กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 783.5 อริยะปราชญ์ผู้กล้าแห่งใต้หล้า
หลิ่วชื่อเฉิงที่ไร้ความสดชื่นพลันยืดตัวขึ้นตรง จุ๊ปากเอ่ยอย่างประหลาดใจ “บังเอิญนักๆ บนเรือข้ามฟากถึงกับมีเจ้าแห่งบุปผาของพื้นที่มงคลร้อยบุปผาอยู่ด้วย มีเทพีบุปผาเจ้าชะตาอยู่ถึงสี่ท่าน พี่สาวเทพเซียนทั้งห้าล้วนงามยิ่ง แต่ละคนมีความงามแตกต่างกันไป ช่างเป็นบุญตายิ่งนัก เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสเปลี่ยนจากบุปผาเป็นวาสนาสาวงามหรือไม่…”
หานเชี่ยวเซ่อหลุดหัวเราะพรืด “คิดอยากจะมีวาสนาสาวงามยังจะไปยากอะไร เจ้าเอาหัวโหม่งเข้าไป หากเจ้าโหม่งตราผนึกขุนเขาสายน้ำของเรือข้ามฟากลำนั้นไม่ทะลุ ข้าก็สามารถช่วยเจ้าได้”
หลิ่วชื่อเฉิงมีความคิดนี้อยู่จริงๆ
เรือข้ามฟากลำนั้นค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้
กู้ช่านกุมหมัดคารวะอยู่ไกลๆ แล้วก็ไม่สนว่าชิงจงฮูหยินแห่งหลุมน้ำลู่และแม่นางห้าท่านของพื้นที่มงคลร้อยบุปผาของเรือข้ามฟากฝั่งตรงข้ามจะมองเห็นหรือไม่ จะเก็บเอาไปใส่ใจหรือไม่
หานเชี่ยวเซ่อยิ้มบางๆ
เมื่อเป็นเช่นนี้หลิ่วชื่อเฉิงก็ไม่มีหน้าวิ่งไปโอภาปราศรัยแล้ว
เจิ้งจวีจงไม่ได้ปรากฏตัว ฟู่จิ้นลูกศิษย์ใหญ่ของเขากลับเผยกาย เทพีบุปผาเจ้าแห่งชะตาคนหนึ่งในนั้นมีสีหน้าซับซ้อน มองมาทางเซียนกระบี่ฟู่ที่เคยถูกใต้หล้าไพศาลมองเป็น ‘จักรพรรดิขาวน้อย’ ผู้นั้นด้วยสายตาเหม่อลอย
เจ้าแห่งบุปผาของพื้นที่มงคลผู้นั้นโฉมสะคราญยิ่ง บุคลิกก็ยิ่งสง่ามีราศี สวมชุดคลุมอาคมปักลายร้อยบุปผา
นางมองมาทางกู้ช่านผู้ฝึกตนหนุ่มที่ชื่อเสียงเลื่องลือระบือไกลอย่างสนอกสนใจ ท่าทางสุภาพเรียบร้อย อ่อนโยนสง่างาม ทั้งในและนอกร่างมีแต่กลิ่นอายของตำรา จะกลายเป็นคนบ้าคลั่งไปได้อย่างไร?
……
การประชุมในศาลบรรพจารย์ภูเขาตะวันเที่ยง ตลอดพันปีที่ผ่านมาไม่เคยมีขั้นตอนยุ่งยากเช่นนี้มาก่อน
การประชุมในวันนี้สิ้นสุดลง บรรพจารย์หญิงคนหนึ่งที่หลังจากแสงกระบี่แต่ละเส้นทยอยกันเปล่งแสงวูบผ่านไปแล้ว นางถึงจะทะยานลมออกมาจากยอดเขาบรรพบุรุษ กลับไปที่ภูเขาบ้านตัวเอง ไม่มีสหายเคียงคู่มาด้วย
ระหว่างทางนางผ่านภูเขาเดียวดายน้อยใหญ่ที่ถูกเรียกรวมว่ายอดเขาคู่รักซึ่งถูกปล่อยวางมาโดยตลอด ไม่เคยมีการเปิดยอดเขา เพราะภูเขาตะวันเที่ยงไม่เคยมีคู่รักผู้ฝึกกระบี่ที่สามารถจับมือกันเลื่อนขั้นเป็นเซียนดินมานานมากแล้ว
ซูเจี้ยเทพธิดาที่เคยมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทวีป มีความหวังว่าจะได้ฝึกตนอยู่ที่นี่มากที่สุด น่าเสียดายที่มหามรรคาเอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้ สามสิบปีผ่านไป ลูกศิษย์อายุน้อยหลายคนที่เพิ่งจะเข้ามาอยู่ในสำนักได้ไม่นาน เมื่อได้ยินชื่อนี้ส่วนใหญ่ล้วนมีสีหน้างงงัน
จากนั้นนางก็อ้อมผ่านยอดเขาเซียนเหรินสะพายกระบี่ ก่อนหน้านี้นางยังตั้งใจมาหยุดอยู่ที่นี่โดยเฉพาะ นางไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ แต่กลับรักษากฎเกณฑ์ ทำตามระเบียบของบรรพจารย์ใช้มือข้างหนึ่งทำมุทราก้มหน้าคารวะอยู่ไกลๆ
เพียงแต่ตอนที่ก้มหน้าลง ผู้ฝึกตนหญิงที่มีนามว่าเถียนหว่านคนนี้กลับคลี่ยิ้มเย็นชาอ่อนจาง พอเงยหน้าขึ้นอีกครั้งนางก็กลับมามีสีหน้าเคร่งขรึมดังเดิม
ยอดเขาแห่งนี้ระดับความสูงเป็นรองแค่ภูเขาบรรพบุรุษเท่านั้น บนยอดเขาปักกระบี่ยาวของตกทอดของบรรพจารย์บุกเบิกภูเขาตะวันเที่ยงไว้เล่มหนึ่ง ระดับขั้นไม่สูง ไม่ใช่อาวุธกึ่งเซียน แต่กลับมีความหมายยิ่งใหญ่อย่างมาก
บรรพจารย์ท่านนั้นตั้งกฎเหล็กเอาไว้ข้อหนึ่ง มีเพียงผู้ฝึกกระบี่รุ่นหลังของภูเขาตะวันเที่ยงที่เป็นเซียนกระบี่ด้วยอายุร้อยปีเท่านั้นถึงจะสามารถเอากระบี่ยาวเล่มนี้กลับไปวางไว้ในศาลบรรพจารย์อีกครั้งได้ เรียกได้ว่าหวังดีห่วงใยจากใจจริง ดังนั้นสถานที่แห่งนี้จึงมีอีกชื่อว่าภูเขากระบี่
ผู้ถวายงานปกป้องภูเขาของภูเขาตะวันเที่ยง วานรขาวหยวนเจินเย่มักจะมาฝึกตนที่ยอดเขาสะพายกระบี่ลูกนี้เป็นประจำ ในฐานะเผ่าพันธุ์ย้ายภูเขาที่เป็นทายาทของยุคบรรพกาล หยวนเจินเย่มีชื่อที่ดี อักษรคำว่าเจินและเย่รวมกับคำว่าภูเขา มีความหมายว่า ‘ยอดเขา’ เมื่อภูเขาตะวันเที่ยงเลื่อนขั้นเป็นสำนักได้สำเร็จ ฐานะของวานรขาวตัวนี้ก็เหมือนเรือที่ลอยขึ้นสูงตามน้ำไปด้วย เป็นเหตุให้ทุกครั้งที่หยวนเจินเย่ไปปรากฏตัวบนภูเขาลูกอื่นเป็นบางครา เสียงเรียกขานว่าบรรพจารย์ย้ายภูเขาของเหล่าลูกศิษย์ฝ่ายในจึงดังสะเทือนชั้นฟ้า
โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีข่าวลือเล็กๆ ที่เริ่มแพร่ไปบนภูเขาแล้วว่า อันที่จริงอีกไม่นานบรรพจารย์ย้ายภูเขาจะมีตบะห้าขอบเขตบนที่น่าตะลึงพรึงเพริดแล้ว
ดังนั้นจึงมีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ไม่น้อยที่ถือโอกาสเรียกอีกฝ่ายด้วยความเคารพว่าพญาย้ายภูเขา
ซานจวินห้าขุนเขาซึ่งเป็นห้าขอบเขตบนคนแรกของแจกันสมบัติทวีปคือเว่ยป้อแห่งภูเขาพีอวิ๋น ถ้าอย่างนั้นผู้ถวายงานพิทักษ์ภูเขาบ้านตนผู้นี้ก็จะได้กลายเป็นผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนที่มีชาติกำเนิดเป็นภูตตนแรก
ใจคนของภูเขาตะวันเที่ยงไม่เคยรวมกันเป็นหนึ่งเช่นนี้มาก่อน จิงเสินชี่ของผู้ฝึกตนไม่เคยฮึกเหิมห้าวหาญเช่นนี้มาก่อน
ต่อให้จะเป็นแค่ลูกศิษย์ฝ่ายนอกที่เพิ่งเข้ามาอยู่บนภูเขา ต่อให้จะเป็นแค่เด็กหนุ่มเด็กสาวที่ไม่รู้ประสา ก็ล้วนเริ่มรู้สึกว่าแจกันสมบัติทวีปที่เคยมีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล คล้ายว่าอยู่ดีๆ ก็เปลี่ยนมาเป็นเล็กมาก สายตาและความคิดจิตใจของพวกเขาจะลอยไปยังอุตรกุรุทวีปพันธมิตรที่มีผู้ฝึกกระบี่มากมายราวก้อนเมฆ จะลอยไปยังใบถงทวีปทางทิศใต้ที่ซากปรักทุกหนทุกแห่งคล้ายตะกร้าที่แตกรั่วก็ล้วนทำได้
เฝ้ารอคอยจนเมฆเปิดทางให้แสงจันทร์สุกสว่าง ประโยคนี้พูดถึงหลี่ถวนจิ่งแห่งสวนลมฟ้าที่ตายไปแล้ว
ประหนึ่งตะวันกลางนภา พูดถึงภูเขาตะวันเที่ยงที่ไม่เพียงแต่เลื่อนขั้นเป็นสำนักอักษรจง ยังเริ่มสร้างสำนักเบื้องล่าง แม้ดูเหมือนจะมีอุปสรรคอยู่บ้าง แต่ไม่มีใครสงสัยในเรื่องที่ภูเขาตะวันเที่ยงจะต้องได้ครอบครองสำนักเบื้องล่างที่ถูกต้องชอบธรรมอย่างแน่นอน มองไปทั่วทั้งแจกันสมบัติทวีป แม้แต่สำนักโองการเทพที่เป็นผู้นำบนภูเขาก็ยังไม่อาจได้ครอบครองสำนักเบื้องล่าง
ทุกวันนี้พวกคนที่สอดรู้สอดเห็นของภูเขาตะวันเที่ยงชอบวิจารณ์บุคคลที่มีชื่อเสียงของหนึ่งทวีปมากที่สุด ผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์บนภูเขาที่ยิ่งนานก็ยิ่งมีเพิ่มมากขึ้นต่างก็รู้สึกจากใจจริงว่าหลี่ถวนจิ่งก็แค่โชคดีที่ตายไปก่อน ไม่อย่างนั้นชีวิตบั้นปลายต้องไม่มีทางสงบสุขได้แน่นอน ไม่ช้าก็เร็วต้องถูกเซียนกระบี่อายุน้อยบางคนของภูเขาตะวันเที่ยงโจมตีให้พ่ายแพ้ได้อย่างง่ายดาย
เถียนหว่านกลับมาที่ยอดเขาจูอวี๋ สถานที่ฝึกตนของนางโกโรโกโสอย่างยิ่ง มีแค่เรือนเรียบง่ายแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ท่ามกลางเทือกเขา ไม่ได้อยู่บนจุดสูงของภูเขาที่การมองเห็นเปิดกว้างด้วยซ้ำ
นางเป็นทั้งเถียนหว่านแห่งศาลบรรพจารย์ บรรพจารย์หญิงผู้หนึ่งที่ตำแหน่งเก้าอี้ค่อนไปทางด้านหลัง ดูแลข่าวคราวในขุนเขาสายน้ำของที่ว่าการชิงสุ่ยและบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำ แต่ในความเป็นจริงแล้วเถียนหว่านเองก็ควบคุมดูแลเรื่องรายงานข่าวในนามด้วย เพียงแต่ว่าถูกสายของผู้คุมกฎของศาลบรรพจารย์ทิ้งตำแหน่งนี้ไว้ให้ว่างเปล่า นางไม่มีคุณสมบัติจะสอดมือเข้าแทรกเรื่องพวกนี้ มีเพียงรอให้เกิดข้อบกพร่องอะไรขึ้นมาเสียก่อน นางถึงจะถูกดึงตัวออกมา
ดังนั้นเถียนหว่านจึงเป็นสมาชิกของศาลบรรพจารย์ที่ผู้คนไม่รู้สึกถึงการดำรงอยู่ของนางเป็นที่สุด ในศาลบรรพจารย์ มีนางอยู่ก็ไม่มาก ไม่มีนางก็ไม่น้อย
ไม่ได้สอนลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจที่มีเวทกระบี่โดดเด่นอะไรออกมาได้ แล้วก็ไม่มีสิทธิ์ออกเสียง ได้แต่เฝ้าอยู่บนยอดเขาจูอวี๋ที่มีแขกมาเยือนบางตา ต่างก็พูดกันว่าภูเขาต่อให้ไม่สูงแค่ไหน แต่หากมีเซียนมาอยู่ก็ศักดิ์สิทธิ์ได้ ยอดเขาจูอวี๋ที่น่าสงสารกลับได้คำเรียกขานว่า ‘นกไม่ยืน’ มาครองเพราะเถียนหว่าน
แต่นางคือศิษย์น้องหญิงของโจวจื่อที่ ‘พูดได้ทุกเรื่องราว’ ผู้นั้น
แล้วยังเป็นหนึ่งในยี่สิบคนที่ได้เข้าร่วมการประชุมลับของสถานที่แห่งหนึ่ง
ท่ามกลางพื้นที่ลับขุนเขาสายน้ำที่ไม่จำเป็นต้องให้ผู้ฝึกตนไปเยือนด้วยตัวเองแห่งนั้น เจ้าสำนักของสำนักว่านเหยาแห่งพื้นที่มงคลสามภูเขา หันอวี้ซู่ผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนเหรินมีประสบการณ์ตื้นเขิน ตำแหน่งเก้าอี้นับจากด้านหลังมาเป็นอันดับที่สอง ก็แค่ดีกว่าเจ้าสำนักฉงหลินที่อยู่ในอันดับสุดท้ายนิดหน่อยเท่านั้น ทุกครั้งที่มีการประชุม สองคนนี้ไม่อาจเอ่ยพูดอะไรได้อยู่แล้ว แทบจะทำได้เพียงรับฟังคำสั่งแล้วปฏิบัติตามเท่านั้น ยากที่จะต่อรองราคากับใครได้
หลายสิบปีที่ผ่านมานี้ยังรับคนรุ่นเยาว์มาอีกกลุ่มหนึ่ง ผ่านการคัดเลือกอย่างเข้มงวด บางคนที่ต่อให้จะกลายมาเป็นแค่ตัวสำรอง ก็จำเป็นต้องได้รับคำแนะนำจากคนที่มีตำแหน่งที่นั่ง รวมไปถึงต้องได้รับการยอมรับจากคนอย่างน้อยครึ่งหนึ่งเสียก่อน หากเกิดข้อผิดพลาดใดๆ ก็จะต้องรับผิดชอบที่สร้างความเดือดร้อนอย่างร้ายแรง
ยกตัวอย่างเช่นสวี่เซวี่ยน ลูกศิษย์เพียงหนึ่งเดียวของเซียนกระบี่ใหญ่ป๋ายฉาง ก็คือคนที่ได้รับการแนะนำจากเจ้าสำนักฉงหลิน
และยังมีนักท่องฝันแห่งหลิวเสียทวีป เจ้านครหรงเม่าบนเรือราตรีที่ใช้นามแฝงว่าเส้าเป่าเจวี้ยน ได้รับการแนะนำจากสิงกวาน
รวมไปถึงคนบางคนที่หากว่ากันในบางความหมายแล้วก็คือคนแรกที่เปิดฉากสงครามใหญ่ คนผู้นี้มาจากใบถงทวีป คือเขาที่มาจับพิรุธภัยแฝงของสำนักฝูจีได้โดยบังเอิญ หลังจากนั้นกระตุกผมเส้นเดียวก็สะเทือนไปทั้งร่าง ถึงได้มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นที่ภูเขาไท่ผิง วิญญูชนจงขุยตายดับ กลายไปเป็นผี วานรเฒ่าสะพายกระบี่ถูกเทียนจวินผู้เฒ่าของภูเขาไท่ผิงทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส และยังมีนักพรตหนุ่มคนหนึ่งที่สถานะถูกอำพรางอย่างเร้นลึก มีความเกี่ยวข้องพัวพันกับฮ่วนซาฮูหยิน สุดท้ายปีศาจใหญ่สองตนนี้ก็โชคร้ายถูกเจ้าอารามผู้เฒ่าของอารามกวานเต๋าค้นพบร่องรอย ฝ่ายหลังร่างและวิญญาณแยกออกเป็นสองส่วน ถูกจับโยนเข้าไปในพื้นที่มงคลดอกบัว
เพียงแต่ว่าคนรุ่นเยาว์เหล่านี้ ทุกวันนี้ยังมีสถานะเป็นแค่ตัวสำรอง ไม่อาจเข้าร่วมการประชุมได้ชั่วคราว ยิ่งไม่รู้แน่ชัดถึงตัวตนของคนยี่สิบคนที่อยู่เหนือตัวเองขึ้นไป
เถียนหว่านเปิดตราผนึกขุนเขาสายน้ำของเรือนพัก เดินเข้าไปข้างใน หลังจากจุดธูปอยู่ในห้องหลักแล้วก็นั่งลงบนเบาะ หยิบกระบอกเซียมซีใบหนึ่งออกมา สีหน้าเคร่งเครียด เขย่ามันเบาๆ เซียมซีใบหนึ่งกระเด็นออกมา นางคีบหยิบมามองแล้วก็ผ่อนลมหายใจโล่งอก แม้ว่าจะไม่ใช่เซียมซีบน แต่ก็ไม่ดีไม่เลว เป็นเซียมซีกลางล่าง นางรู้สึกพอใจมากแล้ว ผลลัพธ์จากการเสี่ยงเซียมซีครั้งก่อนเกือบจะทำให้จิตแห่งมรรคาของนางแตกซ่าน ถึงกับเป็นเซียมซีล่างล่าง (ระดับเซียมซีแบ่งเป็นบน กลาง ล่าง ก็คือดี พอใช้ และแย่ เซียมซีล่างล่างก็คือแย่มากๆ) เถียนหว่านจำต้องขอให้ศิษย์พี่ช่วยทิ้งยันต์ป้องกันกายชิ้นหนึ่งไว้ให้ ช่วยให้นางเปลี่ยนแปลงโชคชะตา แล้วก็จริงดังคาด เมื่อโอกาสมาถึงโชคชะตาก็เปลี่ยนแปลง โอกาสรอดชีวิตปรากฏขึ้นมา แม้ว่าจะยังอันตรายอยู่ดังเดิม แต่นางก็มีวิธีรับมือเป็นของตัวเองแล้ว
เถียนหว่านเก็บแผ่นเซียมซีไม้ไผ่ใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ ทุบกระบอกเซียมซีให้แหลก จากนั้นหลับตาลง ยื่นมือไปกุมด้ายแดงบนข้อมือตามจิตใต้สำนึก ครู่หนึ่งต่อมานางก็ถลันพรวดลุกขึ้นยืน เรือนกายหายวับไปในเสี้ยววินาที
ยอดเขาจูอวี๋คนจากไป ภูเขาก็ว่างเปล่า
ภูเขาตะวันเที่ยงไม่มีบรรพจารย์เถียนหว่านอีกต่อไป
หญิงชราคนหนึ่งโดยสารเรือข้ามฟากลำหนึ่งไปที่นครมังกรเฒ่า
เด็กสาวคนหนึ่งกลับนั่งเรือข้ามฟากที่มุ่งหน้าไปยังท่าเรือภูเขาหนิวเจี่ยว
ทุกหนแห่งในชีวิตคน ดั่งห่านทิ้งรอยเท้าไว้ในหิมะ เคยมีร่องรอย แต่กลับไม่ทิ้งร่องรอยไว้นาน
นี่ก็คือจุดประสงค์ในการฝึกตนของเถียนหว่าน
และยังมีสตรีโตเต็มวัยหน้าตาธรรมดาคนหนึ่งที่ไปเป่าลมสร้างเมฆบนยอดเขาจูอวี๋ก่อน สร้างร่มกลบทับ อาศัยค่ายกลหดย่อขุนเขาสายน้ำไปปรากฏตัวอยู่ท่ามกลางเมฆฝนผืนหนึ่งของภาคกลางแจกันสมบัติทวีป พลิ้วกายลงบนพื้นดินโลกมนุษย์พร้อมกับสายฝนที่ตกกระหน่ำ เม็ดฝนกลายร่างเป็นคน นางมาถึงเมืองหนึ่งของแคว้นเล็กใต้อาณัติแห่งหนึ่งของราชวงศ์จูอิ๋งเก่า ตามหาซูเจี้ยที่ใช้นามแฝงว่าเหอเจี๋ยซึ่งเปิดร้านขายหนังสือแห่งหนึ่งในหมู่ชาวบ้าน
ในฐานะผู้นำบนเส้นทางการฝึกตนที่พาซูเจี้ยเดินขึ้นเขา อาจารย์ผู้ถ่ายทอดวิชาความรู้คนแรกสุด เถียนหว่านคล้ายจะมาบอกลาซูเจี้ยที่นี่
เพราะฝนตกหนัก ฟ้าดินขมุกขมัว กางร่มเดินได้ยากลำบาก กิจการของร้านหนังสือจึงคล้ายจะเงียบเหงากว่าเดิมไปมาก เถียนหว่านเก็บร่มกระดาษน้ำมันลง เหอเจี้ยพลันเงยหน้าขึ้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึงระคนยินดี
เพียงแต่ว่าเถียนหว่านกลับถอนหายใจเบาๆ อยู่ในใจ หันหน้าไปมอง เห็นบุรุษเรือนกายสูงเพรียวสวมชุดสีเขียวรองเท้าผ้าคนหนึ่ง ใบหน้าเป็นวัยกลางคน ทว่าจอนผมสองข้างกลับเป็นสีขาวหิมะ ในมือถือร่มกันฝน ยืนอยู่นอกร้าน ยิ้มบางๆ เอ่ยเรียก “พี่หญิงเถียน เทพธิดาซู”
ในที่สุดเถียนหว่านก็เข้าใจว่าเหตุใดคำทำนายของการเสี่ยงดวงก่อนหน้านี้ถึงได้เซียมซีล่างล่างแล้ว
ที่แท้เจียงซ่างเจินแห่งใบถงทวีปผู้นี้จับตามองตนอยู่นานแล้ว
เจียงซ่างเจินยืนอยู่บนธรณีประตู หุบร่มลง สะบัดน้ำฝนไว้ด้านนอกประตูเบาๆ เงยหน้ายิ้มเอ่ย “ข้าชื่อโจวเฝย เป็นผู้ถวายงานของภูเขาลั่วพั่ว ผู้ถวายงานอันดับหนึ่ง”
เจียงซ่างเจินไม่คิดจะมองเถียนหว่านอีก สายตาของเขาอ้อมผ่านสตรีโตเต็มวัย จ้องเป๋งไปยังซูเจี้ยที่ใช้นามแฝงว่าเหอเจี้ย “เทพธิดาซู เคยได้ยินชื่อทวนหนึ่งฉื่อกับหนุ่มน้อยหน้าหยกของบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำบ้างหรือไม่ พวกเขาสองคนเคยเถียงกันว่าเจ้ากับเฮ้อเสี่ยวเหลียงแห่งสำนักโองการเทพ สรุปแล้วใครถึงจะเป็นเทพธิดาอันดับหนึ่งของแจกันสมบัติทวีปกันแน่ แม้ทวนหนึ่งฉื่อจะรู้สึกว่าเฮ้อเสี่ยวเหลียงเหนือกว่าหนึ่งระดับ แต่เขาก็ชื่นชมเทพธิดาซูอย่างมาก ปีนั้นออกเดินทางไกลไปยังต่างบ้านต่างเมือง เดิมทีคิดว่าจะไปหาเจ้าที่ภูเขาตะวันเที่ยงก่อน น่าเสียดายที่ไม่ได้พบเจอเทพธิดาซู ตาเฒ่าสวินรู้สึกเสียดายอย่างมาก”
เจียงซ่างเจินเอนตัวพิงประตูใหญ่ “ในสายตาของข้า เทพธิดาเฮ้อเป็นคนบนยอดเขาไปแล้ว ยิ่งมีกลิ่นอายเซียนล่องลอย แต่เทพธิดาซูกลับดั่งผุดจากโคลนตมไม่แปดเปื้อน เป็นคนสองประเภทที่ดีเหมือนกัน”
คล้ายอันธพาลคนหนึ่งที่คิดมาเกี้ยวพาราสีสาวงาม
ซูเจี้ยมึนงงไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าบุรุษที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้คือเทพเซียนจากฝ่ายใดกันแน่ เหตุใดถึงพูดจาประหลาดไม่หยุดปาก
เถียนหว่านพลันหัวเราะเสียงดัง “หรือว่าอดีตเจ้าสำนักเจียงคิดว่ากุมชัยชนะไว้ในมือแล้ว?”
เจียงซ่างเจินเบิกตากว้าง ใช้ร่มชี้มายังสตรีโตเต็มวัย พูดเสียงสั่น “เจ้าๆๆ …”
เถียนหว่านกลับรู้สึกถึงสังหรณ์ที่ไม่ดี
บนเรือข้ามฟากลำหนึ่ง หญิงชราหันหน้าไปมองทางประตู
เด็กหนุ่มชุดขาวคนหนึ่งใช้พัดพับที่หุบเข้าหากันเคาะประตูเบาๆ เอ่ยเสียงแผ่วเบา “ห่างกันพันลี้แสนไกล บุพเพเชื่อมไว้ด้วยด้ายแดง”
บนเรือข้ามฟากอีกลำหนึ่งที่มุ่งหน้าไปยังนครมังกรเฒ่า ‘เจียงซ่างเจิน’ คนหนึ่งพิงราวรั้ว ยืนอยู่ข้างกายเด็กสาวที่ชมทัศนียภาพบนหัวเรือ “อิจฉาเพียงยวนยางไม่อิจฉาเซียน”
ทางฝั่งของร้านหนังสือ เถียนหว่านพลันคลี่ยิ้มเอ่ยอีกครั้ง “เจียงซ่างเจินกับชุยตงซานร่วมมือกัน ดูเหมือนว่าก็จะมีดีแค่นี้เอง”
เจียงซ่างเจินส่ายหน้า พูดด้วยสายตาฉายแววไม่พอใจ “พี่หญิงเถียนเจ้าสามารดูแคลนข้าได้ แต่ห้ามดูแคลนน้องชุยของข้าเด็ดขาด”
ริมมหาสมุทรบูรพาของแจกันสมบัติทวีป อยู่ใกล้กับจุดที่ลำน้ำฉีตู๋ไหลลงสู่มหาสมุทร
ท่ามกลางป่าเขาแห่งหนึ่ง คนตัดฟืนคนหนึ่งเดินเนิบช้า บนต้นไม้ต้นหนึ่ง เด็กหนุ่มชุดขาวนั่งอยู่บนกิ่งไม้ สองมือรองสอดไว้ใต้ท้ายทอย พูดอย่างเกียจคร้านว่า “ยามที่ลมตะวันตกพัดใบไม้ปลิดปลิว คนและภูเขาเขียวต่างแห้งเหี่ยว เจ็บแค้นนักที่เรือนกายนี้มิใช่ของข้า”
กลางมหาสมุทรใหญ่ทิศตะวันตกของแจกันสมบัติทวีป บุรุษสะพายกระบี่คนหนึ่งแหวกน้ำเดินทางไกล หันหน้าไปมองจุดที่ห่างไปไม่มาก ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ไม่สู้ทะนุถนอมเห็นค่าคนที่อยู่ตรงหน้า”
สตรีโตเต็มวัยในร้านหนังสืออึ้งงันไร้คำพูด นางไม่กล้าเดิมพันด้วยชีวิต
เจียงซ่างเจินยิ้มกล่าว “คาดว่านี่คงเป็นดั่งคำกล่าวที่ว่า โอกาสพบหน้าหาได้ยาก ยามจากลาก็ยิ่งตัดใจไม่ลงกระมัง?”
สตรีสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง “จะจัดการกับข้าอย่างไร?”
เจียงซ่างเจินพูดปลอบใจ “วางใจเถอะ เจ้าขุนเขาบ้านข้าเป็นคนที่รักหยกถนอมบุปผาที่สุดแล้ว!”
——