กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 786.1 ไม่มีอะไรให้พูด
หมื่นปีที่ผ่านมา บางทีอาจมีเพียงการประชุมของเซียนกระบี่ชั้นสูงของกำแพงเมืองปราณกระบี่เท่านั้น นอกจากนี้ก็ไม่มีใครแล้วที่จะสามารถทำให้เซียนกระบี่ทั้งสี่ท่านยินยอมพร้อมใจเป็นเหมือนใบไม้เขียวที่ประดับส่งเสริมให้บุปผาโดดเด่นได้เช่นนี้อีก
ฉีถิงจี้
เจ้าสำนักกระบี่หลงเซี่ยงแห่งทักษินาตยทวีป เจ้าประมุขสกุลฉีแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ เซียนกระบี่ผู้อาวุโสท่านหนึ่งที่เคยแกะสลักตัวอักษรลงบนหัวกำแพง ขอบเขตบินทะยานขั้นสูงสุด ออกกระบี่ติดต่อกันในสนามรบสามแห่งของต่างบ้านต่างเมือง อาศัยกำลังของคนคนเดียวช่วงชิงเอาความเคารพนับถือมาจากคนทั้งใต้หล้าไพศาล
ลู่จือ
เซียนกระบี่ใหญ่ที่เป็นสตรีเพียงหนึ่งเดียวบนกำแพงเมืองปราณกระบี่ เล่าลือกันว่าแท้จริงแล้วนางคือคนของไพศาล แต่ลู่จือกลับเรียกตัวเองว่าเป็นผู้ฝึกกระบี่ในท้องถิ่นของกำแพงเมืองปราณกระบี่ด้วยความภาคภูมิใจมาโดยตลอด พลังพิฆาตมหาศาล ไม่ใช่ขอบเขตบินทะยาน แต่กลับสามารถมองเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานคนหนึ่งได้เลย ไม่อย่างนั้นลำดับรายชื่อของนางก็คงไม่มีทางอยู่เบื้องหน้าเฒ่าหูหนวกที่เป็นขอบเขตบินทะยานได้ น่าหลันเซาเหว่ยหนึ่งในสิบเซียนกระบี่บนยอดเขาใหญ่ของหัวกำแพงเมืองก็ยิ่งเคยพูดเองกับปากว่า ในฐานะที่ตนคือผู้ฝึกกระบี่ซึ่งอยู่ในอันดับสุดท้าย ตัวสำรองยอดเขาทั้งหลายที่อยู่ห่างจากด้านหลังเขาไปไม่ไกลอย่างเยว่ชิง หมี่ฮู่นี้ อันที่จริงระหว่างพวกเขากับลู่จือมีน่าหลันเซาเหว่ยกั้นขวางอยู่ถึงสองคน
อาเหลียง เป็นทายาทของจวนอริยะ แต่กลับไปท่องเที่ยวอยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่นานร้อยปี เคยเป็นบัณฑิตคนหนึ่งที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในกำแพงเมืองปราณกระบี่
ก่อนที่อาเหลียงจะปรากฏตัว ความรู้สึกที่ผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่มีต่อไพศาลเรียบง่ายอย่างยิ่ง มีเพียงสายตาเย็นชาที่มองอย่างดูแคลนเท่านั้น และหลังจากที่อาเหลียงไปเตร็ดเตร่อยู่ที่นั่นร้อยปี พวกเขาก็เปลี่ยนความคิดเสียใหม่ ไม่ว่าจะนิสัยการเล่นพนัน นิสัยยามดื่มเหล้า หรือนิสัยใจคอของตัวเขาเอง ล้วนทำให้ผู้ฝึกกระบี่ในท้องถิ่น ‘ตาเป็นประกาย’ ได้ทั้งสิ้น หากไม่เป็นเพราะถูกภูเขาทัวเยว่กดทับมานานหลายปี และเขาก็ไม่เสียดายมหามรรคาที่ถูกกัดกร่อนลดทอนไป ใช้กระบี่สังหารผีร้ายวิญญาณอาฆาตไปนับไม่ถ้วน ไปเยือนดินแดนพุทธะสุขาวดีมารอบหนึ่ง ไม่อย่างนั้นทุกวันนี้ก็คงเป็นขอบเขตสิบสี่ไปแล้ว ส่วนตัวอักษรใหญ่ที่อาเหลียงแกะสลักลงไปบนหัวกำแพงเมืองนั้น ก็สะเทือนฟ้าสะท้านดินเทพผีร่ำไห้ได้มากที่สุด เชื่อว่าเมื่อรายงานขุนเขาสายน้ำได้รับอนุญาตอีกครั้ง หัวกำแพงเมืองสองท่อนของกำแพงเมืองปราณกระบี่มีบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำ ตัวอักษร ‘เหมิ่ง’ (ห้าวหาญ) นั้น จะต้องได้รับคำกล่าวที่เต็มไปด้วยความหมายของการอึ้งตะลึงอย่าง ‘หลิวชา’ มานับไม่ถ้วนแน่นอน
จั่วโย่ว
ขอบเขตบินทะยานขั้นสูงสุด ถูกมองเป็นผู้ที่เวทกระบี่สูงส่งที่สุดในใต้หล้าไพศาล และยิ่งเป็นเซียนกระบี่ที่ไม่ชอบยิ้มแย้มพูดคุย ใจร้อนเจ้าอารมณ์ที่สุดของกำแพงเมืองปราณกระบี่ และก็เป็นคนคนหนึ่งที่ยามเข่นฆ่าขึ้นมามี ‘มาดของเซียนกระบี่’ มากที่สุด เล่าลือกันว่าบนสนามรบเคยมีวีกรรรมที่คนคนเดียวถามกระบี่ต่อสิบสี่บัลลังก์ราชาในเวลาเดียวกัน และจั่วโย่วที่อยู่นอกมหาสมุทรของทักษินาตยทวีปส่งหนึ่งกระบี่อยู่ไกลๆ ซัดเซียวสวิ้นร่วงลงไปยังก้นมหาสมุทรลึก ก็ยิ่งเป็นภาพแห่งความยิ่งใหญ่ตระการตาที่ผู้ฝึกตนนับไม่ถ้วนได้เห็นกับตาตัวเอง
กำแพงเมืองปราณกระบี่ ผู้ฝึกกระบี่ห้าท่าน สามบินทะยาน หนึ่งเซียนเหริน หนึ่งหยกดิบ
ทว่าคนที่ขอบเขตต่ำที่สุด เฉินผิงอันมือกระบี่ชุดเขียวที่อายุน้อยที่สุดกลับยืนอยู่ตรงกลาง อีกทั้งเมื่อปรากฎอยู่ในสายตาของผู้คนกลับไม่ให้ความรู้สึกเกะกะไม่เข้าพวกแม้แต่น้อย
ประเด็นสำคัญคือผู้ฝึกกระบี่ทั้งสี่คนนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่มีความเห็นต่างกับเรื่องนี้เลยสักนิด
แม้จะบอกว่าใจคนมีแค่หนังหน้าท้องกางกั้น ผู้ฝึกตนบนยอดเขาส่วนใหญ่มักจะอบรมบ่มเพาะนิสัยใจคอมาอย่างดีเยี่ยม ทว่าเมื่อผู้ฝึกกระบี่ห้าคนยืนเคียงบ่ากัน มหามรรคากลับสอดคล้อง ปณิธานกระบี่กลมเกลียว นี่ไม่มีทางเป็นการเสแสร้งไปได้
ต่อให้เป็นจั่วโย่วที่ทำให้ ‘ตัวอ่อนเซียนกระบี่’ ของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางกลายเป็นเรื่องตลก อีกทั้งยังมีสถานะเป็นศิษย์พี่ร่วมสำนักสายบุ๋นกับเฉินผิงอัน เวลานี้ก็ยังทำเพียงแค่ยืนอยู่ข้างกายเฉินผิงอันเท่านั้น
ความยโสทระนงตนของผู้ฝึกกระบี่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ใต้หล้าไพศาลกระจ่างชัดเจนดีอยู่ในใจ ถึงขั้นที่ว่ายังมีผู้ไปเยือนหลายคนเคยไปประสบความยากลำบากอย่างใหญ่หลวงอยู่ที่นั่น หลังจากที่ทำได้เพียงกลับคืนมายังบ้านเกิด อย่างมากสุดก็ได้แต่ทำตัวเหมือนแม่นางน้อยคนหนึ่งที่ระบายทุกข์ฟ้องอาจารย์และสหายรัก แต่กลับไม่มีความกล้าและความสามารถมากพอที่จะแก้แค้น
ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ตลอดหมื่นปีที่ผ่านมา ไม่ยอมรับในเรื่องตัวตน ชื่อเสียง ไม่ยอมรับในเรื่องสำนักหรือที่พึ่ง ยอมรับกันแค่เรื่องของเวทกระบี่ ยอมรับแค่เรื่องผลงานทางการสู้รบเท่านั้น
บวกกับเฉินผิงอันที่อยู่ตรงกลาง
ผู้ฝึกกระบี่ห้าคนนี้
ก็เหมือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ใหม่เอี่ยมแห่งหนึ่ง เหมือนฟ้าดินปราณกระบี่ที่ไร้ศัตรูทัดเทียมแห่งหนึ่ง
ต่อให้เจ้าจะเป็นผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่ ไม่ว่าจะผสานมรรคากับฟ้าอำนวย ดินอวยพรหรือคนสามัคคี มาเป็นศัตรูกับพวกเขาก็ต้องตายเหมือนกันโดยไม่ต้องสงสัย
ช่วงต้นของการประชุม คนกลุ่มน้อยที่ถูกผู้คนมองมามากที่สุด หากไม่เป็นคนที่ตบะหรือขอบเขตสูง ขณะเดียวกันยังเป็นคนที่มีความสัมพันธ์กับคนอื่นดีเยี่ยมมากพอ
ยกตัวอย่างเช่นอวี๋เสวียนที่เริ่มผสานมรรคากับธารดวงดาวนอกฟ้า ผู้ฝึกตนใหญ่ที่จะต้องกลายเป็นขอบเขตสิบสี่อย่างแน่นอน คำเรียกขานที่ว่าฝูลู่อวี๋เสวียน (อวี๋เสวียนแห่งสายยันต์) นี้ก็มีแต่จะยิ่งสมชื่อสมคำเล่าลือมากขึ้น
แน่นอนว่ายังมีฮว่อหลงเจินเหรินที่ชอบเดินทางไปทั่วเก้าทวีปของไพศาล อีกทั้งแต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยนั่งเรือข้ามฟากข้ามทวีปมาก่อน สายตาของเขากวาดมองคนครึ่งวงกลมไปอย่างว่องไว นอกจากอริยะปราชญ์แล้ว ผินเต้ามองใคร ใครกล้าไม่มองผินเต้า ผินเต้าก็จะไปเป็นแขกถึงบ้านคนนั้น เพิ่มความสัมพันธ์ควันธูป หลีกเลี่ยงไม่ให้ในอนาคตต้องเจอกับสถานการณ์น่ากระอักกระอ่วนที่ยืนอยู่ตรงข้ามแต่ดันไม่รู้จักกันเช่นนี้อีก
ไม่อย่างนั้นก็คนแปลกหน้าบนภูเขาที่อายุยังน้อย ขณะเดียวกันก็ได้ลุกผงาดโดดเด่นท่ามกลางสงครามครั้งนี้ อายุน้อยแต่คุณูปการกลับยิ่งใหญ่ แน่นอนว่าอนาคตต้องยาวไกลไร้ขีดจำกัด
ยกตัวอย่างเช่นเฉาสือ หยวนพางและสวี่ป๋ายที่บ้านเกิดคือใต้หล้ามืดสลัว
สำหรับผู้ฝึกตนอายุน้อยทุกคนที่ได้เข้าร่วมการประชุม คำว่าอายุน้อยก็คือต่ำกว่าห้าร้อยปีลงไป ล้วนถือว่าอายุน้อย วันนี้สามารถมาอยู่ในที่แห่งนี้ได้ ก็เท่ากับว่าได้รับยันต์คุ้มกันกายที่ใหญ่ที่สุดไปจากใต้หล้าไพศาลแล้ว
แน่นอนว่าเฉาสือต้องเป็นข้อยกเว้น ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนนี้ ไม่ต้องการ
สุดท้ายในนาทีนี้ ทุกคนที่เข้าร่วมการประชุมล้วนเพ่งสายตามายังจุดเดียวกัน ต่างคนต่างความคิด ต่างความรู้สึก
ต่างก็มองไปยังผู้ฝึกกระบี่คนที่ห้าของกำแพงเมืองปราณกระบี่คนนั้น
เฉินผิงอัน
มีชาติกำเนิดมาจากตรอกเก่าโทรมยากจนในถ้ำสวรรค์หลีจูของแจกันสมบัติทวีป ภูมิลำเนาคืออำเภอไหวหวง ถือเป็นคนของราชวงศ์ต้าหลี ตอนยังเป็นเด็กหนุ่มก็ชอบออกเดินทางไกล ไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่สองครั้ง ครั้งสุดท้ายรั้งอยู่นานหลายปี ใช้สถานะของคนต่างถิ่นเข้าแทนที่ผู้ฝึกกระบี่ทรยศอย่างเซียวสวิ้น แหกกฎรับหน้าที่เป็นอิ่นกวานคนสุดท้ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่ เป็นผู้นำสายอิ่นกวานของคฤหาสน์หลบร้อน ช่วยเฉินชิงตูจัดวางขบวนรบ ออกคำสั่งแก่เซียนกระบี่ โยกย้ายผู้ฝึกกระบี่ คุณูปการทางการสู้รบเกริกก้อง
บรรพจารย์เว่ยหนึ่งในสองบรรพจารย์ใหญ่ของสำนักการทหาร แววตาสูงส่งอย่างถึงที่สุด ทว่ากลับให้คำประเมินคนหนุ่มที่ไม่เคยพบหน้า ไม่เคยไปมาหาสู่กันผู้นี้ไว้สูงสุด ไม่ขี้เหนียวคำชมเชยแม้แต่น้อย เอ่ยสองประโยคที่มีน้ำหนักมาก เบื้องหน้ามีอิ่นกวานบัญชาการณ์ผู้ฝึกกระบี่หนึ่งแสนเฝ้าพิทักษ์นคร เบื้องหลังมีซิ่วหู่ควบคุมกองทัพม้าเหล็กต้าหลีให้เฝ้าพิทักษ์ขุนเขาสายน้ำครึ่งทวีปไว้อย่างแน่นหนา ช่วงชิงเอาคนสามัคคีทั้งหมดมาให้ไพศาลเรา อิ่นกวานหนุ่มเรียกได้ว่าเป็นแม่ทัพผู้มีปัญญาความรู้
ภูเขาจวีซวีที่โชคชะตาบู๊เข้มข้นที่สุดในใต้หล้า ซานจวินใหญ่ไหวเหลียนก็เคยเอ่ยว่า กำแพงเมืองปราณกระบี่ได้ทำสงครามเพิ่มขึ้นอีกกี่ปี ก็เท่ากับใต้หล้าไพศาลได้ลดการทำสงครามลงเท่านั้น ช่วยให้ไพศาลของพวกเรามีคนรอดชีวิตอีกนับไม่ถ้วน ไม่มีอะไรประเสริฐไปยิ่งกว่านี้อีกแล้ว
ไหวอินที่ได้ฉายาว่าลูกคิด (ไหวซ่วนผาน) ประเมินคนผู้นี้ว่า สุขุมรอบคอบพร้อมด้วยประสบการณ์ บอกว่าอิ่นกวานนั่งบัญชาการณ์คฤหาสน์หลบร้อนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ส่วนใหญ่แล้วเป็นการกระทำที่คล้อยไปตามสถานการณ์ ทุกคนร่วมกันระดมความคิดและร่วมกันออกกำลังช่วยเหลือ คุณงามความชอบไม่ได้เป็นของเฉินเพียงคนเดียว ทว่าผู้ที่มีคุณความชอบสูงสุด ย่อมต้องเป็นเฉินอย่างไม่มีข้อสงสัย
เจิ้งจวีจงแห่งนครจักรพรรดิขาวที่แต่ไหนแต่ไรมา ‘มองไปทั่วหล้าสายตาไม่เห็นหัวใคร’ ก็เคยยิ้มเอ่ยว่า หัวข้อเป็นตาย (คำศัพท์ทางหมากล้อม เป็นวิธีการฝึกเล่นหมากล้อมอย่างหนึ่ง โดยให้ฝ่ายหนึ่งเคลื่อนไหวในพื้นที่ที่กำหนดก่อน แล้วจะต้องฆ่าเป้าหมายให้ตายหรือไม่ก็ต้องช่วยให้รอด (จะเป็นตัวหมากของตัวเองหรือตัวหมากของฝ่ายตรงข้ามก็ได้) ให้ได้ภายในพื้นที่ที่กำหนดไว้) ที่หมื่นปีไม่เคยปรากฏมาก่อนในกำแพงเมืองปราณกระบี่นี้ ชนะได้ก็เพราะคนที่ถือเม็ดหมาก วางเม็ดหมากอย่างอำมหิต เข้มงวดไร้ปราณี ปฏิบัติต่อทั้งสองฝ่ายที่จู่โจมและป้องกันไม่ว่าจะเป็นเผ่าปีศาจหรือผู้ฝึกกระบี่ หรือแม้กระทั่งตัวเฉินเอง ก็ล้วนมองเป็นหมากตาย เป็นเหตุให้สุดท้ายสามารถหาโอกาสรอดชีวิตเสี้ยวหนึ่งมาจากในความตาย เลาะดึงเอาพลังต้นกำเนิดของเปลี่ยวร้างมาได้มากมาย
ตำแหน่งลูกศิษย์คนสุดท้ายสายเหวินเซิ่งของเฉินผิงอันนั้น เมื่ออยู่ในสายตาของเหล่าอริยะปราชญ์ผู้กล้าทั้งหลายที่มีคุณสมบัติเข้าร่วมการประชุมแล้ว กลับกลายเป็นว่าไม่ได้สะดุดตาถึงเพียงนั้น ถึงขั้นที่ว่าบางทีอาจยังสู้สถานะ ‘คู่รักของหนิงเหยา’ ไม่ได้ด้วยซ้ำ
เพิ่งจะอายุสี่สิบต้นๆ ก็เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบแล้ว และยังเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางด้วย
มือกระบี่หนุ่มที่บุกเข้ามาในสายตาของเหล่าผู้คนบนยอดเขาไพศาลเป็นครั้งแรกผู้นี้ อยู่ที่นี่ ภายใต้สายตาจับจ้องของคนมากมาย เขามีสีหน้าเป็นธรรมชาติ เห็นได้ชัดว่าสุขุมเยือกเย็นอย่างยิ่ง
เทพใหญ่แห่งภูเขาสุ้ยซานเรือนกายกำยำบึกบึน สวมเสื้อเกราะสีทอง สองมือค้ำยันกระบี่ ดวงตาสีทองคู่นั้นกำลังมองประเมินเฉินผิงอัน
ในอดีตก็เป็นเจ้าเด็กนี่ที่อยู่ดีๆ ก็ส่งกระบี่ผ่าตราผนึกของภูเขาสุ้ยซาน ทำให้เกิดเสียงอุทานอย่างตกตะลึงและคำวิพากษ์วิจารณ์ไม่น้อย แล้วยังถูกพวกชอบสอดรู้สอดเห็นบนภูเขาเอาไปคาดเดากันร้อยแปด
ฮว่อหลงเจินเหรินลูบหนวดยิ้ม เจ้าตัวดี ไม่ได้เจอกันแค่ไม่กี่ปี กลับมีมาดองอาจสง่างาม ใจกว้างผ่าเผยจนเกือบจะไล่ตามซานเฟิงได้ทันแล้ว
เทพเซียนผู้เฒ่าอวี๋เสวียนที่สวมชุดม่วงเส้นผมขาวโพลนเกาหู ก่อนหน้านี้ถูกซิ่วไฉเฒ่ารั้งชายแขนเสื้อเอาไว้ไม่ยอมให้เดินหนี ต้องฟังอีกฝ่ายพล่ามอยู่ข้างหูจนหูเกือบแฉะ เขากลัวแล้วจริงๆ แต่ถึงแม้ซิ่วไฉเฒ่าจะโม้น้ำลายแตกฟอง ทว่าเหตุผลข้อหนึ่งในนั้นก็ถือว่ากล่าวได้อย่างเป็นกลางยิ่ง ก็เหมือนสายเต๋าของเขาอวี๋เสวียน คานบนตรงเป๋งเช่นนี้ คานล่างไม่มีทางเอียงไปอย่างไรได้แน่ ถ้าอย่างนั้นคู่อาจารย์และศิษย์อย่างเฉินผิงอันและเผยเฉียนก็ยิ่งต้องเป็นหลักการเดียวกันนี้ อวี๋เสวียนครุ่นคิดถึงสงครามในเกราะทองทวีปปีนั้นอย่างละเอียด การกระทำของแม่นางน้อยที่มัดผมมวยทรงกลมไม่อาจหาข้อบกพร่องได้แม้แต่น้อยจริงๆ นี่ทำให้อวี๋เสวียนมองภูเขาลั่วพั่วที่เป็นสำนักแห่งใหม่ของแจกันสมบัติทวีปสูงขึ้นไปอีกอย่างเลี่ยงไม่ได้ คิดว่าก่อนจะกลับไปยังธารดวงดาวนอกฟ้า สามารถออกคำสั่งให้ศิษย์ลูกศิษย์หลานและพื้นที่มงคลบ้านตนทำการค้าเล็กๆ น้อยๆ กับภูเขาลูกนั้นได้
เพราะถึงอย่างไร ‘เจิ้งเฉียน’ ก็เคยบอกว่า อาจารย์พ่อของนางเลื่อมใสฝูลู่อวี๋เซียนอย่างตนมาก ดูท่าเฉินผิงอันผู้นี้อายุไม่มาก แต่สายตากลับโชกโชนเฉียบคม มิน่าเล่าถึงเป็นอิ่นกวานได้
ตั้นตั้นฮูหยินแห่งหลุมน้ำลู่กลับคิดไปถึงเด็กหนุ่มชุดขาวที่บอกว่าตัวเองคือลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจของคนผู้นี้ ยามที่ทำการค้าขึ้นมาก็ช่างสมกับเป็นผู้เชี่ยวชาญ คลังเก็บไข่มุกฉิวบ้านตนถูกอีกฝ่ายกวาดเอาไปจนเกลี้ยง นางสามารถคาดการณ์ได้เลยว่า วันหน้าไม่ว่าจะหลอมเป็นชุดกระโปรงมังกรสาวเซียงจวินซึ่งเป็นชุดคลุมอาคม หรือเป็นสร้อยข้อมือไข่มุกบนฝ่ามือที่ผู้ฝึกตนหญิงชื่นชอบ ภูเขาลั่วพั่วไม่กล้าฮุบกิจการตั้งตัวเป็นใหญ่เพียงฝ่ายเดียว แต่อย่างน้อยที่สุดก็สามารถผูกขาดที่มาของกระโปรงเซียงจวินและกำไลไข่มุกได้ครึ่งหนึ่งเลยกระมัง?
ฝูเซิ่งอาจารย์ผู้เฒ่า อันที่จริงเคยได้พบเจอกับคนหนุ่มผู้นี้มาก่อนนานแล้ว ก็คือที่สวนสิงโตสกุลหลิ่วแคว้นชิงหลวนแจกันสมบัติทวีป
สายบุ๋นสายนี้ของเขาศึกษาเรื่องสามสุสานห้าคัมภีร์ (ชื่อหนังสือในยุคโบราณ) อย่างลึกซึ้ง ในสายบุ๋นทั้งหลายของลัทธิขงจื๊อ ถือว่าเป็นสายที่ศึกษาเรื่องโบราณ เพียงแต่ว่าแตกกิ่งก้านสาขาไปไม่มาก ประเด็นสำคัญคือการสืบทอดค่อนข้างกระจัดกระจาย สถานศึกษาใหญ่สามแห่งและเจ็ดสิบสองสำนักศึกษา มีเพียงความรู้ของสำนักศึกษาสามแห่งเท่านั้นที่บูชาฝูเซิ่งเป็นหลัก แต่หากจะพูดถึงเรื่องทั่วๆ ไป การให้อรรถาธิบายความหมายของคำศัพท์โบราณ เสียงสัมผัส การจำแนกวิธีการประกอบตัวอักษร ฝูเซิ่งก็ถือว่าเป็นบรรพบุรุษผู้บุกเบิกภูเขาท่านหนึ่ง เพียงแต่ว่าสถานะนี้ไม่เคยได้รับการยอมรับจากสายดั้งเดิมของศาลบุ๋นลัทธิขงจื๊อ ยกตัวอย่างเช่นเส้าหลิงสวี่จวินที่ ‘การจำแนกวิธีการประกอบตัวอักษรเป็นอันดับหนึ่งในโลกหล้า’ ผู้นั้น ก็เป็นแค่สหายรักของฝูเซิ่งเท่านั้น ทั้งสองฝ่ายไม่ได้มีการสืบทอดจากสำนักเดียวกัน และสวี่เส้าหลิงผู้นี้ก็คืออาจารย์ตามความหมายที่แท้จริงของสวี่ป๋าย ทว่าจนกระทั่งก่อนจะมาเข้าร่วมการประชุมคราวนี้ ตอนที่เล่นหมากล้อมอยู่บนภูเขาอ๋าวโถว สวี่ป๋ายถึงเพิ่งจะรู้ว่าอาจารย์ของโรงเรียนในบ้านเกิดที่มาดูการเล่นหมากล้อม ครูผู้สอนหนังสือที่ยืนอยู่ข้างกายเจ้าประมุขคนใหม่ของสกุลเฉินผู้รอบรู้แห่งทักษินาตยทวีปก่อนหน้านี้ แท้จริงแล้วถึงกับเป็นเส้าหลิงสวี่จวินผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือ
ข้างกายฝูเซิ่งคือรองผู้อำนวยการสถานศึกษาจี้เซี่ยในปัจจุบัน อริยะปราชญ์ลัทธิขงจื๊อคนหนึ่งที่มีโฉมหน้าของวัยกลางคน เคยเป็นผู้ดูแลหลักในโรงเรียนหงตูเหมิน เพิ่งจะย้ายมาเป็นรองผู้อำนวยการสถานศึกษาได้แค่ไม่กี่ปี ฝูเซิ่งหันหน้าไปยิ้มพูดกับเขา “คิดไม่ถึงว่าจะมีวันนี้ใช่หรือไม่?”
รองผู้อำนวยการสถานศึกษาคนนั้นพยักหน้า “คิดไม่ถึงจริงๆ”
ฮูหยินภูเขาชิงเสินมองไปยังคนหนุ่มผู้นั้นด้วยสายตาอ่อนโยน แม้ว่ารอยยิ้มจะบางเบา แต่สีหน้าเพียงแค่นี้ก็นับว่าหาได้ยากแล้ว นางอาศัยช่องทางมากมายทำให้ได้รู้จักคนผู้นี้ ฉุนชิงลูกศิษย์ที่กลับมาจากการหาประสบการณ์ก็เคยพูดถึงชุยตงซาน บอกว่าเป็นลูกศิษย์ของคนผู้นั้น และยังมีหม่าขู่เสวียนแห่งแจกันสมบัติทวีป โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝ่ายหลัง ในฐานะหนึ่งในสิบตัวสำรอง นิสัยของเขาดุร้ายเหี้ยมโหดอย่างยิ่ง ทยอยเอาชนะเซอเยว่ ชุนฉิงและสวี่ป๋าย ไม่รู้ว่าทำไมพอเจอกับฉุนชิงที่เป็นลูกศิษย์ของนาง หม่าขู่เสวียนถึงได้ทิ้งประโยคนอกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเฉินผิงอันเอาไว้ว่า นังหนูน้อย เรียนวิชาหมัดอะไร แม้แต่ถือรองเท้าให้เจ้าคนแซ่เฉินก็ยังไม่คู่ควร วันหน้าตั้งใจฝึกวิชาให้ดีไปเถอะ
นอกจากนั้นทุกวันนี้คนทั้งถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ต่างก็รู้ว่าคนหนุ่มที่มีฉายาว่า ‘เถ้าแก่รอง’ ตอนอยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่ได้อาศัยแผ่นไม้ไผ่ไม่กี่แผ่นมาขายเหล้าภูเขาชิงเสิน ขายอย่างไม่ละอายใจแม้แต่น้อย ทว่าพวกผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่กลับชอบกันอย่างมาก ชอบมาถือถ้วยเหล้านั่งยองดื่มอยู่ข้างทาง ทั่วทั้งใต้หล้า คาดว่าคงมีเพียงร้านเหล้าเล็กๆ แห่งนั้นเท่านั้นที่กินผักดองแกล้มกับเหล้าภูเขาชิงเสิน เป็นบัณฑิตที่เคยเดินทางไกลไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่เช่นเดียวกัน ทว่ากลับแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน
จวี้จื่อคนปัจจุบันของสำนักโม่กลับไม่รู้สึกสงสัยในคำกล่าวของซิ่วไฉเฒ่าที่บอกว่าลูกศิษย์คนสุดท้ายของเขาให้ความสนใจกับสามเปี๋ยโม่ (หมายถึงสำนักโม่สายอื่นที่ไม่ใช่สำนักโม่สายแท้ดั้งเดิม) แล้วยังเคยศึกษาเรื่องของนักโต้วาทีและเรื่องราวในประวัติศาสตร์สิบเรื่อง เพียงแต่ว่าเรื่องอื่นๆ อย่างเช่นอะไรที่บอกว่าลูกศิษย์คนนั้นของข้าอายุน้อยๆ ก็เลื่อมใสในทฤษฎีการโต้แย้งอภิปรายของสำนักโม่แล้ว แล้วยังศึกษาอย่างลึกซึ้ง อะไรที่บอกว่าใช้คำนิยามมาสะท้อนสิ่งที่มีอยู่จริง จำแนกสิ่งของประเภทเดียวกันให้อยู่ด้วยกัน สายตาเฉียบคมไม่เหมือนใคร ไม่พ่ายแพ้ให้แก่ผู้มีความรู้คนใดในสามสายของสำนักโม่พวกเจ้าเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำกล่าวที่ว่าเงาของนกบินกับนกบินล้วนเหมือนกัน ต่างก็ไม่ขยับเขยื้อน ที่เกือบจะสอดคล้องกันอยู่ไกลๆ มีลางของการบรรลุมรรคาที่มองน้ำก็เห็นเงาแล้ว ดังนั้นวิชาอภินิหารของกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่งของลูกศิษย์ข้า ต้องบอกว่าคำกล่าวนี้ของสำนักโม่มีคุณูปการอย่างมาก ดังนั้นอีกเดี๋ยวเจ้าก็ยิ่งควรจะไปอยู่ข้างกายลูกศิษย์ของข้า คนหนึ่งเอ่ยขอบคุณ คนหนึ่งรับคำขอบคุณ ก็ถือเป็นเรื่องเล่าที่งดงามเรื่องหนึ่ง สหายต่างวัยนี่นะ หรือจะเรียกกันเป็นพี่เป็นน้องก็ยังได้ เจ้าอย่าไปมัวสนเรื่องลำดับอาวุโสอะไรวุ่นวายพวกนั้นเลย…จวี้จื่อท่านนี้แค่รับฟังคำพูดไร้แก่นสารเลื่อนเปื้อนยามที่ซิ่วไฉเฒ่าดื่มเหล้าเมามายเข้าหูแล้วปล่อยผ่านไปเท่านั้น
เผยเปยหันหน้าไปยิ้มบางๆ ให้เฉาสือ “เป็นอย่างไร?”
เฉาสือเอ่ย “สามารถถามหมัดแบ่งแพ้ชนะกันสักครั้งได้ เงื่อนไขก็คือเฉินผิงอันต้องเต็มใจด้วย”
ความสูงต่ำของวิชาหมัดระหว่างคนวัยเดียวกันสองคน อันที่จริงไม่ต้องถามหมัด เฉาสือคือกลับสู่ความจริงขั้นสูงสุดของขอบเขตปลายทางแล้ว ทว่าเฉินผิงอันยังเป็นแค่ปราณโชติช่วงสมบูรณ์แบบของขอบเขตสิบเท่านั้น
ทว่าเฉาสือกลับบอกว่าหากคิดจะแบ่งแพ้ชนะ จำเป็นต้องถามหมัด
ระหว่างผู้ฝึกยุทธเต็มตัวสองคนที่ระดับความสูงของวิชาหมัดสูสีกัน แทบจะไม่เคยเอ่ยคำพูดเกรงใจตามมารยาท ไม่พิถีพิถันเรื่องความสุภาพสง่างามระหว่างการคบหากันของวิญญูชน ไม่มีน้ำใจและความปรองดองจอมปลอม คนหนึ่งถามหมัดอย่างเต็มกำลัง คนหนึ่งรับหมัดอย่างเต็มฝีมือ ก็คือการให้ความเคารพที่ใหญ่ที่สุดของทั้งสองฝ่าย นอกจากนี้เวลาพูดคุยกันยามปกติ ส่วนมากก็มีทั้งดีและไม่ดีปะปนกัน ก็เหมือนตอนที่หวังฟู่ซู่พูดถึงหลี่เอ้อ สามารถพูดโอ้อวดอย่างไม่ละอายว่า ‘ไม่อย่างไร’ แต่ก็เป็นการยอมรับว่าตัวเองฝีมือสู้คนอื่นไม่ได้ และยังมีในอดีตนานกว่านั้นตอนที่ชุยเฉิงอยู่บนชั้นสองของเรือนไม้ไผ่ บอกว่าเป้าประสงค์ของปณิธานหมัดวิชาหมัดเขย่าขุนเขาสูงมาก แต่ก็พูดด้วยว่ากระบวนท่าหมัดสามัญธรรมดาอย่างยิ่ง
เผยเปยเอ่ย “หมัดแบ่งแพ้ชนะ ไม่มีอะไรน่าลุ้นสักเท่าไร”
จู่ๆ เฉาสือก็ถอนหายใจ มองฝักไม้ไผ่ของกระบี่ประจำตัวอาจารย์ตัวเอง เอ่ยว่า “หากไม่ผิดไปจากที่คาด อาจารย์จะต้องถูกถามหมัดแล้ว”
เผยเปยยิ้มเอ่ย “ติดหนี้ต้องใช้คืน ติดหมัดต้องคืนด้วยหมัด”
ซ่งจ่างจิ้งมีสีหน้าเฉยเมย เพียงแค่คิดถึงเด็กหนุ่มสวมรองเท้าสานในเมืองเล็กของปีนั้นที่เคยเอาเงินเหรียญทองแดงแก่นทองสามถุงมาหาตน ขอให้ ‘ใต้เท้าซ่ง’ เช่นเขาช่วยทวงความยุติธรรมให้ เด็กหนุ่มรองเท้าเตะของตรอกหนีผิงในเวลานั้นคิดอยากจะขอความเป็นธรรมอย่างที่ใจต้องการ ก็ได้แต่ขอร้องคนอื่น แล้วยังต้องมอบเงินให้
ทว่าลูกศิษย์เตาเผามังกรในเวลานั้น ยามที่พูดคุยเรื่องการค้ากับคนอื่นกลับมีความสุขุมเยือกเย็นมากแล้ว กล้าสละชีวิตไม่กลัวตาย แต่ก็ไม่ทำอะไรโดยใช้อารมณ์ หลังจากนั้นเด็กหนุ่มที่สะพายคันธนูร่วมมือกับหนิงเหยาทุ่มชีวิตต่อสู้กับ ‘บรรพบุรุษย้ายภูเขา’ ของภูเขาตะวันเที่ยง อันที่จริงซ่งจ่างจิ้งล้วนเห็นอยู่ในสายตาตั้งแต่ต้นจนจบ ทว่าการที่เฉินผิงอันเดินทีละก้าวจนมาถึงตำแหน่งอย่างทุกวันนี้ได้ ซ่งจ่างจิ้งก็ยังรู้สึกประหลาดใจอยู่มาก
——