กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 792.3 เดินกร่าง
อันที่จริงจนถึงท้ายที่สุดเฉินผิงอันก็ยังค่อนข้างจะสนใจคุณชายทัดดอกไม้ผู้นั้นอยู่
ไม่ใช่เพราะโจวอันดับหนึ่งบ้านตนมีบุตรชายนอกสมรสคนหนึ่งอยู่ในพื้นที่มงคลรากบัว ซึ่งมีฉายาว่าหนุ่มปักบุปผา
แต่เป็นเพราะสายตาที่เจ้าหมอนี่มองหลี่เป่าผิง ไม่ถูกต้อง ยกตัวอย่างเช่นพวกลูกหลานตระกูลชั้นสูงทั้งหลาย ก่อนหน้านี้ตอนที่มองเห็นหลี่เป่าผิงก็มีคนที่ตกตะลึงในความงาม แต่ไม่มีทางปกปิดอำพราง ลับๆ ล่อๆ คล้ายเริ่มดีดลูกคิดวางแผนอยู่ในใจ และพร้อมจะลงมือได้ทุกเมื่ออย่างคนผู้นี้แน่นอน
ในใจเฉินผิงอันจดบัญชีเอาไว้เงียบๆ
จิตใจที่รักความสวยงามล้วนมีกันทุกคน นี่เป็นความรู้สึกปกติทั่วไปของมนุษย์ เจอกับสตรีที่งดงาม มองหลายทีหน่อยก็ไม่ได้แปลกตรงไหน ที่ร้านเหล้าของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ภาพเหตุการณ์ที่บุรุษมองสตรีที่เดินผ่านร้านอย่างเปิดเผยก็มีให้เห็นเยอะแยะไป อย่าว่าแต่สายตาเลย พวกคนโสดน้อยใหญ่ทั้งหลายยังมักจะส่งเสียงผิวปากดังขึ้นๆ ลงๆ อยู่เป็นประจำ ทว่าสายตาเช่นนั้นไม่ใช่ว่าผู้ฝึกกระบี่มีความคิดชั่วร้ายอยู่จริง กลับกันยังเหมือนบุปผาที่ล่องลอยอยู่ในถ้วยสุรา กระดกดื่มไปเงียบๆ ก็ไม่มีอยู่แล้ว แต่สายตาบางอย่างกลับเหมือนตัวทากในสวนสิงโตแคว้นชิงหลวนที่เป็นเมือกลื่นแหยะน่าแขยง อีกทั้งคนที่มีสายตาเช่นนี้ ยามที่อยู่ในถิ่นของตัวเองก็มักจะชอบล่าเหยื่อ หาโอกาสในการลงมืออยู่เสมอ
เฉินผิงอันรับสัมผัสกับริ้วคลื่นลมปราณของบุรุษทัดดอกไม้คนนั้นอย่างเงียบเชียบต่อไป
หลี่เป่าผิงเงียบไปนาน ก่อนจะเอ่ยว่า “อาจารย์อาน้อย การจุดธูปที่ศาลบรรพจารย์บนภูเขาลั่วพั่วสองครั้ง ข้าล้วนไม่ได้อยู่ด้วย ขอโทษด้วยนะ”
เฉินผิงอันโบกมือ พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ไม่เป็นไร นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย บนภูเขาลั่วพั่วและเนินจ้าวตู๋ อาจารย์อาน้อยล้วนเก็บสถานที่สำหรับอ่านหนังสือไว้ให้เจ้าแล้ว อวี๋ลู่และเซี่ยเซี่ยก็เลือกเรือนสองแห่งที่เนินจ้าวตู๋ไว้ก่อนแล้ว ไม่ได้เกรงใจข้าเลยแม้แต่น้อย แต่อาจารย์อาน้อยจะแอบบอกเจ้าเรื่องหนึ่ง อันที่จริงยอดเขาเว่ยเสียและยอดเขาหย่วนมู่มีสถานที่อยู่สองแห่ง นั่นต่างหากถึงจะเรียกว่าทัศนียภาพงามเลิศอย่างแท้จริง แล้วยังเงียบสงบด้วย เรื่องนี้อาจารย์อาน้อยจงใจไม่บอกกับคนนอก แล้วก็ไม่มีคนรีบร้อนไปสร้างจวนที่นั่น เพราะล้วนถูกอาจารย์อาน้อยแอบล้อมเอาไว้เป็นพิเศษ วันหน้าจะพาเจ้าไปดูก่อน หากเลือกได้แล้วอาจารย์อาน้อยค่อยให้คนสร้างเรือนและหอเก็บหนังสือ มองดูพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตกที่ยอดเขาเว่ยเสียค่อนข้างดีหน่อย แต่ทะเลเมฆของยอดเขาหย่วนมู่ก็เหนือกว่าภูเขาลั่วพั่วเล็กน้อย ตอนที่อากาศปลอดโปร่งจะมองเห็นทะเลสาบของภูเขาหวงหูที่อยู่ใกล้เคียงได้ ก้อนเมฆม้วนเข้าก้อนเมฆคลายออก เป็นทิวทัศน์ที่งดงามยิ่ง ดังนั้นอาจารย์อาน้อยจึงแนะนำให้เจ้าเลือกยอดเขาหย่วนมู่ อาจารย์อาน้อยยังคิดว่าจะปูหินเขียวเป็นทางยาวๆ ไว้บนเส้นทางภูเขาทุกเส้นของยอดเขาหย่วนมู่ สองข้างทางล้อมเป็นรั้วไม้ไผ่ ระหว่างทางจะมีหน้าผาที่สูงมาก มีต้นสนโบราณที่อย่างน้อยอายุมากพันปีต้นหนึ่ง ระหว่างกิ่งสนมีเถาวัลย์ร้อยเชื่อมโยงกัน คดเคี้ยวเหมือนต้าหยวนตัวใหญ่ (ซาลาแมนเดอร์) ถึงเวลานั้นข้าค่อยเชิญยอดฝีมือมาแกะสลักตัวอักษรลงบนหน้าผา หากสามารถขอให้ซูจื่อหรือหลิ่วชีไปเขียนตัวอักษรให้ได้ย่อมดีที่สุด แต่ก็ยากอยู่มากเหมือนกัน เพราะถึงอย่างไรก็ไม่ได้ง่ายเหมือนการขอเทียบตัวอักษร ต้องให้ผู้อาวุโสทั้งสองท่านไปเป็นแขกที่ภูเขาลั่วพั่วถึงจะได้ หากไม่ได้จริงๆ อาจารย์อาน้อยก็ได้แต่ต้องขอให้อาจารย์ลุงสองคนของเจ้าลงมือแล้ว สรุปก็คือยอดเขาหย่วนมู่คือสถานที่ที่ดีที่เหมาะกับการสร้างห้องหนังสือศึกษาหาความรู้ที่สุด ลมโชยอากาศสดชื่น กระดิ่งที่ผูกไว้หน้าหอหนังสือส่งเสียงดังกรุ้งกริ้ง ฟังดูแล้วไม่เลวเลยไช่ไหม? ถึงเวลานั้นหากเจ้าอ่านหนังสือจนเหนื่อยก็สามารถเดินออกมาจากห้องหนังสือ ไปมองทัศนียภาพอยู่ไกลๆ หลายปีที่ผ่านมานี้ระหว่างที่อาจารย์อาน้อยออกเดินทางไกลก็ช่วยซื้อหนังสือมาให้เจ้าไม่น้อย พูดถึงแค่ที่ท่าเรือชวีซานทางทิศใต้สุดของใบถงทวีปก็ซื้อมาตั้งถุงใหญ่ หนักร้อยกว่าจิน ล้วนเป็นหนังสือล้ำค่าหายากที่หลุดมาจากตระกูลมีชื่อเสียงในท้องถิ่น”
อาจารย์อาน้อยพูดรวดเดียวมากมายขนาดนี้ หลี่เป่าผิงก็ยังรับฟังอย่างตั้งใจ ดวงตาทั้งสองข้างหยีลงเป็นพระจันทร์เสี้ยว
หลี่เป่าผิงถาม “ช่วงเวลาที่อาจารย์อาน้อยอยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่เคยได้ฉลองวันเกิดบ้างหรือไม่”
เฉินผิงอันอึ้งตะลึง ก่อนจะส่ายหน้ายิ้มกล่าว “หากไม่ลืมก็ไม่มีเวลามาสนใจ ไม่เคยฉลองเลยจริงๆ”
เมื่อครั้งยังเป็นเด็กหนุ่มอยู่ที่บ้านเกิด เฉินผิงอันก็ไม่มีความเคยชินที่จะต้องฉลองวันเกิด
หลิวเสี้ยนหยางก็เหมือนกัน เขารังเกียจว่าไร้สาระ มีเพียงเจ้าขี้มูกยืดน้อยเท่านั้นที่พอถึงวันเกิดก็จะได้กินเนื้อปลามื้อหนึ่ง วันสองวันก่อนวันเกิดของกู้ช่าน เฉินผิงอันจะลากเอาหลิวเสี้ยนหยางขึ้นเขาลงน้ำไปด้วยกันรอบหนึ่ง
เฉินผิงอันเปลี่ยนหัวข้อพูดคุย “เคยได้ยินชุยตงซานพูดถึงเด็กหนุ่มเจียงไท่กงที่ชื่อว่าสวี่ป๋ายคนนั้น ก่อนหน้านี้เข้าร่วมการประชุม อาจารย์อาน้อยก็ได้พบเขาแล้ว”
อันที่จริงเรื่องที่เกี่ยวกับหลี่เป่าผิง สองครั้งหลังจากเฉินผิงอันกลับคืนบ้านเกิดล้วนสอบถามมาหลายครั้ง ดังนั้นเขาจึงรู้หลายเรื่อง หลายปีมานี้ศึกษาความรู้ที่สำนักศึกษาอย่างไรบ้าง เคยไปเที่ยวเล่นที่แคว้นหู ตอนอยู่ตระกูลสกุลอวี้ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางยังเคยได้เจอกับเผยเฉียน ต่อให้ไปถึงสวนกงเต๋อแล้ว เฉินผิงอันก็ยังไม่ลืมถามเรื่องเป่าผิงน้อยจากอาจารย์ ยกตัวอย่างเช่นรายละเอียดการโต้วาทีระหว่างนางกับหยวนพาง ด้วยเรื่องนี้สองวันที่อยู่ในสวนกงเต๋อ เฉินผิงอันยังไปเปิดอ่านตำราของศาลบุ๋นอีกหลายเล่ม ผลคือการโต้วาทีระหว่างคนทั้งสอง เฉินผิงอันที่เป็นอาจารย์อาน้อยของหลี่เป่าผิงกลับไม่อาจช่วยอะไรได้
หลี่เป่าผิงถอนหายใจ “เป็นคนน่ารำคาญ เคยถูกพี่ใหญ่ของข้าเรียกไปสั่งสอนครั้งหนึ่งถึงจะยอมหยุดลงได้บ้าง”
เฉินผิงอันกลั้นยิ้ม พยักหน้าเอ่ย “เพิ่งจะเป็นแค่หนึ่งในสิบตัวสำรองคนรุ่นเยาว์ ไม่คู่ควรกับเป่าผิงน้อยของพวกเราจริงๆ ยังห่างชั้นอยู่ไกลนัก”
หลี่เป่าผิงกลอกตามองบน เอนหลังพิงเก้าอี้ไม้ไผ่ ไม่ยินดีจะพูดถึงสวี่ป๋ายมากนัก
ในบรรดากลุ่มเด็กที่เดินทางไกลไปศึกษาต่อในปีนั้น นางคือคนคนเดียวที่เป็นผู้ฝึกลมปราณลัทธิขงจื๊อซึ่งฝึกตนไปตามลำดับขั้นตอน
ส่วนการที่ขอความรู้คาถาเซียนจากหลินโส่วอี เซี่ยเซี่ย ขอความรู้วิชาหมัดมวยจากอวี๋ลู่ ดูเหมือนว่าหลี่เป่าผิงก็แค่สนใจเท่านั้น
เฉินผิงอันถาม “ระหว่างที่เดินทางไกลตลอดหลายปีมานี้ เคยถูกใครรังแกหรือไม่?”
หลี่เป่าผิงส่ายหน้า “ไม่มีนะ”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ทุกวันนี้เวทกระบี่ของอาจารย์อาน้อยยังคงธรรมดา แต่ขึ้นเขาลงห้วยล้วนเป็นงานที่ต้องใช้แรง ดังนั้นฝีมือหมัดเท้าจึงนับว่าพอใช้ได้อยู่บ้าง ขอบเขตบินทะยานสู้ไม่ได้ แต่หากจะต่อสู้กับขอบเขตเซียนเหรินกลับยังพอทำได้”
“นึกออกแล้ว มีอยู่คนหนึ่งจริงๆ!”
หลี่เป่าผิงพลันตบเก้าอี้ หันหน้าไปยิ้มเอ่ยกับอาจารย์อาน้อย “เป็นตอนที่อยู่ชายแดนแคว้นหูของนครลมเย็น เคยเจออยู่จริงๆ ตอนนั้นกู้ช่านก็อยู่ด้วย เขามีคุณธรรมอย่างมาก ค่อนข้างน่าแปลกใจ”
เฉินผิงอันถามอย่างสงสัย “หมายความว่าอย่างไร?”
หลี่เป่าผิงกำลังจะเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง กลับต้องกะพริบตาปริบๆ ใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “พี่ชายข้ามาแล้ว”
เฉินผิงอันหันหน้าไปมอง ที่แท้หลี่ซีเซิ่งก็มาแล้ว
อีกทั้งตอนที่หลี่ซีเซิ่งใช้เสียงในใจพูดกับหลี่เป่าผิง เฉินผิงอันกลับสัมผัสไม่ได้ถึงร่องรอยแม้แต่น้อย
นี่คือเรื่องดี
คนทั้งสองลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ไม้ไผ่พร้อมกัน หลี่เป่าผิงยิ้มกล่าว “อาจารย์อาน้อย มีคนรู้จักด้วยนะ”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ ไม่เอ่ยอะไร
คนกลุ่มนั้นเดินมาทางนี้ช้าๆ นอกจากหลี่ซีเซิ่งพี่ใหญ่ของหลี่เป่าผิงแล้ว ยังมีโจวหลี่จากสำนักโองการเทพที่มาเยือนสำนักเบื้องบนแผ่นดินกลางด้วย
กุ้ยฮูหยิน ข้างหลังมีคนพายเรือเฒ่าติดตามมา บอกว่าคนพายเรือเฒ่า แต่หากจะพูดถึงอายุของเขา อันที่จริงมองดูแล้วก็เป็นแค่ชายฉกรรจ์สีหน้าเฉยเมยคนหนึ่งเท่านั้น
เฮ้อเสี่ยวเหลียงเจ้าสำนักชิงเหลียง เกาเจี้ยนฝูผู้ฝึกตนก่อกำเนิดของสำนักโองการเทพ อดีตคู่กุมารทองกุมารีหยกของสำนักโองการเทพ ปีนั้นคนทั้งสองปรากฏตัวที่ถ้ำสวรรค์หลีจูพร้อมกัน
นอกจากโจวหลี่แล้ว เฉินผิงอันล้วนรู้จักทุกคน ไม่ใช่คนแปลกหน้ากันจริงๆ
หลังจากที่พวกเขาขยับเข้ามาใกล้ เฉินผิงอันก็ประสานมือคารวะหลี่ซีเซิ่ง จากนั้นจึงยิ้มเอ่ยเรียกท่านน้ากุ้ย
กุ้ยฮูหยินพยักหน้ายิ้มรับ
เฉินผิงอันกุมหมัดคารวะโจวหลี่ “คารวะอาจารย์โจว”
ว่ากันว่าคนผู้นี้จะได้เป็นเจ้าสำนักคนถัดไปของสำนักชิงเสวียน และสำนักชิงเสวียน ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียงหรือรากฐานที่อยู่ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางก็ล้วนเป็นรองภูเขาของฝูลู่อวี๋เสวียนและจวนเทียนซือของภูเขามังกรพยัคฆ์แค่ครึ่งส่วนเท่านั้น หลักๆ แล้วยังเป็นเพราะเจ้าสำนักคนปัจจุบันของสำนักชิงเสวียนปิดด่านเป็นตายนานเกินไป นานถึงหกร้อยปี และสำนักชิงเสวียนของแผ่นดินกลางที่มีฐานะเป็นสำนักเบื้องบนของสำนักโองการเทพ คำว่า ‘ดั้งเดิม’ ของมันคือสายของเจ้าลัทธิใหญ่แห่งป๋ายอวี้จิง นี่ก็เป็นคดีที่ปิดไม่ลงของลัทธิเต๋าที่ทำให้คนนอกคิดร้อยตลบก็ไม่เข้าใจ
ไม่รู้ว่าเหตุใด การประชุมหลายครั้งก่อนหน้านี้ โจวหลี่ล้วนไม่ได้เข้าร่วมการประชุมด้วย
เมื่อครู่นี้เฉินผิงอันลังเลอยู่เล็กน้อย แต่ก็ยังคงเรียกอีกฝ่ายว่าอาจารย์
ใบหน้าของโจวหลี่ประดับยิ้ม ผงกศีรษะคารวะเฉินผิงอันตามขนบลัทธิเต๋า ใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “ได้ยินชื่อเสียงยิ่งใหญ่ของอิ่นกวานมานาน วันนี้โชคดีได้พบเจอกันแล้ว”
เฮ้อเสี่ยวเหลียงยิ้มบางๆ เอ่ยเรียก “เฉินผิงอัน”
พอนางเปิดปากก็ทำเพียงแค่เรียกชื่อเท่านั้น
แต่ว่าตอนที่เอ่ยพูด เฮ้อเสี่ยวเหลียงได้ใช้เวทคาถาเซียนเหรินสกัดกั้นเป็นฟ้าดินเล็กแห่งหนึ่ง
ไม่ทันระวังเลยเป็นการเปิดเผยทั้งที่อยากจะปิด? หรือจงใจทำเช่นนี้กันแน่?
เฉินผิงอันเอ่ย “เจ้าสำนักเฮ้อ”
ตอบกลับด้วยการเอ่ยเรียกแค่สถานะของอีกฝ่าย
คนพายเรือเฒ่าพยักหน้า พูดพึมพำกับตัวเองว่า “เจ้าเด็กน้อยนี่นับว่ามีอนาคต ปีนั้นข้าไม่ได้มองพลาด ไม่อย่างนั้นวันนี้ข้าจะต้องสั่งสอนเจ้าสักสองสามประโยค”
กุ้ยฮูหยินหันมามอง
คนพายเรือเฒ่าหุบปากฉับทันใด
กู้ชิงซงผู้นี้ หรือควรจะเรียกว่าเซียนฉา อันที่จริงไม่ได้เผยโฉมในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางมานานมากแล้ว คิดไม่ถึงว่าพอกลับคืนมายังยุทธภพอีกครั้งจะไม่ทำให้คนผิดหวังแม้แต่น้อย ตอนที่อยู่อำเภอพ่านสุ่ยได้สร้างชื่อเสียงในการรบอีกครั้ง เอ่ยแค่สองสามประโยคก็ด่าครบทั้งเจิ้งจวีจง หันเชี่ยวเซ่อ หลิ่วชื่อเฉิงและฟู่จิ้น
ไม่พูดถึงการประลองมรรคกถา พูดแค่เรื่องของการด่า ดูเหมือนว่าตลอดทั้งนครจักรพรรดิขาวได้ถูกเขากวนให้เละเป็นโจ๊กหม้อหนึ่งไปแล้ว
ประเด็นสำคัญคือกู้ชิงซงยังสามารถจากมาได้โดยที่ยังมีชีวิตอยู่ ภายใต้สถานการณ์ที่หันเชี่ยวเซ่อและหลิ่วชื่อเฉิงต่างก็ปรากฎตัวที่หน้าประตูใหญ่ คนพายเรือเฒ่ายังคงไร้ความเสียหายใดๆ ถอนตัวกลับมาได้อย่างปลอดภัย
เฉินผิงอันกับคนพายเรือเฒ่าผู้นี้ ปีนั้นตอนอยู่บนเกาะกุ้ยฮวาไม่เพียงแต่เคยเจอหน้ากัน ยังเคยพูดคุยกันมาก่อน
ตอนนั้นเฉินผิงอันยังเป็นเพียงเด็กหนุ่ม อีกนิดเดียวก็เกือบจะได้รับถ่ายทอดวิชาความรู้บางอย่างมาจากคนพายเรือเฒ่าแล้ว
ต่อให้เฉินผิงอันจะรู้สถานะของคนพายเรือเฒ่าดีว่าเป็นลูกศิษย์ใหญ่ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อของลู่เฉิน แต่เฉินผิงอันก็ยังคงไม่มีความรู้สึกที่ไม่ดีต่อเขา ถูกผิดแบ่งแยกได้ชัดเจนก็ย่อมต้องแบ่งแยกบุญคุณความแค้นได้ชัดเจน
หลี่ซีเซิ่งยิ้มกล่าว “พวกเราจะเดินเล่นกันต่อ ไม่ถ่วงรั้งการตกปลาของพวกเจ้า”
หลี่ซีเซิ่งเพียงแค่ใช้เสียงในใจพูดคุยกับเป่าผิงน้อยคล้ายตั้งใจคล้ายไม่ได้เจตนา
คนทั้งกลุ่มเดินจากไป
เฉินผิงอันและหลี่เป่าผิงนั่งกลับลงไปบนเก้าอี้อีกครั้ง
หลี่ซีเซิ่งเดินออกไปไกลมากแล้วก็ส่ายหน้า ดีนักนะ พอมีอาจารย์อาน้อยก็ลืมพี่ชาย เป่าผิงน้อยไม่แม้แต่จะหันหน้ามามองสักครั้ง
เฮ้อเสี่ยวเหลียงหันกลับไปมองบุรุษชุดเขียวที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ ในสายตาของนางมีรอยยิ้มที่ไม่อาจใช้ถ้อยคำมาบรรยายซ่อนอยู่
เกาเจี้ยนฝูที่อยู่ด้านข้างมีสีหน้าหม่นหมอง นึกอยากจะดื่มเหล้า แต่ก็เหมือนว่าได้ดื่มเหล้าไปแล้ว
มองฟ้าสีครามที่มีเมฆสีขาวลอยผ่าน คนเจ็บปวดหัวใจตื่นขึ้นมาในบ้านเกิดแห่งความเมามาย
กู้ชิงซงเรียกคำเรียกขานที่สนิทสนมขึ้นมาเบาๆ “กุ้ย”
กุ้ยฮูหยินที่แต่ไหนแต่ไรมาสุภาพอ่อนโยนตอบกลับมาคำหนึ่งว่า “ไสหัวไป”
ในที่สุดก็ได้คุยกันแล้วไม่ใช่หรือ? กู้ชิงซงถึงกับรู้สึกตกใจที่ได้รับความเมตตาโดยไม่คาดฝัน จึงขยับเท้า ถูมือพลางตอบรับกลั้วหัวเราะไปด้วย “ได้เลย”
ก่อนหน้านี้ที่กู้ชิงซงพูดจาน่าฟังอย่างที่หาได้ยาก นอกจากเพราะมีกุ้ยฮูหยินอยู่ข้างกายแล้ว ก็ยังเป็นเพราะเสียใจจนไส้เขียว ปีนั้นไม่ควรเอ่ยกับเด็กหนุ่มด้วยประโยคที่ว่า ‘อย่าหวังว่าจะทำลายมหามรรคาของข้า’ อะไรนั่นเลย แต่ควรจะขอความรู้เรื่องความรักชายหญิงจากเด็กหนุ่มอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่อย่างนั้นเหตุใดเด็กบ้านนอกขาเปื้อนโคลนที่ไม่ได้หล่อเหลาไปยังไงถึงหลอกหนิงเหยาทั้งที่ยังอายุน้อยๆ ได้เล่า? การที่กู้ชิงซงเอ่ยประโยคก่อนหน้านี้ก็เพราะคิดจะปูพื้นฐานให้ดี วันหน้าค่อยไปหาเฉินผิงอันเป็นการส่วนตัวอีกรอบหนึ่ง จะให้เลี้ยงเหล้าเขาก็ได้ เรียกเขาว่าพี่เฉินก็ยังได้
หลี่ซีเซิ่งใช้เสียงในใจยิ้มถาม “เป็นอย่างไร?”
โจวหลี่ยิ้มตอบ “พูดน้อยไม่ชักนำความขัดแย้งที่ไม่จำเป็น นั่งสมาธิฝึกตนอย่างสงบสามารถอายุยืนยาว นอกจากนี้จุดที่ร้ายกาจนั้นอยู่ที่ยามคบค้าสมาคมกับผู้อื่นไม่สนใจคำกล่าวที่ว่าความชื่นชอบเมื่อแรกพบหน้าสู้ความไม่รังเกียจเมื่ออยู่ด้วยกันนานวันไม่ได้”
จุดที่ห่างไปไกลยิ่งกว่า เด็กสาวที่มีชื่อเล่นว่ารุ่ยเฟิ่งเอ๋อร์อดไม่ไหวถามอีกครั้งว่า “พี่หญิงถัวเหยียน คนผู้นั้นคือใครหรือ ทำไมดูเหมือนท่านจะกลัวเขามากเลยล่ะ? เห็นๆ กันอยู่ว่ารู้จักกัน แล้วท่านจะหลบเขาทำไม”
——