กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 791.2 เตรียมการรบ
อาจารย์ผู้เฒ่าหานยิ้มเอ่ย “การประชุมในครั้งนี้ ทุกท่านที่อยู่นอกศาลบุ๋น ไม่ว่าใครก็ไม่จำเป็นต้องละอายในการพูดถึงคำว่าผลประโยชน์”
รองเจ้าลัทธิศาลบุ๋นที่เป็น ‘คนรู้ใจที่สุด’ ของหย่าเซิ่ง และเป็นผู้เสนอ ‘หลักการถ่ายทอดความคิดลัทธิขงจื๊อ’ ที่สมบูรณ์แบบออกมาก่อนใครผู้นี้ สิ่งที่เขาพูดในวันนี้ทำให้คนประหลาดใจอย่างมาก “ชื่อเสียง เงินทอง อาศัยคุณความชอบทางการสู้รบ คุณงามความดีมาแหกกฎแลกเปลี่ยนเป็นที่ตั้งของสำนักเบื้องล่าง และยังมีรายชื่อที่มีจำกัดในการเปิดประตูของใต้หล้าห้าสีครั้งถัดไป วันนี้ทุกคนล้วนสามารถพูดคุยกันได้ คุยกันอย่างตรงไปตรงมา ไม่จำเป็นต้องกริ่งเกรงสิ่งใด”
กล่าวมาถึงตรงนี้อาจารย์ผู้เฒ่าหานมองเทพเจ้าแห่งโชคลาภหลิวของธวัลทวีป แล้วค่อยหันไปมองซ่งจ่างจิ้งแห่งแจกันสมบัติทวีป
หลิวทุ่ยที่มีรูปโฉมเป็นเด็กหนุ่มเพิ่งจะอ่านตำราเล่มนั้นจบ โดยไม่ทันรู้ตัวก็กินผลไม้บนโต๊ะไปหมดสิ้นแล้ว ถามว่า “นอกจากราชวงศ์ใหญ่แห่งต่างๆ และแคว้นใต้อาณัติของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง กองกำลังทหารแห่งอื่นๆ มาจากที่ไหน พูดถึงแค่ฝูเหยาทวีปของพวกเรา ผู้ฝึกตนบนภูเขาและกองกำลังล่างภูเขาที่สามารถรวบรวมมาได้ก็ไม่มากพอหรอกนะ”
หลิวทุ่ยเอ่ยประโยคนี้ก็ไม่ถือว่าเอาเรื่องน่าอายในบ้านมาป่าวประกาศ เพราะทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ต่างก็รู้ไส้รู้พุงกันดี
ฝูเหยาทวีปก็แค่ดีกว่าใบถงทวีปเล็กน้อยเท่านั้น
สงครามใหญ่อุบัติขึ้น นอกจากฝูเหยาทวีปที่ภูเขาสายน้ำปริแตกไม่เหลือดีแล้ว ทวีปอื่นๆ อย่างทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ธวัลทวีป อุตรกุรุทวีป หลิวเสียทวีป ไม่พูดถึงการบาดเจ็บล้มตายของผู้ฝึกตนบนภูเขา พูดถึงแค่กองกำลังล่างภูเขาก็นับว่ารักษาไว้ได้ค่อนข้างจะสมบูรณ์
คนทั้งสิ้นแปดคนซึ่งรวมหลิวทุ่ยเป็นหนึ่งในนั้น แต่ละคนต่างก็เป็นตัวแทนของแต่ละทวีปที่มีอำนาจตัดสินใจ บนโต๊ะของพวกเขาจึงมีตำราเล่มใหม่ปรากฏขึ้นมาอีกหนึ่งเล่ม
อาจารย์ผู้เฒ่าหานเอ่ยว่า “พวกเจ้าอ่านจบแล้วก็สามารถเพิ่มลดจำนวนคนโดยพิจารณาดูตามเหตุการณ์ได้”
เหวยอิ๋งเปิดตำรา หลังจากอ่านจบอย่างรวดเร็วก็ดึงเอากระดาษขาวสองสามแผ่นมาจากบนโต๊ะ หยิบพู่กันมาเขียนชื่อของผู้ฝึกตนกลุ่มหนึ่งของสำนักเจินจิ้ง รวมไปถึงกองกำลังบนภูเขาจำนวนหนึ่งที่ทางศาลบุ๋นตกหล่นไป เพียงแต่ว่านอกจากสำนักเจินจิ้งบ้านตนแล้ว ตระกูลเซียนแห่งอื่นจำต้องระวังในเรื่องความเหมาะสมให้ดี ไม่อย่างนั้นจะตกเป็นที่สงสัยว่ายกคนขึ้นอื่นมาบังหน้าหวังเอาผลประโยชน์ เพราะถึงอย่างไรก็ยังต้องแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กันได้ เหวยอิ๋งไม่ได้โง่จนถึงขั้นที่ว่ายอมให้ตัวเองกลายเป็นศัตรูร่วมกันของคนทั้งทวีปเพียงแค่เพื่อประจบเอาใจศาลบุ๋น
สุดท้ายเหวยอิ๋งเขียนสามตัวอักษรว่าสำนักใบถงลงไปบนกระดาษขาวแผ่นหนึ่ง หลังจากนั้นเงยหน้าถามอาจารย์ผู้เฒ่าหานว่า “หากผู้ฝึกตนของสำนักใบถงมีคนยินดีไปลงสนามรบของเปลี่ยวร้าง ทางศาลบุ๋นจะตอบตกลงหรือไม่?”
สีหน้าของอาจารย์ผู้เฒ่าหานแสดงความชื่นชมอย่างเห็นได้ชัด พยักหน้าเอ่ยว่า “ย่อมไม่มีปัญหา หลังจากที่เจ้าสำนักเหวยกลับไปยังบ้านเกิดแล้วก็สามารถช่วยทางศาลบุ๋นปรึกษาเรื่องนี้กับผู้ฝึกตนสำนักใบถงได้”
ในฐานะราชครูของราชวงศ์เส้าหยวน เฉาผู่กลับรู้สถานการณ์ของบนภูเขาและล่างภูเขาเกราะทองทวีปได้อย่างชัดเจนเหมือนเป็นสมบัติในบ้านตัวเอง เขาเสนอความคิดสองสามอย่างของตน ทางฝั่งศาลบุ๋นก็มีรองผู้อำนวยการสถานศึกษาคนหนึ่งคอยทำหน้าที่ไขข้อข้องใจให้คำตอบ
ลำพังเพียงแค่ขั้นตอนของการปรึกษาหารือเกี่ยวกับกองกำลังในเก้าทวีปที่สามารถเข้าร่วมสงครามได้ ก็กินเวลาไปนานถึงครึ่งชั่วยาม อีกทั้งยังคงไม่อาจได้ข้อสรุปสุดท้าย อาจารย์ผู้เฒ่าหานบอกความเห็นของทางศาลบุ๋นว่า รอให้การประชุมครั้งนี้สุดสิ้นลง ทุกทวีปก็ควรจะประชุมกันอีกครั้ง ทางศาลบุ๋นจะเรียกรวมผู้ฝึกตนใหญ่ของแต่ละทวีปมามากกว่าเดิมเพื่อให้ประชุมเรื่องนี้กันโดยเฉพาะ จะได้อนุมานคำนวณรายละเอียดออกมาได้มากกว่านี้
เจ้าประมุขตระกูลชนชั้นสูงที่ถูกขนานนามว่าซ่งจื่อแห่งจัวลู่ผู้นั้นพลันเอ่ยว่า “ทางเข้ากุยซวีสี่แห่ง ตำแหน่งที่ตั้งบนภูมิศาสตร์ เห็นได้ชัดว่าล้วนเป็นตำแหน่งที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างตั้งใจเลือกมา”
ปราณวิญญาณบางเบา ทรัพยากรขาดแคลน ในรัศมีหมื่นลี้รอบด้าน หากไม่เป็นกระแสน้ำตัดสลับกันรุนแรงก็เป็นเทือกเขาสูงชันอันตราย สำหรับการผลักดันรุดหน้าไปบนสนามรบของกองทัพล่างภูเขาแล้วไม่สะดวกอย่างยิ่ง สำหรับผู้ฝึกตนของไพศาลก็ไม่มีผลประโยชน์ใดให้กล่าวถึง
พวกจ้าวเทียนไล่ เจิ้งจวีจง เผยเปย ต่างก็เคยไปปักหลักอยู่ที่กุยซวีหรือไม่ก็ท่าเรือบางแห่ง ก็เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ฝึกตนใหญ่ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างเล่นตุกติก โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องคอยจับตามองร่องรอยของอาจารย์ค่ายกลเป็นพิเศษ
อาจารย์ผู้เฒ่าต่งถาม “มีจุดใดที่จำเป็นต้องตรวจสอบเพื่อชดเชยช่องโหว่หรือไม่?”
จิตของเจิ้งจวีจงขยับไหวเล็กน้อย ทางออกของกุยซวีที่มีชื่อว่าเสินเซียงและท่าเรือโจ่วหม่าก็มีแผนที่ภูมิศาสตร์สองผืนที่มีรายละเอียดชัดเจนครอบคลุมมากกว่าของศาลบุ๋นปรากฎขึ้นมา มีเทือกเขาและสายน้ำไหลเพิ่มมากขึ้น อาณาเขตขยับขยายไปมากกว่าเดิมเกือบหนึ่งเท่า
จ้าวเทียนไล่ยกมือข้างหนึ่งขึ้นมา สองนิ้วประกบติดกันแล้ว ‘ชี้แนะขุนเขาสายน้ำ’ ไปยังทางออกของกุยซวีเทียนมู่ บนม้วนภาพขุนเขาสายน้ำนั้นก็มีแสงสว่างที่เข้มจางไม่เท่ากันปรากฎขึ้นมาหลายสิบจุด ล้วนเป็นร่องรอยที่ซ่อนเร้นอำพรางอยู่ของปีศาจใหญ่ นอกจากนี้แล้วตรงริมขอบของอาณาเขตหลายแห่งยังมีเส้นสีทองปรากฎขึ้นอีกหกเส้น คือค่ายกลอำพรางที่ปีศาจใหญ่ของเปลี่ยวร้างจัดวางไว้อย่างตั้งใจ
ไหวอินมองด้วยอาการชาไปทั้งหนังศีรษะ ก่อนหน้านี้ตอนที่เฝ้าพิทักษ์อยู่ที่ท่าเรือและกุยซวีสองแห่ง แม้จะบอกว่าใช้เวลาไม่นาน แค่ประมาณสองสามปีเท่านั้น แต่เขาเองก็ถือว่าระมัดระวังรอบคอบ คอยทะยานลมไปทั่วสารทิศ ช่วยทางฝั่งของศาลบุ๋นตรวจสอบพื้นที่ภูมิศาสตร์ขุนเขาสายน้ำ ยิ่งโปรยยันต์ให้กลายเป็นกองทัพอย่างที่ไม่คิดเสียดาย บงการพวกหุ่นเชิดร้อยกว่าตนให้ลาดตระเวนไปทั่วทุกหนแห่ง ทุ่มเทอย่างเต็มที่ ไม่เคยมีวันใดที่หยุดอยู่เฉยๆ คิดว่าผลงานของตัวเองดีเลิศ เดิมยังนึกว่าจะเป็นไม้สูงที่เด่นเกินไพร คิดไม่ถึงว่ายังคงตกเป็นรองผู้อื่นอยู่ดี
เจ้านครจักรพรรดิขาว เทียนซือใหญ่แห่งภูเขามังกรพยัคฆ์ สองคนนี้ไม่ได้มีการปิดบังอะไร ใช่ว่าก่อนหน้านี้จงใจปกปิดเรื่องวงในพวกนี้กับทางศาลบุ๋น เห็นได้ชัดว่าหลังจากที่เจิ้งจวีจงและจ้าวเทียนไล่ออกไปจากท่าเรือได้อาศัยวิชาอภินิหารของตัวเองจนได้ผลลัพธ์ใหม่ล่าสุดจากการตรวจสอบ
ฮว่อหลงเจินเหรินมีสีหน้าลำบากใจอย่างที่หาได้ยาก คนเปรียบเทียบกับคนชวนให้คนโมโหตายจริงๆ ผินเต้ากลายเป็นตัวไร้ประโยชน์เหมือนเจ้าไหวซ่วนผานเสียแล้ว
ช่วยไม่ได้ ครั้งหน้าที่ไปเยือนใต้หล้าเปลี่ยวร้างคงได้แต่ออกแรงให้มากขึ้นสักหน่อย ต้นไม้ต้องการเปลือก คนต้องการหน้าตา เป็นคนจะเป็นเหมือนไหวอินเกินไปไม่ได้
อวี๋เสวียนถาม “ตัวของกุยซวีเองจะมีแผนรับมือเบื้องหลังของภูเขาทัวเยว่ซุกซ่อนไว้หรือไม่?”
อาจารย์ผู้เฒ่าต่งพยักหน้ารับ “ไม่ตัดความเป็นไปได้ข้อนี้ทิ้ง”
หยวนพางเปิดปากกล่าว “พวกเราต้องเตรียมใจสำหรับผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดเอาไว้ก่อน สามารถตั้งสมมติฐานไว้ได้ว่ากุยซวีทุกแห่งล้วนซุกซ่อนปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ที่มีพลังการสู้รบเทียบเท่าเฟยเฟยไว้คนหนึ่ง”
หลิ่วชียิ้มถาม “เจ้าขุนเขาหยวนมีแผนการรับมือหรือไม่?”
หยวนพางพยักหน้ารับ บนโต๊ะทุกตัวมีสมุดเล่มเล็กเพิ่มมาอีกหนึ่งเล่ม
บัณฑิตทั่วไปมักจะวางตัวพูดคุยแต่ในเรื่องสุภาพสูงส่งไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางโลก รากฐานอันเป็นต้นกำเนิดของพวกเขามักจะอยู่ที่สามารถถามปัญหาได้ แต่กลับไม่อาจไขคำตอบได้ หรือไม่ก็ไม่เคยคิดจะไขคำตอบเลย
หลิ่วชีพลิกเปิดสมุดอ่านแล้วพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม คำพูดประโยคนี้ของอาจารย์น้อยหยวนถือว่าพุ่งตรงสู่เป้าหมายจริงๆ
ตั้นตั้นฮูหยินแห่งหลุมน้ำลู่ที่ทุกวันนี้ควบคุมดูแลโชคชะตาน้ำของแผ่นดิน สุ่ยจวินห้าทะเลสาบใหญ่ซึ่งมีหลี่เย่โหวแห่งทะเลสาบเจี่ยวเยว่เป็นหนึ่งในนั้น และยังมีเทพวารีอีกกลุ่มใหญ่ พวกเผ่าพันธุ์น้ำเซียนน้ำ ล้วนมีชื่อปรากฏอยู่บนสมุด หนึ่งในนั้นก็มีสุ่ยจวินทะเลสาบเซิ่นเจ๋อของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง หลิงหยวนกงแห่งลำน้ำจี้ตู๋แห่งอุตรกุรุทวีป เสิ่นหลินแห่งตำหนักหนันซวิน หลี่หยวนหลงถิงกง หยางฮว่าเทพวารีแม่น้ำเถี่ยฝูแห่งต้าหลีแจกันสมบัติทวีป เจียวเฒ่าตัวหนึ่งของแม่น้ำเฉียนถังทางทิศตะวันออกเฉียงใต้…สรุปก็คือเทพวารีตำแหน่งสูงของแต่ละทวีป รวมไปถึงกองกำลังคร่าวๆ รากฐานของจวนน้ำที่ลึกหรือตื้นเขิน ล้วนถูกศาลบุ๋นจดบันทึกไว้อย่างละเอียด ครบถ้วนทุกรายละเอียด
อาเหลียงจุ๊ปากเอ่ยชื่นชม “ให้เทพวารีเป็นผู้คุมกัน ค่อนข้างน่าสนใจ”
กองกำลังทหารยังไม่ทันได้เคลื่อนไหว เสบียงก็นำไปก่อนแล้ว กองกำลังทหารมาจากไหน ควรจะเดินทัพคร่าวๆ อย่างไร ถ้าอย่างนั้นต่อไปนี้ก็ควรพูดคุยถึงเรื่องการปักหลักตั้งฐานทัพอยู่ในเปลี่ยวร้างแล้ว
จวี้จื่อแห่งสำนักโม่หนึ่งนครหนึ่งคนที่อยู่ในท่าเรือตี้ม่ายจะย้ายไปทางทิศใต้อย่างต่อเนื่อง ในนครใหญ่สามารถรองรับกองกำลังทหารกล้าของล่างภูเขาไว้ได้สองแสนนาย
นอกจากนี้อีกสามสายของสำนักโม่ยังมีคนอีกหกพันกว่าคนที่จะร่วมมือกับสำนักการช่างส่งตัวผู้ฝึกลมปราณออกมาทั้งสิ้นหนึ่งหมื่นสองพันกว่าคน
ทั้งสองฝ่ายแยกกันไปพักอยู่ที่ท่าเรือปิ่งจู๋ ท่าเรือโจ่วหม่าสองแห่ง รับผิดชอบสร้างนครใหญ่ยักษ์ที่สามารถเคลื่อนย้ายไปทางทิศใต้ได้เช่นกัน
ประตูใหญ่ของกุยซวีสี่แห่งที่เหลือล้วนมีการวางแผนจัดการ
สายของฝูลู่อวี๋เสวียน จวนเทียนซือใหญ่ภูเขามังกรพยัคฆ์ แบ่งออกเป็นอยู่ที่กุยซวีสองแห่งอย่างเทียนมู่ เสินเซียง ต่างฝ่ายต่างใช้มัลละยันต์ หุ่นเชิดย้ายภูเขาเปิดเส้นทาง เคลื่อนย้ายขุนเขาสร้างสะพานเชื่อมโยง
ผู้ฝึกตนสำนักการทหารและอาจารย์ค่ายกลสำนักหยินหยางแยกกันอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับกุยซวีสองแห่งอย่างฉิงจีและรื่อจุ้ย รับผิดชอบคอยสร้างค่ายกลใหญ่เอามาใช้รวบรวมปราณวิญญาณขุนเขาสายน้ำ
สำนักการค้ารับผิดชอบทุ่มเงิน ใช้เงินเทพเซียนทุ่มออกมาเป็นภาพบรรยากาศมหัศจรรย์ของฟ้าดิน สร้างปราณวิญญาณให้เปี่ยมล้นตรงกุยซวีใหญ่สี่แห่ง
ผู้ฝึกลมปราณของสำนักกสิกรรมและสำนักโอสถรับผิดชอบคอยปลูกพืชพรรณและห้าธัญพืชตระกูลเซียน
นอกจากนี้ทางศาลบุ๋นยังระดมกำลังเรือกระบี่ เรือข้ามฟากขุนเขาทุกลำที่เหลืออยู่ของใต้หล้าไพศาลซึ่งก่อนหน้านี้สร้างไว้ในสงคราม แต่กลับไม่ได้นำไปใช้
ส่วนเรือข้ามทวีปทั้งหมดก็ยิ่งไม่ต้องคิด ทางศาลบุ๋นเอาไปใช้งานหมดแล้ว และหลังจบเรื่องก็ทำการชดเชยความเสียหายให้พอเป็นพิธี เกาะหลูฮวาของสำนักอวี่หลงที่เป็นหนึ่งในนั้นก็จะสร้างท่าเรือขึ้นมาชั่วคราว
นอกจากนี้ยังมีหนี้ทั้งหมดที่สกุลซ่งต้าหลีเชื่อไว้กับสำนักโม่ที่จะถ่ายโอนมาให้ศาลบุ๋นรับผิดชอบทั้งหมด และศาลบุ๋นยังจะจ่ายเงินเทพเซียนเพิ่มเติมอีกก้อนหนึ่งให้สุกลซ่งต้าหลีด้วย
ซ่งจ่างจิ้งไม่ได้มีความเห็นต่างกับเงินเทพเซียนก้อนนั้น เขาเปิดปากเอ่ยว่า “อย่างน้อยที่สุดก็ขอรายชื่อสำนักอีกสามแห่งให้ราชวงศ์ต้าหลี”
อาจารย์ผู้เฒ่าต่งยิ้มเอ่ย “ได้สิ แค่สามแห่ง มากกว่านี้ไม่ได้แล้ว”
ฮว่อหลงเจินเหรินเอ่ยเสียงทุ้มหนัก “ต่อให้ผู้ฝึกกระบี่ของอุตรกุรุทวีปจะยินดีลงสนามรบ ทางฝั่งศาลบุ๋นก็ไม่สามารถไม่แสดงท่าทีอะไรได้อีก”
อาจารย์ผู้เฒ่าต่งพยักหน้า “สมเหตุสมผลดี”
ผู้อำนวยการใหญ่ของสถานศึกษาหลี่จี้ยิ้มเอ่ย “รบกวนเจินเหรินเสนอแผนการสักอย่างหนึ่ง ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตอะไร ให้การชดเชยอย่างไร ทางศาลบุ๋นจะรอฟังก็แล้วกัน เชิญอุตรกุรุทวีปของพวกท่านเปิดปากได้ตามสบาย”
ผู้อำนวยการใหญ่พูดกับหลินจวินปี้ว่า “จวินปี้ วันหน้าเจ้ารับผิดชอบดูแลเรื่องนี้ต่อจากฮว่อหลงเจินเหริน”
หลินจวินปี้ลุกขึ้นยืนรับคำสั่ง ประสานมือคารวะฮว่อหลงเจินเหรินโดยที่ไม่ได้เอ่ยอะไร
เขาคือผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวาน ดังนั้นจึงถือว่าเป็นคนกันเองของอุตรกุรุทวีปครึ่งตัว
ฮว่อหลงเจินเหรินจึงไม่จำเป็นต้องพูดจาเกรงใจกัน ต่อให้จะเอ่ยเพิ่มมาแค่ประโยคเดียวก็ยังเกินความจำเป็นอย่างเห็นได้ชัด
ฮว่อหลงเจินเหรินมีความประทับใจที่ไม่เลวต่อเด็กคนนี้
เห็นแล้วถูกชะตา
ได้ยินมาว่าตอนที่อยู่คฤหาสน์หลบร้อนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ เคยเป็นผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวานอยู่หลายปี แล้วยังเคยลงสนามรบอยู่หลายครั้ง ส่วนอะไรที่บอกว่าสามปีฝ่าทะลุสามขอบเขตนั่น กลับกลายเป็นเรื่องรองลงมา
อาจารย์ผู้เฒ่าหานพลันเอ่ยว่า “ทางฝั่งของอุตรกุรุทวีปนี้ เจินเหรินท่านสามารถพูดกับผู้ฝึกกระบี่ทุกคนอย่างตรงไปตรงมาได้ว่า ให้ถือเสียว่าขี่กระบี่เดินทางไกลไปเยือนใต้หล้าเปลี่ยวร้างครั้งหนึ่ง แค่เป็นการไปเที่ยวเล่นเท่านั้น ไม่ต้องออกกระบี่ แล้วก็ไม่ต้องแบ่งขอบเขตสูงต่ำ ทางฝั่งศาลบุ๋นจะยังคงมอบเงินให้ดังเดิม ไม่ต้องเกรงใจกัน”
ฮว่อหลงเจินเหรินยิ้มตาหยีถามว่า “หากเป็นผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์ที่ไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่เป็นครั้งแรกล่ะ? หรือว่าทางศาลบุ๋นก็จะยังให้เงินเหมือนกัน?”
อาจารย์ผู้เฒ่าต่งพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ให้ ทำไมจะไม่ให้ล่ะ! เงินเทพเซียนก้อนนี้ต่อให้ศาลบุ๋นต้องไปขอหยิบยืมมาจากคนอื่นก็จะไม่ขมวดคิ้วสักครั้ง”
เทพเจ้าแห่งโชคลาภสกุลหลิวธวัลทวีปยิ้มกล่าว “ภายในเวลาร้อยปีต่อจากนี้ ผลเก็บเกี่ยวหนึ่งส่วนจากเงินเกล็ดหิมะนั่น สกุลหลิวของพวกเราไม่ต้องการแล้ว”
อาจารย์ผู้เฒ่าต่งยิ้มถาม “ค้าขายเช่นนี้ไม่ค่อยเหมาะกระมัง?”
หลิวจวี้เป่าเพียงคลี่ยิ้มไม่เอ่ยอะไร
อาจารย์ผู้เฒ่าหานพยักหน้ารับ “แต่ในเมื่อเทพเจ้าแห่งโชคลาภหลิวพูดเอง ศาลบุ๋นก็ไม่ควรปฏิเสธ ไม่อย่างนั้นจะดูว่าไร้เหตุผลไปสักหน่อย”
หลิวจวี้เป่าพยักหน้ารับเบาๆ
ฮว่อหลงเจินเหรินได้เปิดโลกกว้างครั้งใหญ่ หรือว่าก่อนหน้านี้ที่อาจารย์ต่งพูดว่าอย่าได้ลำบากใจหากต้องพูดเรื่องเงิน คือการปูพื้นไว้ให้กับทางศาลบุ๋นนั่นเอง?
ดังนั้นฮว่อหลงเจินเหรินจึงชำเลืองตามองสตรีอ้วนผู้นั้น
ตั้นตั้นฮูหยินรู้สึกมึนงงอยู่บ้าง
อวี๋เสวียนใช้เสียงในใจยิ้มปลอบ “นี่คือสายตาที่คนจนมองคนมีเงิน ตั้นตั้นฮูหยินไม่ต้องสนใจความอิจฉาริษยาประเภทนี้”
ตั้นตั้นฮูหยินที่ได้รับ ‘คำเตือน’ รีบเปิดปากพูดเสียงสั่นทันใด “หลุมน้ำลู่ยินดีเอาทรัพย์สินทั้งหมดที่มีออกมาให้ศาลบุ๋นจัดการ”
คนเราไม่อาจยิ่งใหญ่คับฟ้า เคยพบเจอเทพเซียนก็ชอบขึ้นเขาไปเยี่ยมเยือน เคยเจอผีก็มักจะกลัวความมืด
นางกลัวฮว่อหลงเจินเหรินมากจริงๆ
เทียนซือใหญ่ต่างแซ่คนหนึ่งของภูเขามังกรพยัคฆ์ อยู่บนภูเขาของอุตรกุรุทวีปก็ราวกับเป็นหัวหน้าโจร ปีนั้นมาดักอยู่หน้าประตูหลุมน้ำลู่ไม่ใช่แค่ไม่กี่วันเท่านั้น มังกรเพลิงร่างใหญ่ยักษ์ยาวหมื่นจั้งสองตัวว่ายวนอยู่ในน้ำอย่างรวดเร็ว เลื้อยวนรอบหลุมน้ำลู่อยู่ทุกวัน นี่ยังไม่นับเป็นอะไรได้ ประเด็นสำคัญคือไม่ว่าคำพูดอะไรฮว่อหลงเจินเหรินล้วนกล้าพูด ไม่ว่าคำพูดอาฆาตดุร้ายอะไรก็มีหน้าพูดออกมา ทุกวันที่อยู่นอกประตูใหญ่จะต้องช่วยตั้นตั้นฮูหยินนับวัน เพราะฮว่อหลงเจินเหรินบอกว่าน้องจ้าวแห่งภูเขามังกรพยัคฆ์คือพี่น้องร่วมสาบานกับผินเต้า หลังจากได้รับกระบี่บินส่งข่าวของตน ไม่พูดไม่จาก็พกตราประทับสะพายกระบี่ลงมาจากภูเขา อีกไม่นานก็จะแวะมาเยือนหลุมน้ำลู่แล้ว
แน่นอนว่าตั้นตั้นฮูหยินต้องรู้สึกว่าเวลาแต่ละวันผ่านไปราวกับนานเป็นปี ได้แต่แข็งใจทนให้ถึงที่สุด
ส่วนพวกภูตเผ่าน้ำที่หลบซ่อนตัวอยู่ในหลุมน้ำลู่ก็ยิ่งตัวสั่นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน รู้สึกเหมือนบิดาตายวันแล้ววันเล่า มักจะรู้สึกว่าทุกๆ วันพรุ่งนี้ มีความเป็นไปได้มากว่าจะได้เห็นโฉมหน้าของเทียนซือ จากนั้นเขาก็จะถือกระบี่เซียนฟันลงมาที่ตราผนึกของหลุมน้ำลู่ แล้วค่อยใช้ตราประทับเทียนซือตบลงมา ตามมาด้วยมังกรเพลิงสองตัวของฮว่อหลงเจินเหรินที่พากันปั่นคว้าน ถ้าอย่างนั้นพวกมันจะไม่ซี้แหงแก๋หรอกหรือ?
คำกล่าวนี้ของตั้นตั้นฮูหยิน จะดีจะชั่วก็ยังเว้นที่ว่างเหลือไว้บ้าง บอกว่าให้จัดการ ไม่ได้บอกว่าจะยกให้เปล่าๆ ทั้งหมด
แต่หากศาลบุ๋นตัดสินใจจะลงมืออำมหิตไร้ปราณีจริงๆ อย่างมากนางก็ถือเสียว่าจ่ายเงินฟาดเคราะห์ก็แล้วกัน
ไม่พูดถึงเซียนจับปลาใต้อาณัติที่ปักหลักอยู่ที่หินพักมังกร รวมไปถึงตู๋ฉีหลางทะเลทักษิณ พูดถึงแค่พวกภูตเซียนน้ำของหลุมน้ำลู่ แม่ทัพกุ้งปูปลาทั้งหมดมีจำนวนนับหมื่น นอกจากแขกที่หาได้ยากอย่างฮว่อหลงเจินเหรินแล้ว ท่ามกลางมหาสมุทรใหญ่แห่งนั้น หลุมน้ำลู่เรียกได้ว่าเป็นผู้พิชิตดินแดนหนึ่งอย่างแท้จริง แล้วนับประสาอะไรกับที่ใต้หล้าทุกแห่ง เดิมทีก็เป็นหนึ่งในซากปรักยุคบรรพกาลอยู่แล้ว ของตกทอดบนสนามรบยุคโบราณที่หล่นอยู่ท่ามกลางทะเลของไพศาลก็มีอยู่ไม่น้อย อีกทั้งยังมีโชควาสนาตระกูลเซียนที่ถือกำเนิดเพราะโชคชะตาอีกมากมาย มหาสมุทรกว้างใหญ่ ลูกสมุนใต้บังคับบัญชาของหลุมน้ำลู่ก็มีมาก วันเวลายาวนานหลายพันปีทำให้กวาดเอาสมบัติมาได้ไม่น้อย ล้วนเป็นวัตถุดิบวิเศษแห่งฟ้าดินที่ระดับขั้นไม่ธรรมดา ไม่อย่างนั้นของธรรมดาทั่วไปก็ไม่มีทางเข้าตาตั้นตั้นฮูหยินผู้นี้ได้ พูดถึงแค่ไข่มุกฉิวที่กองกันเป็นภูเขาก็ไม่ใช่ว่าต้องปล่อยให้พวกมันค่อยๆ กลายเป็น ‘ไข่มุกเหลือง’ อยู่ท่ามกลางคลังสมบัติหรอกหรือ? เคยมีผู้ฝึกตนใหญ่มาเยือนถึงบ้าน หวังว่าจะทำการค้าเกี่ยวกับไข่มุกฉิวนั้นได้ ผลคือหลุมน้ำลู่ที่สามารถหากำไรได้เป็นกอบเป็นกำกลับไม่ยอมแม้แต่จะเปิดประตู
หาเงินมาได้น้อยนิดแค่นี้? นางอายยิ่งนัก
——