กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 791.3 เตรียมการรบ
จากนั้นศาลบุ๋นก็มอบรายชื่อผู้ฝึกตนที่เฝ้าพิทักษ์สถานที่ต่างๆ รับผิดชอบคอยดูแลความปลอดภัยช่วงต้นของห้าสถานที่หยัดยืนในไพศาลมาให้ รอกระทั่งแนวเส้นการรบแผ่ขยายออกไปจริงๆ ก็ไม่จำเป็นต้องทำหน้าที่เป็น ‘องค์รักษ์’ อีกแล้ว
บุคคลบนใบรายชื่อถือว่าจำเป็นต้องไปอยู่ในพื้นที่ นอกจากนี้การเพิ่มบุคคลที่เป็นตัวเลือกอย่างต่อเนื่อง ศาลบุ๋นยังจะต้องพิจารณาไปตามสถานการณ์ พลังการต่อสู้สูงสุดของใต้หล้าไพศาล สุดท้ายต้องไม่ตกหล่นไปแม้แต่คนเดียว ไม่มีใครที่สามารถวางตัวอยู่นอกเหนือสถานการณ์ได้
ตำแหน่งกุยซวีเทียนมู่
เจ้าลัทธิรองสองท่านของศาลบุ๋น ผู้อำนวยการสถานศึกษาใหญ่สามท่าน
เสินเซียง
อวี๋เสวียน จ้าวเทียนไล่ ฮว่อหลงเจินเหริน ป๋ายฉาง
ฉิงจี
เจิ้งจวีจง เผยเปย ไหวอิน กวอโอ่วทิง หลิวทุ่ย ชงเชี่ยน
รื่อจุ้ย
ซูจื่อ หลิ่วชี ซ่งจ่างจิ้ง จางเถียวเสีย เหวยอิ๋ง อู๋ซู
กำแพงเมืองปราณกระบี่
ฉีถิงจี้ ลู่จือ อาเหลียง จั่วโย่ว
อาจารย์ผู้เฒ่าต่งเอ่ยว่า “ตอนนี้ยังเป็นแค่การวางแผนการรบบนหน้ากระดาษเท่านั้น มาทำการอนุมานสนามรบบนกระบะทรายกันเถอะ”
จวินจีหลางศาลบุ๋นที่มีหยวนพางเป็นสมาชิกคนหนึ่งในนั้นเลือกเป็นฝ่ายของเปลี่ยวร้าง จากนั้นก็เริ่มเปิดฉากเข่นฆ่ากับไพศาลบนสนามรบห้าแห่ง
เจิ้งจวีจงชำเลืองตามองการอนุมานของกองกำลังแต่ละฝ่ายบนกระบะทรายไม่กี่ที แล้วก็ไม่ได้เอ่ยอะไรมาก
ศาสตร์แห่งการคำนวณซึ่งอยู่ชั้นล่างสุด เป็นรากฐานสุดต่างหากถึงจะเป็นความสำคัญในสำคัญอีกที
เจ้านครจักรพรรดิขาวไม่ได้เอ่ยอะไร แต่ทางฝั่งของศาลบุ๋นนี้ไม่คิดจะปล่อยนักเล่นหมากล้อมที่ถ่อมตนแด่บรรพชนหมากล้อมทั่วหล้าผู้นี้ไป
โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรพจารย์สามท่านของสำนักคำนวณ เห็นได้ชัดว่าคาดหวังให้เจิ้งจวีจงเปิดปากอย่างยิ่ง
การอนุมานบนสนามรบ อันที่จริงเหมือนการก่อสร้างสิ่งปลูกสร้าง ตัวอย่างภาพรวมถึงจะเป็นกุญแจสำคัญ
ขอแค่พื้นฐานสิ่งปลูกสร้างมั่นคงถึงจะมีคุณสมบัติมาพูดถึงการเพิ่มลดชั้นบนได้ตามความเหมาะสม รูปแบบของรูบากและเดือย ขั้นตอนการหมุน ระดับความโค้งของเส้นมาจากไหน มาตรฐานความลาดเอียงของการเอียงข้าง การยกสูง กฎการจัดการกับไม้ลำใหญ่…
ยกตัวอย่างที่เรียบง่ายที่สุด ผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนดินสองคนที่มีเส้นทางการฝึกตนแตกต่างกัน อยู่บนสนามรบจะตัดสินพลังการต่อสู้ที่แม่นยำของพวกเขาอย่างไร? ย่อมไม่ใช่จำนวนตัวเลขที่ตายตัวสองเลข แต่มันมีการขึ้นลง ไม่อย่างนั้นการอนุมานครั้งนี้ก็จะเป็นแค่เรื่องของเด็กเล่น และการขึ้นลงนี้ ต่อให้จะถูกคำนวณเอาไว้แล้ว ทว่าขอแค่ไม่สมบูรณ์แบบมากพอ ความคลาดเคลื่อนทับซ้อนอย่างต่อเนื่อง ผลลัพธ์ที่ได้จากการอนุมานบนกระบะทราย การวางแผนการรบบนกระดาษที่ศาลบุ๋นเยาะเย้ยตัวเองก็ยังจะเป็นเพียงแค่กระดาษขยะกองหนึ่งเท่านั้น
ลู่จือถาม “ดูเหมือนว่าทางฝั่งของคฤหาสน์หลบร้อนจะเคยลองทำมาก่อน แต่ว่าไม่สำเร็จ”
จั่วโย่วพยักหน้า “ความยากสูงเกินไป ผู้ฝึกกระบี่ที่เชี่ยวชาญวิชาคำนวณในเวลานั้นน้อยเกินไป อีกทั้งไม่ว่าใครก็ล้วนไม่กล้าลองทำเรื่องนี้อย่างประมาท”
อาเหลียงเอ่ยอย่างสะท้อนใจ “หากข้าอยู่ที่คฤหาสน์หลบร้อนด้วยก็ดีน่ะสิ จะต้องช่วยเฉินผิงอันสักหน่อย”
ฉีถิงจี้นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ก็ถามอย่างใคร่รู้ว่า “คนพิฆาตมังกรนั่นเป็นมาอย่างไร?”
อาเหลียงผงกปลายคางชี้ไปยังพี่ใหญ่ไหวเซียนที่สวมชุดขาว มาดความสง่างามสูสีกับตัวเอง “เจ้าไปถามเขาสิ”
คนพิฆาตมังกรของเมื่อสามพันปีก่อนผู้นั้นประหลาดอยู่บ้างจริงๆ ไม่เพียงแต่ทำอะไรไร้เหตุผล อีกทั้งการผสานมรรคาและขอบเขตถดถอยของเจ้าหมอนี่ก็ยิ่งแปลกประหลาดเกินคาดเดามากยิ่งกว่า
สังหารเจียวหลง แม้แต่อาเหลียงยังจำต้องพูดประโยคหนึ่งว่าเหมือนหั่นผักหั่นแตง เห็นตัวหนึ่งก็ฆ่าตัวหนึ่ง เจอกองหนึ่งก็ฆ่ากองหนึ่ง
เกี่ยวกับเรื่องนี้ อาเหลียงถึงขั้นที่ว่าพอไปถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ยังต้องถามเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสว่ามันคือเรื่องอะไรกันแน่ ไม่มีเหตุผลให้ต้องห้าวหาญขนาดนี้นี่นา
เวทกระบี่จะสูงแค่ไหนก็คงไม่สูงเกินกว่าเฉินชิงตู เส้นทางแห่งกระบี่จะกว้างขวางแค่ไหน อาเหลียงก็ไม่รู้สึกจริงๆ ว่าคนพิฆาตมังกรผู้นั้นจะเก่งกาจกว่าตน
แต่หากเปลี่ยนมาเป็นอาเหลียงที่เผชิญหน้ากับเจียวหลงซึ่งรวมกลุ่มกัน ก็ไม่กล้าพูดเด็ดขาดว่าแค่กวักมือเรียกก็ได้มา สังหารเจียวหลงเหมือนฝนตกอย่างเจ้าคนชุดเขียวผู้นั้น
ผลคือตอนนั้นเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสตอบกลับมาประโยคหนึ่ง ต่อให้เก่งแค่ไหนก็เก่งสู้ข้าไม่ได้ ข้าจะเปลืองสมองไปทำไม เจ้าก็ลองไปใคร่ครวญเอาเองสิ
ทำเอาอาเหลียงโมโหจนเกือบจะพาเด็กสองคนที่สวมกางเกงเปิดก้นแอบไปรดน้ำที่กระท่อมหลังนั้นตอนกลางดึก
ตอนนี้ก็ยิ่งประหลาดมากกว่าเดิมแล้ว
คนพิฆาตมังกรผู้นั้น มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าปีนั้นจะขอบเขตถดถอย ดังนั้นถึงได้อำพรางร่องรอยอยู่นานสามพันปี จากนั้นทุกวันนี้ก็ได้ผสานมรรคาฝ่าทะลุขอบเขต กลับคืนไปยังขอบเขตสิบสี่อีกครั้ง
ดังนั้นอาเหลียงจึงทำหน้าหนาใช้เสียงในใจถามเจิ้งจวีจง “พี่ไหวเซียน? น้องชายเริ่มสับสนแล้ว ยังคงหวังให้พี่ใหญ่ช่วยไขข้อข้องใจให้”
เจิ้งจวีจงยิ้มเอ่ย “ช่วยไม่ได้หรอก”
เจิ้งจวีจงกับคนพิฆาตมังกร สองอาจารย์และศิษย์ อันที่จริงตอนอยู่แจกันสมบัติทวีปเคยได้กลับมาพบเจอกันอีกครั้งหลังจากลากันไปนาน ตอนนั้นอันที่จริงเจิ้งจวีจงลูกศิษย์คนนี้สามารถเอาชนะผู้ถ่ายทอดมรรคาของตัวเองได้อย่างมั่นคงแล้ว
ตอนนั้น ‘เจี่ยเฉิง’ นักพรตเฒ่าตาบอดก็เคยยอมรับเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมา คิดว่าตบะและขอบเขตของตนล้วนสู้เจิ้งจวีจงไม่ได้แล้ว
ส่วนตอนนี้ บอกได้ยาก
ปีนั้นเผยเปยออกจากภูเขาห้อยหัวกลับไปยังทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง เทพีแห่งการต่อสู้หญิงจากราชวงศ์ต้าตวนผู้นี้เคยไปถามหมัดต่อนครจักรพรรดิขาว
ทั้งสองคน ต่างก็เป็นหนึ่งในสิบคนของแผ่นดินกลาง
แต่การถามหมัดครั้งนั้นของเผยเปย โลกภายนอกแค่ได้ยินมาว่าคนทั้งสองไม่ได้แบ่งแพ้ชนะอย่างแท้จริง
ทว่าในความเป็นจริงแล้ว ทั้งสองฝ่ายไม่ได้ตีกันเลย
เจิ้งจวีจงเอ่ยประโยคหนึ่งกับเผยเปย รอให้สองขาของเจ้าล้วนข้ามผ่านธรณีประตูนั้นไปได้แล้วค่อยมาถามหมัดอย่างเต็มกำลังอีกที ไม่อย่างนั้นจะไม่น่าเสียดายแย่หรอกหรือ
เผยเปยไม่รู้สึกว่าเจิ้งจวีจงพูดจาอย่างไร้ความละอาย ข่มขู่ให้ผู้อื่นเกรงกลัว ดังนั้นจึงตอบตกลง
จากนั้นทางฝั่งของนครจักรพรรดิขาวก็มีข่าวแพร่ออกไปว่าทั้งสองเสมอกัน
อันที่จริงชายหญิงที่อยู่บนยอดเขาสองคนนี้เพียงแค่ดื่มเหล้าด้วยกันท่ามกลางเมฆหลากสีเท่านั้น
สุดท้ายเจิ้งจวีจงยังเล่นหมากล้อมเป็นเหมือนเฉาสือด้วย
อันที่จริงฝีมือการเล่นหมากล้อมของเฉาสือนั้นไม่เลว เพียงแต่ว่าความรู้ความสามารถที่หลากหลายของผู้ฝึกยุทธหนุ่มคนนี้ล้วนถูกพรสวรรค์ด้านการเรียนวรยุทธที่โดดเด่นสะดุดตาของเขากลบทับไปหมดแล้ว
ในความเป็นจริงแล้ว พิณ หมากล้อม พู่กัน ภาพวาดของเฉาสือล้วนไม่ธรรมดาอย่างมาก
ความสงสัยของอาเหลียงและฉีถิงจี้ที่มีต่อฟู่จิ้นลูกศิษย์ใหญ่ของเจิ้งจวีจง ก็มีมานานแล้วเช่นกัน
ฟู่จิ้น ‘จักรพรรดิขาวน้อย’ ในฐานะผู้ฝึกกระบี่เต็มตัว มีใจที่ชอบเอาชนะเข้มข้นมาก เขาอยากถามกระบี่ต่อบรรพจารย์ท่านนั้นมานานมากแล้ว
ถึงอย่างไรผู้ฝึกตนของนครจักรพรรดิขาว ขอแค่มีความสามารถ คิดจะหลอกลวงอาจารย์ลบล้างบรรพชนก็ไม่เป็นไร
เจิ้งจวีจงเคยวางแผนอย่างตั้งใจในการก่อกบฏครั้งหนึ่ง ตั้งใจวางอุบายมานานถึงหกร้อยปีเต็ม พวกศิษย์น้องชายหญิงอย่างหันเชี่ยวเซ่อ บวกกับลูกศิษย์ผู้สืบทอดทั้งหลายที่มีฟู่จิ้นเป็นหนึ่งในนั้นร่วมมือกับพวกเค่อชิง ผู้ถวายงาน เพราะขอแค่ทำสำเร็จ ทุกคนก็จะได้ผลประโยชน์มหาศาล ต่างก็เกี่ยวพันไปถึงมหามรรคาของแต่ละคน และตัวการหลักที่พยายามจะผลัดฟ้าเปลี่ยนดินให้กับนครจักรพรรดิขาวก็คือคนที่จำแลงมาจากดวงจิตส่วนหนึ่งของเจิ้งจวีจงที่ ‘ถูกตัวเองปิดหูปิดตา’ จากนั้นค่อยลากเอากองกำลังกลุ่มใหญ่ที่เป็นศัตรูกับนครจักรพรรดิขาวมา พลังอำนาจน่าครั่นคร้าม เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ รู้สึกว่าสังหารขอบเขตสิบสี่สักคนก็ไม่ใช่ปัญหาแล้ว
ตั้งแต่ต้นจนจบมีเพียงเจ้าโง่หลิ่วชื่อเฉิงที่ไม่ได้เข้าร่วม
เจิ้งจวีจงทั้งผิดหวังในตัวของศิษย์น้องเล็กที่เป็นเจ้าของหอแก้วใสผู้นี้อย่างยิ่ง รู้สึกว่าหลิ่วชื่อเฉิงคือเศษสวะ แต่ขณะเดียวกันในใจก็มีความรู้สึกอบอุ่นของคนร่วมสำนักอยู่บ้างไม่มากก็น้อย
ส่วนทุกคนที่เข้าร่วมแผนการ ขอแค่เป็นผู้ฝึกตนของนครจักรพรรดิขาว เจิ้งจวีจงล้วนไม่คิดบัญชีย้อนหลังกับใครสักคน เศษสวะยกรัง เก็บเอาไว้ยังเอามาทำเป็นเครื่องประดับได้ จะฆ่าหรือไม่ฆ่า รวมไปถึงในใจมีความซื่อสัตย์ภักดีหรือไม่ สำหรับเจิ้งจวีจงแล้วกลับกลายเป็นว่าไม่ได้มีความต่างอะไร
ส่วนกองกำลังที่เป็นศัตรูซึ่งถูก ‘เจิ้งจวีจง’ รวบรวมมาด้วยตัวเองนั้น จุดจบของแต่ละคนล้วนค่อนข้างน่าสงสาร
สามร้อยปีให้หลัง เจิ้งจวีจงไม่ได้สังหารใครสักคน เพียงแต่ว่าในศาลบรรพจารย์แต่ละแห่งมีความขัดแย้งภายในไม่หยุด วางแผนปัดแข้งปัดขากันอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ในสำนักเดียวกัน วิธีการสังหารมีมากมายไร้ที่สิ้นสุด ทุกครั้งที่ผู้ฝึกตนสมหวังก็มักจะแอบยินดีอยู่กับตัวเอง สำนักแผ่นดินกลางสองแห่งในนั้นที่เดิมทีรากฐานลึกล้ำ ฆ่ากันไปฆ่ากันมา สาสมใจกันอย่างเต็มคราบ สุดท้ายฆ่าแกงกันจนแม้แต่ยศสำนักตัวอักษรจงก็ล้วนไม่อาจรักษาไว้ได้
จุดที่น่ากลัวที่สุดก็คือ แม้แต่ฟู่จิ้นที่เป็นลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของเจิ้งจวีจงเอง จนกระทั่งวันนี้ อันที่จริงส่วนลึกในใจก็ยังสงสัยอยู่เรื่องหนึ่ง สรุปแล้วตนคือฟู่จิ้นหรือเป็นหนึ่งในร่างแยกของอาจารย์กันแน่?
อำเภอพ่านสุ่ย
กู้ช่านกำลังเล่นหมากล้อมกับตัวเอง อาจารย์อาหญิงหันเชี่ยวเซ่อนั่งอยู่ตรงหน้าประตู จู่ๆ นางก็เอ่ยเรียกขึ้นมาว่าศิษย์พี่
เจิ้งจวีจงไม่ได้สนใจ เดินเข้าไปในห้อง นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับกระดานหมาก
หันเชี่ยวเซ่อเองก็ไม่ถือสา
กู้ช่านวางตำราหมากล้อมในมือลงช้าๆ เงยหน้าถาม “การประชุมสิ้นสุดแล้วหรือ?”
เจิ้งจวีจงส่ายหน้า “ยังประชุมกันอยู่ แค่แบ่งสมาธิมาที่นี่”
นครจักรพรรดิขาวแห่งหนึ่ง คนที่สามารถทำให้เจิ้งจวีจงพูดคุยด้วยได้สองสามประโยค ก็มีแค่ลูกศิษย์คนสุดท้ายที่เพิ่งรับมาใหม่แค่ไม่กี่ปีคนนี้แล้ว
กู้ช่านเอ่ย “หากอาจารย์ปู่คิดจะรักษาขอบเขตสิบสี่เอาไว้ อย่างน้อยที่สุดบนโลกมนุษย์ก็ควรจะมีมังกรที่แท้จริงอยู่หนึ่งตัวหรือไม่?”
อันที่จริงนี่คือตรรกะที่ไร้เหตุผลมาก บรรพจารย์สาบานว่าจะต้องสังหารมังกรที่แท้จริงในใต้หล้าให้สิ้นซาก ดังนั้นอาศัยปณิธานที่ยิ่งใหญ่นี้ จิตแห่งกระบี่จึงผสานมรรคากับกระบี่แห่งจิต กลายเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่
แต่รอกระทั่งเขาสังหารมังกรที่แท้จริงจนสิ้นซากได้อย่างแท้จริง ขอบเขตก็จะต้องถดถอย กลายไปเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานอีกครั้ง อีกทั้งยังจะถูกจิตแห่งกระบี่แว้งกลับมาโจมตี พลังต้นกำเนิดเสียหายอย่างใหญ่หลวง
เจิ้งจวีจงพยักหน้ารับ
หันเชี่ยวเซ่อหันขวับกลับมา เห็นได้ชัดว่านางตกใจกับคำกล่าวนี้อย่างยิ่ง
เกี่ยวกับขอบเขตของคนพิฆาตมังกร บางคนก็บอกว่าเป็นขอบเขตสิบสี่ แล้วก็มีคนบอกว่าเป็นขอบเขตบินทะยานขั้นสูงสุด และยิ่งมีคนที่พูดจาน่าเชื่อ บอกว่าการที่สามารถพิฆาตมังกรได้ ก็เพราะว่าเขามีกระบี่เซียนเล่มที่สี่ที่นอกเหนือจากไท่ป๋าย ว่านฝ่าและเต้าจ้าง
กู้ช่านเอ่ยอย่างสงสัยว่า “อาจารย์ปู่เองก็เป็นคนของไพศาล เหตุใดผู้ฝึกกระบี่ที่เลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่ถึงไม่ได้ชักนำให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์นอกฟ้ามองเป็นศัตรู? เพราะการก่อกบฏของเผ่าพันธุ์เจียวหลงที่หันมาเข้าข้างฝั่งเผ่ามนุษย์ของพวกเราในปีนั้น?”
เจิ้งจวีจงยิ้มกล่าว “คงจะประมาณนี้”
กู้ช่านเอ่ย “แต่การลุกผงาดของเผ่าพันธุ์เจียวหลงคือแนวโน้มของสถานการณ์ใหญ่ คิดอยากจะให้โชคชะตาน้ำในใต้หล้าโคจรอย่างเป็นระเบียบ ทางฝั่งของศาลบุ๋นยังต้องให้พวกเจียวหลงจัดการ ถึงเวลานั้นอาจารย์ปู่จะทำอย่างไร?”
เจิ้งจวีจงย้อนถาม “เจ้าเป็นแค่ขอบเขตหยกดิบตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ต้องกังวลถึงการดำรงอยู่หรือการดับสูญของมหามรรคาผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบสี่คนหนึ่งด้วยหรือ?”
กู้ช่านตอบอย่างตรงไปตรงมา “ข้าหวังจะเรียนกระบี่กับอาจารย์ปู่ เพราะวิถีแห่งเวทกระบี่ อาจารย์ไม่ค่อยยินดีจะถ่ายทอดความรู้ให้ข้าอย่างเต็มที่สักเท่าไร”
เจิ้งจวีจงพยักหน้า “ข้าสามารถช่วยสานความสัมพันธ์ให้เจ้าได้ อาจารย์ปู่ของเจ้าเกลียดขี้หน้าข้ามาหลายปีแล้ว สามารถหาปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ให้ข้าได้ เขาย่อมยินดีอย่างมาก”
หันเชี่ยวเซ่อทอดถอนใจ
คู่อาจารย์และศิษย์ที่อยู่ในห้องนี้ บวกกับอาจารย์ปู่คนนั้น หัวสมองของคนทั้งสามเป็นอย่างไรกันแน่
นางส่องกระจกมองตัวเอง ปัดชาดประทินโฉม เม้มปาก หันหน้ามาถาม “เสี่ยวช่าน สีไหนสวยกว่ากัน?”
กู้ช่านหันไปมองแวบหนึ่ง ยิ้มเอ่ย “สีแดงอ่อนสวยกว่า สีแดงดอกเสาเย้าของเตี้ยนเฉิงสดไปสักหน่อย ไม่สู้ใช้เนิ่นเซียงของอารามดอกเหมย”
หันเชี่ยวเซ่อยิ้มหวาน เช็ดริมฝีปากจนสะอาดสะอ้าน แล้วจึงเปลี่ยนมาใช้ขี้ผึ้งทาปากแบบที่กู้ช่านบอก
เกาะยวนยาง คนตกปลามากมายดุจก้อนเมฆ
อันที่จริงตอนที่เฉินผิงอันเข้าร่วมการประชุมริมลำคลอง ใน ‘เวลาเดียวกันนั้น’ ก็มีเฉินผิงอันคนหนึ่งถูกหลี่เซิ่งส่งออกมาในบริเวณใกล้เคียงกับเกาะยวนยาง น่าจะป้องกันคนมีใจบางคนที่เข้าร่วมการประชุมศาลบุ๋นไม่ให้คาดเดาไปไกล ไม่อย่างนั้นด้วยสถานะอิ่นกวานของเขา ไม่ว่าอย่างไรก็ควรจะปรากฏตัวอยู่ในศาลบุ๋น
การประชุม ตกปลา ถึงอย่างไรก็ไม่ถ่วงรั้งทั้งสองเรื่อง ในเมื่อไม่ต้องเปิดปากพูดสักเท่าไร เขาก็ยินดีกับความเงียบสงบผ่อนคลายนี้มาก
เฉินผิงอันจึงเลือกสถานที่เงียบๆ ห่างไกลแล้วนั่งลงตกปลา ทำหลุมใส่เหยื่อตกปลาไว้สองหลุม เอาไว้ผลัดเปลี่ยนตอนตกปลา เรื่องของการตกปลานี้ เฉินผิงอันคุ้นเคยดีอย่างยิ่ง ในวัตถุจื่อชื่อจึงเตรียมไว้ทั้งคันเบ็ดและทั้งวัสดุในการทำเหยื่อ
เพียงแต่ว่าเนื่องจากก่อนหน้านี้เหล่าปรมาจารย์ด้านการฝึกยุทธอย่างพวกจางเถียวเสียมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ จึงทำให้มันกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่งไปแล้ว
เพียงไม่นานข้างกายเฉินผิงอันก็มีคนตกปลาเพิ่มมาอีกสองกลุ่ม ทั้งชายและหญิง ต่างก็อายุน้อยกันมาก เห็นได้ชัดว่าความสนใจไม่ได้อยู่ที่การตกปลา
น่าเสียดายหลุมที่เฉินผิงอันทำไว้ก่อนหน้านี้ เทพเซียนบนภูเขาพวกนี้ แม้แต่ดึงคันเบ็ดเหวี่ยงเหยื่อก็ยังไม่เข้าใจ พอเหวี่ยงคันเบ็ดออกไปแล้วก็หยุดนิ่งไม่ขยับ รอให้ปลามาติดเบ็ดอย่างโง่งม หรือจะรอให้ปลาโง่มาติดเบ็ดกันเล่า?
ถัวเหยียนฮูหยินกับเด็กสาวเทพีบุปผาคนหนึ่งของพื้นที่มงคลร้อยบุปผาบังเอิญมาเดินเล่นผ่อนคลายอารมณ์ที่นี่พอดี พอมองเห็นคนชุดเขียวนั้นไกลๆ ก็ตกใจจนเกือบจะเผ่นหนีไป
เฉินผิงอันพลันลุกขึ้นยืน โบกมืออย่างแรงไปยังจุดที่ห่างไกล
บนเส้นทางมีหญิงสาวสวมชุดสีแดงสดคนหนึ่งเดินจูงม้ามา
นางรีบซ่อนกาเหล้าเอาไว้ ปล่อยเชือกรั้งอานม้าไม่จับแล้ว วิ่งห้อมาตลอดทางเร็วจี๋ จากนั้นก็กระโดดดึ๋งหยุดยืนนิ่ง ตะโกนเรียกเสียงดัง “อาจารย์อาน้อย!”
——