กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 791.1 เตรียมการรบ
การประชุมศาลบุ๋น
เมื่อเทียบกับตำแหน่งของการประชุมสองครั้งก่อนหน้านี้ที่กฎเกณฑ์เข้มงวด การประชุมครั้งนี้ก็ค่อนข้างจะผ่อนคลายตามแต่ใจ สามารถเลือกตำแหน่งที่นั่งได้ตามสบาย แล้วก็ไม่มีการแบ่งตำแหน่งประธานตำแหน่งรั้งท้ายอะไร คนที่มีมิตรภาพส่วนตัว สนิทกันมาหลายรุ่น หรือมีความสัมพันธ์ควันธูปต่อกันมากหน่อย ส่วนมากก็นั่งจะนั่งอยู่รวมกัน หลี่เซิ่งไม่อยู่ หย่าเซิ่ง เหวินเซิ่งก็หายตัวตามไปด้วย เห็นได้ชัดว่าสำหรับทุกคนแล้ว ต่อให้เป็นผู้อำนวยการ รองผู้อำนวยการ เจ้าขุนเขาสำนักศึกษาของศาลบุ๋น ก็ยังอดรู้สึกผ่อนคลายขึ้นหลายส่วนไม่ได้
อาเหลียงนั่งแปะอยู่กับพื้น สองมือยันพื้น ยืดขาสองข้างออก ผ่อนลมหายใจยาวเหยียด
จิงเซิงซีผิงเตรียมโต๊ะและเสื่อไผ่เขียวมาไว้เรียบร้อยแล้ว บนโต๊ะแต่ละตัวมีกระดาษ พู่กัน หมึก แท่นฝนหมึก มีผลไม้ตระกูลเซียนหนึ่งถาด พุทราเซียนหลายลูกที่มาจากจวนตระกูลเซียนแห่งหนึ่งของเส้นทางโบราณเซียนเสีย ลวดลายบนเปลือกของพุทราเหมือนแสงเรื่อเรืองยามเย็นที่ไหลริน ผลซิ่งสีเหลืองทองหลายลูกที่มาจากอารามจิงเหว่ยลัทธิเต๋าแผ่นดินกลาง ท้อมรกตที่ปลูกอยู่ข้างศาลาราตรีมรกตของบรรพจารย์จวนฉวินอวี้อวิ้น นอกจากนี้ยังมีลูกเหมย กระจับที่มาจากถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลต่างกัน ของแต่ละอย่างปริมาณไม่มาก แต่มองดูแล้วหลากสีสัน มองแล้วสบายตา อาเหลียงหยิบท้อมรกตขึ้นมาลูกหนึ่ง กัดกินหนึ่งคำ รสชาติยอดเยี่ยม เคลิบเคลิ้มจนเขาต้องหรี่ตาลง จริงดังคาด เจ้าของสิ่งนี้ต้องรอให้สุกก่อนถึงจะอร่อยจริงๆ
ปีนั้นไปเยี่ยมเยือนจวนฉวินอวี้อวิ้น ตอนอยู่ศาลาราตรีมรกตไม่มีใครบอกกับตนว่าท้อมรกตสุกแล้วหรือยัง ถึงอย่างไรเมื่อท้อมรกตสุกงอมเต็มที่แล้วก็ไม่มีทางเป็นสีแดงปลั่ง อาเหลียงเด็ดเอามาหอบใหญ่ ตอนนั้นเพราะมีธุระติดตัวต้องรีบเดินทาง จึงไม่ทันได้ทักทายกับทางฝั่งของอวิ้นฟู่ ลงจากเขามา เปรี้ยวจนเกือบฟันหัก ผลท้อที่ตนเด็ดมา ต่อให้ต้องกลั้นน้ำตาก็ควรต้องกินให้หมดไม่ใช่หรือ? บันเทิงคนเดียวไม่สู้บันเทิงกันเป็นกลุ่ม ภายหลังออกเดินทางท่องไปทั่วหล้า อาเหลียงจึงมอบให้กับสหายบนภูเขาไปหลายคน ใช้แทนหนี้เหล้าสองสามก้อน ไม่รู้ว่าเหตุใด ภายหลังในช่วงเวลาหลายสิบปีถึงมีคำกล่าวว่าท้อมรกตของศาลาราตรีมรกตไม่สมชื่อ เดิมทีรายงานขุนเขาสายน้ำทุกฉบับล้วนให้คำชมสรรเสริญว่าเป็นผลท้ออันดับหนึ่งในใต้หล้า กลายเป็นว่าอันดับหนึ่งนับมาจากช่วงท้าย นี่ออกจะเกินไปสักหน่อย อาเหลียงรู้สึกอยุติธรรมอย่างยิ่ง รู้สึกว่าท้อมรกตนี้รสชาติประหลาด แต่หากจะบอกว่าเป็นอันดับหนึ่งนับมาจากด้านหลัง ก็ไม่ถึงขนาดนั้นจริงๆ ดังนั้นจึงอาศัยรายงานขุนเขาสายน้ำของตระกูลที่คุ้นเคยกันดีมาเอ่ยทวงความเป็นธรรมแทนท้อมรกตของศาลาราตรีมรกต คิดไม่ถึงว่าทางฝั่งของจวนฉวินอวี้อวิ้นจะไม่แบ่งดีร้าย ถึงกับตั้งป้ายห้ามเข้าที่ทำให้คนเสียใจอย่างมาก บอกว่าอาเหลียงและหมาห้ามขึ้นเขามาเด็ดลูกท้อ
อาเหลียงใช้คุณธรรมตอบแทนความแค้น ยังคงพูดจาดีๆ แทนท้อมรกตของศาลาราตรีมรกต บอกว่ากินท้อมรกตของศาลาราตรีมรกตไปหนึ่งลูก บัณฑิตสามารถสติปัญญาเปิดกว้าง รวบรวมปราณวิญญาณฟ้าดินให้กลายเป็นโชคชะตาบุ๋น ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวสามารถเพิ่มพลังได้หกสิบปี การหลอมลมปราณเข้าฌานของผู้ฝึกตนก็ราวกับมีเทพคอยช่วยเหลือ ภายหลังได้ยินมาว่าในช่วงเวลาหลายปีนั้น ทางจวนของฉวินอี้อวิ้นมีแขกที่เลื่อมใสในชื่อเสียงมาเยือนหลายคน เป็นเหตุให้ท้อมรกตของศาลาราตรีมรกตได้ผลเก็บเกี่ยวไม่ค่อยดีนัก
ผดุงคุณธรรมเพื่อคนอื่น ทำสำเร็จแล้วก็ไม่คิดจะทิ้งชื่อไว้ ไม่ว่าเรื่องอะไรล้วนปฏิบัติต่อผู้อื่นเป็นอย่างดี ทุกเรื่องล้วนสร้างความสะดวกสบายให้ผู้อื่น นี่ก็คือวัตถุประสงค์ในการออกท่องยุทธภพของอาเหลียง
บนโต๊ะยังวางกาเหล้าไว้สองกา กาหนึ่งคือเหล้าชิงเสินของถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ อีกกาหนึ่งคือเหล้าหมักสิบบุปผาของพื้นที่มงคลร้อยบุปผา
จอกเหล้าคือจอกเทพีบุปผาจำลองที่มีเฉพาะของพื้นที่มงคลร้อยบุปผา ก็ถือว่าเป็นของทางการที่เลียนแบบทางการ ราคาไม่ธรรมดาแล้ว
จอกเหล้าบนโต๊ะของอาเหลียงใบนี้คือจอกดอกท้อ วาดเป็นรูปดอกท้อชูช่อ สีแดงเข้มสีแดงอ่อนน่ารักน่าเอ็นดู คล้ายสตรีที่บ้างประทินโฉมเข้มบ้างประทินโฉมอ่อนจาง ด้านข้างยังเขียนกลอนร่ายบุปผาบทหนึ่งของอาจารย์ผู้เฒ่าหานรองเจ้าลัทธิศาลบุ๋นเอาไว้ด้วย
อาเหลียงหันหน้าไปมองซีผิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตู ไม่ต้องให้อาเหลียงสอบถาม ซีผิงที่สัมผัสได้ถึงสายตาของอีกฝ่ายก็เป็นฝ่ายกล่าวว่า “นอกจากพู่กัน หมึก กระดาษและแท่นฝนหมึกแล้ว ของอย่างอื่นล้วนเอาไปได้”
อาเหลียงถาม “โต๊ะกับเสื่อไม้ไผ่ล่ะ?”
ซีผิงย้อนถาม “เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ?”
อาเหลียงเข้าใจทันที ได้สินะ
พี่ซีผิงช่างมีคุณธรรมน้ำใจเสียจริง
ซีผิงที่รู้ทันรีบเอ่ยทันทีว่า “วันหน้าเมื่อไปถึงสวนกงเต๋อยังจะได้ดื่มชาลวี่เจี่ยก่อนฝนที่เพิ่งออกมาจากพื้นที่มงคลชิงโหย่วของปีนี้ด้วย เป็นอาจารย์ลู่ที่ไปเด็ดมาเองกับมือ ไหว้วานปู้เย่โหวให้นำมาส่งที่ศาลบุ๋น เวลาปกติอาจารย์ต่งยังตัดใจดื่มไม่ลงด้วยซ้ำ”
อาเหลียงยิ้มอย่างรู้ทัน เข้าใจแล้ว วันหน้าจะให้จั่วโย่วไปที่สวนกงเต๋อแล้วเอากลับบ้านมา หรือไม่ก็ถือโอกาสมอบให้ซิ่วไฉเฒ่าไปเลยก็แล้วกัน
ลู่จือรินเหล้าชิงเสินหนึ่งจอก ดื่มสุราในถ้วยจนหมด ทำไมดื่มแล้วรู้สึกเหมือนว่าจะเป็นเหล้าปลอม?
อันที่จริงรสชาติของสุรานั้นไม่เลว เพียงแต่ยังคงมีความรู้สึกว่าไม่ใช่รสชาตินั้น ยังคงเป็นเหล้าภูเขาชิงเสินที่ร้านเตี๋ยจ้างกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่ดื่มแล้วคุ้นเคยมากกว่า
อาเหลียงหันหน้าไปถามฉีถิงจี้ กินหรือไม่ ดื่มหรือไม่ ฉีถิงจี้ยิ้มเอ่ยว่าเอาไปให้หมดได้เลย อาเหลียงจึงไม่เกรงใจ บัณฑิตที่ไม่เชี่ยวชาญเรื่องกิจการงานต่างๆ แถมยังหน้าบางเช่นตน หาเงินได้ยากมากนัก แถมยังติดหนี้นอกบ้านไว้มาก ได้แต่เป็นดั่งนกนางแอ่นที่คาบเอาโคลนมาทำรัง สะสมทีละน้อย ได้ก้อนหนึ่งก็คือก้อนหนึ่ง ส่วนจั่วโย่ว ไม่แม้แต่จะต้องถาม อาเหลียงเอาเหล้า จอกเหล้าและผลไม้ของคนทั้งสองย้ายมาที่โต๊ะของตัวเองรวดเดียวหมด ตำแหน่งใกล้เคียงมีคนหนุ่มอย่างพวกจ้าวเหยากวง หลินจวินปี้นั่งอยู่ด้วย อาเหลียงจึงบอกให้เทียนซือน้อยช่วยนำความไปบอก คนที่ไม่ดื่มเหล้า เอาทั้งกาเหล้าและจอกเหล้ามา ส่วนคนที่ดื่ม เก็บเหล้าไว้ อย่าได้ทำตัวเป็นคนขี้เหนียว ดื่มเหล้าต้องผึ่งผาย ใช้จอกเหล้าจะนับเป็นอะไรได้ เอาจอกเหล้ามา อึกเดียวดื่มออกมาเป็นขอบเขตบินทะยานไม่ได้หรอก ล้วนเอามาให้หมด
ไม่นานอาเหลียงก็เก็บสะสมจอกเทพีบุปผาสิบสองใบได้ครบชุด วางจอกแต่ละใบไว้ทับซ้อนกัน ส่วนใบไหนที่อยู่โดดเดี่ยวอาเหลียงก็ให้พวกจ้าวเหยากวงเรียกพรรคเรียกพวกมา สะสมจอกเทพีบุปผาให้ครบอีกชุด เป็นจอกดอกท้อเหมือนกัน กลอนที่เขียนกลับไม่เหมือนกัน อาเหลียงได้แต่ทอดถอนใจไม่หยุด เหนียงเนียงเจ้าแห่งบุปผาของพื้นที่มงคลร้อยบุปผารู้จักวางตัวจริงๆ
อาจารย์ผู้เฒ่าต่งที่เป็นเจ้าลัทธิของศาลบุ๋นเปิดปากพูดก่อนด้วยเสียงทุ้มหนัก “ใช้ความเที่ยงตรงตอบแทนความแค้น ขนาดใต้หล้าเปลี่ยวร้างยังรู้จักหลักการเหตุผลนี้ ก็ไม่มีเหตุผลที่พวกเจ้าจะไม่รู้”
ประโยคนี้ไม่ได้พูดให้พวกผู้ฝึกตนบนยอดเขาฟัง แต่พูดให้เจ้าขุนเขาสำนักศึกษาบางคนที่ความรู้ลึกล้ำมากพอ แต่ในอกในใจกลับกอดเก็บใต้หล้าไว้หลายแห่งเกินไปฟัง
อาจารย์บางคนศึกษาหาความรู้อย่างระมัดระวังรอบคอบ ส่วนใหญ่จึงมักจะคร่ำครึหัวโบราณเกินไป ความรู้สร้างผลประโยชน์ให้กับวิถีทางโลกมาก แต่เมื่อเกี่ยวพันกับการบำบัดทุกข์บำรุงสุขปวงประชา กลับไม่ค่อยเท่าไรแล้ว
ดังนั้นตัวเลือกบางคนที่ศาลบุ๋นเลือกให้มาเสริมตำแหน่งเจ้าขุนเขาของเจ็ดสิบสองสำนักศึกษาในครั้งนี้ อันที่จริงฝ่ายในของศาลบุ๋นจึงยังมีการถกเถียงกันอยู่
การเปิดประเด็นนี้ของเจ้าลัทธิศาลบุ๋นทำให้บรรยากาศการประชุมเคร่งเครียดขึ้นมาในชั่วพริบตา
ไม่ว่าจะอย่างไร เมื่อหลี่เซิ่งก้าวก้าวนั้นออกไป ก็หมายความว่าครั้งนี้ศาลบุ๋นจะต้องลงมือจัดการกับใต้หล้าเปลี่ยวร้างอย่างจริงจังแล้ว
ระหว่างโต๊ะที่แยกออกเป็นสองฝั่ง ไอน้ำลอยอวลขึ้นมา สุดท้ายปรากฏเป็นภาพขุนเขาสายน้ำห้าภาพ
สี่มหาสมุทรของไพศาล แต่ละแห่งมีทางเข้ากุยซวีอยู่แห่งหนึ่งที่เชื่อมโยงไปยังใต้หล้าเปลี่ยวร้าง
ศาลบุ๋นมีการตั้งชื่อให้กับกุยซวีทั้งสี่แห่ง เทียนมู่ ฉิงจี เสินเซียง รื่อจุ้ย
นอกจากนี้ก็คือท่าเรือสามแห่งที่ชื่อเรียกแบ่งเป็นท่าเรือปิ่งจู๋ ท่าเรือโจ่วหม่า ท่าเรือตี้ม่าย ท่าเรือตี้ม่ายหนึ่งในนั้นได้ถูกจวี้จื่อสำนักโม่สร้างนครขึ้นมาแห่งหนึ่งแล้ว
ทางทิศเหนือของท่าเรือสามแห่งก็คือกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่ยากจะซ่อมแซม
เมื่อเทียบกับกุยซวีสี่แห่งที่อยู่ห่างไกลกันค่อนข้างมาก ท่าเรือสามแห่งและกำแพงเมืองปราณกระบี่สองท่อนสามารถมองว่าเป็นพื้นที่เดียวกันได้
และกุยซวีสี่แห่งที่กระจัดกระจายอยู่ตามจุดต่างๆ ของไพศาล บวกกับท่าเรือสามแห่งที่ตั้งอยู่ทางทิศเหนือสุดของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง สถานที่ห้าแห่งนี้จะกลายมาเป็นจุดหยัดยืนห้าแห่งของใต้หล้าไพศาลในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง
แต่ละคนได้รับตำราคู่มือห้าเล่ม
ตำราหนามาก บันทึกทุกเรื่องราวไว้อย่างละเอียด อธิบายสถานการณ์ของทางเข้าทั้งห้าแห่งไว้อย่างชัดเจน เกี่ยวพันไปถึงลักษณะทางชัยภูมิของกองกำลังสำนัก ราชวงศ์ล่างภูเขาและชนเผ่าทุกแห่งของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง รวมไปถึงการกระจายตัว การเก็บสำรองต้นกำเนิดทรัพยากรต่างๆ ที่แน่ชัด
อวี้พ่านสุ่ยจ้องมองม้วนภาพเหล่านั้นอย่างตั้งใจอยู่ตลอด หากไม่ผิดไปจากที่คาด อีกไม่นานแต่ละแห่งจะต้องกลายเป็นสนามรบที่มีควันดินปืนลอยอบอวลแล้ว
ผู้เฒ่าร่างอ้วนฉุที่เป็นลักษณะของเศรษฐีร่ำรวยผู้นี้ถามอย่างเป็นกังวล “ทางทิศใต้ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ คือเฒ่าตาบอดของเทือกเขาใหญ่แสนลี้ จะทำอย่างไร? หากไม่ทันระวัง การเชื่อมโยงระหว่างกำแพงเมืองปราณกระบี่กับท่าเรือสามแห่งก็จะถูกเจ้าหมอนี่สะบั้นหั่นครึ่ง”
หุ่นเชิดเกราะทองที่อยู่ท่ามกลางภเขาใหญ่แสนลี้ไม่ใช่ว่าได้แต่ย้ายขุนเขาอย่างเดียวเท่านั้น หากเข้าไปอยู่ในสนามรบ สำหรับใต้หล้าไพศาลแล้วก็จะสร้างความเสียหายทางการสู้รบอย่างที่มิอาจประมาณการณ์ได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเฒ่าตาบอดยังเป็นผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่ที่มีประสบการณ์และความอาวุโสสูงมาก อีกทั้งยังอยู่ในฟ้าดินบ้านตัวเอง หมื่นปีที่ผ่านมา แม้แต่ภูเขาทัวเยว่ยังได้แต่หลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่ง หากเฒ่าตาบอดยืนกรานว่าจะขวางทาง ใครจะไปห้ามเขาได้? ต่อให้ห้ามได้ พลังการสู้รบขั้นสูงสุดของใต้หล้าไพศาลก็จะถูกถ่วงรั้งเอาไว้ ยกตัวอย่างเช่นอวี๋เสวียน จ้าวเทียนไล่เทียนซือใหญ่ ฮว่อหลงเจินเหริน? ใช่ว่าจะต้องกินลมตะวันตกเฉียงเหนือเป็นเพื่อนเฒ่าตาบอดผู้นั้นอยู่ทุกวันหรือไม่?
ส่วนผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานทั่วไป เมื่อเจอกับเฒ่าตาบอด ขอบเขตก็ยังไม่มากพอด้วยซ้ำ ไม่แน่ว่าอาจจะถูกปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานที่เฝ้าประตูตัวนั้นจับยัดใส่ซอกฟัน กินอิ่มไปได้สองสามมื้อ
ขอแค่เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตสิบสี่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเว้นจากผู้ฝึกตนใหญ่บนยอดเขาที่ผสานมรรคากับดินอวยพร ประมือกับอีกฝ่ายก็เรียกได้ว่าเป็นฝันร้ายครั้งหนึ่งเลย
อาจารย์ผู้เฒ่าต่งถึงกับทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด
แต่ดูจากสีหน้าท่าทางแล้ว เจ้าลัทธิศาลบุ๋นท่านนี้ไม่ได้เคร่งเครียด กลับกันยังมีรอยยิ้มประดับอยู่
สีหน้าอาเหลียงปั้นยากขึ้นมาทันที
เจ้าตัวดี เพื่อลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของตัวเอง เฒ่าตาบอดก็ไม่รักษาหน้าตาอะไรแล้วจริงๆ
วิ่งไปยืนอยู่กับฝั่งของภูเขาทัวเยว่ แสร้งทำเป็นว่าช่วยโบกธงร้องสนับสนุนใต้หล้าเปลี่ยวร้าง แต่อันที่จริงกลับยังคงไม่ช่วยเหลือทั้งสองทาง ทำท่าว่ากำลังพูดเหตุผลข้อหนึ่งกับศาลบุ๋น ‘เดิมทีข้าต้องช่วยภูเขาทัวเยว่ แต่ตอนนี้รับลูกศิษย์คนดีที่ทั้งเปิดภูเขาและปิดประตูมา เพราะว่าเจ้าเด็กนั่นยังมีสถานะลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อ ดังนั้นจึงไม่เข้าข้างใต้หล้าเปลี่ยวร้างแล้ว วันหน้าหากมีเรื่องจะขอร้องให้ข้าช่วยจริงๆ ศาลบุ๋นของพวกเจ้าก็สามารถไปปรึกษาลูกศิษย์คนนั้นของข้าได้ คำพูดของเขาใช้ได้ผล…’
หลี่ไหวกับขอบเขตบินทะยานตัวที่ทำหน้าที่เป็นองค์รักษ์ผู้ติดตามอย่างนักพรตเนิ่น เวลานี้นายและบ่าวสองคนที่อายุต่างกันยังเดินเล่นอย่างสบายอุราอยู่ที่อำเภอพ่านสุ่ยอยู่เลย
นักพรตเนิ่นรู้สึกว่าได้อาศัยใบบุญของนายท่านใหญ่หลี่ ทำให้ทางฝั่งของศาลบุ๋นคุ้นหน้าคุ้นตาตน วันหน้าหากตนจะมาเที่ยวเยือนใต้หล้าไพศาลอีกก็มั่นคงแล้ว
ไม่กล้าพูดว่าได้นอนเสวยสุขอยู่ทุกวัน แต่เอาเป็นว่าในที่สุดก็ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกฟ้าผ่าหรือต้องกินกระบี่บินอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันแล้ว
หลี่ไหวได้พบเฉินผิงอันแล้วก็อารมณ์ดีมาก เดินดูร้านหนังสือพลางถามเป็นนัยกับนักพรตเนิ่นไปด้วยว่ามีของที่มีมูลค่าหรือไม่ ให้เอาของที่ดูดีมาสักชิ้น จะได้เอาไว้มอบเป็นของขวัญให้คนอื่นได้ วันหน้าไปคิดบัญชีกับเฒ่าตาบอดอาจารย์เกินครึ่งตัวของเขา ล้วนเป็นคนครอบครัวเดียวกัน จะต้องเกรงใจกันไปไย
นักพรตเนิ่นอารมณ์ดียิ่งกว่า ด้านหนึ่งก็พูดจาเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะไม่ทำให้คุณชายที่มอบของขวัญให้กับผู้อื่นต้องถูกหมิ่นเกียรติเด็ดขาด ด้านหนึ่งก็ปล่อยดวงจิตจมจ่อมอยู่ในฟ้าดินเล็ก ว่ายวนไปในวัตถุจื่อชื่อหลายชิ้นอย่างรวดเร็ว เลือกจนตาลาย
คนหนึ่งก็เพราะว่าไม่ได้เห็นตำแหน่งที่ยืนของเฒ่าตาบอดในเวลานั้น ไม่อย่างนั้นมันอาจตกใจจนขวัญกระเจิงทันทีเลยก็ได้
ขอบเขตสิบสี่อย่างเฒ่าตาบอดสังหารได้ไม่ง่าย แต่อยู่ในสถานที่ที่ห่างจากศาลบุ๋นมาแค่ไม่กี่ก้าว คิดจะฟันขอบเขตบินทะยานอย่างมันให้ตายจะไปมีอะไรยาก?
ส่วนอีกคนหนึ่งก็ไม่รู้เช่นกันว่า เพื่อให้เปลี่ยนจากอาจารย์เกินครึ่งตัวมาเป็นอาจารย์เต็มตัว เฒ่าตาบอดถึงกับทำเรื่องประเภทที่ว่า ‘ทิ้งหนังหน้าแก่แนบติดพื้น นึกจะไม่รักษาหน้าก็ไม่รักษาเสียอย่างนั้น’
อาจารย์ผู้เฒ่าต่งไม่ได้พูดอะไรมาก ครุ่นคิดหาถ้อยคำที่เหมาะสมอยู่ครู่หนึ่งก็ได้แต่เอ่ยประโยคที่ค่อนข้างคลุมเครือว่า “แม้ว่าในการประชุมก่อนหน้านั้น ผู้อาวุโสท่านนี้จะยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม แต่เขาไม่มีทางมาเข้าร่วมการรบครั้งนี้แน่นอน ทุกท่านโปรดวางใจ ภูเขาใหญ่แสนลี้ยังคงวางตัวเป็นกลาง”
อาจารย์ผู้เฒ่าหานรินเหล้าหมักสิบบุปผาหนึ่งจอกแล้วดื่มอยู่กับตัวเอง เมื่อเทียบกับเหล้าหมักร้อยบุปผาแล้ว ระดับขั้นห่างชั้นกันเยอะมาก ไม่ใช่ว่าเจ้าแห่งบุผาของพื้นที่มงคลเอาเหล้าหมักร้อยบุปผาที่มากพอออกมาไม่ได้ เพียงแต่ว่าทางฝั่งศาลบุ๋นปฏิเสธไปอย่างละมุนละม่อม อีกทั้งสุราและผลไม้เซียนทั้งหมด ศาลบุ๋นล้วนควักเงินจ่ายเอง ส่วนราคาน่ะหรือ แน่นอนว่าต้องต่ำกว่าราคาตลาดเยอะมาก ในความเป็นจริงแล้วเหล้าและผลไม้ที่อยู่บนโต๊ะแทบจะเป็นวัตถุที่มีราคาแต่ไร้ตลาดทั้งหมด แต่เชื่อว่าตระกูลเซียนและสำนักทุกแห่งที่สามารถได้เผยโฉมหน้าต้องไม่มีทางรู้สึกว่าขาดทุนอย่างแน่นอน
ลู่จือใช้เสียงในใจถาม “การประชุมครั้งนี้จะใช้เวลานานมากหรือ?”
เพราะดูจากท่าทางของศาลบุ๋น นางก็รู้สึกว่าวันนี้หลังจากปิดประตูลงแล้ว หากไม่ใช้เวลาเป็นชั่วยามก็อย่าหวังว่าจะได้เปิดประตูอีก
จั่วโย่วพยักหน้า “หากอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ อย่างน้อยที่สุดก็สามารถเปิดการประชุมได้สิบครั้งแล้ว”
ฉีถิงจี้ยิ้มพูดปลอบใจผู้ถวายงานอันดับหนึ่งบ้านตน “การประชุมที่เป็นเช่นนี้ จำนวนครั้งไม่มาก แต่ขอแค่อดทนผ่านครั้งนี้ไปได้ วันหน้าคิดอยากจะให้มีการประชุมเช่นนี้อีกก็ยากแล้ว”
ลู่จือยังคงปรับตัวไม่ทันอยู่บ้าง จึงได้แต่ดื่มเหล้าดับความอัดอั้น
ตอนที่อยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่ การประชุมของเซียนกระบี่บนยอดเขาสิบกว่าท่าน อันที่จริงก็เป็นแค่คำพูดไม่กี่ประโยคของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส หากไม่มีใครมีความเห็นต่างก็ถือว่าผ่านไปได้แล้ว
ต่อให้เป็นการประชุมกันเองของหอกระบี่ หอภูษา คาดว่าเกือบๆ ครึ่งชั่วยามก็คงมีผู้ฝึกกระบี่กลุ่มใหญ่ที่ทนไม่ไหว หาข้ออ้างออกมานานแล้ว ลู่จือเคยเข้าร่วมอยู่สองสามครั้ง หากเป็นการประชุมสำคัญที่ต่งซานเกิงหรือไม่ก็เฉินซีเป็นผู้ดำเนินการ พวกผู้ฝึกกระบี่ไม่มีความกล้าพอที่จะหนี แต่ละคนรวมตัวกันดื่มเหล้าอยู่นอกห้องโถง ด้านในพูดคุยกัน ด้านนอกดื่มเหล้า ไม่ถ่วงรั้งทั้งสองทาง ขอบเขตของลู่จือสูง และยังมีตัวสำรองยอดเขาอย่างเยว่ชิง หมี่ฮู่ที่สามารถนั่งดื่มเหล้าอยู่บนขั้นบันไดด้านนอกตลอดเวลาได้ ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบบางส่วนก็สามารถขอเหล้ามาดื่มได้เต็มๆ กา น่าสงสารก็แต่พวกผู้ฝึกกระบี่เซียนดินที่ขอบเขตไม่สูงพอที่ส่วนใหญ่ได้ดื่มแค่ไม่กี่อึกก็มักจะถูกเตะกลับเข้าไปข้างใน หรือไม่ก็ถูกพวกเซียนกระบี่ใหญ่ที่อยู่ด้านข้างตวัดตามองแรง จนได้แต่ต้องลุกขึ้นเดินกลับเข้าไป เพราะถึงอย่างไรหากที่นั่งด้านในว่างครึ่งหนึ่ง ในห้องโถงการประชุมดูแล้วหร็อมแหร็มไม่น่ามอง แต่อันที่จริงตัวต่งซานเกิงและเฉินซีเองก็จะออกมาดื่มเหล้าอึกสองอึกเหมือนกัน
ในประวัติศาสตร์ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ข้อยกเว้นเพียงหนึ่งเดียว คาดว่าคงมีแค่คฤหาสน์หลบร้อนที่เฉินผิงอันเป็นผู้นำเท่านั้นแล้ว
——