กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 793.4 เวทคาถาเซียนเหริน
ฉินจ่าวเซียนเหรินแห่งธวัลทวีป ศิษย์พี่หญิงชงเชี่ยนของเขาเข้าร่วมการประชุมอยู่ตลอด ยังไม่ได้กลับมา ดังนั้นฉินจ่าวจึงมาเดินเล่นรอเวลา
ฉินจ่าวเอ่ยอย่างสงสัย “เซียนกระบี่โผล่มาจากไหน ตาเฒ่าเหยียน เจ้ารู้จักคนผู้นี้หรือไม่?”
ข้างกายฉินจ่าวคือเหยียนเก๋อผู้ฝึกตนใหญ่แห่งราชวงศ์เส้าหยวน คนผู้นี้ชื่อเสียงโด่งดังมาก ไม่เพียงแต่เพราะเขาเป็นเซียนเหรินคนหนึ่งเท่านั้น ยังเป็นเพราะการผลักดันอย่างลับๆ ของรายงานขุนเขาสายน้ำบางส่วน ทำให้คนสะอิดสะเอียนโดยไม่ต้องชดใช้ด้วยชีวิต อะไรที่บอกว่า ‘สุนัขรับใช้เหยียนที่มาทันทีหากมีเหล้า’ และยังมีประโยคที่ว่า ‘วิชาอภินิหารในการขอเหล้าดื่มคือขอบเขตบินทะยาน ความสามารถในการต่อสู้คือเซียนดินตัวน้อย’
เหยียนเก๋อส่ายหน้า “ไม่รู้จัก”
ผู้ฝึกตนที่สนิทสนมกันคนหนึ่งที่อยู่ด้านข้างถามขึ้นอย่างอดไม่ไหว “เรือนกายของเซียนกระบี่คนหนึ่งต้องแข็งแกร่งขนาดนี้เชียวหรือ?”
เหยียนเก๋อขมวดคิ้ว “คงไม่ถึงขั้นที่ว่านอกจากจะเป็นเซียนกระบี่แล้วยังเป็นขอบเขตเดินทางไกล หรือไม่ก็ผู้ฝึกยุทธขอบเขตยอดเขาอีกกระมัง?”
ฉินจ่าวเบ้ปาก “หรือไม่ก็น่าจะเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเซียนเหรินที่เร้นตัวไปอยู่อย่างสันโดษ ไม่อย่างนั้นเรื่องนี้ก็อธิบายไม่ได้แล้ว”
เทพีบุปผาเจ้าชะตาคนหนึ่งของพื้นที่มงคลร้อยบุปผาทำสีหน้ากลัดกลุ้ม ในใจนางนึกตำหนิผู้ฝึกตนหนุ่มจากหอเซียนจิ่วเจินผู้นั้นอยู่บ้าง บุญคุณความแค้นบนภูเขาประเภทนี้แค่อาศัยความสามารถของตัวเองก็พอ จะลากนางไปเกี่ยวข้องด้วยทำไม
อีกทั้งไม่รู้ว่าเหตุใด เหนียงเนียงเทพีบุปผาท่านนี้ถึงมักจะรู้สึกว่าคนชุดเขียวผู้นั้นมีความใกล้ชิดบนมหามรรคากับนางหลายส่วน นี่ก็ยิ่งไม่มีเหตุผลแล้ว การชักนำที่ลี้ลับมหัศจรรย์ซึ่งมองไม่เห็นประเภทนี้ ในสถานการณ์ทั่วไปจะปรากฏแค่ระหว่างนางกับบนร่างของเค่อชิงเทพบุปผาเท่านั้น หรือว่าในใจของเซียนกระบี่หนุ่มคนนั้นมีบทกลอนบทดอกเหมยที่มากพอจะทิ้งชื่อเสียงไว้ในประวัติศาสตร์ได้?
ฉินจ่าวเอ่ย “ทำไมข้าถึงรู้สึกแปลกพิกล”
เหยียนเก๋อพยักหน้า “เซียนกระบี่ผู้นั้นคล้ายกำลัง…”
ผู้ฝึกตนที่อยู่ด้านข้างรับคำ “ล่อปลา?”
อวี๋เยว่ไม่เป็นกังวลกับความปลอดภัยของอิ่นกวานหนุ่มเลยแม้แต่น้อย
ล้อเล่นหรือไร?
กำแพงเมืองปราณกระบี่คือสถานที่แบบใด?
จำเป็นต้องให้ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบอย่างเขาเป็นห่วงอิ่นกวานของกำแพงเมืองปราณกระบี่ด้วยหรือ?
ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าจากหลิวเสียทวีปท่านนี้เป็นสหายรักเก่าแก่กับผูเหอ อีกทั้งความสัมพันธ์ยังดีเยี่ยมถึงขั้นที่เป็นเพื่อนรักเพื่อนตายกันอีกด้วย
ไม่อย่างนั้นอวี๋เยว่ที่จะดีจะชั่วก็เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่ง ก็คงไม่มีทางที่จะเลี้ยงเหล้าคนอื่นด้วยความหวังดี แล้วยังต้องฝืนใจปล่อยให้ตัวเองโดนด่าโดยที่ไม่โต้กลับเด็ดขาด
เมื่อหลายปีก่อน นานจนคล้ายกับเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อชาติที่แล้ว ตอนที่อวี๋เยว่ไปฝึกประสบการณ์ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ เขายังเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตโอสถทองคนหนึ่ง ไปอยู่ที่นั่นมาสามปี เคยเข้าร่วมสงครามใหญ่มาครั้งหนึ่ง
เซียนกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่ว่าจะบนถนนหนทางหรือบนสนามรบล้วนพบเจอได้ไม่น้อย แต่บนโต๊ะเหล้ากลับไม่เคยได้ชนแก้วกับใครสักคน เพราะไม่มีโอกาสได้ดื่มสุราร่วมโต๊ะกับเซียนกระบี่
เพราะถึงอย่างไรกำแพงเมืองปราณกระบี่ในอดีตก็มีกฎที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรอยู่ไม่น้อย ขอบเขตไม่สูง คุณความชอบในการสู้รบมีไม่มากพอ ต่อให้จะดื่มเหล้าในสถานที่เดียวกันกับเซียนกระบี่ ตนก็ไม่มีหน้าขยับไปใกล้โต๊ะเหล้า ผู้เยาว์ดื่มสุราคารวะผู้ฝึกกระบี่อาวุโส? กำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่เคยมีขนบธรรมเนียมเช่นนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ฝึกกระบี่ต่างถิ่นที่เพิ่งฝึกประสบการณ์ได้ไม่นานที่ยากจะทำตัวให้กลมกลืนกับกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้อย่างแท้จริง การฝึกประสบการณ์ของอวี๋เยว่ครั้งนั้น ตอนที่ไปยังเป็นเด็กหนุ่มอารมณ์ร้อน เปี่ยมไปด้วยความฮึกเหิม ตอนที่กลับจิตใจเยือกเย็น เกียจคร้านผ่อนคลาย หวนกลับมายังหลิวเสียทวีปก็ถึงขั้นที่ว่าไม่ชอบเล่าว่าตัวเองเคยไปกำแพงเมืองปราณกระบี่ด้วยซ้ำ
ถึงอย่างไรไปแล้วก็เท่ากับว่าไม่ได้ไป จะพูดถึงทำไม?
ทว่าผูเหอสหายรักของอวี๋เยว่กลับไม่เหมือนกัน เขาไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ด้วยขอบเขตหยกดิบ
ผูเหอเคยเป็นเซียนกระบี่ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือที่สุดของหลิวเสียทวีป เพราะนิสัยสุดโต่ง ออกกระบี่ฆ่าคนล้วนขึ้นอยู่กับความชอบความโกรธเคือง เย่อหยิ่งจองหอง เดินทางไกลไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็เพราะ ‘ต้องการสอนให้กำแพงเมืองปราณกระบี่ได้รู้ว่าเวทกระบี่ของไพศาลไม่ต่ำ’
ผลคือเพียงไม่นานอวี๋เยว่ก็ได้ข่าวที่ไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้มาข่าวหนึ่งจากจวนหยวนโหรวของภูเขาห้อยหัว บอกว่าผูเหอไปหาเรื่องหมี่ฮู่เซียนกระบี่ใหญ่ของที่นั่น พ่ายแพ้ในการถามกระบี่ ถึงจำต้องทำตามสัญญาในการเดิมพัน อยู่ต่อที่นั่นเพื่อฝึกกระบี่นานร้อยปี ไม่อาจหวนคืนกลับมายังบ้านเกิดเป็นระยะเวลายาวนาน นี่ทำให้ผู้ฝึกตนบนภูเขาจำนวนไม่น้อยของหลิวเสียทวีปพรั่งพรูลมหายใจยาวเหยียด อวี๋เยว่ส่งจดหมายไปหาหลายฉบับ ปลอบใจสหายรักด้วยความหวังดี ผลคือผูเหอไม่ตอบจดหมายกลับแม้แต่ฉบับเดียว
แต่อันที่จริงแม้แต่ผู้ฝึกกระบี่ในท้องถิ่นหลายคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ยังไม่รู้เรื่องวงในของเหตุการณ์ครั้งนี้ คนที่ผูเหอถามกระบี่ด้วยไม่ใช่เซียนกระบี่ใหญ่หมี่ฮู่ แต่เป็นหมี่อวี้ที่ขึ้นชื่อว่า… ‘หมัดฉูดฉาดเท้าลวดลายกระบี่บินผุๆ’
ไม่อย่างนั้นผูเหอที่เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่ง ถามกระบี่แพ้หมี่ฮู่ แพ้ให้กับตัวสำรองผู้ฝึกกระบี่บนยอดเขาที่เป็นขอบเขตเซียนเหรินผู้ยิ่งใหญ่ มีอะไรน่าอายเล่า มีหรือที่ผูเหอจะปล่อยวางไม่ลงจนต้องอยู่ฝึกกระบี่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่นานร้อยกว่าปี? ด้วยนิสัยของหมี่ฮู่ เดิมทีก็ขอบเขตสูงกว่าหนึ่งระดับอยู่แล้ว ไม่มีทางที่จะตอบตกลงเรื่องการถามกระบี่ที่แพ้ชนะไม่ต้องลุ้นแน่นอน และยิ่งไม่มีทางทำให้หยกดิบเล็กๆ คนหนึ่งลำบากใจ ต้องมาอยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่นานอะไรตั้งร้อยปี
ในทางส่วนตัวผูเหอก็ไม่พอใจอย่างมาก ไอ้บ้าชาติสุนัข หลอกข้าผู้อาวุโสได้ลงคอว่าที่กำแพงเมืองปราณกระบี่นี้เป็นหมี่อวี้ขอบเขตหยกดิบที่เป็นเศษสวะมากที่สุด บอกว่านับตั้งแต่ที่เขาปิดด่านก่อกำเนิดฝ่าทะลุขอบเขตเลื่อนเป็นหยกดิบก็ต้องเจอกับอุปสรรคมากมาย ลุ่มๆ ดอนๆ สิ้นเปลืองเวลาไปหลายปีจนนับไม่ถ้วน กลายมาเป็นเรื่องตลกขำขันใหญ่เทียมฟ้าของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ดังนั้นเจ้าไปถามกระบี่ต่อหมี่อวี้ รับรองว่ามีสิบได้เก้าไปเหนาะๆ
รอกระทั่งการถามกระบี่ปิดฉากลง ผูเหอถูกหมี่อวี้ฟันจนร่อแร่เกือบตาย ถูกแบกไปที่จวนของซุนจวี้เฉวียน นอนรักษาบาดแผลอยู่บนเตียงที่นั่น เจ้าชาติสุนัขผู้นั้นยังมีหน้าหิ้วเหล้ามาเยี่ยมเยียน ถอนหายใจเฮือกๆ ทำท่าเสียใจอย่างสุดซึ้ง ตอนนั้นผูเหอถามเขาว่าเกิดอะไรขึ้น ไหนบอกว่ามีสิบได้เก้าไปเหนาะๆ อย่างไรเล่า?!
ผลคืออาเหลียงทำสีหน้าไร้เดียงสา แทนที่จะยอมรับผิดกลับย้อนเขาบอกว่า มีสิบได้เก้าไปเหนาะๆ ที่ข้าพูดถึง หมายถึงเจ้าแพ้ต่างหากเล่า ไม่ได้บอกว่าเจ้าจะชนะเก้าในสิบส่วนเสียหน่อย พี่ผู เจ้าเข้าใจผิดแล้วนะ หยกดิบเศษสวะของกำแพงเมืองปราณกระบี่ เอาไปวางไว้ที่เกราะทองทวีปบ้านเกิดของเจ้า ก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่คนขอบเขตเดียวกันไม่อาจสู้ได้แน่นอน
สุดท้ายอาเหลียงตบศีรษะตัวเอง ทำท่านึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้อย่างคนรู้สึกตัวช้า แล้วก็ถือโอกาสบอกเตือนผูเหอด้วยการเอ่ยว่าเจ้าหมี่อวี้ผู้นั้น ในอดีตตอนที่อยู่สองขอบเขตเซียนดินอย่างโอสถทองและก่อกำเนิด ออกกระบี่อำมหิตอย่างมาก อาศัยความสามารถช่วงชิงเอาฉายาว่า ‘หมี่ผ่าเอว’ มา เพราะอะไร? ก็เพราะว่าชอบใช้กระบี่ฟันเอวเผ่าปีศาจจนร่างขาดครึ่งท่อนน่ะสิ
อาศัยการเป็นเจ้ามือที่มีเพียงห้าขอบเขตบนเท่านั้นถึงจะมีคุณสมบัติได้ลงเดิมพัน อาเหลียงชนะเงินค่าเหล้าไปไม่น้อย เพราะอาเหลียงช่วยผูเหอกระจายชื่อเสียง บอกว่าไอ้หมอนี่เวทกระบี่ร้ายกาจยิ่งนัก คือคนมีความสามารถบนวิถีกระบี่ที่ไม่เปิดเผยตัวของเกราะทองทวีป คุณสมบัติดีเยี่ยมเกินไป ต่อสู้จนคนทั้งทวีปไม่มีใครที่เป็นศัตรูของเขาได้ คือว่าที่เซียนกระบี่ใหญ่จริงแท้แน่นอน ต่อสู้กับหมี่ฮู่แล้วก็ยังมีพลังมากพอในการสู้รบ ถามกระบี่ต่อหมี่อวี้? นั่นก็เท่ากับเอาคนมีความสามารถมาใช้กับงานเล็กน้อยแล้ว
หนึ่งร้อยปีเลยนะ เวลาหนึ่งร้อยปีเต็มๆ ผูเหอต้องทำตามสัญญาเดิมพันที่มีกับหมี่อวี้ เพื่อเป็นการมอบคำอธิบายให้แก่กำแพงเมืองปราณกระบี่
ผูเหอมีดีอยู่อย่างหนึ่ง เป็นคนที่ยินดีเดิมพันแล้วกล้ายอมรับความพ่ายแพ้โดยที่ไม่เคยคิดโทษคนอื่น เขาแค่ไม่พอใจที่เวทกระบี่ของตัวเองห่วยเกินไปเท่านั้น
แรกเริ่มอันที่จริงก็ทำให้คนผิดหวังอยู่บ้าง เมื่อเทียบกับหลิวเสียทวีปแล้ว กำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่ได้ดีไปกว่าสถานที่ที่นกไม่มาขี้สักเท่าไร เพียงแต่ว่าภายหลังออกกระบี่บ่อยเข้าก็เคยชินกับบรรยากาศของกำแพงเมืองปราณกระบี่ไปแล้ว
นานวันเข้าคนแก่หลายคนที่คุ้นหน้าคุ้นตากันเดินจากไปก่อนก้าวหนึ่ง บนโต๊ะเหล้าหลายตัวไม่ได้มีใบหน้าของคนรุ่นเยาว์ที่คุ้นเคยอีกแล้ว ทุกคนต่างก็รีบร้อนจากไป ราวกับว่ากำแพงเมืองปราณกระบี่ได้กลายมาเป็นบ้านเกิดที่คุ้นเคยที่สุด มาตุภูมิอย่างไพศาลที่อยู่ห่างไกลก็เริ่มค่อยๆ เปลี่ยนมาเป็นห่างเหินแปลกหน้า
ส่วนภายหลังตอนที่หมี่อวี้อยู่บนหัวกำแพงแล้วถูกชุยตงซานหลอกเข้ารกเข้าพง จนต้องเผชิญหน้ากับการ ‘ถามกระบี่’ ประชิดตัวจากจั่วโย่ว ไม่เหลือเรี่ยวแรงให้เอาคืนแม้แต่น้อย แม้แต่ความคิดที่จะออกกระบี่เอาคืน หมี่อวี้ก็ยังไม่มี
ไม่ใช่ว่าหมี่อวี้อ่อนแอ แต่เป็นเพราะจั่วโย่วแข็งแกร่งเกินไป
เพราะถึงอย่างไรแม้แต่เยว่ชิงเซียนกระบี่ใหญ่ที่เป็นตัวสำรองอันดับหนึ่ง อันที่จริงก็ไม่อยากต่อสู้กับจั่วโย่วนัก แต่กระนั้นก็ยังถูกจั่วโย่วใช้หนึ่งกระบี่ฟันหัวกำแพง บังคับให้ต้องถามกระบี่กันอยู่ดีไม่ใช่หรือ?
กลับไปถึงบ้านเกิด อวี๋เยว่ได้ตั้งใจไปหาผูเหอ ถามถึงเรื่องการถามกระบี่ครั้งนั้น
ผูเหอเล่าแค่ว่าเวทกระบี่ของหมี่ฮู่นับว่าพอใช้ได้
สุดท้ายอยู่ดีๆ ผู้เฒ่าที่ขอบเขตถดถอยก็เอ่ยเสริมมาอีกประโยค บอกว่าน้องชายของหมี่ฮู่ ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบที่ชื่อว่าหมี่อวี้ อันที่จริงเวทกระบี่ก็ไม่เลวเหมือนกัน ไม่ได้ไร้ฝีมืออย่างที่คนอื่นเล่าลือกัน เจ้าหมอนี่เป็นผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวานของคฤหาสน์หลบร้อน ส่วนข้าน่ะหรือ คือพี่น้องที่รักของใต้เท้าอิ่นกวาน ดังนั้นหมี่อวี้พบตน ตามหลักแล้วลำดับอาวุโสต้องต่ำกว่าหนึ่งขั้น วันหน้ามีโอกาสจะแนะนำพวกเจ้าสองคนให้รู้จักกัน…
อวี๋เยว่เคยได้ยินเรื่องของหมี่อวี้มาก่อน แต่กลับไม่ใช่เพราะ ‘เวทกระบี่ที่ไม่เลว’ ของหมี่อวี้ แต่เป็นเพราะหนี้รักหนี้เสน่หาของเซียนกระบี่หล่อเหลาผู้นี้มีมากมายนับไม่ถ้วน
อวี๋เยว่มีการคาดเดาบางอย่าง เพียงแต่ว่าพอถูกผูเหอด่าว่าเป็นเศษสวะไร้ฝีมือ ด่าสาดเสียเทเสีย ไม่มีจังหวะให้เขาได้สอดปากพูด อวี๋เยว่จึงไม่กล้าถามอะไรมาก
ตาเฒ่าผูที่อยู่ในหลิวเสียทวีปได้สะสมบารมีเอาไว้ไม่น้อยเลย
อวี๋เยว่เองก็กลัดกลุ้มมากเหมือนกัน
และในขณะที่อวี๋เยว่อดไม่ไหวเตรียมจะออกกระบี่นั้นเอง
บนท้องฟ้าก็มีเรือนกายของคนสองคนพลิ้วกายลงมา คนหนึ่งคือลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อรูปโฉมอ่อนเยาว์ ในมือถือไม้เท้าเดินป่า ข้างกายมีข้ารับใช้เป็นผู้เฒ่าสวมชุดสีเหลืองติดตามมาด้วย
หลี่ไหวกับนักพรตเนิ่นพากันมายืนอยู่ข้างกายหลี่เป่าผิง
หลี่ไหวพูดด้วยสีเหน้าเหลอหรา “เป่าผิง เกิดอะไรขึ้นหรือ?”
หลี่เป่าผิงเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “มาก็มาแล้ว ไม่ได้เอาตามาด้วยหรือไง?”
หลี่ไหวชินมานานแล้ว จึงทำเป็นไม่ได้ยิน ถามต่อไปว่า “ตอนนี้เอาอย่างไร ต้องให้ข้าลงมือหรือไม่?”
หลี่เป่าผิงส่ายหน้า “อาจารย์อาน้อยไม่ต้องการให้ช่วย”
หลี่ไหวหัวเราะเสียงเย็น “เฉินผิงอันไม่ต้องการให้ช่วยก็เป็นเหตุผลให้ข้าไม่ต้องลงมือแล้วหรือ?”
หลี่เป่าผิงหันหน้ามามอง
หลี่ไหวเปลี่ยนคำพูดทันใด “แน่นอนว่าใช่!”
มีเรื่องกับใครก็อย่ามีเรื่องกับหลี่เป่าผิงเลย
หลี่ไหวรวมเสียงให้เป็นเส้นพูดคุยกับอดีตเจ้าประมุขผู้นี้พลางใช้เสียงในใจอธิบายให้นักพรตเนิ่นที่อยู่ข้างกายฟังไปด้วย “หากพวกเราร่วมมือกันจะเอาชนะเจ้าคน…เจ้าคนสวมชุดขาวที่ไม่รู้ว่าขอบเขตอะไร ชื่ออะไร แต่มองดูแล้วร้ายกาจมากนั่นได้หรือไม่?”
นักพรตเนิ่นเอ่ยอย่างเจ็บปวดรวดร้าว “คุณชาย ท่านจะหมิ่นเกียรติข้าอย่างไรก็ได้ แต่ข้าจะไม่ยอมให้คุณชายหมิ่นเกียรติตัวเองเด็ดขาด!”
หลี่ไหวมึนงง “หมายความว่าไง?”
นักพรตเนิ่นพูดจาน่าเชื่อถือว่า “ในฐานะองค์รักษ์ติดตามคุณชาย ต่อสู้กับเซียนเหรินก็เหมือนกินข้าวนั่นแหละ! คำถามก่อนหน้านี้ของคุณชายช่างทำร้ายคนเกินไปแล้ว”
บินทะยานตัวนี้พลันเปลี่ยนคำพูดเสียใหม่ “ไม่ทำร้ายคน ทำร้ายอาเหลียง”
หลี่ไหวไม่ถือสานักพรตเนิ่นที่จ้องจะเอาเปรียบอาเหลียงให้ได้ เขาอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกลืนน้ำลาย “เซียนเหริน?”
นักพรตเนิ่นรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย “ขอบเขตเจ้าหมอนั่นต่ำไปสักหน่อย”
หลี่ไหวถามหยั่งเชิง “ถ้าอย่างนั้นก็เล่นมันเลย? ตกลงกันก่อนนะว่า ถ้าทำได้ก็คือได้ ไม่ได้ก็คือไม่ได้ เจ้าห้ามอวดเก่งเด็ดขาด”
สายตานักพรตเนิ่นฉายประกายเร่าร้อน ถูมือเอ่ยว่า “คุณชาย ล้วนเป็นบุรุษตัวโตๆ เหมือนกัน คำถามนี้ถามเกินความจำเป็นไปแล้วหรือไม่”
มารดามันเถอะ นายท่านใหญ่หลี่เปิดปากขนาดนี้แล้ว นั่นก็แสดงว่าข้าผู้อาวุโสมีเฒ่าตาบอดช่วยหนุนหลังแล้ว อย่าว่าแต่เซียนเหรินฝีมือฉูดฉาดที่แค่เกาให้อิ่นกวานหายคันได้เท่านั้นเลย แม้แต่คนกลุ่มใหญ่ที่อยู่บนเกาะยวนยาง ต่อให้กรูกันมาทั้งหมดก็ยังได้
และเวลานี้เอง เฉินผิงอันก็ใช้เสียงในใจเอ่ยกับคนทั้งสามว่า “พวกเจ้าไม่ต้องลงมือ”
นักพรตเนิ่นเอ่ยอย่างเดือดดาล “เฉินผิงอัน เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน?”
หลี่ไหวเองก็เดือดดาลเหมือนกัน “หมายความว่าไง?”
นักพรตเนิ่นหุบปากฉับอย่างขลาดๆ ทันใด
บนผิวน้ำ เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า
“ดอกไม้บาน”
อู๋ซวงเจี้ยงสามารถเรียนรู้หมื่นเรื่องหมื่นสรรพสิ่ง เฉินผิงอันเองก็ทำเป็นเหมือนกัน
คนชุดเขียวหลายร้อยคนเหมือนดอกไม้ที่พลันผลิบานกระจายไปสี่ทิศ
คล้ายกลับดอกบัวสีเขียวดอกหนึ่งที่เบ่งบานอยู่ท่ามกลางฟ้าดิน
ภาพนั้นช่างงดงามจริงๆ
บนผิวน้ำของลำคลอง ร่างของคนชุดเขียวที่อยู่ตรงใจกลางหายวับไป มาหยุดอยู่ด้านหลังของร่างจริงเซียนเหรินอวิ๋นเหมี่ยว สองมือกุมลำคอของอีกฝ่ายแล้วบิดเบาๆ
——