กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 792.4 เดินกร่าง
ห่างจากคนชุดเขียวผู้นั้นมาค่อนข้างไกลแล้ว ถัวเหยียนฮูหยินก็ยิ้มเอ่ยว่า “ข้าหรือจะกลัวเขา? ล้อเล่นอะไรกัน”
เด็กสาวพลันเอ่ยเตือนว่า “พี่หญิงถัวเหยียน คงไม่ใช่ว่าท่านชอบเขาหรอกนะ?!”
ถัวเหยียนฮูหยินปากอ้าตาค้าง รีบยื่นมือไปอุดปากนังหนูโง่คนนี้ “อย่าพูดเหลวไหล!”
หากเจ้าหมอนั่นได้ยินเข้า อย่างน้อยที่สุดนางคงต้องชดใช้ด้วยสวนดอกเหมยอีกแห่งหนึ่ง
ชอบเขา? ไม่เท่ากับว่าคิดจะถามหมัดทั้งยังถามกระบี่ต่อใต้เท้าอิ่นกวานที่ใจดำอำมหิตแต่หน้ายิ้มตาหยีผู้นั้นหรอกหรือ?
หากไม่ทันระวังอาจถูกเขาซ้อมจนตายหรือเล่นงานจนตายก็เป็นได้
ริมลำคลอง เฉินผิงอันตกปลาหลีสีทองมาได้อีกหนึ่งตัว จึงใส่ไว้ในข้องจับปลา
คนที่อยู่สองฝั่งล้วนพากันหันมามอง
แน่นอนว่าไม่ได้ละโมบอยากได้ปลาหลีตัวนั้น
แต่เป็นเพราะคนทั้งสองกลุ่มต่างก็สามารถอาศัยโอกาสนี้มามองประเมินคนชุดเขียวที่อายุยังน้อยได้อีกครั้งพอดี
เป็นฝ่ายเรียกกุ้ยฮูหยินว่า ‘น้ากุ้ย’
แล้วยังได้รับคำชมจากกู้ชิงซงที่มีชื่อเสียงเลื่องลือ เจ้าหนู มีอนาคต มองคนไม่ผิด ไม่พูดจาสั่งสอนแล้ว
เห็นได้ชัดว่าเป็นถ้อยคำที่ผู้อาวุโสบนภูเขาใช้เอ่ยกับเด็กรุ่นเยาว์ของบ้านตัวเองครึ่งตัว
ดูเหมือนว่าจะรู้จักเฮ้อเสี่ยวเหลียงแห่งอุตรกุรุทวีปด้วย เพราะเขาเรียกนางว่าเจ้าสำนักเฮ้อ
หากมองไม่ผิด ดูเหมือนเฮ้อเสี่ยวเหลียงจะมีรอยยิ้มด้วย?
ไม่ค่อยเหมือนกับข่าวลือเล็กๆ ในรายงานขุนเขาสายน้ำในอดีตสักเท่าไรเลย
ในฐานะลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิง แล้วยังเป็นขอบเขตเซียนเหรินคนหนึ่งที่สามารถก่อสำนักตั้งพรรคอยู่ในอุตรกุรุทวีปได้
แน่นอนว่าเฮ้อเสี่ยวเหลียงยังรูปโฉมงามล้ำ
อีกทั้งยังได้ยินมาว่านางตั้งใจฝึกตนอย่างยิ่ง ไม่เคยสนใจเรื่องความรักของชายหญิง แม้แต่สวีเซวี่ยนลูกศิษย์เพียงหนึ่งเดียวของเซียนกระบี่ใหญ่ป๋ายฉางแห่งอุตรกุรุทวีปก็ยังหลงใหลคลั่งใคล้นาง แต่เพียงแค่เพราะเฮ้อเสี่ยวเหลียงรู้สึกว่าคนผู้นี้ตามตอแยนางจนน่ารำคาญ จึงถึงกับลงไม้ลงมือทำร้ายเขาจนบาดเจ็บสาหัส ไม่ไว้หน้าป๋ายฉางแม้แต่น้อย สุดท้ายเป็นเหตุให้สำนักของทั้งสองฝ่ายผูกปมแค้นต่อกัน ดูเหมือนป๋ายฉางยังเคยประกาศด้วยว่าชีวิตนี้เฮ้อเสี่ยวเหลียงอย่าได้หวังว่าจะเลื่อนเป็นขอบเขตบินทะยานได้?
ไม่ว่าจะชายหรือหญิงก็ล้วนมองเฮ้อเสี่ยวเหลียงมากหน่อย บุรุษมองนานหน่อยก็ยิ่งรู้สึกว่าบุคลิกของนางโดดเด่นหลุดพ้นโลกีย์ มีความรู้สึกเหมือนอยู่ตัวคนเดียวตัดขาดโลกภายนอก เป็นคู่รักบนภูเขากับสตรีที่เป็นเช่นนี้ นั่นก็สมกับคำกล่าวที่ว่าไม่อิจฉายวนยางไม่อิจฉาเซียนจริงๆ แล้ว สตรีมองนางมากหน่อยคาดว่าคงอยากจะให้การมองของตัวเองหนึ่งครั้งทำให้ความงามของนางลดหายไปส่วนหนึ่งกระมัง?
ไม่ว่าจะอย่างไร คนทั้งสองกลุ่มต่างก็มองคนหนุ่มที่กำลังตกปลาสูงขึ้นอีกนิดอย่างเลี่ยงไม่ได้
เพราะถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็รู้จักผู้ฝึกตนใหญ่มากมายถึงเพียงนี้
หลี่เป่าผิงเอ่ย “อาจารย์อาน้อย ดูเหมือนพี่หญิงเฮ้อยังคงมีรูปโฉมอ่อนเยาว์เหมือนครั้งแรกที่ได้พบกันปีนั้นเลยนะ แต่เหมือนจะ…งามกว่าเดิมเสียอีก?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ได้สังเกต”
เขาเพียงแต่อยู่ดีๆ ก็นึกถึงสตรีบนภูเขาลั่วพั่วบ้านตน เฉินยวนจีที่มานะฝึกเดินนิ่งและหยวนเป่าที่ฉายประกายเฉียบคม อันที่จริงผู้ฝึกยุทธสองคนนี้ ทุกวันนี้ต่างก็อายุไม่น้อยแล้ว จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้แต่งงาน ก็สตรีนี่นะ ถึงอย่างไรก็ไม่ต้องกังวลเรื่องออกเรือน ต่อให้หางตาจะมีตีนกาเพิ่มมาขีดสองขีดก็ยังคงไม่ถ่วงรั้งการที่จะถูกบุรุษชื่นชอบ อีกทั้งภูเขาบ้านตนมีลมและน้ำอย่างไร ไม่ว่าจะชายหรือหญิง ไม่มีใครที่หน้าอัปลักษณ์เป็นแตงเบี้ยวพุทราแตกเสียหน่อย จูเหลี่ยน เจียงซ่างเจิน หมี่อวี้ ชุยตงซาน เฉาฉิงหล่าง หยวนไหล…นี่ยังไม่ได้นับรวมเว่ยซานจวินและพวกเค่อชิงทั้งหลายเลยนะ เวทกระบี่วิชาหมัด พิณ หมากล้อม พู่กัน ภาพวาด หวีผมประทินโฉม มีเรื่องอะไรที่พูดคุยไม่ได้ มีเรื่องอะไรที่ไม่เชี่ยวชาญบ้าง? แล้วก็เพราะเจ้าขุนเขาอย่างเขาหน้าบางในการหาเงินมากที่สุด ไม่อย่างนั้นหากเปิดบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำเมื่อไหร่ เงินเทพเซียนของแจกันสมบัติทวีปนี้จะไม่เป็นดั่งน้ำท่วมทะลักทำนบที่กรูเข้าหาภูเขาลั่วพั่วอย่างบ้าคลั่งเลยหรอกหรือ?
และสตรีผู้ฝึกยุทธ ขอแค่เลื่อนเป็นขอบเขตหลอมลมปราณ ก็ไม่เพียงแต่สามารถหล่อหลอมเรือนกาย ยังสามารถบำรุงจิตวิญญาณได้อีกด้วย แม้ว่าจะไม่มีศาสตร์คงรูปโฉมอย่างผู้ฝึกลมปราณที่เลื่อนเป็นห้าขอบเขตบน แต่ผลลัพธ์ที่ได้ก็ยังชัดเจนอย่างมาก รอกระทั่งพวกนางเลื่อนเป็นขอบเขตโอสถทองเมื่อไหร่ก็จะได้รับผลประโยชน์เพิ่มเติมมาอีกส่วนหนึ่ง หวงอีอวิ๋นแห่งภูเขาผูซานของใบถงทวีปก็อายุไม่น้อยแล้วเหมือนกัน ทุกวันนี้ก็มองดูเหมือนคนอายุไม่มากไม่ใช่หรือ?
แต่ภูเขาบ้านตน หยวนไหลชอบเฉินยวนจีมานานแล้ว หยวนเป่าก็แอบชอบเฉาฉิงหล่าง ครั้งนี้ที่เฉินผิงอันกลับบ้านเกิดล้วนได้ยินคนเล่าให้ฟังหมดแล้ว
ในความเป็นจริงแล้วแม้แต่หมี่ลี่น้อยก็ยังสังเกตเห็น จึงมาบอกความลับกับเจ้าขุนเขาคนดีเป็นการส่วนตัว บอกว่าทุกครั้งที่เฉาฉิงหล่างอยู่ด้วย หยวนเป่าใหญ่ผู้นั้นจะพูดจาดุร้ายมากเป็นพิเศษ เสียงก็ดังมาก แล้วยังจงใจไม่หันไปมองเฉาฉิงหล่าง คิดจะหลอกใครกัน ตาไม่มอง แต่ในใจล้วนมีแต่เฉาฉิงหล่างเลยนะ
ดังนั้นทุกวันนี้จะมีแค่หยวนเป่าคนเดียวหรือไม่ที่เข้าใจผิดคิดไปว่าเรื่องที่นางชอบใคร มีแค่นางคนเดียวที่รู้?
หลี่เป่าผิงยิ้มถาม “อาจารย์อาน้อย กำลังคิดเรื่องที่มีความสุขอยู่หรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “คิดเรื่องช่วยภูเขาหาเงินอยู่น่ะ”
หลี่เป่าผิงนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “ได้ยินมาว่าบนเกาะยวนยางมีร้านผ้าห่อบุญที่ใหญ่มากร้านหนึ่ง ดูเหมือนกว่ากิจการจะดีมากเลย หากอาจารย์อาน้อยมีเวลาว่างก็สามารถไปเที่ยวเล่นที่นั่นได้”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ถ้าว่างแล้วก็จะไป อืม ทางที่ดีที่สุดพวกเราควรพาหลี่ไหวไปด้วย”
เฉินผิงอันรีบหยิบยันต์กระดาษเหลืองแผ่นหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ เอามือปาดไปบนแก่นยันต์ แสงศักดิ์สิทธิ์เปล่งวูบหนึ่งที เฉินผิงอันพึมพำในใจหนึ่งประโยค ยันต์ก็กลายเป็นนกกระสากระดาษเหลืองตัวเล็กที่สยายปีกบินจากไป
ไปหาหลี่ไหวที่อำเภอพ่านสุ่ย ให้เขารีบมาเจอกันที่เกาะยวนยาง
ผู้เฒ่าที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะรองนั่งลืมตาขึ้นอีกครั้ง เห็นนกกระสาเหลืองส่งข่าวบินจากไปไกลก็ร้องเอ๊ะหนึ่งที เห็นได้ชัดว่าประหลาดใจอยู่บ้าง เหตุใดผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองคนหนึ่งถึงกลายเป็นผู้ฝึกตนสายยันต์ที่แผ่กลิ่นอายของเซียนดินแล้วเล่า?
หรือว่าจะเป็นลูกหลานสกุลเย่ผูซานของใบถงทวีป
คุณชายสูงศักดิ์ที่นอนเอนตัวดื่มสุราแหงนหน้ากระดกเหล้าหมดรวดเดียว เจ้าตัวดี บังเกิดแรงบันดาลใจในการแต่งกลอนแล้ว จึงร่ายบทกลอนพร้อมเสียงกลั้วหัวเราะ
กระสาเหลืองส่งเสียงร้องนอกหอเรือน ตกปลาฆ่าเวลาดื่มสุราดับทุกข์ เหล้าเซียนคลายความเมามายในภูผา พลันรู้สึกว่ากายาเบาดุจขนนกล่องนภา
เฉินผิงอันพลันรู้สึกว่าที่แท้เรื่องของการแต่งกลอนตลกขบขัน หากไม่ต้องแต่งได้ก็อย่าแต่งเลยดีกว่า เพราะคนพูดเบิกบาน คนฟังกลุ้มใจจริงๆ
หลี่เป่าผิงถามเสียงเบา “อาจารย์อาน้อย ได้ยินเผยเฉียนกับหมี่ลี่น้อยเล่าว่าท่านแต่งกลอนเก่งมากเลยหรือ?”
เฉินผิงอันโบกมือ “ไม่จริงเสียหน่อย เจ้าอย่าไปฟังพวกนางพูดเหลวไหล”
หลี่เป่าผิงกึ่งเชื่อกึ่งกังขา
เฉินผิงอันใช้เสียงในใจพูดกับบุรุษทัดดอกไม้ “มองพอแล้วหรือยัง?”
บุรุษตกตะลึงไปเล็กน้อย ลังเลอยู่ชั่วครู่ก็ยิ้มเอ่ยว่า “เจ้าพูดอะไรน่ะ? ข้าไม่เห็นจะเข้าใจเลย”
เฉินผิงอันกล่าว “แนะนำเจ้าว่าจงควบคุมดวงตาตัวเองให้ดี จากนั้นก็เก็บความคิดจิตใจไว้ให้ดี เดินอยู่บนภูเขา ดูที่การกระทำและยิ่งต้องดูที่จิตใจ”
บุรุษชูนิ้วข้างหนึ่งขึ้น ขยับบุปผาที่ทัดไว้บนมวยผมเบาๆ เป็นดอกไม้ที่เทพีบุปผาเจ้าชะตาของพื้นที่มงคลร้อยบุปผาท่านหนึ่งมอบให้ แน่นอนว่าไม่ได้อาศัยหน้าตาของเขาเอง แต่อาศัยบรรพจารย์ในสำนัก
เฉินผิงอันไม่เอ่ยอะไรอีก
บุรุษถึงกับทิ้งตัวลงนอนหงายหลัง จากนั้นก็จ้องเป๋งมายังสตรีชุดแดงที่แค่มองก็ทำให้เขาหวั่นไหวโดยตรง หากนางไม่มีสถานะเป็นลูกศิษย์ของสำนักศึกษาก็ดีน่ะสิ
เขายังคงค้างอยู่ในท่านั้น ยิ้มถามคนชุดเขียวว่า “ทำไม ก็แค่มองไม่กี่ที เจ้าก็จะฆ่าฟันกันแล้วหรือ? เจ้าเป็นใครกัน?”
เฉินผิงอันยิ้มตาหยีหันหน้าไปมอง
คนผู้นั้นยกมือข้างหนึ่งตบลงบนลำคอตัวเองเบาๆ ใช้เสียงในใจพูดกลั้วหัวเราะเสียงดังว่า “มาๆๆ เชิญโยนยันต์มาตรงนี้ ถือว่าข้าขอร้องเจ้าจากใจจริง เป็นอย่างไร?”
เจ้าคนต่างถิ่นที่ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ก็แค่รู้จักกุ้ยฮูหยิน กู้ชิงซง อย่างมากสุดก็แค่พอจะพูดจาสองสามประโยคต่อหน้าโจวหลี่ เฮ้อเสี่ยวเหลียงได้ คิดจริงๆ หรือว่าจะสามารถเดินกร่างอยู่ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางได้แล้วน่ะ?
หลี่เป่าผิงถาม “อาจารย์อาน้อย มีอะไรหรือ?”
เฉินผิงอันวางเบ็ดตกปลาในมือลง ยิ้มเอ่ย “มีคนขอร้องให้ข้าตีเขา เกือบจะถูกเขาทำให้ตกใจตายแล้ว”
ไม่ได้ถูกมหาสมุทรความรู้โจวมี่วางแผนเล่นงานจนตาย ไม่ได้ถูกผู้ฝึกกระบี่หลงจวินฟันตาย คิดไม่ถึงว่าจะมาเจอกับยอดฝีมือร้ายกาจที่นี่เสียได้
หลี่เป่าผิงกะพริบตาปริบๆ “กินสารหนูโตมาหรือ”
เฉินผิงอันยิ้มไม่เอ่ยอะไร
คำพูดพวกนี้ที่พูดคุยกับหลี่เป่าผิง ล้วนไม่ได้ใช้เสียงในใจ
ดังนั้นคนทั้งสองฝั่งต่างก็ได้ยิน
บุรุษทัดบุปผาหลุดหัวเราะพรืด ยืดแขนบิดขี้เกียจ
จากนั้นกระบี่บินช่วยคนเล่มหนึ่งก็ถูกคนชุดเขียวใช้สองนิ้วคีบไว้ แล้วโยนลงน้ำอย่างไม่ใส่ใจ เวทคาถาที่ใช้ขัดขวางถูกคนชุดเขียวยื่นมือไปคว้าจับ แล้วมารวมตัวกลายเป็นก้อนกลมก้อนหนึ่งกลางฝ่ามือ
ส่วนบุรุษทัดบุปผานั้นกลับถูกคนชุดเขียวที่มาโผล่อยู่ด้านหลังยื่นแขนไปรัดลำคอ ยกร่างขึ้นสูงแล้วโยนออกไปอย่างแรง ร่างของฝ่ายหลังพุ่งไปรวดเร็วราวสายฟ้าฟาด ตรงดิ่งไปยังฝั่งตรงข้ามของลำคลองสายใหญ่ กลิ้งตลบหลุนๆ ไปตลอดทางเหมือนก้อนหินที่ถูกขว้างให้กระดอนบนผิวน้ำ
คนชุดเขียวยิ่งทำตัวลับๆ ล่อๆ หดย่อพื้นที่แต่กลับไร้ริ้วคลื่นลมปราณกระเพื่อม พริบตาเดียวก็ไปโผล่อยู่ฝั่งตรงข้าม ยกเท้าเหยียบลงบนลำคอของบุรุษทัดบุปผาแล้วเตะอีกที ร่างของอีกฝ่ายเหมือนหินกระดอนบนผิวน้ำ ย้อนกลับมาที่เดิมอีกครั้ง ตำแหน่งไม่คลาดเคลื่อนเลยแม้แต่น้อย
เซียนกระบี่ผู้เฒ่าขอบเขตหยกดิบคนนั้นคือเค่อชิงสกุลเซี่ยมี่อวิ๋นแห่งธวัลทวีป ส่วนแมลงน่าสงสารที่ทัดบุปผาผู้นั้นก็คือคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันเลย ผู้เฒ่าก็ยิ่งไม่รู้จักอีกฝ่าย เดิมทีเขาคิดว่าเรื่องไม่เกี่ยวกับตัวเองย่อมวางตัวอยู่นอกสถานการณ์ได้ เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้เขาสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ จึงคิดจะช่วยขัดขวาง หลีกเลี่ยงไม่ให้คนหนุ่มอารมณ์ร้อนวู่วาม ลงมือไม่รู้จักหนักเบา หากทะเลาะกันจนมีคนตายขึ้นมา อยู่บริเวณใกล้เคียงศาลบุ๋นนี้ไม่ถือว่าเป็นเรื่องเล็กเลยจริงๆ และกระบี่บินเล่มนั้นของเซียนกระบี่ผู้เฒ่า เดิมทีคิดว่าทั้งสามารถสลายคลื่นมรสุมแล้วก็ถือโอกาสช่วงชิงความสัมพันธ์ควันธูปบนภูเขามาได้ด้วย คิดไม่ถึงว่าเพิ่งจะเรียกกระบี่บินออกไปก็รู้เลยว่าท่าไม่ดี แล้วก็จริงดังคาด มันถึงกับถูกคนชุดเขียวใช้สองนิ้วคีบไว้แล้วโยนลงน้ำไปอย่างไม่ใส่ใจ ลมปราณของกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตชักนำจิตใจจนเกือบจะทำให้จิตแห่งมรรคาไม่มั่นคง แต่อีกฝ่ายลงมือรู้จักหนักเบาดีเยี่ยม อันที่จริงก็ถือเป็นการมอบบันไดขั้นใหญ่ให้เขาเดินลง ถือว่ามีคุณธรรมมากแล้ว
ไม่อย่างนั้นเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งออกกระบี่นำไปก่อน ไม่ใช่ถามกระบี่แล้วจะเป็นอะไร?
ผู้ฝึกกระบี่ไม่ได้มีความวกวนอ้อมค้อมอะไรมากมายขนาดนั้น
โชคดีที่อีกฝ่ายไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่
ดังนั้นเวลานี้เมื่อ ‘ผู้อาวุโส’ ที่มีศาสตร์คงความอ่อนเยาว์ผู้นั้นเอาสองมือสอดไว้ในชายแขนเสื้อ ยิ้มมองมาทางตน หยกดิบเฒ่าจึงรีบลุกขึ้นยืนกุมมือคารวะทันที “ไม่ทันระวังล่วงเกินผู้อาวุโสแล้ว”
มารดามันเถอะ เซียนกระบี่ผู้เฒ่ายังอัดอั้นอยู่บ้างเล็กน้อย รู้สึกหายใจหายคอไม่คล่อง หากเป็นตอนที่ข้าผู้อาวุโสยังหนุ่ม เจอกับเรื่องแบบนี้ ต่อให้ขอบเขตไม่สูงมากพอ ฝีมือสู้คนอื่นไม่ได้แล้วยังไง? ถามกระบี่ก็ถามกระบี่สิ ฟันก่อนค่อยว่ากัน กลัวเสียที่ไหน
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ผู้อาวุโสคิดมากแล้ว ไม่มีการล่วงเกินไม่ล่วงเกินอะไรทั้งนั้น เพราะได้ยินมาว่าผู้อาวุโสเป็นสหายรักของผูเหอ ตอนที่ยังเป็นหนุ่มก็เคยออกกระบี่ที่ต่างถิ่นมาก่อน”
ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าอึ้งงันเป็นไก่ไม้ แต่จากนั้นก็พลันกระจ่าง พริบตานั้นสีหน้าของผู้เฒ่าเปลี่ยนมาเป็นตื่นเต้นซาบซึ้ง กุมหมัดเอ่ยเสียงดังกังวาน “ผู้ฝึกกระบี่แห่งหลิวเสียทวีปคารวะอิ่นกวาน!”
ผู้เฒ่าไม่กล้าบอกชื่อแซ่ของตัวเองด้วยซ้ำ
เพราะตอนหนุ่มเคยไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ ยังมีขอบเขตเป็นแค่โอสถทองที่ดื่มเหล้าพูดจาล้วนไม่กล้าส่งเสียงดัง สังหารปีศาจมาน้อยนิด ไม่มีค่าพอให้พูดถึง
เดิมทีก็ไม่มีอะไร ขอบเขตไม่สูงพอ ไม่ได้น่าอายตรงไหน แต่ดันไปเจอกับสหายที่ปากเสียไร้คุณธรรม เมื่อหลายปีก่อนสหายเก่าแก่อย่างผูเหอกลับคืนมายังบ้านเกิด ขอบเขตถดถอย เจ้าตัวดีเป็นแค่ก่อกำเนิดกระจอกๆ กลับกลายเป็นว่าจมูกเริ่มชี้ฟ้าไม่เห็นใครอยู่ในสายตาแล้ว พอเจอกับเขาก็พร่ำพูดว่าเจ้าคือเศษสวะคนหนึ่ง เจ้าเฒ่าไร้ความสามารถ ไปที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ยังไม่มีคุณสมบัติจะได้นั่งยองดื่มเหล้าข้างทางของร้านเหล้าแห่งนั้น…เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้ากับอิ่นกวานคนสุดท้ายมีความสัมพันธ์อย่างไรต่อกัน คือสหายต่างวัย สองพี่น้องร่วมมือกันเป็นเจ้ามือ สังหารไปทั่วกำแพงเมืองปราณกระบี่ ดังนั้นร้านเหล้าของที่นั่นจึงมีเพียงข้าผู้อาวุโสคนเดียวที่ดื่มเหล้าแล้วสามารถติดเงินไว้ก่อนได้ เชื่อหรือไม่เชื่อก็เรื่องของเจ้า ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นเศษสวะไร้ประโยชน์อยู่แล้ว ที่พูดคุยกับเจ้าเพราะเห็นแก่สุราที่ไม่เลวหรอกนะ…
ทำเอาผู้เฒ่าโมโหแทบตาย
จู่ๆ ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าก็เอ่ยขึ้นมาประโยคหนึ่งว่า “อิ่นกวาน ข้าฟันเขาให้ตายดีไหม? เดี๋ยวข้าเผ่นหนีไปก็สิ้นเรื่องแล้ว”
เฉินผิงอันไร้คำพูดตอบโต้
ไม่เสียแรงที่เป็นผู้ฝึกกระบี่ที่เคยไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่
เฉินผิงอันในทุกวันนี้ อันที่จริงเขาเองก็ยังไม่รู้เรื่องหนึ่ง
ในใต้หล้าไพศาลขอแค่เป็นสถานที่ที่มีผู้ฝึกกระบี่อยู่ เขาจะไม่มีทางเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายสายเหวินเซิ่งอะไรนั่นตลอดกาล แล้วก็ไม่ใช่เจ้าขุนเขาของภูเขาลั่วพั่วแจกันสมบัติทวีปอะไรด้วย
เขาจะเป็นเพียงแค่อิ่นกวานแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ตลอดไป อิ่นกวานที่ไม่มีทางขาดเหล้าดื่ม
——