กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 787.1 ถ้าอย่างนั้นก็ตีกัน
สองใต้หล้าคุมเชิงกันอยู่ไกลๆ
การที่สามารถมีภาพขุนเขาสายน้ำที่ยิ่งใหญ่อลังการนี้ปรากฎขึ้นมาได้ คือบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำที่ใหญ่ที่สุดในรอบเวลาหมื่นปีซึ่งหลี่เซิ่งเปิดขึ้นด้วยตัวเอง
ทุกวันนี้ใต้หล้าไพศาลกับใต้หล้าเปลี่ยวร้างอาศัยประตูใหญ่สองบานที่เป็นเศษซากหลงเหลืออยู่ในภูเขาห้อยหัวของปีนั้น และกุยซวีใหญ่สี่แห่งบนมหาสมุทรมาติดต่อกัน
แน่นอนว่าผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจร้อยกว่าคนของใต้หล้าเปลี่ยวร้างไม่อาจเดินทางมาเยือนศาลบุ๋นในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางได้ เผ่าปีศาจทั้งหมดเพียงแค่มารวมตัวกันที่ภูเขาทัวเยว่ ที่นั่นก็มีการประชุมของบุคคลบนยอดเขาเกิดขึ้นเช่นกัน
ม้วนภาพเปิดออก ทั้งสองฝ่ายประชุมกันอยู่ไกลๆ “ต่อจากนี้จงพูดคุยกันให้ดี หากเจรจากันไม่สำเร็จค่อยพูดกันเรื่องอื่น” นี่เป็นข้อเสนอที่หลี่เซิ่งมีต่อภูเขาทัวเยว่
แล้วก็มีเพียงหลี่เซิ่งที่สามารถผลักดันให้เรื่องนี้สำเร็จได้
นี่ไม่เพียงแต่มีสาเหตุมาจากขอบเขตที่สูงของหลี่เซิ่งเท่านั้น ผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่คนใดก็ตามในใต้หล้าแห่งนี้ นอกจากบัณฑิตที่มีอันดับสูงเป็นที่สองในศาลบุ๋นท่านนี้แล้ว ไม่ว่าใครก็ถูกกำหนดมาแล้วว่ามิอาจทำเรื่องนี้ให้สำเร็จได้
ยกตัวอย่างเช่นใต้หล้ามืดสลัวจะจัดงานประชุมขึ้นมาครั้งหนึ่ง เต๋าเหล่าเอ้ออวี๋โต้วนั่งบัญชาการณ์ป๋ายอวี้จิง เชื้อเชิญผู้ฝึกตนบนยอดเขาของใต้หล้ามา สายเซียนกระบี่ของซุนไหวจงแห่งอารามเสวียนตูใหญ่ รวมไปถึงนักพรตชั้นสูงกลุ่มหนึ่งที่มีตำหนักสุ้ยฉูของอู๋ซวงเจี้ยงเป็นหนึ่งในนั้นต้องไม่มีทางสนใจอย่างแน่นอน ไม่ใช่ว่าพวกเขามองไม่เห็นป๋ายอวี้จิงอยู่ในสายตาจริงๆ แต่เป็นเพราะไม่รู้สึกว่าผู้ไร้เทียมทานที่แท้จริงคนนั้นมีคุณสมบัติมากพอจะออกคำสั่งแก่ใต้หล้าได้ ส่วนลู่เฉินศิษย์น้องของอวี๋โต้วก็ยิ่งไม่มีทางทำได้ แล้วนับประสาอะไรกับที่เจ้าลัทธิสามของป๋ายอวี้จิงท่านนี้เกิดมาก็ปวดหัวกับเรื่องของ ‘กิจธุระ’ พวกนี้เป็นที่สุด คือคนขี้เกียจที่ได้รับการยอมรับว่า ‘หากนั่งได้จะไม่ยอมยืน หากนอนได้จะไม่ยอมนั่ง’ เด็ดขาด
ใบหน้าของเฝ่ยหรานประดับยิ้ม สายตากวาดมองผู้คนของไพศาลหนึ่งรอบเร็วๆ อริยะปราชญ์ลัทธิขงจื๊อ ผู้กล้าแห่งใต้หล้า เมธีร้อยสำนัก อยู่บนเส้นนั้นก็เหมือนธาราสีเงินที่หล่นลงพื้น กลุ่มดาวส่องแสงพร่างพราว ภาพบรรยากาศน่าตื่นตาตื่นใจ
เฉินผิงอันเองก็ทำเช่นเดียวกัน เส้นสายตากวาดผ่านผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจของเปลี่ยวร้างร้อยกว่าคนอย่างรวดเร็ว
อีกทั้งการกระทำที่ไม่เปิดเผยร่องรอยของทั้งสองฝ่ายนี้ ยังมีจุดที่สอดคล้องกันอย่างลี้ลับ ยกตัวอย่างเช่นตอนที่สายตาของเฉินผิงอันกวาดผ่านกลุ่มของเผ่าปีศาจ เขาได้สังเกตดวงตาแต่ละคู่ของผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจเหล่านั้นเป็นพิเศษ
เฝ่ยหรานเองก็ทำเช่นเดียวกัน คนบนเส้นทางเดียวกันสองคนต่างก็เห็นดวงตาเป็นกระจก ใช้กระจกส่องวัตถุ
ดังนั้นทั้งสองฝ่ายนอกจากจะประเมินฝ่ายตรงข้ามอย่างละเอียดไปรอบหนึ่งแล้ว ในสายตาของเฝ่ยหรานยังมองเห็นสีหน้าท่าทางของผู้ฝึกตนในใต้หล้าเปลี่ยวร้างของบ้านตนด้วย ส่วนเฉินผิงอัน จุดที่เขาสนใจอย่างแท้จริงกลับเป็นรูปโฉมของผู้ฝึกตนแห่งไพศาลที่เข้าร่วมการประชุม
สำหรับขนบธรรมเนียมและนิสัยใจคอของคนในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง เฉินผิงอันคุ้นเคยเป็นอย่างดี เพราะนั่งบัญชาการณ์คฤหาสน์หลบร้อนมานานหลายปี เปิดอ่านเอกสารคดีลับมานับไม่ถ้วน ถึงขั้นสามารถพูดได้ว่าความเข้าใจที่เฉินผิงอันมีต่อใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ไม่มีใครที่จะเหนือไปกว่าเขาอีกแล้ว
ช่วงเวลาระหว่างนี้เฉินผิงอันเพียงแค่สบตากับเฝ่ยหรานแวบเดียว แล้วก็ไม่มีการสื่อสารทางสายตาไปมากกว่านั้น
เจ้านครจักรพรรดิขาวกับเซียนกระบี่โซ่วเฉินต่างก็สังเกตเห็นความคิดของเฝ่ยหรานและอิ่นกวานหนุ่มที่อยู่ตรงข้ามกัน
เจ้าตำหนักเฟยเซียนอย่างไหวอินสอดสองมือซ่อนไว้ในชายแขนเสื้ออีกครั้ง นับนิ้วทำมุทราคิดคำนวณไม่หยุด
อริยะด้านการวาดภาพคนนั้น เวลานี้ไม่สะดวกจะตั้งโต๊ะวาดภาพ แต่กลับจดจำภาพแห่งการคุมเชิงกันที่หมื่นปีไม่เคยมีปรากฎมาก่อนนี้ไว้ในใจเรียบร้อยแล้ว เพราะติดที่กฎเกณฑ์ฟ้าดินของหลี่เซิ่ง ไม่ว่าใครก็ไม่อาจร่ายเวทคาถาได้ตามใจชอบได้ จะมองเห็นตำแหน่งของทุกคนในฝั่งตัวเองยืนเรียงกันเป็นแถวได้ชัดเจน นั่นก็ได้แต่รอให้งานประชุมสิ้นสุดลงแล้วเท่านั้น จะต้องรีบหันตัวถอยหลังไปหลายก้าว จดจำตำแหน่งที่ทุกคนในงานประชุมศาลบุ๋นยืนให้ชัดเจน ถึงเวลานั้นกลับไปยังที่พักบนเกาะยวนยาง ดื่มเหล้าภูเขาชิงเสินก่อนหนึ่งกา แล้วค่อยดื่มเหล้าหมักร้อยบุปผาหนึ่งกา รอให้เริ่มเมากรึ่มๆ แล้วค่อยจรดพู่กันวาดภาพ
อดีตสิบสี่บัลลังก์ราชาแห่งใต้หล้าเปลี่ยวร้าง
บรรพบุรุษใหญ่ภูเขาทัวเยว่ โจวมี่มหาสมุทรความรู้ หลิวชาจอมยุทธพเนจรเคราดก ป๋ายอิ๋ง หยางจื่อ เฟยเฟย หยวนโส่ว เหย้าเจี่ย หวงหลวน เจ้าอารามดอกบัว หนิวเตา เชี่ยอวิ้น หลงจวิน อู่เยว่
เกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวงไปนานแล้ว บ้างก็รบตาย บ้างก็หายสาบสูญ บ้างก็ถูกศาลบุ๋นกักขังเอาไว้ ทุกวันนี้จึงมีคนหน้าใหม่เพิ่มมาเยอะมาก
ปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ที่เป็นคนหน้าเดิม เหลืออยู่แค่สามคนเท่านั้น
หยวนโส่วบรรพบุรุษของเผ่าพันธุ์ย้ายภูเขายืนเหยียบอยู่บนกระบี่บิน บนบ่าแบกกระบองยาว สายตามืดทะมึนจ้องเขม็งมายังซ่งจ่างจิ้งที่อาศัยโชคชะตาบู๊ของหนึ่งทวีปก้าวเท้าหนึ่งเหยียบลงไปบนขอบเขตสิบเอ็ดของวิถีวรยุทธ ตอนที่อยู่แจกันสมบัติทวีปยังโอ้อวดบารมีได้ ถ้าอย่างนั้นก็มาเยือนใต้หล้าเปลี่ยวร้างสักรอบไหมเล่า?
เฟยเฟยผู้ครองลำคลองเย่ลั่วรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย แม่นางน้อยที่เคยประลองเวทคาถาวิชาน้ำกับตนที่นครมังกรเฒ่า ถึงกับไม่ได้เข้าร่วมการประชุมครั้งนี้? ไม่มีคุณสมบัติหรือ ไม่น่าจะใช่กระมัง? ในฐานะมังกรที่แท้จริงเพียงหนึ่งเดียวบนโลก หากอยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ไม่ว่าอย่างไรก็น่าจะได้ยึดครองตำแหน่งหนึ่งของบัลลังก์ราชา สามารถเข้ามาแทนตำแหน่งที่ว่างของนังหย่างจื่อผู้นั้นได้พอดี ดังนั้นนางจึงเคยพูดคุยกับหยวนโส่วเป็นการส่วนตัวมาก่อน รู้สึกว่ามีโอกาสเป็นไปได้มากที่แม่หนูน้อยนั่นจะอาศัยกุยซวีแห่งหนึ่งมาเยือนใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่มีพันธนาการน้อยยิ่งกว่า ดังนั้นนางกับหยวนโส่วจึงเตรียมการที่จะร่วมแรงกันดักสังหารนางเอาไว้แล้ว เพียงแต่รอคอยอย่างยากลำบาก รอกระทั่งภูเขาทัวเยว่มีการประชุม นางถึงจะได้ออกมาจากอาณาเขตของกุยซวีแห่งหนึ่ง
ปีศาจใหญ่ที่ใช้นามแฝงว่าอู่เยว่ มีสามเศียรหกกร นั่งอยู่บนเบาะรองนั่งสีทองใบหนึ่ง มันเป็นทั้งผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานขั้นสูงสุด แล้วก็ยังเป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวขอบเขตปลายทางเทพมาเยือนคนหนึ่งด้วย
บัลลังก์ราชาคนอื่นๆ
ตอนที่อยู่บนสนามรบของกำแพงเมืองปราณกระบี่ เจ้าอารามดอกบัวถูกต่งซานเกิงสังหารอยู่กลางดวงจันทร์ดวงหนึ่ง และเจ้าอารามดอกบัวก็เป็นปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ตนแรกที่ร่างดับมรรคาสลาย
หวงหลวนถูกอาเหลียงร่วมมือกับเหยาชงเต้าปลิดชีพจนชีวิตหายไปเกินครึ่ง ขอบเขตถดถอยมาอยู่ที่ก่อกำเนิด เท่ากับว่าตายไปแล้วหนึ่งครั้ง ภายหลังหวงหลวนที่ต่อให้เปลี่ยนเนื้อหนังมังสาใหม่ หลบซ่อนตัวอย่างยากลำบาก แต่กระนั้นก็ยังถูกมหาสมุทรความรู้โจวมี่ลากตัวออกมาแล้วหลอมเป็นส่วนหนึ่งของมหามรรคาตัวเองอย่างลับๆ
เหย้าเจี่ย ตอนที่อยู่บนกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้สังหารอริยะลัทธิเต๋าที่นั่งบัญชาการณ์ม่านฟ้า เจ้านครเสินเซียวแห่งป๋ายอวี้จิง ตอนอยู่ที่สนามรบถ้ำซานสุ่ยของฝูเหยาทวีปก็สังหารโจวเสินจือที่อยู่ในอันดับที่เก้าของสิบคนแห่งแผ่นดินกลาง
ผลคือถูกป๋ายเหย่ที่ออกจากใต้หล้าห้าสีหวนกลับมายังไพศาลปล่อยสามกระบี่สังหารทิ้ง สุดท้ายก็ถูกโจวมี่มหาสมุทรความรู้ ‘กิน’ ไปอย่างลับๆ เช่นเดียวกัน
ป๋ายอิ๋งและเชี่ยอวิ้น ตอนที่อยู่ในศึกของฝูเหยาทวีปก็ถูกป๋ายเหย่ที่ได้ครอบครองกระบี่เซียนสี่เล่มสังหารอยู่ท่ามกลางแม่น้ำแห่งกาลเวลา
แต่ว่าปีศาจใหญ่บนบัลลังก์โครงกระดูก เดิมทีก็เป็นจิตหยางกายนอกกายของโจวมี่อยู่แล้ว และปีศาจใหญ่เชี่ยอวิ้นที่มีฐานะเป็นศิษย์พี่ของเฝ่ยหราน ก็ได้ถูกโจวมี่จับผสานมรรคาตั้งแต่ตอนอยู่ใบถงทวีปแล้ว
หลงจวินที่อยู่บนกำแพงเมืองปราณกระบี่อีกครึ่งหนึ่ง เพราะพยายามจะขัดขวางปลายกระบี่ท่อนหนึ่งของกระบี่เซียนไท่ป๋าย เนื่องจากข้ามผ่านหัวกำแพงมา จึงถูกกระบี่หนึ่งของเฉินชิงตูสังหาร
หลิวชาที่ขอบเขตถดถอยจากขอบเขตสิบสี่ถูกกักตัวอยู่ในสวนกงเต๋อ
หย่างจื่อได้ถูกหลิ่วชีขวางทางไว้ก่อน จากนั้นจึงถูกศาลบุ๋นกักตัวอยู่ท่ามกลางซากปรักกลุ่มภูเขาไฟแห่งหนึ่ง เล่าลือกันว่าในยุคบรรพกาลอันห่างไกลพวกมันเคยเป็นเตาหลอมโอสถที่มรรคาจารย์เต๋าหลอมขึ้นเองกับมือ
ปีศาจใหญ่หนิวเตาหายไปไม่รู้ร่องรอย อันที่จริงเสื้อเกราะสีทองบนร่างของมันได้ถูกทำลายลงแล้ว และถูกมันหลอมเป็นง้าวใหญ่ทะลุเมือง เพียงแต่ว่ามันทั้งไม่ได้กลับไปยังใต้หล้าเปลี่ยวร้าง แล้วก็ไม่ถูกศาลบุ๋นกักตัวเอาไว้ด้วย
บรรพบุรุษใหญ่ภูเขาทัวเยว่ ตอนที่อยู่บนร่องเจียวหลงได้คุมเชิงกับปรมาจารย์มหาปราชญ์ที่เปิดหนังสืออ่านอยู่บนยอดเขาสุ้ยซาน มหามรรคาของทั้งสองฝ่ายต่างก็ถูกทำลายจนเสียหาย สุดท้ายผู้เฒ่าชุดเทาได้แต่ทุ่มสุดชีวิตสร้างความปั่นป่วนให้กับฟ้าอำนวย และเกือบจะช่วยสิ่งศักดิ์สิทธิ์นอกฟ้าร่วมแรงกันทำลายฟ้าดินที่ปกป้องหลี่เซิ่งได้สำเร็จ
โจวมี่เดินขึ้นฟ้าจากไป
ท่ามกลางราชาบนบัลลังก์กลุ่มใหม่ คนที่สามารถสยบฝูงชนของใต้หล้าเปลี่ยวร้างได้จริง อันที่จริงมีไม่มาก เซียวสวิ้นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบสี่ เฝ่ยหราน โซ่วเฉิน นับว่ายังดีหน่อย คนอื่นๆ ที่ต่อให้จะเป็นกวานเซี่ยง ฉงกวงที่ประสบการณ์และคุณความชอบทางการสู้รบต่างก็มากพอ ขอบเขตก็ถือว่าใช้ได้ ก็ยังไม่อาจทำให้คนยอมรับนับถือจากใจจริงได้มากนัก ส่วนคนอื่นๆ ที่เหลือก็ยิ่งทำให้ผู้ฝึกตนบนยอดเขาของเผ่าปีศาจไม่เห็นอยู่ในสายตา ก็แค่ลากเอามารวมให้ครบจำนวน ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่บัลลังก์ราชาของใต้หล้าเปลี่ยวร้างพวกเราไร้ค่าถึงเพียงนี้? แทนที่จะเอามาเสริมตำแหน่งว่างอย่างมั่วซั่วก็ไม่สู้ปล่อยให้ตำแหน่งถูกเว้นว่างไว้ยังดีเสียกว่า รอแค่ให้มีผู้แข็งแกร่งบนยอดเขาสังหารเปิดเส้นทางเลือดเดินขึ้นมาสู่ยอดสูงสุดแล้วนั่งลงบนตำแหน่งเท่านั้น
น่าเสียดายที่แม่นางน้อยมัดผมแกละผู้นั้น ทุกวันนี้ก็ไม่รู้ว่าหายไปไหน แม้แต่จั่วโย่วก็ยังกลับมาศาลบุ๋นแล้ว แต่นางกลับยังไม่หวนคืนมายังใต้หล้าเปลี่ยวร้าง
ไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยของนางเซียวสวิ้น ต้องไม่ยอมเป็นราชาบนบัลลังก์ที่เป็นพวกเดียวกับเศษสวะทั้งหลายนี้แน่นอน นางจะต้องเล่นงานจนพวกที่อยู่ตำแหน่งรั้งท้ายยอมไสหัวลงไปจากบัลลังก์แต่โดยดี หากโชคไม่ดีก็อาจถูกนางฆ่าตายได้
เซียวสวิ้นที่กลับมายังใต้หล้าเปลี่ยวร้างกับเซียวสวิ้นที่ส่งกระบี่แลกเปลี่ยนกับจั่วโย่วในใต้หล้าไพศาล ยังคงไม่เหมือนกัน
ต่อให้เซียวสวิ้นจะไม่ได้เลื่อนสู่ขอบเขตสิบสี่ อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ นางก็ยังคงเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่สังหารปีศาจไปมากที่สุดในประวัติศาสตร์
ผู้ครองภูเขาทัวเยว่ เฝ่ยหราน
ปีศาจใหญ่สองตนที่อยู่ทางฝั่งซ้ายมือของเฝ่ยหรานล้วนเป็นผู้สืบทอดของบรรพบุรุษใหญ่ภูเขาทัวเยว่ เพียงแต่ว่าไม่เคยเข้าร่วมสนามรบสองแห่งทั้งที่กำแพงเมืองปราณกระบี่และใต้หล้าไพศาลมาก่อน
คนหนึ่งในนั้นคือสตรีงามสะคราญที่ถูกอาเหลียงเรียกว่า ‘พี่หญิงซินจวง’ นางกับศิษย์พี่รับผิดชอบคอยเฝ้าพิทักษ์ภูเขาทัวเยว่ นางเหลือบตามองเจ้าชาติสุนัขผู้นั้นก่อน จากนั้นค่อยมองฮูหยินแห่งภูเขาชิงเสิน งามก็งามอยู่ แต่กลับไม่ได้ชวนตะลึงพรึงเพริดอย่างที่คิดเอาไว้ ไม่สมกับคำเล่าลือ ส่วนสตรีที่สวมชุดปักลายร้อยบุปผาคนนั้น เกินครึ่งคงเป็นเจ้าแห่งบุปผาของพื้นที่มงคลร้อยบุปผาแล้ว นั่นก็ยิ่งทำให้นางรู้สึกสะอิดสะเอียน น่าเสียดายที่เชี่ยอวิ้นตายเร็วไปหน่อย และสงครามครั้งนี้ก็ไม่ได้คว้าชัยชนะ ไม่อย่างนั้นสตรีสองคนนี้ต้องไม่มีจุดจบที่ดีเป็นแน่
เซียนกระบี่โซ่วเฉิน ตาเดียว ในกล่องกระบี่เก็บกระบี่ไว้หกเล่ม สวมชุดคลุมอาคมสีเขียวมรกต ‘ซู่เจียวเลี่ยน’ ผู้ฝึกกระบี่เผ่าปีศาจที่มีชื่อเสียงเลื่องลือในกำแพงเมืองปราณกระบี่คนนี้ยืนอยู่ข้างกายโจวชิงเกาศิษย์น้องเล็ก
ในฐานะลูกศิษย์ใหญ่เปิดภูเขาของสายมหาสมุทรความรู้โจวมี่ โซ่วเฉินเพิ่งจะฝ่าทะลุคอขวดขอบเขตเซียเหรินมา เป็นเหตุให้เขาคือขอบเขตบินทะยานแล้ว
อันที่จริงมีหลายเรื่องที่อาจารย์ได้เตรียมทางหนีทีไล่ไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว
ยกตัวอย่างเช่นโอกาสในการฝ่าทะลุขอบเขตของตัวโซ่วเฉินเอง และยังมีการเดินขึ้นสู่ที่สูงและฝ่าทะลุขอบเขตของเฝ่ยหราน ใต้หล้าเปลี่ยวร้างในอนาคตร้อยปี โดยรวมแล้วควรจะทำเรื่องอะไรบ้าง
โซ่วเฉินเคยเข้าร่วมศึกสิบสามในอดีตมาก่อน ภายหลังเมื่ออิ่นกวานหนุ่มโผล่ขึ้นมาบนโลก กำแพงเมืองปราณกระบี่และใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็เริ่มมีคำกล่าว ‘ใต้โซ่วเฉินเหนืออิ่นกวาน’ แพร่หลายไปทั่ว
ข้างกายยังมีศิษย์น้องหญิงที่เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบอย่างหลิวป๋ายอยู่ด้วย คนอื่นๆ ที่อยู่ร่วมสำนักเดียวกับพวกเขาสามคนอย่างไฉ่อิ๋ง ถงเสวียน ถิงอิน อวี๋จ่าว ผู้ฝึกกระบี่เหล่านี้ต่างก็เดินขึ้นฟ้าจากไปพร้อมกับโจวมี่อาจารย์ผู้มีพระคุณของตนแล้ว
หลิวป๋ายผู้ฝึกกระบี่หญิงที่ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงได้ไม่ถูกโจวมี่อาจารย์ผู้มีพระคุณพาตัวไปด้วยมองคนชุดเขียวที่อยู่ฝั่งตรงข้ามสองครั้ง ระหว่างการมองครั้งแรกกับครั้งที่สองทิ้งระยะห่างกันอยู่บ้างเล็กน้อย
กวานเซี่ยงปีศาจใหญ่แห่งกระโจมเจี่ยจื่อ
ฉงกวงปีศาจใหญ่ที่สวมชุดคลุมอาคมสีแดงสด คือคู่ต่อสู้เก่าแก่ของผู้ฝึกกระบี่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ภายหลังอยู่บนสนามรบของใบถงทวีปยังรับผิดชอบล้อมโจมตีสำนักกุยหยก ประมือกับเจียงซ่างเจินอยู่หลายครั้ง แต่กลับไม่เคยประมือกับเหวยอิ๋งแห่งสำนักเจินจิ้งสำนักเบื้องล่างในเวลานั้นมาก่อน แต่ก็ถือว่ารู้จักเหวยอิ๋ง ดังนั้นเวลานี้จึงยิ้มเอ่ยกับเซียนกระบี่แห่งสำนักกุยหยกผู้นั้นว่า “เจียงซ่างเจินตายไปแล้วหรือ? ไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยของเขา ต่อให้ต้องคลานก็จะคลานมาที่ศาลบุ๋นให้จงได้ หรือว่าเกิดความขัดแย้งภายในสำนักกันเอง เลยถูกเจ้าเล่นงานจนตายไปแล้ว? หากใช่ล่ะก็ ก็ต้องเคารพที่เจ้าเป็นลูกผู้ชายคนหนึ่ง วันหน้าเจ้าก็คือแขกผู้มีเกียรติของข้าแล้ว หากไม่ใช่ ถ้าอย่างนั้นก็เป็นหมาเฝ้าบ้านตัวหนึ่งที่เจียงซ่างเจินเลี้ยงไว้สินะ? ถ้าอย่างนั้นก็ไม่น่าสนใจแล้ว เลียนแบบใครไม่เลียนแบบ ดันยืนกรานจะเลียนแบบใต้เท้าอิ่นกวานของพวกเรา”
เหวยอิ๋งยิ้มรับ
บัญชีครั้งนี้ จดจำเอาไว้แล้ว
ผู้ฝึกตนบนภูเขาของใต้หล้าเปลี่ยวร้างพวกนี้ เห็นได้ชัดว่าอยู่ในกฎเกณฑ์น้อยกว่า กริ่งเกรงน้อยกว่าพวกกลุ่มคนที่มาประชุมในศาลบุ๋น คนส่วนใหญ่เอียงหูกระซิบกระซาบพูดคุยกันเอง ชั่วพริบตานั้นภาษาถิ่นของแต่ละสถานที่จึงปะปนเข้าด้วยกัน ดูวุ่นวายไร้ระเบียบอย่างเห็นได้ชัด
เฝ่ยหรานที่สะพายกระบี่สวมชุดเขียวยกมือข้างหนึ่งขึ้น
เส้นตรงที่เดิมทีเต็มไปด้วยเสียเอะอะจอแจเริ่มค่อยๆ มีแนวโน้มว่าจะเงียบสนิท
แม้ว่าเฝ่ยหรานทำท่านั้นแล้วยังอยู่ไกลเกินกว่าคำว่าได้ผลทันตาเห็นมากนัก ทว่าสองข้างกายของเขาล้วนมีแต่ปีศาจใหญ่จอมป่าเถื่อนที่เป็นผู้พิชิตสถานที่แถบหนึ่ง สามารถเคารพกฎได้เช่นนี้ก็ถือว่าหาได้ยากมากแล้ว
นี่ทำให้ผู้ฝึกตนบนยอดเขากลุ่มของใต้หล้าไพศาลรู้สึกว่าการประชุมในวันนี้พูดคุยกันได้ยากมากแล้ว หรือควรจะพูดว่าเปลี่ยนมาเป็นไร้ความหมายแล้ว
เฝ่ยหรานยกมือขึ้นจัดระเบียบเสื้อผ้า ครั้นจึงคารวะหลี่เซิ่ง
นี่คงถือว่าเป็นการกระทำอย่างเป็นทางการอย่างแรกของกลุ่มผู้กล้าแห่งใต้หล้าเปลี่ยวร้างแล้ว
และก็เป็นบทนำของการประชุมครั้งนี้
มือกระบี่ชุดเขียวคนนี้ ทุกวันนี้คือเจ้าของภูเขาทัวเยว่ในนาม แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ใส่ใจแม้แต่น้อยว่าการกระทำนี้ของตัวเองจะส่งผลให้ปีศาจใหญ่ที่ดุร้ายยากจะกำราบบางส่วนในใต้หล้าเปลี่ยวร้างจดจำเป็นความแค้นหรือไม่
ส่วนเฝ่ยหรานเองก็ไม่ถือสาแม้แต่น้อยว่าโลกยุคหลังจะจดจำเรื่องนี้ พอพลิกเปิดปฏิทินเหลืองเก่าแก่แล้วจะกล่าวว่าเฝ่ยหรานก้มหัวแสดงความอ่อนแอถึงเพียงนี้หรือไม่
ปีนั้นตอนที่อยู่บนเรือข้ามฟากของท่าเรือใบท้อใบถงทวีป ต่อให้จะอยู่ข้างกายโจวมี่มหาสมุทรความรู้ เฝ่ยหรานก็ยังไม่ปกปิดความเคารพนับถือที่ตนมีต่อหลี่เซิ่งแม้แต่น้อย
เฝ่ยหรานที่อยู่ในสนามรบแห่งหนึ่ง นับตั้งแต่กำแพงเมืองปราณกระบี่เปิดฉากสงคราม ไปจนถึงกุยซวีกลายมาเป็นฉากปิด จำนวนครั้งที่เฝ่ยหรานลงมือมีน้อยจนนับนิ้วได้
แต่ก็เป็นผู้ฝึกกระบี่คนนี้เช่นเดียวกันที่พอหวนกลับมายังบ้านเกิดแล้ว อยู่ดีๆ ก็กลายมาเป็นเจ้าของภูเขาทัวเยว่คนที่สอง ภายใต้เงื่อนไขพิเศษ เขาได้หลอมโชคชะตาส่วนหนึ่งที่เรียกได้ว่ามีปริมาณมากมหาศาล รวมไปถึงคลังสมบัติลับยุทธโทปกรณ์ของภูเขาทัวเยว่ เฝ่ยหรานผู้ฝึกกระบี่ที่ก่อนหน้านี้แสร้งทำเป็นขอบเขตหยกดิบ แต่แท้จริงแล้วคือเซียนเหรินจึงได้พัฒนารุดหน้าไปอีกขั้น กระโดดพรวดเดียวก็กลายมาเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานใหม่เอี่ยมคนหนึ่ง ชวนให้คนตะลึงพรึงเพริด ทึ่งกันไปทั้งใต้หล้า
ใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่แต่ไหนแต่ไรมาล้วนเคารพผู้แข็งแกร่งเสมอ ได้ยึดหลักการเหตุผลข้อนี้ไว้เป็นจุดสูงสุดมานานแล้ว
ความขัดแย้งภายในอย่างลับๆ หลายครั้งของใต้หล้าไพศาล ก็เพราะว่าไม่มีผู้แข็งแกร่งบนยอดเขาของไพศาลยอมรับหลักการเหตุผลข้อนี้จากใจจริง เพียงแต่ว่ามรสุมที่อยู่ดีๆ ก็ปะทุขึ้นมาทั้งหลายล้วนถูกศาลบุ๋นบังคับสยบข่มเอาไว้
——