กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 787.3 ถ้าอย่างนั้นก็ตีกัน
ทางฝั่งของใต้หล้าไพศาลนี้ ศาลบุ๋นจะทำได้หรือ? หากไม่อาจรวบรวมกองกำลังที่จำนวนมากพอได้ ไปทำสงครามที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างจะมีความหมายอะไร? พาตัวไปตายหรือ? ถอยไปพูดหนึ่งก้าว หากพัฒนาได้อย่างราบรื่น บุกตะลุยรุดหน้าไปได้ตลอดทาง ผลักดันกองทัพเดินหน้าลงใต้ได้อย่างต่อเนื่อง ทว่าต่อให้ยึดครองขุนเขาสายน้ำหลายหมื่นหลายแสนลี้มาไว้ได้ แล้วจะรักษาไว้อย่างไร? ใครจะเป็นคนเฝ้าพิทักษ์? ต่อให้พิทักษ์ไว้ได้แล้ว จะมีความหมายที่ตรงไหน? จะได้ไม่คุ้มเสียหรือไม่? หรือว่าทุกคนต่างก็เชื่อมั่นไม่กังขาว่าจะสามารถบุกเข่นฆ่าตลอดเส้นทางจนทะลุทะลวงไปทั่วทั้งใต้หล้าเปลี่ยวร้างได้? จากนั้นศาลบุ๋นค่อยมามอบรางวัลตามคุณความชอบ ไม่ว่าใครก็มีส่วนได้แบ่งน้ำแกงไปถ้วยหนึ่ง?
ผู้ฝึกตนของใต้หล้าไพศาลที่รอดตายมาได้จากสงครามใหญ่ ในใจยังคงมีความเคียดแค้น คนที่ยินดีจะลงสนามรบเข่นฆ่าอย่างฮึกเหิมย่อมมีไม่น้อย ทว่าคนจำนวนมากกว่านั้นกลับอยากจะมีชีวิตอยู่ดีๆ ต่อไป ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจที่อาศัยอยู่ในสถานที่กันดารแร้นแค้นอย่างใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ถึงจะได้เปี่ยมไปด้วยความกระหายอยากครอบครองดินแดนแห่งอื่น พอได้ยินชื่อใต้หล้าไพศาลที่ร่ำรวยอุดมสมบูรณ์ สองตาก็สาดประกาย กำหมัดถูมือกระเหี้ยนกระหือรือ และบรรยากาศที่เกิดจากการค่อยๆ ซึมซับอิทธิพลของใต้หล้าเปลี่ยวร้างเช่นนี้ เดิมทีก็เป็นหนึ่งในผลลัพธ์จากการวางแผนยาวนานพันปีของมหาสมุทรความรู้โจวมี่อยู่แล้ว
เจ้าแห่งบุปผาของพื้นที่มงคลร้อยบุปผากระซิบขึ้นว่า “พี่หญิงชิงเสิน ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ยี่หระอะไรเลย”
ฮูหยินภูเขาชิงเสินพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
หากเอาการที่มหาสมุทรความรู้โจวมี่หายตัวไปในแจกันสมบัติทวีป บรรพบุรุษภูเขาทัวเยว่ที่ประลองเวทคาถากับปรมาจารย์มหาปราชญ์มานานหลายปี ยินดีปล่อยให้กายดับมรรคาสลายเพื่อสร้างความวุ่นวายปั่นป่วนให้กับฟ้าอำนวยของใต้หล้าไพศาลอย่างสิ้นเชิง ขณะเดียวกันก็เปิดทางเข้ากุยซวี ช่วยให้เผ่าปีศาจของใต้หล้าเปลี่ยวร้างได้หวนกลับคืนสู่บ้านเกิด รวมไปถึงการที่อิ่นกวานหนุ่มหายตัวไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ มาเป็นผลลัพธ์ที่แท้จริงของสงครามครั้งนั้น
ถ้าเช่นนั้นเวลาสั้นๆ ไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ ฝ่ายในของใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็ไม่ได้อยู่นิ่งเฉยกันเลย เหล่าผู้กล้าพากันผงาดขึ้นมา ยึดครองพื้นที่แห่งหนึ่งตั้งตัวเป็นใหญ่ ภายในทะเลาะขัดแย้งกันเองอย่างรุนแรง เมื่อเทียบกับการหยุดพักรักษาตัวของใต้หล้าไพศาลแล้วก็เป็นกลียุคที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ทว่าเมื่อไม่กี่ปีก่อนได้เกิดจุดหักเหอย่างหนึ่งขึ้น ปีศาจใหญ่สองตนที่เฝ้าพิทักษ์ภูเขาทัวเยว่ ผู้สืบทอดสองคนของบรรพบุรุษใหญ่แห่งเปลี่ยวร้างพลันป่าวประกาศแก่ใต้หล้าว่าได้เลือกเฝ่ยหรานให้เป็นเจ้าแห่งภูเขาทัวเยว่คนใหม่ จากนั้นก็ร่วมมือกับโซ่วเฉินเซียนกระบี่และโจวชิงเกาสายของมหาสมุทรความรู้โจวมี่จัดการกับกองกำลังของปีศาจใหญ่บนบัลลังก์หลายตนที่ตายไปซึ่งมีกองกำลังของป๋ายอิ๋ง หวงหลวนเป็นหนึ่งในนั้น สุดท้ายก็ร่วมมือกับพวกปีศาจบนบัลลังก์หน้าเก่าซึ่งมีเฟยเฟยเป็นหนึ่งในนั้น ทั้งสามฝ่ายร่วมกันสยบเหล่าผู้กล้า ใช้วิธีการที่ดุจดั่งสายฟ้าหมื่นชั่งมายึดครองใต้หล้า แบ่งขุนเขาสายน้ำออกเป็นสี่สิบแห่งโดยอิงตามอาณาเขตยี่สิบแถบของใต้หล้าเปลี่ยวร้างก่อนหน้านี้ แล้วตั้งป้ายกำหนดขอบเขตบนแนวเส้นต่างๆ อย่างเป็นทางการ ขีดเส้นแบ่งอาณาเขตให้กับใต้หล้าเปลี่ยวร้างเป็นครั้งแรก ในอาณาเขตทุกแห่ง ภายในเวลาห้าสิบปีจะฆ่าแกงกันอย่างไรก็ได้ เชิญออกรบกรีฑาทัพกันตามสบาย แต่สรุปก็คือในอีกห้าสิบปีให้หลังจะเหลือแค่กองกำลังหนึ่งเดียวเท่านั้นที่ได้ครอบครองอาณาเขตนั้นๆ
สุดท้ายภูเขาทัวเยว่ได้ประกาศกฎเหล็กสามข้อ
ข้อแรก ภายในเวลาร้อยปี ปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานทุกตน เว้นเสียจากได้รับคำอนุญาตจากภูเขาทัวเยว่หรืออาศัยคุณความชอบในการรบ ไม่อย่างนั้นก็ห้ามออกจากอาณาเขตของตัวเองโดยพลการ ร้อยปีให้หลังจึงจะกลับคืนมามีอิสระได้ใหม่อีกครั้ง
ข้อที่สอง ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบและผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจขอบเขตเซียนเหรินทุกคนจำเป็นต้องเป็นฝ่ายบอกชื่อจริงของตัวเองมา ต้องมาเยือนภูเขาทัวเยว่ด้วยตัวเองหนึ่งรอบ ชื่อจริงจะถูกบันทึกลงในสมุดของภูเขาทัวเยว่ นอกจากนี้ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตหยกดิบทุกคนที่นอกเหนือจากผู้ฝึกกระบี่ สามารถก่อสำนักตั้งพรรคได้ด้วยตัวเอง ซึ่งจะถูกบันทึกคุณความชอบลงในบันทึกของหกสิบกระโจมทัพ เอกสารจะถูกเก็บรักษาไว้ในสภาพสมบูรณ์ เฝ่ยหรานรับปากว่าภายในเวลาร้อยปี ภูเขาทัวเยว่จะไล่มอบรางวัลให้จนครบถ้วน
ข้อที่สาม ภูเขาทัวเยว่บอกว่าอย่างไรก็ต้องทำอย่างนั้น ใครไม่ยินยอมต้องตาย
เรื่องวงในเหล่านี้ อันที่จริงบนยอดเขาของใต้หล้าไพศาลต่างก็เคยได้ยินกันมาก่อน
เพราะถึงอย่างไรทุกวันนี้ใต้หล้าไพศาลคิดจะแทรกซึมเข้าไปในใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็ง่ายดายยิ่งนัก
ไม่พูดถึงกุยซวีสี่แห่ง ทางทิศใต้ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ยังมีท่าเรือขนาดใหญ่ยักษ์อีกสามแห่งถูกสร้างขึ้นมา นอกจากจวี้จื่อสำนักโม่ที่มานะแข็งขันสร้างนครราวกับชาวไร่ชาวนาคนหนึ่งอยู่ที่นั่นเงียบๆ เพียงลำพังแล้ว ท่าเรืออีกสองแห่ง บวกกับทางเข้ากุยซวีของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง จ้าวเทียนไล่ที่สะพายกระบี่เซียนเล่มหนึ่งไม่ใช่กระบี่ไม้ท้อ เทพีแห่งการต่อสู้เผยเปย ไหวอิน ฯลฯ ต่างก็เคยไปอยู่ที่นั่นในช่วงระยะเวลาหนึ่ง และแน่นอนว่าพวกเขาไม่มีทางนิ่งเฉยอยู่กับที่ ไม่มีทางเดินทางไปไกลขนาดนั้นเพียงแค่เพื่อกินลมตะวันตกเฉียงเหนืออย่างเดียว แต่ละคนต่างก็ร่ายเวทลับของตัวเอง ใช้วิธีการต่างๆ ทำการเดินทางไกลไปเยือนพื้นที่ใจกลางของเปลี่ยวร้าง อีกทั้งยังมีข่าวเล็กๆ ลือกันมาว่าเจ้านครจักรพรรดิขาวแห่งฝูเหยาทวีป อันที่จริงได้แฝงตัวเข้าไปในใต้หล้าเปลี่ยวร้างนานแล้ว ดังนั้นเจิ้งจวีจงในเวลานี้ สรุปแล้วเป็นร่างจริงที่อยู่ที่นี่หรือไม่ เกรงว่าคงมีแค่หลี่เซิ่งคนเดียวเท่านั้นที่รู้แล้ว
เพียงแต่เมื่อเทียบกับการปิดประตูประชุมกันของศาลบุ๋นก่อนหน้านี้ การประชุมของทางฝั่งภูเขาทัวเยว่ใช้เวลานานหลายเดือน ทั้งยังโต้เถียงกันอย่างดุเดือด มีคนที่ไม่ยอมรับให้เฝ่ยหรานเป็นเจ้าของภูเขาทัวเยว่ มีคนด่ากราดว่ามหาสมุทรความรู้โจวมี่คือคนที่มีความผิดมหันต์ แล้วก็มีพวกคนที่ยโสโอหัง รู้สึกว่าตัวเองต้องได้กลายเป็นหนึ่งในราชาบนบัลลังก์ ทั้งก่อนหน้าและภายหลังรวมกันจึงมีคนหลายคนที่ถูกภูเขาทัวเยว่กักตัวไว้เป็น ‘แขก’ ถึงขั้นที่ว่ายังมีคนตายไปหลายคน หยวนโส่วฟาดกระบองลงไปหนึ่งที ฆ่าตายไปคนหนึ่ง เฝ่ยหรานลงมือเอง สังหารไปสองคน
ก่อนที่เฝ่ยหรานจะลงมือ นอกจากปีศาจใหญ่บนบัลลังก์สองสามตนและภูเขาทัวเยว่แล้ว ทุกคนต่างก็มองว่าอย่างมากสุดเขาก็เป็นแค่ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเซียนเหรินเท่านั้น
ในที่สุดหลี่เซิ่งก็เปิดปากด้วยการยิ้มกล่าว “จะตีหรือจะดีกัน ล้วนไม่ต้องรีบร้อนแสดงท่าที ลองคุยกันดูก่อน”
เฝ่ยหรานพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นก็เชิญศาลบุ๋นพูดมา พวกเราจะลองฟังดู”
รองเจ้าลัทธิศาลบุ๋น อาจารย์ผู้เฒ่าหานที่สนิทสนมกับสายหย่าเซิ่งที่สุดเอ่ยเนิบช้าว่า “อันดับแรก กุยซวีสี่แห่ง พวกเราทั้งสองฝ่ายสามารถร่วมแรงกันปิดมันลงได้ กำแพงเมืองปราณกระบี่พวกเราจะเอากลับมาสร้างใหม่ ท่าเรือสามแห่ง ใต้หล้าไพศาลจะต้องเก็บเอาไว้”
ปีศาจใหญ่ฉงกวงพูดเสียงหยัน “อันดับแรกกับผายลมอะไร ไม่มีความจริงใจแม้แต่น้อย ร่วมแรงกันปิดกุยซวี? หากไม่ปิด ฟ้าอำนวยของสองใต้หล้าปะปนกัน วิธีการชั่ง วัดน้ำหนัก การวัดเวลาที่ศาลบุ๋นกำหนดขึ้นใหม่อย่างยากลำบาก ต่อให้หลี่เซิ่งลงมือทำเองก็คงไม่ผ่อนคลายเหมือนกันกระมัง? ขอแค่ไม่ปิดประตูก็เท่ากับว่าแบ่งโชคชะตาให้กับเปลี่ยวร้างของพวกเรา พอปะปนอยู่ด้วยกันนานวันเข้า ยิ่งนานศาลบุ๋นก็ยิ่งเหนื่อยเป็นเท่าตัวแต่ได้ผลเพียงครึ่งเดียว คิดว่าพวกเราโง่ หรือเดิมทีศาลบุ๋นของพวกเจ้าก็ไม่มีความจริงใจให้กันอยู่แล้วเล่า?”
กล่าวมาถึงตรงนี้ปีศาจใหญ่ก็มองไปยังอริยะที่ยืนอยู่ตรงกลาง ชูหมัดสูงเอ่ยขออภัย “ไม่ได้ตั้งใจจะล่วงเกินหลี่เซิ่ง”
หลี่เซิ่งพยักหน้าพร้อมยิ้มรับบางๆ
อาจารย์ผู้เฒ่าหานเอ่ย “ปิดกุยซวี ไม่ต้องรบกวนเปลี่ยวร้างก็ได้ กำแพงเมืองปราณกระบี่ เดิมทีก็เป็นอาณาเขตของใต้หล้าไพศาลอยู่แล้ว และทุกวันนี้ก็ยิ่งถูกพวกเรายึดครองไว้อย่างแน่นหนา อันที่จริงไม่ถือว่าเก็บหรือไม่เก็บมาด้วยซ้ำ พวกเราไม่เก็บ พวกเจ้าก็จะเอาไปได้งั้นหรือ?”
อาจารย์ผู้เฒ่าหานส่ายหน้า ถามเองตอบเองว่า “เอาไปไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นพวกเราจะสร้างกำแพงเมืองปราณกระบี่ใหม่หรือไม่ รวมสองให้กลายเป็นหนึ่งหรือไม่ อันที่จริงก็กลายเป็นคำพูดที่ไร้สาระไปแล้ว?”
รองเจ้าลัทธิศาลบุ๋นท่านนี้พูดต่อว่า “ท่าเรือสามแห่ง พวกเราจะสร้างให้กลายเป็นสำนักศึกษาสามแห่ง พวกเจ้าต้องรับปากศาลบุ๋นว่าจะไม่ขัดขวางคนของใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่มีใจอยากศึกษาเล่าเรียน อยากเดินทางไกลมาเรียนที่สำนักศึกษา หลังจากนั้นลูกศิษย์ของสำนักศึกษาทั้งสามแห่ง ในอนาคตไม่ว่าจะหวนกลับคืนสู่บ้านเกิดหรือจับกลุ่มกันเดินทางท่องเที่ยวใต้หล้าเปลี่ยวร้างระหว่างนั้น พวกเจ้าก็ห้ามขัดขวางเช่นเดียวกัน แน่นอนว่าไม่อาจลอบสังหารหรือจงใจทำให้ลำบากใจหลังจบเรื่องได้ ขอแค่ภูเขาทัวเยว่ตอบตกลงกับเรื่องนี้ ใต้หล้าไพศาลก็จะไม่มีผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่หรือขอบเขตบินทะยานใดๆ แฝงตัวเข้าไปในใต้หล้าเปลี่ยวร้างโดยพลการ”
เฝ่ยหรานเพียงยิ้มไม่เอ่ยคำใด
โซ่วเฉินยิ้มกล่าว “พลการ? หากบอกชื่อแซ่อยู่ที่ท่าเรือ หรือไม่ก็ส่งกระบี่บินแจ้งข่าวมายังภูเขาทัวเยว่ก็จะไม่ถือว่า ‘พลการ’ แล้วหรือไม่?”
อาจารย์ผู้เฒ่าหานส่ายหน้า “แน่นอนว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้น”
โจวชิงเกาเปิดปากถาม “สำนักศึกษาสามแห่งนั้น จำนวนของลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อที่กำหนดไว้ รวมแล้วเท่าไร?”
อาจารย์ผู้เฒ่าหานตอบ “รวมแล้วสามพันคน หกสิบปีรับสมัครหนึ่งที ไพศาลและเปลี่ยวร้างได้จำนวนไปคนละครึ่ง”
โจวชิงเกาเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นอีกหกร้อยปีให้หลัง ใต้หล้าเปลี่ยวร้างของพวกเราก็จะมีลูกศิษย์สำนักศึกษาหนึ่งหมื่นห้าพันคนแล้วสินะ”
โซ่วเฉินกล่าว “ได้ แต่มีเงื่อนไขสองข้อ ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อของสำนักศึกษาที่เป็นคนในท้องถิ่นของเปลี่ยวร้าง เมื่อกลับคืนมายังบ้านเกิดห้ามเปิดโรงเรียน ห้ามถ่ายทอดวิชาความรู้หรือรับลูกศิษย์ ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อของไพศาลจากสำนักศึกษาทั้งสามแห่งห้ามเหยียบออกไปนอกรัศมีพันลี้ของสำนักศึกษา แม้แต่ก้าวเดียวก็ไม่ได้”
อาจารย์ผู้เฒ่าหานยิ้มเอ่ย “แบบนี้ไม่ได้หรอก เว้นเสียจากว่าเอาเงื่อนไขสองข้อมาแลกเปลี่ยนเป็นจำนวนลูกศิษย์ในสำนักศึกษาของทางฝั่งศาลบุ๋นที่จะต้องเพิ่มเป็นสองเท่า หากตอบตกลง พวกเราก็สามารถพูดคุยเรื่องต่อไปกันได้”
หยวนโส่วที่ยืนเหยียบอยู่บนกระบี่บินหลุดหัวเราะพรืด “หากไม่ตกลงเลยสักเรื่องแล้วจะทำไม? ทำราวกับว่าหากพวกเราไม่ตอบตกลง ใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็จะกลายเป็นใต้หล้าไพศาลอย่างไรอย่างนั้น พวกเจ้ามีป๋ายเหย่สักกี่คน?! มีกระบี่เซียนสักกี่เล่ม?!”
อาจารย์ผู้เฒ่าต่งพลันเปิดปากยิ้มเอ่ย “จูเยี่ยน เจ้าโชคดีมีชีวิตรอดกลับไปยังใต้หล้าเปลี่ยวร้างได้ก็ควรจะรู้จักพอได้แล้ว”
ท่ามกลางปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ก็เป็นเจ้าสัตว์เดรัจฉานตัวนี้นี่แหละที่สมควรถูกฆ่ามากที่สุด
หยวนโส่วที่ถูกเรียก ‘ชื่อจริง’ ออกมาโดยตรงสีหน้าเปลี่ยนมาเป็นบิดเบี้ยวอำมหิต “ตาเฒ่าต่ง หาสถานที่สักแห่งมาจับคู่เข่นฆ่ากับนายท่านหยวนสักรอบไหมล่ะ?”
จ้าวเทียนไล่เทียนซือใหญ่แห่งภูเขามังกรพยัคฆ์ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ผินเต้ามีกระบี่อยู่เล่มหนึ่งพอดี จูเยี่ยน เอาอย่างไร เลือกสถานที่และเวลามาไหม? เจ้ามาภูเขามังกรพยัคฆ์หรือจะให้ผินเต้าที่ไปที่ภูเขาทัวเยว่ ได้ทั้งสองอย่าง”
หยวนโส่วถ่มน้ำลาย แต่กลับไม่ได้ทิ้งถ้อยคำอาฆาตพยาบาทไว้ต่อ
หยวนโส่วและปีศาจใหญ่ฉงกวง ตอนที่อยู่สำนักกุยหยกใบถงทวีปต่างก็เคยเจอกับเวทห้าอสนีดั้งเดิมของเทียนซือใหญ่ท่านนี้มาก่อน
ถือว่าพอจะมีความสามารถอยู่บ้างเล็กน้อย…
อีกทั้งนิสัยที่ไม่พูดจาโหดร้ายแต่ลงมือไร้ปราณีของจ้าวเทียนไล่ เกินครึ่งก็คงจะบุกเดี่ยวมาสังหารที่ภูเขาทัวเยว่จริงๆ
หากการล้อมสังหารสามารถฆ่าได้ ก็ถือโอกาสฆ่าไปเสียเลย แต่ปัญหาก็คือฝีมือในการหลบหนีเอาตัวรอดของจ้าวเทียนไล่นั้นก็เข้าขั้นเชี่ยวชาญเช่นเดียวกัน
ทางฝั่งของทุกคนในศาลบุ๋นนี้นับว่ายังดี ถึงอย่างไรก็เคยชินกับการประชุมที่บ้างก็อยู่ในศาลบรรพชนของตระกูล ศาลบรรพจารย์ของยอดเขาหรือไม่ก็ในศาลบุ๋นแล้ว แต่สำหรับปีศาจใหญ่จำนวนไม่น้อยของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ในอดีตยามที่คนกันเองปิดประตูประชุมกัน อันที่จริงก็เคยมี แต่ไม่ได้อ้อมไปอ้อมมายืดเยื้อเช่นนี้ อีกทั้งความบันเทิงยังมีมากมาย ดูจากท่าทางของฝั่งศาลบุ๋นนั้นแล้ว หากทั้งสองฝ่ายคิดจะไล่เรียงแต่ละเรื่องให้ผ่านไปได้อย่างราบรื่น จะไม่ต้องยืนโง่ๆ อยู่อีกหลายวันหลายคืนเลยหรือ? ถึงอย่างไรคนที่สามารถพูดคุยได้อย่างแท้จริงก็มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้น คนของภูเขาทัวเยว่ คนของสายโจวมี่มหาสมุทรความรู้ บวกกับบัลลังก์ราชาทั้งหลาย พวกเขาที่มารวมตัวให้ครบจำนวนจะทำอะไรได้? มองพวกสตรีงั้นหรือ? ฝั่งตรงข้ามก็มีอยู่หลายคน งามก็งามน่ามองอยู่หรอก แต่ได้แค่มองไม่อาจกินได้ จะมีประโยชน์กะผายลมอะไร
ในความเป็นจริงแล้วคนที่มาเข้าร่วมการประชุมของศาลบุ๋น คนที่เข้าใจเฝ่ยหรานอย่างแท้จริงมีอยู่ไม่กี่คนเท่านั้น
อย่างมากก็แค่รู้ว่าเฝ่ยหรานผู้นี้คือผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่ง คือผู้นำร้อยเซียนกระบี่ของภูเขาทัวเยว่ แล้วยังเป็นหนึ่งในสิบคนรุ่นเยาว์ของหลายใต้หล้า คนที่พอจะรู้เรื่องวงในมากกว่านั้นอีกเล็กน้อยก็แค่เคยได้ยินว่าเฝ่ยหรานเคยรับหน้าที่เป็นผู้นำของกระโจมทัพแห่งหนึ่ง คือศิษย์น้องของปีศาจใหญ่เชี่ยอวิ้น ถึงขั้นที่ว่ายังเท่ากับเคยช่วยชีวิตผู้ฝึกตนทุกคนบนเกาะหลูฮวาอย่างอ้อมๆ มาครั้งหนึ่ง ทว่าท่ามกลางสงครามครั้งนั้นไม่มีการกระทำใดที่มากพอจะทำให้ดวงตาคนเป็นประกายได้ ราวกับว่าผู้ฝึกกระบี่ที่คุณสมบัติน่าตะลึงพรึงเพริดผู้นี้ พอมาถึงใบถงทวีปของใต้หล้าไพศาลก็เอาแต่มุ่งหน้าไปเที่ยวเล่นขุนเขาสายน้ำเพียงอย่างเดียว
และในบรรดาปีศาจใหญ่ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็เพิ่งเคยเห็นหลี่เซิ่งเป็นครั้งแรกกันแทบทุกคน เพียงไม่นานก็ถูกมาดของหลี่เซิ่งทำให้เลื่อมใสได้หลายส่วน
ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจที่เป็นสตรีก็ยิ่งเบิกตากว้าง ประกายในดวงตาเกิดเป็นริ้วกระเพื่อมไหว
ไม่มองก็เสียเปล่าน่ะสิ นี่คือหลี่เซิ่งในตำนานเชียวนะ ว่ากันว่ายังเป็นเพื่อนรักกับนายท่านป๋ายเจ๋อผู้นั้นด้วย
สำหรับหลี่เซิ่ง ต่อให้เป็นคนของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง อันที่จริงก็ยังมีความเคารพให้เขาไม่มากก็น้อย
หากไม่เป็นเพราะตอนนั้นหลี่เซิ่งที่อยู่ในศาลบุ๋นต่อต้านความเห็นของคนอื่นอย่างสุดความสามารถ ป่านนี้เผ่าปีศาจที่อยู่ในท้องถิ่นของใต้หล้าไพศาลก็คงถูกสังหารแบบถอนรากถอนโคนไปนานแล้ว
อาเหลียงใช้หมัดทุบฝ่ามือ “จบกันๆ มาดสง่างามเกือบจะถูกนายท่านหลี่เซิ่งของพวกเราแย่งชิงเอาไปหมดแล้ว”
ผู้ฝึกกระบี่หญิงหลิวป๋ายเม้มปากแน่น สายตาของนางตกลงบนร่างของพวกหูจวินและเทพภูเขาที่อยู่ข้างกายผู้ฝึกกระบี่ห้าคนนั้นก่อน จากนั้นจึงกวาดตามองไปยังพวกฉีถิงจี้อย่างว่องไว
หากใครบางคนยินดีเปิดปาก ยินดีแสดงท่าทางเหมือนในอดีตอย่างตอนที่เฝ้าพิทักษ์หัวกำแพงเมืองเพียงลำพังอีกครั้ง จะต้องเอ่ยประโยคหนึ่งว่า ‘พวกเราทั้งมีความจริงใจ แล้วก็เห็นพวกเจ้าโง่ด้วย’? หรือไม่ก็เอ่ยอย่างค่อนข้างคลุมเครือสักหน่อยว่า ‘ถึงอย่างไรความจริงใจของพวกเราก็มีเป็นกระบุงโกย ส่วนจะโง่หรือไม่โง่ก็เลือกเอาเอง’? บางทีอาจจะไม่ใช่ทั้งสองประโยค อาจจะชวนให้คนสะอิดสะเอียนมากกว่านี้ บางทีอาจจะเป็นคำด่าที่ผ่านไปนานมากแล้วถึงจะทำให้คนที่ถูกด่ารู้สึกตัว? นางคิดวุ่นวายไปเรื่อย ถือโอกาสปล่อยจิตใจจมดิ่งอยู่ในฟ้าดินเล็ก เริ่มพูดคุยกับตัวเอง
โซ่วเฉินเหลือบมองศิษย์น้องหญิงผู้นี้ ชุดคลุมอาคมบนร่างของนางเป็นอาจารย์ของตนที่มอบให้กับมือตัวเอง ระดับขั้นไม่เป็นรองชุดคลุมมังกรสีหมึกที่อยู่บนร่างปีศาจใหญ่หย่างจื่อแม้แต่น้อย ดูเหมือนว่าการที่ศิษย์น้องหญิงสามารถเลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตบนได้อย่างหวุดหวิด ชุดคลุมอาคมที่มีชื่อว่า ‘ถ้ำสวรรค์หางปลา’ ตัวนี้จะมีคุณความชอบไม่น้อย
จากนั้นอาเหลียงก็ใช้ข้อศอกกระทุ้งจั่วโย่วเบาๆ ผงกปลายคาง พยักเพยิดไปยังฝั่งตรงข้าม “ดูสิ แม่นางน้อยคนนั้นค่อนข้างน่าสนใจแล้ว”
จั่วโย่วเหลือบมองไปฝั่งตรงข้าม “ใคร?”
อาเหลียงเอ่ยอย่างเป็นกังวล “ก็คนที่อยู่ข้างกายโซ่วเฉินอย่างไรล่ะ คนที่ขายาวๆ เอวบางๆ ใบหน้ารูปเมล็ดแตงน่ะ ส่วนตรงหน้าอกนั้นก็ไม่ต้องพูดถึงแล้ว มีพี่หญิงลู่อยู่ด้วย พวกเราสองคนคุยเรื่องนี้ไม่เหมาะสม เมื่อครู่นี้ดวงตาของแม่นางน้อยเปล่งประกายระยิบระยับ แฝงไว้ด้วยอารมณ์ความรู้สึก เป็นเพราะหลงใหลในความหล่อเหลาของข้าใช่หรือไม่? ข้ากลัวจังเลย จะทำอย่างไรดี”
จั่วโย่วชำเลืองตามองสตรีคนนั้น เอ่ยว่า “โซ่วเฉินรู้จัก นางไม่รู้จัก ระดับขั้นของชุดคลุมอาคมไม่เลว ไม่เหมือนฝีมือของนครจินชุ่ย”
อาเหลียงจุ๊ปากรัวๆ
จั่วโย่วขมวดคิ้ว “อะไร?”
——