กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 788.5 ริมลำคลอง
ส่วนเหตุใดเมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อนนายท่านป๋ายเจ๋อถึงได้เลือกทรยศเผ่าพันธุ์เดียวกันทุกคนของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง แล้วเหตุใดในสงครามใหญ่ก่อนหน้านี้ถึงจะเลือกจะนิ่งดูดาย
ไม่พอใจก็ส่วนไม่พอใจ แต่นับถือก็ยังคงนับถืออยู่ดังเดิม
เหตุผลนั้นเรียบง่ายอย่างยิ่ง ป๋ายเจ๋อมีชีวิตมานานมากพอ แข็งแกร่งมากพอ
อีกอย่างขอแค่ครั้งนี้นายท่านป๋ายเจ๋อยินดีกลับคืนสู่บ้านเกิด ถ้าอย่างนั้นพวกเราจะไปเยือนใต้หล้าไพศาลอีกรอบก็ไม่เป็นปัญหาใดๆ!
แล้วนับประสาอะไรกับที่ยังมีเฒ่าตาบอดที่ไม่เคยช่วยใครสักฝ่ายมาหนึ่งหมื่นปี คราวนี้ก็ถึงกับเลือกมาเยือนอยู่ฝั่งเดียวกับใต้หล้าเปลี่ยวร้าง
ทว่าทางฝั่งของใต้หล้าไพศาลเอง หนึ่งซ้ายหนึ่งขวาก็มีคนสองคนปรากฏกายเช่นเดียวกัน
หนึ่งคือภิกษุน้ำแกงไก่ เคยพิทักษ์คุ้มครองคนจุดตะเกียงสืบทอดของใต้หล้าไปส่ง มีบันทึกบางอย่างในตำราลัทธิพุทธที่บันทึกเรื่องที่ภิกษุน้ำแกงไก่ช่วยพิทักษ์ตะเกียงให้อีกฝ่ายสามสิบปี
รวมไปถึงคนพิฆาตมังกรที่หายสาบสูญไปสามพันปี
เพราะเจ้านครจักรพรรดิขาวได้หันตัวไปก้มหน้าคารวะผู้เฒ่าคนนั้นแล้ว
ต่อให้เป็นเฟยเฟยแห่งใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่มองมาไกลๆ ก็ยังรู้สึกตะครั่นตะครอไม่เป็นตัวของตัวเอง แล้วนับประสาอะไรกับตั้นตั้นฮูหยินแห่งหลุมน้ำลู่ของใต้หล้าไพศาล รวมไปถึงสุ่ยจวินห้าทะเลสาบทุกคน ที่ต่างก็สัมผัสได้ถึงการสยบกำราบบนมหามรรคาจากพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่ไพศาลขุมนั้น
เฒ่าตาบอดที่ผอมแห้งราวลำไม้ไผ่ ดวงตาสองข้างลึกโบ๋ สองมือไพล่หลัง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ข้าแค่มาดูเรื่องสนุก ยืนอยู่ตรงไหนก็เหมือนกันนั่นแหละ”
คนพิฆาตมังกรที่สวมชุดคลุมอาคมตัวยาวสีขาวหิมะ ไม่ใช่ชุดเขียวตามแต่ใจอีกต่อไป ในที่สุดวันนี้ก็กลับมาเผยโฉมหน้าที่แท้จริง คือบุรุษคนหนึ่งที่มองดูแล้วยังหนุ่มอยู่มาก เขาเหมือนจะมองสบตากับเฒ่าตาบอด ยิ้มเอ่ยว่า “ฆ่าใครก็เหมือนกันนั่นแหละ”
สองฝ่ายที่คุมเชิงกันในวันนี้ ใต้หล้าไพศาล ใต้หล้าเปลี่ยวร้าง
ระหว่างทั้งสองฝ่ายยังมีกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่ตั้งตระหง่านมาหมื่นปีอีกแห่งหนึ่ง
อันที่จริงต่อให้เป็นทุกคนที่มาประชุมในศาลบุ๋น ผู้ฝึกตนบนยอดเขาส่วนใหญ่ก็ล้วนไม่เคยไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่มาก่อน
คนของใต้หล้าไพศาลจำนวนมากกว่านั้น อันที่จริงไม่เคยเข้าใจกำแพงเมืองปราณกระบี่อย่างแท้จริงด้วยซ้ำ
แค่เคยได้ยินมาว่าที่นั่นมีผู้ฝึกกระบี่มากมายราวก้อนเมฆ คนที่นั่นต่างก็มองใต้หล้าไพศาลเป็นศัตรู
ราวกับว่าคนของที่นั่นมีแค่ผู้ฝึกกระบี่ และมีเพียงผู้ฝึกกระบี่เท่านั้น
ไม่มีเหตุผล หยาบกระด้างป่าเถื่อน ดีแต่ฝึกกระบี่ คือพวกคนประหลาด
ไม่มีการพบพรากสุขทุกข์
ความเป็นความตายของที่นั่นคล้ายจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับใต้หล้าเปลี่ยวร้างเท่าใดนัก
เพราะว่าไม่เคยเห็น ไม่เคยได้ยินมาก่อน จึงไม่รู้
ดังนั้นริมขอบอาณาเขตของแผนที่ขุนเขาสายน้ำใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่อยู่บนพื้นจึงปรากฎเส้นยาวใหม่เอี่ยมเส้นหนึ่งขึ้นมา คือกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนั้น
ภาพต่อมา
ต่อให้เป็นคนอย่างเฉินผิงอันก็ยังเริ่มจะหน้าแดง…รู้สึกว่าฝีมือนี้ของหลี่เซิ่งช่างไร้เหตุผลเกินไปแล้ว
เพราะที่นั่นมีม้วนภาพขุนเขาสายน้ำภาพหนึ่งปรากฏขึ้นมา เป็นภาพของร้านเหล้า แล้วยังมีกลอนคู่หนึ่งบท
เซียนกระบี่ กระบี่สามฉื่อ กวาดมองรอบด้านล้วนว่างเปล่า ศัตรูอยู่ที่ใด วีรบุรุษช่างเปลี่ยวเหงา
ในถ้วยเหล้าสองตำลึง มาร่วมกำจัดความทุกข์นานหมื่นปีนี้ไปด้วยกัน เมื่อเมามายก็คือการพักผ่อน เงินนับเป็นอะไรได้
สุดท้ายประโยคที่อยู่ในแนวนอนคือประโยคว่า ผู้ที่ดื่มเหล้าข้าสามารถฝ่าทะลุขอบเขต
ซิ่วไฉเฒ่าใช้ศอกกระทุ้งฝูเซิ่งอริยะที่อยู่ข้างกาย “เป็นอย่างไร?”
อาจารย์ผู้เฒ่าฝูได้แต่ ‘มอบของกลับคืนสู่เจ้าของเดิม’ ด้วยการเอ่ยอย่างจนใจว่า “สุดยอดเลย”
จั่วโย่วยื่นมือมากุมขมับ
อาเหลียงทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง “ตัวอักษรดี เรียนรู้ไปจากข้า”
ฮูหยินภูเขาชิงเสินยิ้มอย่างรู้ทัน
นี่ก็คือร้านเหล้าในกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนั้น?
เฉินผิงอันพลันหยิบเหล้ากาหนึ่งออกมาแล้วเริ่มดื่ม
เพราะภาพต่อมาก็คือภาพผนังแห่งหนึ่งที่แขวนแผ่นไม้ไว้เต็มไปหมด
ป้ายสงบสุขปลอดภัยของร้านเหล้าแต่ละแผ่น
ป้ายสงบสุขจำนวนไม่น้อย อันที่จริงแม้แต่เฉินผิงอันก็ยังไม่เคยเห็นมาก่อน
เพราะตอนนั้นเฉินผิงอันได้เข้าไปอยู่ในคุกที่เฒ่าหูหนวกเป็นผู้บัญชาการณ์แล้ว
ตอนที่ได้กลับมาเห็นแสงตะวันอีกครั้งก็ไปเยือนหัวกำแพงเมือง นครบินทะยานได้บินจากไปแล้ว
บุปผางามดวงจันทร์กลมโต คนอายุยืนยาว ผู้ฝึกกระบี่เกาขุย
และคนผู้นี้ก็คือผู้ฝึกกระบี่คนสุดท้ายของสายหลงจวินแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ การออกกระบี่ครั้งสุดท้ายในชีวิตของคนผู้นี้ คือเกาขุยถามกระบี่ต่อหลงจวิน คือผู้เยาว์ที่ถามกระบี่ต่อบรรพจารย์
ตกอยู่ในห้วงรัก กระบี่มิอาจชักออกจากฝัก เว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะ
ใต้หล้าแห่งนี้ควรรู้ว่าข้าหยวนชิงสู่คือเซียนกระบี่ ลูกศิษย์ใหญ่ของต้าหรางสุ่ยแห่งทักษินาตยทวีป
สุราของที่นี่รสชาติดีซ้ำยังราคาถูก ยอดเยี่ยมอย่างถึงที่สุด หากเชื่อไว้ก่อนได้จะยิ่งดี เถาเหวิน
อาจารย์ขายเหล้า ลูกศิษย์ซื้อเหล้า มิตรภาพระหว่างอาจารย์และศิษย์ชวนให้คนซาบซึ้งใจ คงอยู่ตราบชั่วฟ้าดินสลาย ลูกศิษย์กวอจู๋จิ่ว
ความทรงเสน่ห์ในอดีตมิต้องพูดถึง ร้อยศึกผันผ่านหลายฤดูกาล ดื่มให้สาแก่ใจเมามายหนุนกระบี่ต่างหมอน เฝ้าฝันว่าให้ชิงเสินรินสุรา
จากนั้นผู้ฝึกกระบี่เฒ่าก่อกำเนิดที่ไม่เชี่ยวชาญเรื่องการเขียนบทกวียังคงไม่สาแก่ใจมากพอ จึงแอบใช้นามแฝงเป็นชื่อผู้ประพันธ์ เขียนลงไปบนแผ่นป้ายสงบสุขอีกแผ่นหนึ่งว่า
เรื่องประชันบทกวี ข้าผู้อาวุโสเรียกตัวเองว่าที่สอง ไม่มีใครกล้าบอกว่าเป็นที่หนึ่ง เว้นเสียจากเถ้าแก่รอง
เซียนกระบี่ครึ่งหนึ่งบนโลกคือสหายข้า สตรีคนใดในใต้หล้าไม่เขินอาย ข้าใช้สุราเข้มข้นล้างกระบี่ ใครเล่าไม่กล่าวว่าข้าสง่างาม
เป็นผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดของอุตรกุรุทวีปคนหนึ่งที่เขียนประโยคนี้ รบตายไปแล้ว
เจ้าประมุขรุ่นที่สี่ของสำนักกระบี่ไท่ฮุย หานไหวจื่อ ชีวิตนี้ไม่มีความเสียดายใหญ่หลวงอะไร
หานไหวจื่อเองก็รบตายไปแล้ว
แม่นางหนิง เจ้ามีคนที่ชอบแล้ว ข้าเสียใจมาก หลิวเถี่ยฟู
คือผู้ฝึกกระบี่ในท้องถิ่นขอบเขตประตูมังกรคนหนึ่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่ เลื่อนเป็นขอบเขตโอสถทองได้ไม่นานก็รบตาย
ข้าผู้อาวุโสอ่ายป้ายสงบสุขมาหมดแล้ว กล้าพูดเลยว่า ผู้ฝึกกระบี่ใต้หล้าไพศาลของพวกเรา เวทกระบี่สู้กำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่ได้แล้วอย่างไร เพราะตัวอักษรของพวกเรา เขียนได้ดีกว่ามากนัก!
ป้ายสงบสุขปลอดภัยแผ่นนี้คือป้ายแผ่นเดียวที่เขียนตัวอักษรครบทั้งด้านหน้าและด้านหลัง
คนของใต้หล้าไพศาลที่เขียนตัวอักษรไม่เป็นอย่างเจ้า แล้วยังมีคนที่ขายเหล้าไม่เป็นอย่างเถ้าแก่รอง ลองมาตีกับกำแพงเมืองปราณกระบี่ของพวกเราอีกสักทีสิ หรือจะตีกันมากกว่านั้นก็พร้อมเสมอ
ด้านหน้าเป็นผู้ฝึกกระบี่โอสถทองหนุ่มคนหนึ่งของฝูเหยาทวีปที่เป็นคนเขียน ด้านหลังคือผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดคนหนึ่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่เป็นผู้เขียน ภายหลังทั้งสองฝ่ายยังได้เป็นเพื่อนกัน
หวังไจ่วิญญูชนของสายหลี่เซิ่งก็ทิ้งป้ายสงบสุขไว้แผ่นหนึ่งเช่นกัน
ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความใจกว้าง ปฏิบัติต่อตัวเองด้วยความเข้มงวด ใช้เหตุผลสยบผู้คน ใช้คุณธรรมพันธนาการตน ใต้หล้าสงบสุข ไร้เรื่องราวใดอย่างแท้จริง
ประพฤติตนมีเมตตากรุณา ขอแค่ยินดีทำ ความเมตตากรุณาก็จะมาสู่ตน หวังให้ผู้ที่ยินดีทำเช่นนี้ ไร้ความกลัดกลุ้มทุกข์ใจ
สองประโยคของป้ายสงบสุข ประโยคแรกเขียนด้วยอักษรสิงซู ประโยคที่สองเขียนด้วยอักษรเสี่ยวข่ายเล็กเท่าหัวแมลงวัน
ป้ายสงบสุขปลอดภัยแผ่นหนึ่งที่ลบตัวอักษร ‘เซียน’ ในชื่อออก แก้เป็นคำว่า ‘ผู้ฝึก’ แทน
เถ้าแก่รองผู้ไม่เคยหลอกหลวงใคร เฉินผิงอันผู้มีพฤติกรรมดื่มเหล้าเป็นเอกไร้ใครเทียม
สายเหวินเซิ่ง ความรู้ไม่ตื้นเขิน หนังหน้ายิ่งหนากว่า เถ้าแก่รองวันหน้ามาที่หลิวเสียทวีปของข้า จะเลี้ยงเหล้าดีๆ ที่แท้จริงให้แก่เจ้า ซือถูจีอวี้เซียนกระบี่แห่งธวัลทวีป ข้าผู้อาวุโสเป็นขอบเขตหยกดิบ จะไม่ใช่เซียนกระบี่ได้อย่างไร?
หลินจวินปี้เคยดื่มเหล้านี้ สามปีฝ่าทะลุสามขอบเขตเท่านั้น
ตอนมาก่อกำเนิด ตอนไปก่อกำเนิด ไม่เคยฝ่าทะลุขอบเขต ผิดต่อสุรารสเลิศ อุตรธวัลทวีป เติ้งเหลียง
ดื่มเหล้าได้ ฆ่าปีศาจได้ แต่งกลอนได้ ความสามารถไม่แพ้เถ้าแก่รอง น่าเสียดายที่รูปโฉมพ่ายแพ้ให้แก่อู๋เฉิงเพ่ย ชีวิตนี้ของข้าสมบูรณ์แบบมากแล้ว ขาดก็แค่เมียแล้วล่ะ
ในกระเป๋ามีเงิน กินเหล้าให้ร้านถล่มไปเลย
เวทกระบี่พอใช้ได้
ข้าผู้อาวุโสร่วมมือกับอาเหลียงก็สามารถสังหารปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานได้แล้ว
หากในอนาคตอาเหลียงเลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่ ต้องผสานมรรคากับหนังหน้าแน่นอน
ผายลมกับมารดาเจ้าเถิด การช่วงชิงบนมหามรรคาครั้งนี้ เจ้าชาติสุนัขสู้เถ้าแก่รองไม่ได้หรอก
น่าหลันไฉ่ฮ่วน ข้าไปแปบเดียวเดี๋ยวก็กลับมา
ไร้เสียงขลุ่ยที่คนเลี้ยงสัตว์เป่า ไร้เสียงกระดิ่งที่คออูฐ มีเพียงเสียงลมพัดผ่าน
น้ำพุที่ดีมีไว้ให้คนว่างงาน เหล่าแม่นางคนดีอย่าได้ถูกคนหลอกไป
ชีวิตนี้ไม่เคยดื่มเหล้าเมามาก่อน ต้องโทษเหล้า
เฉินหลี่ กระบี่ประจำกายฮุ่ยหมิง กระบี่บินอู้เม่ย เซียนกระบี่อายุร้อยปี แค่เอื้อมมือคว้าก็ได้มาครอง
บนโลกนี้ไม่มีเหล้ารสชาติดี เจ้าชาติสุนัขคืนเงินข้ามา
ลู่จื่อสวยจริงๆ
ชีวิตคนเราแสนสั้นแสนขมขื่น ฝึกกระบี่ช่างยากเย็นเหลือเกิน
หน้าม้าคืออะไร ไม่มีหรอก เถ้าแก่รองเป็นเจ้ามือ มีเกียรติหยิ่งในศักดิ์ศรี องอาจผึ่งผาย
อาเหลียงมีชาติกำเนิดจากตระกูลปัญญาชนของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง? ตีให้ตายข้าก็ไม่เชื่อ อิ่นกวานไม่ใช่ลูกหลานตระกูลชนชั้นสูงของใต้หล้าไพศาลจริงๆ? ข้าไม่เชื่อหรอก
น่าหลันเจ้าโจรเฒ่า หากไม่ไสหัวไปให้ไกล ก็จงให้ตำแหน่งที่ทางแก่แม่นางป๋ายเสียโดยดี
เวทกระบี่ของจั่วโย่วสูงกว่าข้าเพียงเล็กน้อย
แม่นางเตี๋ยจ้าง หากเถ้าแก่รองกล้าแต๊ะอั๋งเจ้า มาบอกข้าคำเดียว ข้าจะไปฟ้องหนิงเหยา
การมาครั้งนี้ มาอย่างสำราญใจ จากไปอย่างเบิกบาน
ทุกครั้งล้วนเป็นข้าที่จ่ายเงินค่าเหล้า หากวันใดข้าไม่อยู่ข้างโต๊ะเหล้าแล้ว เถ้าแก่รองโปรดเห็นแก่หน้าข้า ยอมแหกกฎให้พวกสหายยากจนกลุ่มนั้นเชื่อเงินค่าเหล้าสักครั้ง ขอขอบคุณมา ณ ที่นี้
ใต้หล้าไพศาล มีเก้าทวีปไหนบ้าง? เคยได้ยินมาก่อน แต่กลับลืมไปแล้ว
มองนางแวบเดียว สีสันใดโลกมนุษย์ก็จืดชืดราวฝุ่นผง
จำได้ว่าตอนเด็กมีอยู่ปีหนึ่ง จักจั่นในหน้าร้อนร้องเสียงดังหนวกหูมากเป็นพิเศษ หน้าหนาวบนถนนหิมะกองทับถมจนหนาวก้น เพียงแต่ลืมไปแล้วว่าเป็นปีใด
อาศัยอะไรข้าคือเซียนกระบี่เขาก็คือผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิด ตอนอายุห้าสิบปี ข้ายังคงเป็นขอบเขตประตูมังกร เขาก็คือขอบเขตก่อกำเนิด จะมาช่วยข้าทำไม?
เหตุใดถึงมีใต้หล้าที่มีดวงจันทร์เพียงแค่ดวงเดียวได้? เป็นคนโสดเหมือนข้าผู้อาวุโสหรือ?
เรื่องบางอย่างมักจะมาถึงอย่างเชื่องช้าเสมอ คนบางคนมักจะจากไปอย่างรีบร้อนเสมอ ดื่มเหล้าช่างขมจริงๆ
ก้นของนางใหญ่ขนาดนั้น เอวของนางบางขนาดนั้น สรุปแล้วมีอะไรดีบ้าง
ดอกไม้เหลืองเหลือง เมฆขาวขาว ภูเขาเขียวเขียว หนุ่มน้อยอายุน้อย
หนึ่งหมัดก็คว่ำเถ้าแก่รองได้แล้ว ข้าขำจนปวดท้อง
ตะเกียงบนโต๊ะมืดครึ่งแถบ แสงจันทร์นอกหน้าต่างสว่างครึ่งซีก มีคนรู้สึกว่าไม่สว่างมากพอ มีคนรู้สึกว่าไม่มืดมากพอ ยังเหลือเหล้าอีกครึ่งกา อ้วกเสร็จแล้วค่อยดื่มใหม่แล้วกัน
ฮ่องเต้ อัครเสนาบดี จ้วงหยวนหลาง คืออะไร เอามาเป็นกับแกล้มแกล้มเหล้าได้ไหม? แล้วหลุมศพบรรพบุรุษล่ะคืออะไร?
ถูกผิดล้วนอยู่ในถ้วยเหล้า
หัวกำแพงเมืองบ้านข้าสูงเกินกว่าเมฆขาว ไพศาลมีหรือไม่?
ปราณกระบี่บนหัวกำแพงเมือง งูและมังกรโบยบิน
แค่ไม่ได้มาดื่มเหล้าถ้วยใหญ่ๆ แค่ไม่กี่วัน ป้ายสงบสุขมีเยอะขนาดนี้เชียวหรือ?
ผิดต่อสาวงาม ผิดต่อกระบี่
หล่นลงพื้นร้องโฮดังลั่น หัวเราะร่าเสียงดังจากไป
ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่แล้วอย่างไร ถึงอย่างไรก็จะมาดื่มเหล้าที่นี่
มานะฝึกกระบี่ปีแล้วปีเล่าก็ยังฝึกไม่ได้ห้าขอบเขตบน กลับเป็นเหล้าทะเลสาบคนใบ้ที่ดื่มไปไม่กี่ถ้วยก็กลายเป็นคนใบ้จริงๆ แล้ว
วันนี้ดูเหมือนจะไม่มีอะไรให้เขียน คราวหน้าดื่มเหล้าแล้วค่อยชดเชย
ช่วงนี้เถ้าแก่รองไม่มาขอดื่มเหล้า พวกแม่นางน้อยที่มาซื้อเหล้าก็น้อยไปด้วย ดื่มเหล้าไปแล้วก็ไม่รู้รสรู้ชาติเสียเลย
ป้ายสงบสุขบนกำแพงส่ายอย่างแรง แต่ข้าไม่ได้เมา ไม่แข่งเวทกระบี่แข่งเรื่องคอแข็ง ต่งซานเกิงบวกกับเฉินซีล้วนต้องเรียกข้าว่าพี่ชาย
เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสท่านไม่รับข้าเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอด เอ่ยประโยคที่มีมโนธรรมสักคำ เป็นเพราะกลัวเวทกระบี่ของข้าจะล้ำหน้าท่านผู้อาวุโสใช่หรือไม่?
ที่นี่ของพวกเรา ขอบเขตหยกดิบยังเป็นแค่ผู้ฝึกกระบี่ ได้ยินมาว่าผู้ฝึกกระบี่โอสถทอง ก่อกำเนิดของใต้หล้าไพศาลก็คือเซียนกระบี่อะไรนั่นแล้ว ข้าผู้อาวุโสไม่ได้ถูกโซ่วเฉินฆ่าตาย แต่เกือบจะขำตายเพราะเรื่องนี้
เถ้าแก่รองไม่ใช่สตรี น่าเสียดายเสียจริง
วันนี้เปลี่ยนมาสวมชุดกระโปรงที่แนบกระชับตัวเล็กน้อย นั่งดื่มเหล้าบนม้านั่งยาวที่ไม่กว้าง ดูเหมือนว่าใต้เท้าอิ่นกวานที่นั่งยองอยู่ข้างทางจะเหลือบมองข้าอยู่ตลอด
ขอแค่ข้าผู้อาวุโสได้ดื่มเหล้าก็จะใช้กระบี่ฟันต่งซานเกิง ใช้หมัดต่อยเจ้าชาติสุนัข ใช้เท้าถีบเถ้าแก่รอง
ได้ยินมาว่าเทพธิดาของใต้หล้าไพศาล ทุกครั้งที่ทาผงประทินโฉมลงบนใบหน้า ต้องเสียเวลาเป็นครึ่งชั่วยาม ถ้าอย่างนั้นหน้าจะไม่หนักเจ็ดแปดตำลึงเลยหรือ? จะสวยได้จริงหรือ?
ฝันไปตื่นหนึ่ง ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน
ความรักชายหญิง ยามที่ชอบกันและกัน คือกระจกบานกลม คือพระจันทร์กลมดิก เมื่อความรักทำให้เสียใจ ก็เหมือนใช้ค้อนทุบดวงจันทร์แหลกสลาย ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ชอบมากขนาดนั้นอีกแล้ว แต่กลับจดจำได้ดียิ่งกว่าเดิม
เถ้าแก่รองที่นั่งอยู่บนม้านั่งตัวเล็กเป็นนักเล่านิทาน ดูสง่างามอยู่บ้างเล็กน้อย
ผู้ฝึกกระบี่ต่างถิ่นจงรีบกลับบ้านกันไปเถิด
เฉินผิงอันคือคนบ้านเกิดข้า
เห็นทัศนียภาพที่งดงามนี้ ประทับใจมิรู้ลืม
……
หลี่เซิ่งสะบัดชายแขนเสื้อเก็บม้วนภาพมา ยิ้มเอ่ยว่า “ไว้ค่อยประชุมกันใหม่”
ส่วนทั้งสองฝ่ายจะประชุมกันที่ไหนเมื่อไหร่ บัณฑิตท่านนี้กลับไม่ได้บอก
เพียงแค่เก็บบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำของศาลบุ๋นลงไป
ยามที่วางแผนต้องฟังความคิดของผู้อื่นให้มาก ยามที่ต้องตัดสินใจอย่างเด็ดขาดควรมีความคิดเป็นของตัวเอง
เรื่องที่ต้องประชุมอย่างแท้จริง ยังคงเป็นเรื่องซากปรักสรวงสวรรค์แห่งนั้น
นาทีถัดมา อาเหลียงและจั่วโย่วมองสบตากัน ต่างก็มีสีหน้าเคร่งเครียด
เพราะเฉินผิงอันหายตัวไปแล้ว
ริมลำคลองสายหนึ่ง
ไม่รู้ว่าเหตุใด บรรพจารย์ของสามลัทธิกลับไม่ได้ปรากฏตัว
หลี่เซิ่ง
หย่าเซิ่ง
เหวินเซิ่ง
ป๋ายเจ๋อ
เฒ่าตาบอด
คนพิฆาตมังกร
ตงไห่ เจ้าอารามผู้เฒ่าอารามกวานเต๋า
ภิกษุน้ำแกงไก่
เต้าเหล่าเอ้อ อวี๋โต้ว
ลู่เฉิน เจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิง
อู๋ซวงเจี้ยงแห่งตำหนักสุ้ยฉู
และยังมีคนผู้หนึ่งที่เฉินผิงอันไม่รู้ว่าเป็นใคร
ทุกคนยกเว้นเฉินผิงอัน ต่างก็เป็นขอบเขตสิบสี่ทั้งหมด
อู๋ซวงเจี้ยงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ได้เจอหน้ากันเร็วขนาดนี้เชียว”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
ลู่เฉินโบกมืออย่างแรง “เฉินผิงอัน ข้าเองไง”
เฉินผิงอันแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น
ซิ่วไฉเฒ่าที่ยืนอยู่ด้านข้างเอ่ยเสียงเบาว่า “แค่รับฟังไปก็พอ”
เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที ถือโอกาสทรุดตัวลงนั่งยอง พยายามจะยื่นมือไปวักน้ำ
กลางน้ำที่กอบไว้ในฝ่ามือปรากฏร่างคนชุดขาวผู้หนึ่ง นางเรือนกายสูงใหญ่ ดวงตาทั้งคู่เป็นสีทอง
ซิ่วไฉเฒ่ากระทืบเท้าอย่างแรง “โอ้โห ผู้อาวุโส…อาวุโสกะผีอะไร ที่แท้ก็เป็นพี่หญิงเทพเซียนที่มาเองหรือ”
เฉินผิงอันเก็บมือมา ลุกขึ้นยืน
ในมือของนางหิ้วศีรษะไว้ศีรษะหนึ่ง ส่วนตัวนางสวมเสื้อเกราะสีทองไว้บนร่าง
——