
ส่วนฮ่องเต้ที่ปีนั้นออกเดินทางไกลไปเยือนภูเขาห้อยหัวกับเผยเปยก็ได้กลายเป็นผู้เฒ่าแก่หง่อมคนหนึ่งไปแล้ว
เขามองเผยเปยแล้วเอ่ยเย้ยหยันตัวเอง “แม่นางเผยมองดูแล้วยังคงเป็นแม่นางเผยของปีนั้น แต่ข้าที่แท้จริงแล้วเด็กกว่าเจ้าหลายปีกลับแก่แล้ว แก่ถึงเพียงนี้แล้ว”
เผยเปยคลี่ยิ้ม
เขาเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นข้าคงไม่ถ่วงเวลาเจ้ากับเฉาสือที่จะไปประชุมในศาลบุ๋นแล้ว”
เผยเปยพยักหน้ารับ
เขาพลันเอ่ยว่า “ชั่วชีวิตนี้ยังไม่เคยได้จับมือแม่นางเผยเลยนะ”
เฉาสือเดินหลบฉากไปเงียบๆ
เผยเปยตบแขนของผู้เฒ่า เอ่ยว่า “ดีใจมากที่ได้พบเจอฝ่าบาท”
ผู้เฒ่ายกมือขึ้นตบหลังมือของสตรี ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “รู้แล้ว”
——