กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 788.3 ริมลำคลอง
เฝ่ยหรานยกสองนิ้วขึ้นแล้วกดลงบนความว่างเปล่าเบื้องหน้าตัวเองเบาๆ ก็ถึงกับกดกระบองยาวในมือของหยวนโส่วให้ลดระดับลงไปได้หลายส่วน
หยวนโส่วสีหน้ามืดทะมึน หันหน้าไปมอง เตรียมจะถกปัญหากับคนหนุ่มเจ้าของภูเขาทัวเยว่ที่ตอนสงครามใหญ่ไม่ออกแรง หลังจบเรื่องกลับเก็บตกเอาของชิ้นใหญ่ที่สุดไปผู้นี้ให้ดีๆ
คิดไม่ถึงว่าในทะเลสาบหัวใจจะมีริ้วคลื่นกระเพื่อมขึ้นมา เป็นเสียงพูดกลั้วหัวเราะของผู้เฒ่าที่ถือไม้เท้าคนนั้น “จูเยี่ยน ขนาดข้ายังไม่โมโห แล้วเจ้าจะโมโหอะไร คิดอยากจะลงไปนอนหมอบอยู่ก้นบ่อ หรืออยากจะเอาอย่างอาเหลียง อยู่เป็นแขกที่ภูเขาทัวเยว่เล่า?”
หยวนโส่วแค่นเสียงหึในลำคอหนึ่งที เก็บกระบองยาวเอามาพาดไหล่อีกครั้ง
ปีศาจใหญ่กวนเซี่ยงทำสีหน้าไร้เดียงสา เอ่ยอย่างจนใจเป็นอย่างยิ่งว่า “เมื่อไหร่กันที่บัณฑิตของใต้หล้าไพศาลบีบคั้นผู้อื่นเช่นนี้ คนที่บอกให้สองฝ่ายมาหารือกันคือพวกเจ้า นี่ก็เพิ่งจะเริ่มคุยกันเอง คนที่บอกว่าจะตีกันก็คือพวกเจ้า ช่วยมีเหตุผลหน่อยได้หรือไม่”
โซ่วเฉินไม่มีอารมณ์จะเปิดปากพูดคุย ถึงอย่างไรก็มีเฝ่ยหรานเป็นคนดำเนินการอยู่แล้ว อีกทั้งยังมีกลยุทธ์ทั้งหลายที่กำหนดไว้เรียบร้อยแล้วซึ่งอาจารย์ทิ้งไว้ให้ ไม่ว่าเรื่องใดก็ล้วนไม่จำเป็นต้องกังวล
ใต้โซ่วเฉินเหนืออิ่นกวาน เมื่อก่อนคำกล่าวนี้ส่วนใหญ่แล้วเป็นการเยินยอคนหนุ่มของกำแพงเมืองปราณกระบี่มากกว่า คงไม่ใช่ว่าผ่านไปอีกแค่ไม่กี่ปีก็กลับกลายมาเป็นเขาโซ่วเฉินที่ได้พึ่งใบบุญอีกฝ่ายแล้วกระมัง?
โจวชิงเกาศิษย์น้องเล็กที่อยู่ข้างกายเขาผู้นี้ เงื่อนไขอันดีเยี่ยมที่ได้รับมาหลังจากหวนกลับคืนสู่บ้านเกิดก็ไม่ด้อยไปกว่าของเฝ่ยหรานที่เป็นเจ้าของภูเขาทัวเยว่คนใหม่เลยแม้แต่น้อย
เพราะว่าโจวชิงเกาได้คราบร่างของปีศาจใหญ่บนบัลลังก์มา อีกทั้งยังไม่ใช่แค่ร่างเดียวด้วย
ปีศาจใหญ่ที่ถูกโจวมี่ผสานมรรคาด้วย มีผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่ที่ใช้นามแฝงว่าลู่ฝ่าเหยียน นอกจากนี้ยังมีปีศาจบนบัลลังก์อีกหลายตน ป๋ายอิ๋งกายนอกกาย รวมไปถึงเชี่ยอวิ้น เหย้าเจี่ย หวงหลวน
โจวมี่กินมหามรรคาแต่ละส่วนนั้นเข้าไป ส่วนเนื้อหนังมังสาที่พวกปีศาจใหญ่เหลือทิ้งไว้ สำหรับโจวมี่แล้วจะมีหรือไม่มีก็ได้ ไม่ใช่ว่าไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง แต่เป็นเพราะไม่ได้มีความหมายมากนัก แทนที่จะพาพวกมันไปด้วยก็ไม่สู้ทิ้งเอาไว้
ดังนั้นเด็กหนุ่มกระโจมเจี่ยเซินที่คุณสมบัติด้านการฝึกตนไม่ได้ดีเยี่ยมอะไรอย่างมู่จี หรือที่ภายหลังกลายมาเป็นโจวชิงเกาลูกศิษย์คนสุดท้าย จึงเป็นคนที่ได้รับผลประโยชน์อย่างไม่คาดฝันไปมากที่สุด
ก่อนที่โจวมี่จะเดินขึ้นฟ้าไปก็ได้ใช้คราบร่างจริงของปีศาจใหญ่ป๋ายอิ๋งบัลลังก์กระดูกมาสร้างเป็นจิตหยางกายนอกกายของโจวชิงเกา จากนั้นใช้คราบร่างของปีศาจใหญ่หวงหลวนและเชี่ยอวิ้นมาผสานรวมจิต วิญญาณ ประกอบกับสะพานแห่งความเป็นอมตะใหม่เอี่ยมของโจวชิงเกาเข้าไป ให้เขาเดินขึ้นไปบนเส้นทางสู่สวรรค์ในก้าวเดียว
อีกทั้งโจวมี่ได้ทิ้งคาถาเซียนบทหนึ่งไว้ในภูเขาทัวเยว่นานแล้ว ทิ้งไว้ให้กับโจวชิงเกาที่เดิมทีไม่เหมาะกับการฝึกตนโดยเฉพาะ
คือวิชาลับขอบเขตรั้งคนที่หลิ่วชีเป็นผู้สร้างขึ้นมา โจวมี่ที่เชี่ยวชาญการแปรเปลี่ยนสิ่งเน่าเปื่อยผุพังให้กลายมาเป็นความอัศจรรย์มากที่สุด ความลึกซึ้งในการศึกษาเวทคาถาอันเป็นเส้นทางลัดบทนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะทัดเทียมกับหลิ่วชีได้เลย
ดังนั้นโจวชิงเกาในทุกวันนี้ไม่เพียงแต่เลื่อนขั้นจาก ‘ขอบเขตรั้งคน’ ขอบเขตที่สามของผู้ฝึกลมปราณไปเป็นขอบเขตหยกดิบโดยตรง ภายในเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่ปียังฝ่าทะลุขอบเขตอีกครั้ง กลายเป็นเซียนเหรินคนหนึ่ง
อะไรที่เรียกว่าลูกศิษย์คนสุดท้ายของมหาสมุทรความรู้โจวมี่ ก็คือเช่นนี้นี่เอง
ไม่ถึงสิบปีก็เป็นเซียนเหรินแล้ว
ส่วนโซ่วเฉินลูกศิษย์คนแรกก็ได้รับอาวุธเซียนไปสามชิ้น ล้วนเป็นกระบี่ยาวทั้งหมด กระบี่ห้าเล่มแรกสุดที่โซ่วเฉินสะพายไว้ในกล่องกระบี่ด้านหลัง ท่ามกลางสงครามใหญ่ได้สูญเสียไปสามเล่ม ดังนั้นถึงวันนี้จึงสะพายกระบี่ไว้ทั้งหมดหกเล่ม
ผู้ฝึกกระบี่หลิวป๋าย เมื่อเทียบกันแล้วเป็นคนที่ได้รับของจากอาจารย์มาน้อยที่สุด มีเพียงอาวุธเซียนชิ้นเดียวเท่านั้น ชุดคลุมอาคม ‘ถ้ำสวรรค์เล็ก’ ยังมีอาวุธกึ่งเซียนอีกชิ้นหนึ่ง คือกวานพุดตานมรกต
เซียวสวิ้นที่นั่งขัดสมาธิแสยะปากยิ้ม นางชูสองแขนขึ้น สองมือบิดผมแกละสองข้าง เจ้าตัวน้อยที่เข้ามารับตำแหน่งแทนตนผู้นี้ ความสามารถไม่เลวเลยนะ
จางลู่ดื่มเหล้าพลางมองประเมินเงาร่างที่สภาพอเนจอนาถแทบไม่อาจทนมองของฝั่งตรงข้ามไปด้วย ยากจะจินตนาการได้ว่าเด็กหนุ่มสะพายกระบี่ที่ท่องเที่ยวไปในภูเขาห้อยหัวอย่างระมัดระวังในปีนั้น จะกลายมามีสภาพอย่างในทุกวันนี้
กระบี่ยาวที่ผู้ฝึกกระบี่จู๋เชี่ยสะพายไว้ด้านหลังสั่นสะเทือนพลางส่งเสียงร้องไม่หยุด
เมื่อเฉินผิงอันกลายสภาพมาเป็นรูปร่างที่คุ้นเคยนี้ หลิวป๋ายก็หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย
ช่วงเวลาหลายปีที่ฝึกกระบี่อยู่บนหัวกำแพงเมือง อันที่จริงนางกับหลีเจินก็คือผู้ฝึกกระบี่ที่สนทนาพาทีกับเฉินผิงอันมากที่สุด
และผู้ฝึกกระบี่อย่างพวกเขาสองคนก็เท่ากับว่าเคยตายด้วยน้ำมือของอิ่นกวานหนุ่มมาแล้วหนึ่งครั้ง
หลีเจินที่มีฐานะเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของบรรพบุรุษใหญ่ภูเขาทัวเยว่ ตายท่ามกลางการจับคู่เข่นฆ่าครั้งนั้น แล้วก็เป็นการแลกชีวิตที่อกสั่นขวัญผวาครั้งนั้นที่ทำให้ใต้หล้าเปลี่ยวร้างได้รู้เป็นครั้งแรกว่า ทางฝั่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่ถึงกับมีคนที่สามารถออกกระบี่แทนหนิงเหยาได้
หลังจากนั้นหลิวป๋ายที่เป็นหนึ่งในผู้ฝึกกระบี่ห้าคนของกระโจมเจี่ยเซิน ต่างก็ติดอันดับร้อยเซียนกระบี่ของภูเขาทัวเยว่ อีกทั้งลำดับรายชื่อยังอยู่ติดๆ กัน จู๋เชี่ย หลีเจิน อวี่ซื่อ จวินทาน หลิวป๋าย ร่วมมือกันวางแผนอย่างตั้งใจ แต่กระนั้นก็ยังล้อมฆ่าไม่สำเร็จ หลิวป๋ายก็คือคนที่กลับกลายเป็นว่าถูกเฉินผิงอันหักคอท่ามกลางการลอบฆ่าครั้งนั้น
โจวชิงเกาเปิดปากพูดด้วยเสียงดังกังวาน “ข้าสามารถเข้าใจได้เลยว่าเหตุใดใต้เท้าอิ่นกวานถึงดึงดันจะทำสงคราม กำแพงเมืองปราณกระบี่เสียหายหนักหนาที่สุด ผู้ฝึกกระบี่ของนครบินทะยานที่อยู่ในใต้หล้าแห่งที่ห้ามีสิทธิ์จะแก้แค้นใต้หล้าเปลี่ยวร้างของพวกเรามากที่สุด อีกทั้งสายเหวินเซิ่งที่ใต้เท้าอิ่นกวานอยู่ ราชครูชุยฉานต้าหลีกับอาจารย์ฉีเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาซานหยาต่างก็ไม่อยู่แล้ว ในฐานะลูกศิษย์คนสุดท้ายของอาจารย์เหวินเซิ่ง อิ่นกวานเองก็มีเหตุผลที่จะมาอธิบายกับใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ใช้ความยุติธรรมตรงไปตรงมามาแก้แค้น เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดินแล้ว”
ใบหน้าของโจวชิงเกาประดับรอยยิ้ม จากนั้นก็พูดเจื้อยแจ้วไม่หยุด “ไม่ว่าจะใช้สถานะผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่หรือสถานะลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊ออย่างในทุกวันนี้ เฉินผิงอันเอ่ยประโยคว่า ‘ตีกันก็ตีสิ’ ก็ถือว่ามีคุณสมบัติที่สุด ถามใจตัวเองแล้วไม่ละอายมากที่สุด”
สงครามครั้งสุดท้ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ต่อสู้ได้ไม่เหมือนกำแพงเมืองปราณกระบี่อย่างมาก
แม้จะบอกว่ามาจากฝีมือของผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวานคฤหาสน์หลบร้อน แต่อันที่จริงกระโจมทัพหกสิบแห่งของใต้หล้าเปลี่ยวร้างกลับรู้ชัดเจนดียิ่งกว่าใครเป็นฝีมือจากคนผู้เดียวต่างหาก
ไม่ได้บอกว่าเฉินผิงอันคนเดียวมีความสามารถยิ่งใหญ่ถึงขนาดที่อาศัยกำลังของตัวเองคนเดียวก็สามารถเล่นงานใต้หล้าเปลี่ยวร้างทั้งแห่งได้จริง
แต่เป็นเฉินผิงอัน ‘กลืนกิน’ ความคิดของผู้ฝึกกระบี่ทุกคนในสายอิ่นกวาน กลืนกินคดีลับเอกสารทั้งหมดของคฤหาสน์หลบร้อน กินแผนการบนสนามรบทั้งหมดของใต้หล้าเปลี่ยวร้างเข้าไป
ถึงขั้นที่ว่า ‘เขมือบกลืน’ บารมีความน่าเกรงขามของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสเข้าไปด้วย สามารถทำให้กระบี่บินส่งข่าวทุกเล่มของสายอิ่นกวานสยบกำราบเซียนกระบี่ตัวสำรองยอดเขาทุกคนซึ่งมีเยว่ชิง หมี่ฮู่เป็นหนึ่งในนั้นได้อย่างง่ายดาย
บนสนามรบ ปีศาจใหญ่หย่างจื่อบิดหัวของเซียนกระบี่ใหญ่แซ่เยว่คนหนึ่งที่เดินทางลงใต้ซ่อนตัวอยู่ในเปลี่ยวร้างภายใต้สายตาของทุกคน กลุ่มคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่เคียดแค้นเดือดดาล ทว่าคฤหาสน์หลบร้อนส่งข่าวไม่ให้ช่วยเหลือ แม้ว่าจำนวนของผู้ฝึกกระบี่ที่ละเมิดคำสั่งออกจากหัวกำแพงเมืองไปส่งกระบี่จะมีไม่น้อย แต่กลับไม่อาจสร้างสถานการณ์ที่กระตุกผมเส้นเดียวสะเทือนทั้งร่างบนสนามรบได้ หลังจากนั้นการถามกระบี่ระหว่างผู้ฝึกกระบี่ของทั้งสองฝั่ง กระบี่บินพุ่งออกมาอย่างยิ่งใหญ่เกรียงไกรดุจมหานที ปราณกระบี่ซัดเชี่ยวกรากดุจน้ำตกโอฬาร การออกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ยิ่งพุ่งไปยังจุดที่เล็กละเอียดทุกจุดบนสนามรบได้อย่างแม่นยำ กับผู้ฝึกกระบี่เซียนดินทุกคน ควรออกกระบี่ใส่ใคร ออกกระบี่เมื่อไหร่ กระบี่หล่นลงตรงจุดไหน ล้วนอยู่ในกฎระเบียบ
ดังนั้นอิ่นกวานหนุ่มแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่กับโจวมี่มหาสมุทรความรู้ที่บัลลังก์ราชาอยู่สูงเป็นอันดับที่สองจึงคล้ายจะเป็นคนบนเส้นทางเดียวกันที่ใช้วิธีการแบบเดียวกัน
ก็เหมือนทุกคนที่มาเข้าร่วมการประชุมของศาลบุ๋นที่ไม่สนใจว่าใต้หล้าเปลี่ยวร้างจะมีผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานเพิ่มมาอีกกี่คน แต่ไม่ว่าใครก็ล้วนไม่คาดหวังให้เจ้าของภูเขาทัวเยว่ ผู้ครองใต้หล้าเปลี่ยวร้างในอนาคตกลายมาเป็นมหาสมุทรความรู้คนใหม่
ถ้าอย่างนั้นกลุ่มปีศาจที่อยู่บนยอดเขาของใต้หล้าเปลี่ยวร้างเองก็ไม่หวังให้ใต้หล้าไพศาลมีกำแพงเมืองปราณกระบี่ใหม่เอี่ยมขึ้นมาอีกแห่งหนึ่งเช่นเดียวกัน
“เจ้าลูกกระต่ายผู้นี้พูดจาหน้าเนื้อใจเสือเสียจริง”
อวี้พ่านสุ่ยจุ๊ปากพูด “ฝ่าบาท เรียนรู้แล้วหรือยัง? นี่ต่างหากถึงจะถือว่าเป็นคนพูดเป็น”
เพียงแค่ไม่กี่ประโยค ทว่ากลับมีความหมายมากมาย ทั้งยังไม่อำพรางไว้ลึกเกิน ประเด็นสำคัญคือไม่ได้เป็นแค่คำพูดเหลวไหลไร้สาระเพียงอย่างเดียว ง่ายที่จะทำให้คนคิดมาก
อีกฝ่ายกำลังบอกเป็นนัยแก่ทุกคนที่เข้าร่วมการประชุมของศาลบุ๋นใต้หล้าไพศาลว่า หากสองใต้หล้าต้องทำสงครามกันอีกครั้งจริงๆ อันที่จริงกำแพงเมืองปราณกระบี่มีแค่คนไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถตายได้ ชื่อเสียงอันดีงามและตำแหน่งในศาลบุ๋นของสายเหวินเซิ่งจะเป็นดั่งเรือที่ลอยขึ้นไปตามน้ำ ถึงอย่างไรสายของเหวินเซิ่งอย่างจั่วโย่ว หลิวสือลิ่ว และเขาเฉินผิงอัน อย่างมากสุดก็เพิ่มซิ่วไฉเฒ่าไปอีกคน ก็มีคนอยู่แค่นี้แล้ว ทว่าสายของหลี่เซิ่งที่แตกกิ่งก้านสาขาไปทั่ว ลูกศิษย์ในสำนักศึกษาและสถานศึกษาของสายหย่าเซิ่งเล่า?
อิ่นกวานหนุ่มทั้งได้แก้แค้นส่วนตัว แล้วก็ได้ผลประโยชน์ไปมากที่สุดด้วย
ผลประโยชน์ใหญ่เทียมฟ้าเช่นนี้ ทำไมจะไม่ตีกันเล่า?
ใต้หล้าไพศาลของพวกเจ้ายังยินดีจะทำสงครามร่วมกับอิ่นกวานหนุ่มที่รับประกันว่าตัวเองจะได้ผลเก็บเกี่ยวไม่ว่าหน้าแล้งหรือหน้าน้ำหลากแบบนี้อยู่อีกหรือ? คนหนุ่มผู้นั้นเพียงแค่หลบอยู่เบื้องหลังคอยวางแผนตระเตรียมกลยุทธ์ ถึงอย่างไรคนที่ตายก็ไม่ใช่เขาอยู่แล้ว สงครามใหญ่ครั้งแรกเขายังรอดชีวิตออกจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ครึ่งหนึ่งกลับคืนมายังไพศาลได้ สงครามต่อจากนี้ แน่นอนว่ายิ่งไม่มีทางตายแน่
จุดนี้เหตุผลบิดเบี้ยว จุดนั้นเหตุผลตรงแน่ว ทุกหนทุกแห่งในใต้หล้าล้วนเป็นเช่นนี้
ความคิดนี้สว่างจ้า ไม่แน่ว่าคนอื่นอาจรู้สึกเพียงว่าแสบเคืองลูกตา
ดังนั้นเขาพูดประโยคนี้ไม่ได้พูดให้พวกคนที่ติดตามอิ่นกวานหนุ่มก้าวเดินมาข้างหน้าฟัง
คำพูดเลือกคน
หลายคนที่ต่อให้วันนี้ฟังไม่เข้าหู ไม่ได้คิดเป็นจริงเป็นจัง วันหน้ารอให้มีการทำสงครามเกิดขึ้นจริงก็จะเริ่มฟังเข้าหูแล้ว และจะต้องคิดมากอย่างแน่นอน
ฮ่องเต้เด็กหนุ่มพยักหน้ารับอย่างแรง อืมๆๆ คล้อยตามเจ้าอ้วนอวี้
ฮ่องเต้ของราชวงศ์เสวียนมี่ท่านนี้ ยิ่งนานก็ยิ่งรู้สึกเคารพเลื่อมใสในตัวของอิ่นกวานหนุ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงกับสามารถทำให้พวกปีศาจใหญ่ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างตั้งตนเป็นปรปักษ์ได้ขนาดนี้ คำพูดสัพยอกที่เป็นประโยคเหน็บแนม คล้ายต้องการเย้ยหยันในช่วงแรกเริ่มสุดนั้น มองดูคล้ายต้องการสร้างความสะอิดสะเอียนให้กับอิ่นกวานหนุ่ม แต่เหตุใดใต้หล้าเปลี่ยวร้างถึงไม่ไปเอ่ยสัพยอกต่อไหวอิน ไม่ไปหยอกล้อเทพเจ้าแห่งโชคลาภสกุลหลิวเล่า? เพราะไม่คิดจะทำอย่างไรล่ะ ก็ดูถูกนี่นะ
ดูท่าวันหน้าจะต้องหาโอกาสไปเรียกตัวเองเป็นพี่เป็นน้องกับอีกฝ่ายแล้ว ขาใหญ่นี้ต้องกอดให้แน่น กอดได้แล้วไม่แน่ว่าวันหน้าเจ้าอ้วนอวี้อาจจะเกรงใจตนมากขึ้นอีกสักหน่อย ทุกครั้งที่อยู่ในห้องทรงพระอักษรก็ไม่ต้องมีแค่ ‘กษัตริย์กับขุนนางสองฝ่าย ปู่หลานสองคน’ อีกแล้ว ตาเฒ่าอ้วนมักจะหยิบเอามีดตัดกระดาษออกมาจากในชายแขนเสื้อ ใช้ตัดเล็บเสียงดังแกรกๆ แล้วยังคอยเหลือบตามองมายังเป้ากางเกงของฝ่าบาทอยู่เป็นระยะด้วย
ฮูหยินภูเขาชิงเสินขมวดคิ้วมุ่น
เจ้าแห่งบุปผาของพื้นที่มงคลร้อยบุปผาก็รู้สึกว่าหากตนลองเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ แลกเปลี่ยนตำแหน่งกับอิ่นกวานหนุ่ม ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีวิธีรับมือที่ดีมากนัก เรื่องราวหลายอย่าง อันที่จริงยิ่งอธิบายก็ยิ่งขุ่นมัว แต่หากไม่อธิบายก็ได้แต่ต้องทนเก็บกดอัดอั้นเอาไว้
กวานเซี่ยงพลันหัวเราะดังลั่น “ใต้เท้าอิ่นกวานมีใจที่เห็นแก่ตัวบ้างเล็กน้อยจะเป็นไรไป ไม่ว่าทางฝั่งของศาลบุ๋นให้รางวัลมากแค่ไหนก็ล้วนเป็นสิ่งที่เขาสมควรได้รับ ล้วนอาศัยความสามารถจึงรอดชีวิตมาได้ อาศัยคุณความชอบทางการสู้รบมาเป็นอริยะปราชญ์ ใครกล้าซุบซิบนินทา ข้าผู้อาวุโสจะเป็นคนแรกที่ไม่ยินยอม มโนธรรมในใจถูกสุนัขกินไปแล้วหรือไร?! หากไม่เป็นเพราะใต้เท้าอิ่นกวานใช้กำลังของตัวเองกอบกู้สถานการณ์กลับคืนมา การประชุมในวันนี้ไม่แน่ว่าพวกเราสองฝ่ายอาจอยู่ที่ลานกว้างของศาลบุ๋นพวกเจ้าทั้งหมดก็เป็นได้!”
เดิมทีปีศาจใหญ่กวานเซี่ยงอยากจะพูดว่ามโนธรรมถูกอาเหลียงกัดแทะไปแล้ว เพียงแต่ว่าพอมองเห็นพลังอำนาจที่น่าครั่นคร้ามของแนวเส้นตรงฝั่งตรงข้ามก็รู้สึกว่าคนเราจะทำหรือจะพูดอะไรควรเว้นที่ว่างเหลือไว้สักเสี้ยวหนึ่ง
เฉินผิงอันหัวเราะหยันเอ่ยว่า “การที่กระโจมเจี่ยเซินไม่มีผลงานใดๆ ก็เพราะว่ามีผู้นำอย่างเศษสวะน้อยเช่นเจ้า”
ผู้เฒ่าที่ถือไม้เท้าคลี่ยิ้ม เอ่ยด้วยเสียงในใจกับหยวนโส่ว เฟยเฟยและอู่เยว่ไปหนึ่งประโยค
เห็นเพียงว่าคนหนุ่มที่สวมชุดคลุมอาคมสีแดงสดพลันงอเข่าทั้งคู่ลง เรือนกายงองุ้มเหมือหลังอูฐ เพียงแต่ว่าพริบตาเดียวคนหนุ่มก็ยืดเอวขึ้นตรงอีกครั้ง
เฉินผิงอันเพียงแค่มองไปยังโจวชิงเกา “ได้ยินมาว่าโจวมี่รับเจ้าเป็นลูกศิษย์ปิดประตู ถ้าอย่างนั้นวันหน้าเขาก็อย่าหวังจะเปิดประตูมาพบเจอใครได้อีก หากเปลี่ยนข้ามาเป็นโซ่วเฉิน ตอนนี้ก็คงคุกเข่าโขกหัวกับพื้น ขอร้องให้เจ้ามาเป็นศิษย์พี่ใหญ่ไปแล้ว ขอแค่ไม่เป็นศิษย์น้องเล็กก็พอ จะเป็นศิษย์พี่หญิงใหญ่ก็ยังได้”
โซ่วเฉินหลุดหัวเราะพรืด
ส่วนพวกร้อยเซียนกระบี่ที่เหลืออยู่ของภูเขาทัวเยว่ซึ่งเคยฝึกกระบี่บนหัวกำแพงเมืองครึ่งหนึ่ง และยังไม่ได้หายสาบสูญไปในใต้หล้าไพศาล ก็ยิ่งมีความทรงจำที่ลึกล้ำต่ออิ่นกวานหนุ่มที่มักจะ ‘พูดคุยความในใจอย่างสุภาพสง่างาม’ กับหลงจวิน หลีเจินเป็นประจำผู้นี้ ทุกๆ สามวันห้าวัน ใครที่ฝึกกระบี่เจอกับคอขวดหรืออยู่ว่างจนอุดอู้ พวกผู้ฝึกกระบี่ก็จะขยับเท้าเข้าไปใกล้หลงจวิน ดูว่าจะได้มองใต้เท้าอิ่นกวานด้วยความชื่นชมได้หรือไม่ หากใครโชคดีได้พูดกับเจ้าหมอนั่นหนึ่งประโยคก็ล้วนถือเป็นเกียรติที่ไม่เล็กแล้ว แต่จำนวนครั้งที่อิ่นกวานหนุ่มจะปรากฎตัวกลับน้อยมาก ไม่ใช่ว่าใครก็ล้วนสามารถพบเห็นได้ อยากจะขอคำด่าสักคำยังยาก เอาเป็นว่ายากกว่าฝ่าทะลุขอบเขตก็แล้วกัน
มาแล้ว
หลิวป๋ายถอนหายใจเบาๆ ในใจหนึ่งที
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “มีเจ้าและพี่เฝ่ยหรานคอยช่วยเหลือ ไพศาลโจมตีเปลี่ยวร้างก็มีจะโอกาสชนะมากขึ้นแล้ว เดิมทีมีโอกาสชนะแค่สิบส่วน ก็ถูกพวกเจ้าขยับยกไปให้ได้ถึงสิบสองส่วน ไม่อย่างนั้นข้าก็คงไม่กล้าพูดคำว่าให้ตีกันจริงๆ หากข้ามีสิทธิ์มีเสียงอยู่ในศาลบุ๋น วันหน้ารอให้สถานการณ์ใหญ่มั่นคงแล้วก็สามารถให้พวกเจ้าคนหนึ่งเป็นซูเซิ่ง (อริยะแห่งความพ่ายแพ้) ของกระโจมเจี่ยเซิน เป็นถ่างเซิ่ง (อริยะผู้นอนสบาย) ของภูเขาทัวเยว่ คนหนึ่งมานะหมั่นเพียร ตั้งใจวางแผน รับผิดชอบคอยส่งหัวคนมาให้ พรุ่งนี้เอาหัวของหยวนโส่วมาส่งเสร็จ วันมะรืนก็ส่งหัวของเฟยเฟยมา ส่งขอบเขตบินทะยานแล้วก็ส่งเซียนเหริน ส่งจนใต้หล้าไพศาลรับแทนไม่ทัน คาดว่าคงอดไม่ไหวต้องขอร้องพวกเจ้าว่าอย่าส่งมาอีกเลย ทั้งสองทำสงครามกันบนสนามรบดีๆ เถอะ คุณความชอบทางการสู้รบที่เป็นเช่นนี้ ได้รับมาแล้วรู้สึกละอายใจ คนหนึ่งนอนไปนอนมาก็ได้เป็นพี่ใหญ่ของภูเขาทัวเยว่ นอนไปนอนมาก็กลายเป็นขุนนางผู้มีคุณูปการใหญ่สุดของศาลบุ๋น สมควรให้พวกเจ้าได้เป็นอริยะปราชญ์แล้ว แต่เดี๋ยวข้ายังต้องถามศาลบุ๋นดูก่อนว่าพวกเจ้าใช่นักรบพลีชีพที่ส่งไปแทรกซึมในใต้หล้าเปลี่ยวร้างหรือไม่ หากใช่ ไม่ทันระวังถูกข้าทำให้โดนฟันตาย ข้าก็จะแกะสลักตราประทับให้สองชิ้น หนึ่งเป็นคำว่า ‘ตายร้อยรอบก็ไม่เสียใจ’ กับ ‘ใจมุ่งหาไพศาล’”
อวี๋เสวียนสูดลมหายใจดังเฮือก
อำมหิตยิ่งนัก โหดร้ายไร้ปราณี
——