กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 794.1 ซิ่วหู่อย่างมาก
ร่างจริงของอวิ๋นเหมี่ยวที่อยู่ริมน้ำของเกาะยวนยาง หลังจากถูกคนชุดเขียวหักคอแล้วก็ถึงกับร่างสลายไปทันที กลายมาเป็นยันต์สีม่วงแก่อมแดงแผ่นหนึ่งที่มีตัวอักษรสีขาวทองซึ่งล่องลอยไปตามลมช้าๆ
เฉินผิงอันคีบยันต์ล้ำค่าที่เป็นตัวตายตัวแทนปกป้องคุ้มครองชีวิตแผ่นนั้นมาไว้ที่ปลายนิ้ว สีขาวและสีม่วงส่องประกายแวววาว เฉินผิงอันไม่ได้เก็บมันใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ แต่สะบัดข้อมือเบาๆ ใช้พายุลมกรดของผู้ฝึกยุทธกระเทือนให้มันแหลกสลาย
ทอดสายตามองไปรอบด้าน ยังมองไม่เห็นร่องรอยของอวิ๋นเหมี่ยวชั่วคราว
ดูท่าเซียนเหรินแผ่นดินกลางท่านนี้คงความสามารถในการต่อยตีไม่มาก แต่ความสามารถในการเอาชีวิตรอดกลับไม่น้อย
วิธีการโจมตีอ่อนด้อยกว่าหันอวี้ซู่เซียนเหรินของสำนักว่านเหยาอยู่บ้าง
บนสนามรบพื้นผิวลำคลองที่อยู่ห่างไปไกล เฉินผิงอันใช้เวทคาถา ‘บุปผาผลิบาน’ ที่เรียนรู้จากอู๋ซวงเจี้ยงแล้วเอามาปรับใช้ทันที โดยภาพรวมแล้วเหมือนทางภาพลักษณ์มากกว่า ในทางจิตวิญญาณกลับเหมือนแค่สามสี่ส่วนเท่านั้น แต่ยันต์ย่อพื้นที่ ‘กลีบดอกไม้’ คนชุดเขียวคล้ายดอกบัวผลิบานที่เฉินผิงอันร่ายใช้ อันที่จริงล้วนเป็นยันต์ย่อพื้นที่แผ่นหนึ่ง เทียบเท่ากับท่าเรือชั่วคราวแห่งแล้วแห่งเล่าที่มีไว้ให้เฉินผิงอันพลิกภูเขาคว่ำน้ำ สับเปลี่ยนตำแหน่งได้ตามใจชอบ
ดังนั้นบนผิวน้ำของแม่น้ำใหญ่เกาะยวนยาง มีคนชุดเขียวเจ็ดสิบแปดสิบคนยืนอยู่บนผิวน้ำ มองดูแล้วจึงโอ่อ่าตระการตาอย่างมาก
เซียนกระบี่หนุ่มแต่ละคนล้วนหน้าตาเบิกบานสดใส สวมชุดกว้าตัวยาวสีเขียว สวมรองเท้าผ้า ชายแขนเสื้อกว้างใหญ่โบกสะบัด สง่างามองอาจ
ส่วนอวิ๋นเหมี่ยวเซียนเหรินที่ต้องเสียเปรียบครั้งใหญ่ ตอนที่เรียกยันต์แทนตัวออกมาก็ได้เก็บกายธรรมนั้นลงไปแล้ว ไม่รู้ว่าไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหน
แต่ต้องไม่มีทางไปได้ไกลแน่นอน
ยันต์กระดาษเหลืองที่เฉินผิงอันสะบัดออกมาจากชายแขนเสื้อข้างหนึ่งก่อนหน้านี้ ล้วนถูกคลื่นยักษ์ที่ตีกระทบฝั่งตีให้แหลกสลายไปแล้ว ยันต์แต่ละแผ่นล้วนปริแตก แสงศักดิ์สิทธิ์ตรงแก่นยันต์ไหลเอ่อท่วมท้นไปรอบทิศ ปราณวิญญาณเป็นกลุ่มๆ เส้นๆ คล้ายถักทอออกมาเป็นตาข่ายจับปลา ปลาที่ต้องการจับก็คือเซียนเหรินคนนั้น
วิธีการที่ใช้ยันต์จำนวนมากต่างแหที่โยนออกไปในวงกว้างเพื่อตรวจสอบจุดที่เล็กละเอียดของสนามรบ ตอนที่อยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่ เฉินผิงอันเคยใช้หลายครั้ง จึงคล่องแคล่วคุ้นมืออย่างยิ่ง
เฉินผิงอันหรี่ตาลง
หาเจอแล้ว
จิตขยับเล็กน้อย แสงกระบี่เส้นหนึ่งก็สาดยิงออกไปอย่างว่องไว
จากริมชายฝั่งของเกาะยวนยางพุ่งผ่านระยะทางน้ำไปสิบกว่าลี้
จุดที่แสงกระบี่ชี้ไปก็คือจุดที่ร่างจริงของเซียนเหรินอวิ๋นเหมี่ยวซ่อนตัวอยู่ หลังจากที่เซียนเหรินหนีออกมาจากเกาะยวนยางแล้วก็ได้ร่ายเวทอำพรางตา เพียงแต่ว่าร่องรอยการ ‘อ้อมเส้นทาง’ ของปราณวิญญาณบนยันต์บางส่วนได้เปิดเผยร่องรอยของอวิ๋นเหมี่ยว
เซียนเหรินชุดขาวผู้หนึ่งปรากฏตัวบนพื้นผิวของลำคลอง มือหนึ่งถือประคองหลิงจือหยกขาว สำแดงมาดของตระกูลเซียนออกมาอย่างเต็มเปี่ยม มือหนึ่งถือกระจกทองแดงขาวหิมะ ผิวหน้ากระจกพลันสว่างไสวราวแสงแดดยามทิวา สาดประกายส่องแสงไปทั่วสี่ทิศ เบื้องหน้ากระจกวิเศษคือตัวอักษรโบราณที่สลักไว้เป็นวงๆ ถูกเวทลับเฉพาะของหอเซียนจิ่วเจินสำแดงออกมาเป็นตราผนึกขุนเขาสายน้ำหลายชั้น ตัวอักษรสีม่วงที่อยู่ชั้นในสุดมีคำกล่าวว่า ‘ถือคันฉ่องจื่อชิง’ เป็นบทนำ มีประโยคว่า ‘พิฆาตร้อยเทพ’ เป็นประโยคปิดท้าย หัวและท้ายเชื่อมโยงต่อกันราวกับเจียวหลงขดตัว ตรงกลางคือยันต์สีแดงสด มังกรเพลิงสามตัวเลื้อยวนอย่างว่องไว แต่ละตัวล้วนคาบไข่มุกไว้หนึ่งเม็ด อักขระของกระจกโบราณที่อยู่วงนอกสุดคือคาถาขอฝนที่หอเซียนจิ่วเจินแกะสลักไว้บนประตูภูเขา รัศมีทรงกลดของแสงศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ราวปากกับบ่อ
แสงกระบี่ที่มาจากเกาะยวนยางพุ่งมาเป็นเส้นตรง เพียงชั่วพริบตาก็มาถึง เซียนเหรินอวิ๋นเหมี่ยวยกแขนขึ้นสูง ในใจท่องคาถา ในมือถือกระจกวิเศษรอรับศัตรู
ตราผนึกค่ายกลตัวอักษรบทแรกของกระจกวิเศษพลันระเบิดกระจัดกระจาย อวิ๋นเหมี่ยวขมวดคิ้วน้อยๆ เพ่งสายตามองไป เป็นกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่งจริงๆ กระบี่ทั้งเล่มเป็นสีขาวหิมะ
มังกรเพลิงสามตัวที่อยู่วงที่สองยังคงหมุนวนเป็นวงกลมอย่างว่องไว ไข่มุกวิเศษเม็ดหนึ่งที่มังกรเพลิงตัวหนึ่งในนั้นคาบเอาไว้ปริแตกจนเกิดเป็นรอยร้าวเสี้ยวหนึ่ง
ทว่ากระบี่บินที่พุ่งทะยานมาข้างหน้าราวกับผ่าลำไม้ไผ่เล่มนั้น หลังจากที่ฝ่าพันธนาการขุนเขาสายน้ำชั้นแรกมาได้แล้ว ในที่สุดก็หยุดชะงักไปเสี้ยวหนึ่ง ในใจอวิ๋นเหมี่ยวเริ่มมั่นคงแล้ว
หลังจากที่อวิ๋นเหมี่ยวซ่อนตัวอยู่ในแสงของกระจกวิเศษก็เป่าลมออกมาเบาๆ ควันสีม่วงลอยกรุ่น รวมตัวกันกลายเป็นเชือกห้าสีเส้นหนึ่ง ภาพเหตุการณ์ประหลาดจากวัตถุวิเศษเกิดขึ้นวูบเดียวแล้วก็หายไป
คือหนึ่งในรากฐานการหยัดยืนบนภูเขาของหอเซียนจิ่วเจิน คือวิชาอภินิหาร ‘เชือกสวรรค์พันธนาการผีและเทพ’ บทหนึ่งที่ถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษ และยิ่งมีคำเรียกขานที่ไพเราะว่า ‘เวทจับกระบี่’ อาจารย์ผู้ถ่ายทอดวิชาให้กับอวิ๋นเหมี่ยว การที่บรรพจารย์ขอบเขตก่อกำเนิดท่านนั้นสามารถสร้างชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วแผ่นดินกลาง คุณความชอบของวิชานี้มีไม่น้อย เคยทำให้เซียนกระบี่ที่พยศยากกำราบหลายคนต้องเจอกับความยากลำบากมาก่อน
เมื่อกระบี่บินเล่มนั้นหยุดลอยนิ่งอย่างสิ้นเชิง หรือบางทีในขณะที่อีกฝ่ายเห็นท่าไม่ดีจึงเตรียมจะถอยกลับไป อวิ๋นเหมี่ยวก็จะทำให้ผู้ฝึกกระบี่ที่ขวัญกล้าเทียมฟ้าผู้นี้ได้ลิ้มรสชาติของการที่กระบี่บินถูกเชือกรัดพัน จากนั้นถูกหลอมจิตวิญญาณจนจิตแห่งกระบี่แหลกสลาย
อวิ๋นเหมี่ยวมักจะรู้สึกว่าคนชุดเขียวหลายสิบคนที่อยู่ด้านหลังนั่นต้องเป็นปัญหาแน่ๆ จึงปล่อยจิตหยินที่สวมเสื้อเกราะจินอูของสำนักการทหารคนหนึ่งให้ออกจากช่องโพรงเดินทางไกล เอาหลิงจือหยกขาวไปด้วย หมุนตัวกลับไป ในมือของจิตหยินถือหลิงจือชี้ไปที่ผิวน้ำลำคลองเบาๆ น้ำลำคลองใต้ฝ่าเท้าพลันโถมตัวเชี่ยวกราก ปรากฏเป็นภาพมังกรสูบน้ำอันงดงาม ต่อมาหลิงจือหยกขาวก็ปรากฏเป็นรอยสีเขียวเส้นหนึ่ง จิตหยินของอวิ๋นเหมี่ยวที่สวมเสื้อเกราะสีทองใช้หลิงจือชี้ไปที่คนชุดเขียวอีกครั้ง ทันใดนั้นฟ้าดินพลันมืดมิด เมฆทะมึนมารวมตัวกัน ในรัศมีหลายสิบลี้ของเกาะยวนยางที่มีจิตหยินของอวิ๋นเหมี่ยวเป็นใจกลาง เพียงชั่วพริบตาก็เปลี่ยนกลางวันเป็นเหมือนกลางคืน
บนผิวน้ำของแม่น้ำคล้ายกับมีกองทัพหยินผ่านดินแดน ปรากฎเป็นกองทัพม้าที่มีวิญญาณวีรบุรุษและภูตผีมารวมตัวกันกองหนึ่ง ล้วนเกิดจากโชคชะตาน้ำที่มารวมตัวกัน สวมเสื้อเกราะสีเขียว เดินลุยน้ำจากช่วงน้ำตอนกลาง กลิ่นอายความดุร้ายเดือดพล่าน พลังอำนาจดุจอสนีบาต
แม้ว่าเป็นกองทัพคนตายกองใหญ่มีที่โชคชะตาน้ำเข้มข้น แต่กลับไม่มีความสกปรกชั่วช้าแม้แต่น้อย เพราะถึงอย่างไรหอเซียนจิ่วเจินก็เป็นสำนักตระกูลเซียนที่มีชื่อเสียงมานาน ไม่ใช่พวกพรรคมารนอกรีตที่ไร้ความยำเกรงใดๆ
ไข่มุกที่มังกรเพลิงทั้งสามตัวคาบเอาไว้ล้วนปริแตกหมดแล้ว กระจกวิเศษหลงเหลือแค่ค่ายกลภูเขาสายน้ำชั้นสุดท้าย แต่อวิ๋นเหมี่ยวกลับไม่ได้ถือกระจกด้วยมือข้างเดียวอีกต่อไป แต่เอาสองมือไพล่หลัง ท่วงท่าผ่อนคลายสบายอารมณ์อย่างเห็นได้ชัด คล้ายมั่นใจแล้วว่ากระบี่บินเล่มนั้นคือม้าตีนปลาย ไม่อาจฝ่าพันธนาการกองทัพเซียนซึ่งเป็นสมบัติพิทักษ์ภูเขาของหอเซียนจิ่วเจินมาไว้ได้
เซียนเหรินชุดขาวสวมกวานสูง เส้นผมตรงจอนผมปลิวไสว สีหน้าสดชื่นแปลกตา
พูดถึงแค่ภาพลักษณ์ภายนอกก็น่ามองมากจริงๆ
มิน่าเล่าผู้ฝึกลมปราณของหอเซียนจิ่วเจินถึงได้ถูกรายงานขุนเขาสายน้ำหลายฉบับขนานนามให้เป็นผู้เก็บตัวสันโดษกลางภูเขา เนื่องจากหอเซียนจิ่วเจินได้ปลูกต้นเหมยโบราณเอาไว้มากมาย กลางภูเขาก็มีดอกกล้วยไม้เยอะ ดังนั้นผู้ฝึกลมปราณชายก็มักจะถูกเรียกขานเป็นประจำว่าเหมยเซียน สตรีถูกเรียกขานว่าหลันซือ (หลันแปลว่ากล้วยไม้)
เฉินผิงอันชำเลืองตามองการบุกสังหารของกองทัพหยินบนผิวลำคลอง
จิตหยินออกเดินทางไกล รู้สึกอิจฉาเล็กน้อย
เฉินผิงอันท่องในใจหนึ่งคำว่า “ดอกไม้บานอีกครั้ง”
คนชุดเขียวแปดสิบเอ็ดคน แต่ละคนแบ่งออกอีกเป็นสาม
ใช้ลำคลองสายใหญ่เป็นสนามรบ กองทัพสองกองคุมเชิงกัน เพียงแต่ว่ากองกำลังของทั้งสองฝ่ายค่อนข้างจะต่างกัน
ตรงริมตลิ่งของเกาะยวนยาง จุดที่ห่างจากเซียนกระบี่ชุดเขียวไม่ไกล ผู้ฝึกตนใหญ่บนภูเขาสามคนซึ่งมีเซียนเหรินฉินจ่าวแห่งธวัลทวีปเป็นหนึ่งในนั้นยืนเคียงบ่ากัน
บอกตามตรง อีกฝ่ายมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ คนทั้งสามต่างก็ตกตะลึงอย่างยิ่ง ฉินจ่าวขยับเท้าก่อน เลือกจะอยู่ห่างจากคนผู้นั้นมาอีกหลายสิบจั้ง
เวลานี้ฉินจ่าวมองไปยังเซียนกระบี่ชุดเขียวที่ผลุบโผล่อย่างลับๆ ล่อๆ แล้วใช้เสียงในใจยิ้มเอ่ยกับสหายสองคนที่อยู่ข้างกาย “การต่อสู้ครั้งนี้จะทำให้อวิ๋นเหมี่ยวเจ็บปวดเสียดายอย่างสุดแสนเลยล่ะ”
เหยียนเก๋อพยักหน้ารับ “ยันต์นี้ล้ำค่า ย่อมต้องเสียดาย การเข่นฆ่าทั่วไป ต่อให้เจอกับเซียนเหรินขอบเขตเดียวกัน อวิ๋นเหมี่ยวก็ยังไม่ถึงขั้นต้องเรียกยันต์นี้ออกมา”
นั่นคือยันต์ใหญ่บนภูเขาแผ่นหนึ่งที่ตั้งวางบูชาอยู่ในศาลบรรพจารย์ของหอเซียนจิ่วเจินมานานหลายปี มีชื่อว่ายันต์จือม่วงหลวนขาวหลบหนี
ว่ากันว่าบรรพจารย์ท่านนั้นของหอเซียนจิ่วเจินเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตบินทะยาน ตอนที่ออกจากด่าน บรรพจารย์ลัทธิเต๋าท่านหนึ่งของสายฝูลู่อวี๋เสวียน ในอดีตเคยได้ขึ้นเขามามอบของขวัญร่วมแสดงความยินดี หลังจากที่บรรพจารย์บินทะยานกายดับมรรคาสลาย ยันต์นี้ก็ถูกสืบทอดต่อกันมา
ฉินจ่าวถาม “สหายเทียนหนี มองรากฐานการฝึกตนของเซียนกระบี่ท่านนี้ออกหรือไม่?”
ผู้ฝึกตนเฒ่าที่ถูกเรียกว่าเทียนหนีส่ายหน้า “มองไม่ออก เพียงแต่ว่าร่างกายแข็งแกร่งจนน่าเหลือเชื่อ รับมือได้ยากจริงๆ”
ผู้ฝึกตนบนภูเขา หากจับคู่เข่นฆ่ากับผู้ฝึกกระบี่หรือไม่ก็ผู้ฝึกยุทธเต็มตัว ส่วนใหญ่แล้วมักจะอาศัยเวทคาถาที่มีมากมายไร้ที่สิ้นสุด อาศัยการลดทอนพลังของคู่ต่อสู้ไปทีละน้อย ค่อยๆ สะสมข้อได้เปรียบ
สมบัติอาคมที่ใช้ในการโจมตี ป้องกันวิชาอภินิหาร วิธีการที่หลบซ่อนอำพราง วิชาหลบหนีที่ลี้ลับมหัศจรรย์ จะขาดอะไรไปไม่ได้แม้แต่อย่างเดียว
เฉินผิงอันมองไปทางคนทั้งสาม ยิ้มเอ่ย “งิ้วสนุกมากไหม?”
ฉินจ่าวยิ้มบางๆ แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
เซียนกระบี่นี่นะ ล้วนเจ้าอารมณ์กันทั้งนั้น แค่ไม่สนใจก็พอ
ไม่อย่างนั้นยังจะให้เขาฉินจ่าวลงมือด้วยอีกคนหรือ? เซียนเหรินสองคนเล่นงานเซียนกระบี่คนหนึ่ง? ต่อให้เอาชนะมาได้ ชื่อเสียงที่แพร่ออกไปก็ไม่น่าฟัง หากแพ้ก็ยิ่งจบเห่ ชื่อเสียงที่สร้างมาจะพังภินท์ภายในวันเดียวเอาได้
เหยียนเก๋อผงกศีรษะทักทายเซียนกระบี่ท่านนั้น
ไม่ถึงขั้นคิดจะแตกหักเป็นศัตรูกับเซียนกระบี่ที่สมองไม่ปกติเพียงเพื่ออวิ๋นเหมี่ยวที่มีความสัมพันธ์ธรรมดาต่อกัน
ร่างจริงของเซียนกระบี่ชุดเขียวยังคงยืนอยู่ที่เดิม ยกสองมือตั้งวางไว้เบื้องหน้า หลังมือตีกลางฝ่ามือเบาๆ ท่วงท่าผ่อนคลายสบายอารมณ์อย่างยิ่ง
อวิ๋นเหมี่ยวเตรียมจะเรียกกายธรรมออกมาอีกครั้ง จะปล่อยให้เซียนกระบี่ชุดเขียวอาศัยแค่กระบี่บินเล่มเดียว บวกกับร่างแยกประหลาดที่มีจำนวนมากหน่อยมาทำตัวเป็นเหมือนคนนอกสถานการณ์ที่นั่งดูเหตุการณ์เฉยๆ ท่ามกลางการประลองมรรคกถากับเซียนเหรินคนหนึ่งคงไม่ได้
เส้นเอ็นหัวใจของอวิ๋นเหมี่ยวขึงตึงขึ้นมาทันที ก้าวเท้าพายุลมกรดออกไปเร็วรี่
จากนั้นก็เรียกสมบัติล้ำค่าแห่งชะตาชีวิตอีกชิ้นออกมา คือตำราหยกเสินเซียวเล่มหนึ่งของหอเซียนจิ่วเจิน
เท้าเหยียบอยู่บนเจ็ดดาว เทพเคลื่อนโคจรเซียนบินทะยาน พากันมาถึงนครอวี้จิง ตำราหยกเสินเซียว เมฆทะยานขึ้นสูง รวมตัวกันอยู่ในจื่อถิงตลอดกาล
ผิวน้ำลำคลองใต้ฝ่าเท้าของอวิ๋นเหมี่ยวมีไอสีม่วงลอยกรุ่นขึ้นมา ก่อนที่จะมีตำราตระกูลเซียนเล่มหนึ่งที่เป็นเนื้อหยกขาวแวววาวผุดออกมา เป็นเหตุให้ผิวน้ำลำคลองร้อยจั้งกว่าในบริเวณใกล้เคียงลดฮวบลงในชั่วพริบตา แล้วพากันโถมกรูซัดเข้าหาชายฝั่งทั้งสองด้าน
ทันใดนั้นร่างจริงของอวิ๋นเหมี่ยวก็ได้เลื่อนเข้าสู่ขอบเขต ‘ร่างวารีเมฆา’ ที่ลี้ลับมหัศจรรย์อย่างถึงที่สุด
กระบี่บินเล่มหนึ่งปาดทะลุข้างหนึ่งของลำคอร่างจริงอวิ๋นเหมี่ยวไปอย่างเงียบเชียบ
กระบี่บินที่เป็นสีเขียวเข้มซึ่งมีวิถีโคจรที่แปลกประหลดาเล่มนั้นเพียงแค่ทิ้งแสงกระบี่สีเขียวมรกตส่วนหนึ่งไว้กลางลำคลองของ ‘ร่างวารีเมฆา’ ของอวิ๋นเหมี่ยวเท่านั้น จากนั้นก็หายไปอีกครั้ง
ในดวงตาและตรงหัวใจของอวิ๋นเหมี่ยว ช่องโพรงที่สำคัญใหญ่ๆ หลายแห่ง มีกระบี่บินสีเขียวเข้มเล่มหนึ่งลอดทะลวงไม่หยุดนิ่ง เพียงไม่นานก็มีลำแสงปราณกระบี่จำนวนไม่ถ้วนที่รัดพัวพันร่างวารีเมฆาของเซียนเหรินเอาไว้อย่างสิ้นเชิง
อวิ๋นเหมี่ยวยังคงไม่กล้าเรียก ‘เชือกห้าสี’ เส้นนั้นออกมาโดยพลการ
เพราะกระบี่บินเล่มแรก ก่อนหน้านี้มองดูคล้ายซ่อนตัวอยู่ตลอดเวลา ถูกความคิดของเซียนกระบี่ชักนำ จิงชี่เสินขุมหนึ่งก็พลันเพิ่มพูน ถึงกับฝ่าค่ายกลชั้นสุดท้ายมาได้โดยตรง
กระบี่บินกระแทกชนที่ผิวกระจก
เสียงเคร้งดังขึ้นก่อนหนึ่งที เสียงใสกังวานก้องสะท้อนไปทั่วชายฝั่งสองด้าน
จากนั้นก็เป็นเสียงที่เหมือนกับตะปูดอกหนึ่งซึ่งค่อยๆ กรีดไปบนหินเขียว ทำให้คนรู้สึกชาไปทั้งหนังศีรษะตามสัญชาตญาณ
อวิ๋นเหมี่ยวยกมือข้างหนึ่งขึ้นจับประคองกระจกไว้หลวมๆ
กระบี่บินพุ่งชนด้วยพละกำลังที่หนักอึ้งมากเป็นพิเศษ เป็นเหตุให้อวิ๋นเหมี่ยวหนึ่งคนหนึ่งกระจกถึงกับถอยกรูดไปบนผิวน้ำหลายจั้ง
อวิ๋นเหมี่ยวหัวเราะหยันอยู่ในใจ ครั้งถัดมาที่กระบี่บินเล่มนั้นพุ่งชนผิวกระจก ผิวกระจกก็เกิดเป็นริ้วคลื่นน้ำกระเพื่อมเป็นระลอก กระบี่บินพลันถูกกักตัวไว้ในลายน้ำของผิวกระจก
ในที่สุดอวิ๋นเหมี่ยวก็เรียกเชือกห้าสีเส้นนั้นออกมา กักขังกระบี่บินเล่มนั้นเอาไว้ประหนึ่งเถาวัลย์โบราณที่รัดพันต้นไม้
ผู้ฝึกลมปราณในใต้หล้า เพื่อพันธนาการผู้ฝึกกระบี่ก็เรียกได้ว่าอุทิศตนสิ้นเปลืองความคิดจิตใจทั้งหมดที่มีแล้ว
ต่อให้เป็นฝูลู่อวี๋เสวียน ลงจากเขาไปฝึกประสบการณ์ตอนที่ยังเป็นหนุ่มก็ต้องทุ่มเทจิตใจในการหลอมยันต์พันธนาการกระบี่หลายร้อยแผ่นมาไว้ป้องกันกายเสียก่อน ถึงจะยอมออกจากสำนัก
ทางฝั่งของเกาะยวนยาง ร่างของเฉินผิงอันพลันหายวับไป
เซียนเหรินสองคนหยกดิบหนึ่งคนรู้สึกเหมือนแรงกดดันลดฮวบไปในทันที เทียนหนีที่เป็นผู้ถวายงานเชื้อพระวงศ์ราชวงศ์ต้าตวนก็ทอดถอนใจอย่างอดไม่ได้ว่า “อยู่กับเซียนกระบี่มักจะรู้สึกว่าอยู่ดีไม่ว่าดีอาจโดนกระบี่หนึ่งทิ่มแทง ช่างเป็นความรู้สึกที่ย่ำแย่จริงๆ”
ฉินจ่าวมองไปทางสนามรบจุดนั้น ชมเรื่องสนุกไม่รังเกียจว่าจะเป็นเรื่องใหญ่ เขาจึงพูดเหมือนคนมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นว่า “แม้แต่ร่างวารีเมฆา อวิ๋นเหมี่ยวก็ยังเอาออกมาใช้แล้ว ต่อจากนี้ก็ควรถึงคราวของดินแดนแก่นน้ำแล้วหรือไม่?”
เหยียนเก๋อเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นก็เท่ากับว่าผูกปมแค้น แตกหักกันอย่างสิ้นเชิงแล้ว”
เทียนหนีพยักหน้า “ได้ยินมาว่าผู้ฝึกลมปราณของหอเซียนจิ่วเจินต่างก็จิตใจคับแคบ”
เหยียนเก๋อยิ้มถาม “ไปฟังใครพูดมาล่ะ?”
เทียนหนียิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อาเหลียง”
เหยียนเก๋อสีหน้ามืดทะมึน
เทียนหนีพลันกล่าว “ทางฝั่งของภูเขาอ๋าวโถวนั้น ดูเหมือนว่าจะมีผู้อาวุโสท่านหนึ่งที่สนิทสนมกับอาจารย์ผู้มีพระคุณของอวิ๋นเหมี่ยวอย่างมากอยู่ด้วย?”
ฉินจ่าวยิ้มกล่าว “ไม่ถึงขั้นกลายเป็นเรื่องใหญ่โตขนาดนั้นหรอก”
นั่นคือผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานท่านหนึ่งที่ไม่ค่อยชอบลงจากภูเขา มีชื่อว่าหนันกวงจ้าว ฉายาเทียนชวี่
บนภูเขา สหายของบินทะยานส่วนใหญ่มักจะเป็นบินทะยานเหมือนกัน
หนันกวงจ้าวเป็นสหายรักกับบรรพจารย์ขอบเขตบินทะยานของหอเซียนจิ่วเจินผู้นั้นจริง
ถึงอย่างไรก็อยู่ในอาณาเขตของศาลบุ๋น อีกทั้งผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานคนหนึ่ง เดิมทีก็มีกฎเกณฑ์มากมายให้ต้องเคารพ ไม่มีทางลงมือง่ายๆ แน่นอน
อีกทั้งขอบเขตบินทะยานของแผ่นดินกลางท่านนี้ได้พลาดสงครามใหญ่ก่อนหน้านี้ไป ว่ากันว่าเขาปิดด่านอยู่พอดี เพิ่งออกจากด่านมาได้สองสามปี ดังนั้นการประชุมของศาลบุ๋นครั้งนี้จึงเหมือนกับเซียนเหรินฉินจ่าวที่ต่างก็ไม่ได้รับเชิญจากศาลบุ๋น แต่ไม่ได้รับเชิญ หนันกวงจ้าวก็ยังนั่งเรือข้ามฟาก อำพรางตัวตนเดินทางมาถึงที่นี่อย่างเงียบเชียบก่อนนานแล้ว หลังจากเข้าพักเรียบร้อยก็เก็บตัวเงียบแทบไม่ได้ออกมา เพียงแค่ไปดูฟู่จิ้นเล่นหมากล้อมกับคนอื่นที่ภูเขาอ๋าวโถวพร้อมกับสหายเก่าแก่ที่สนิทสนมกัน ตั้งแต่ต้นจนจบหนันกวงจ้าวไม่ได้เข้าร่วมงานเลี้ยงสุราของฮูหยินภูเขาชิงเสิน หรือของเจ้าแห่งบุปผาของพื้นที่มงคลร้อยบุปผา ส่วนจะเป็นเพราะไม่ได้รับเชิญให้ร่วมงานเลี้ยง หรือเทพเซียนผู้เฒ่าได้ปฏิเสธอย่างละมุนละม่อมเป็นการส่วนตัว ก็ไม่มีใครทราบได้แล้ว
——