กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 794.2 ซิ่วหู่อย่างมาก
เฉินผิงอัน ‘ปรากฎตัว’ บนร่างของคนชุดเขียวคนหนึ่งบนลำคลอง ยิ้มเอ่ยสองคำว่าดอกไม้ร่วง คนชุดเขียวทั้งหลายที่เดิมทีดาหน้ารับมือกับการปะทะจากกองทัพหยินก็พลันมารวมตัวกัน
คนชุดเขียวผู้หนึ่งเท้าเหยียบอยู่บนผิวน้ำ แยกขายกมือตั้งท่าหมัด ปล่อยหมัดหนึ่งออกไป ใช้กระบวนท่าม้าเหล็กทะลวงขบวนรบเปิดทาง ถามหมัดต่อเซียนเหริน
จิตหยินเสื้อเกราะทองของเซียนเหรินอวิ๋นเหมี่ยวขว้างหลิงจือหยกขาวในมือเข้าใส่เจ้า…ผู้ฝึกยุทธที่ออกหมัดอย่างแรง
เฉินผิงอันดีดปลายเท้าบิดหมุนร่าง หลบจิตหยินเกราะทองตนนั้นมาได้ แม่น้ำด้านหลังถูกหลิงจือหยกขาวขว้างเข้าใส่ก็ราวกับว่าท้องน้ำระเบิดกลายเป็น ‘บ่อน้ำ’ ลึกร้อยจั้งบ่อหนึ่ง ผิวน้ำพลันเกิดน้ำวนขึ้นมาทันใด
อวิ๋นเหมี่ยวสีหน้าเคร่งเครียด เป็นอย่างที่ฉินจ่าวคาดการณ์ไว้จริงๆ เขาไม่ยินดีให้เซียนกระบี่ชุดเขียวที่จู่ๆ ก็กลายเป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนนั้นขยับเข้าใกล้ตัว จำต้องร่ายวิชาอภินิหารก้นกรุวิชาหนึ่งออกมา
ปรากฏเป็นฟ้าดินเล็กดินแดนแก่นน้ำแห่งหนึ่ง
หลังจากคนชุดเขียวออกหมัดก็เหมือนวัวปั้นดินที่จมหายไปในมหาสมุทร บนผิวน้ำก็มองไม่เห็นร่างเขาอีก
อวิ๋นเหมี่ยวถอนหายใจโล่งอก กำลังจะหันไปรับมือกับกระบี่บินขาวหิมะที่ถูกเชือกห้าสีพันธนาการเอาไว้ต่ออีกครั้ง จับกระบี่ได้แล้วก็ควรต้องหลอมกระบี่ จากนั้นค่อยใช้เวทลับของสำนักมาหลอมจิตวิญญาณของเซียนกระบี่ด้วยวิธีการที่โหดร้ายอำมหิต จะต้องทำลายรากฐานมหามรรคาของอีกฝ่ายให้จงได้
คิดไม่ถึงว่าฟ้าดินเล็กที่เพิ่งก่อตัวสำเร็จกลับคล้ายแก้วใสใบหนึ่งที่แตกดังเพล้ง
จิตใจของอวิ๋นเหมี่ยวสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง รู้เพียงแค่ว่าดินแดนแก่นน้ำถูกปราณกระบี่กับเวทอสนีบทหนึ่งร่วมมือกันทุบทำลายจนเละ
เพียงแต่ว่าอวิ๋นเหมี่ยวคิดร้อยตลบก็ยังไม่เข้าใจ กระบี่บินทั้งสองเล่มต่างก็อยู่นอกอาณาเขตแก่นน้ำ หรือว่าผู้ฝึกกระบี่คนนี้จะมีกระบี่บินเล่มที่สาม?
คนชุดเขียวยืนลอยตัวอยู่กลางอากาศสูง ในมือถือประคองตราประทับ ห้าอสนีรวมตัวกันอยู่ภายใน ซุกซ่อนความหมายที่ไร้ขีดจำกัด ยิ่งใหญ่ไพศาลองอาจ
อวิ๋นเหมี่ยวหนังตากระตุกริกๆ
คราวนี้เจ้าหมอนี่กลายเป็นเกาเจินลัทธิเต๋าท่านหนึ่งแล้วรึ? คงไม่ถึงขั้นเป็นผู้สูงศักดิ์หวงจื่อคนหนึ่งของจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์ด้วยกระมัง?
อวิ๋นเหมี่ยวสีหน้าเขียวคล้ำ กลางฝ่ามือมีหอเซียนแก้วใสที่เกิดจากการจำแลงของมหามรรคาชิ้นหนึ่งลอยขึ้นมา เขากำมือเก็บมันลงไป ขณะเดียวกันก็รวบรวมท่วงทำนองที่หลงเหลืออยู่ของดินแดนแก่นน้ำที่ปริแตกมาไว้อย่างรวดเร็ว ยังดี ยังไม่ได้ทำร้ายไปถึงรากฐานของสมบัติล้ำค่าแห่งชะตาชีวิตชิ้นนี้
บนฟ้ามีคาถาอสนีบทหนึ่งผ่าเปรี้ยงลงมา เสาลำแลงห้าสีใหญ่เหมือนยอดเขา
อวิ๋นเหมี่ยวประกบสองนิ้วแล้วยกขึ้นเบาๆ กระจกวิเศษวางพาดในแนวนอน ลอยอยู่เหนือศีรษะ
กระจกวิเศษคล้ายดวงจันทร์ที่ลอยอยู่กลางอากาศ
คนที่อยู่บนท้องฟ้า ในมือถือประคองตราประทับอาคม วิชาอสนีถูกปล่อยลงมาไม่หยุดประหนึ่งเม็ดฝนที่หล่นลงในโลกมนุษย์
กระจกวิเศษของเซียนเหรินเปล่งประกายแสงเจิดจ้า จิตหยินเกราะทองที่ออกจากช่องโพรงเดินทางไกลก็หวนกลับคืนมายังร่างจริง อวิ๋นเหมี่ยวขยับหลิงจือหยกขาวเบาๆ บงการเจียวหลงสีเขียวหลายตัวที่เกิดจากการรวมตัวกันของน้ำในแม่น้ำให้ทะยานขึ้นกลางอากาศไปเข่นฆ่า แม่น้ำลำคลองสายหนึ่ง ทุกหนทุกแห่งล้วนมีแต่ภาพที่มังกรเขียวโผล่พ้นน้ำ โผนกระโจนขึ้นจากพื้นดิน บินโฉบขึ้นไป เมื่อเจอกับเวทอสนีที่หล่นลงมาก็ประชันกันด้านปราณวิญญาณว่ามีมากหรือน้อย ประลองมรรคกถาว่าสูงหรือต่ำ
กระจกวิเศษกับเชือกห้าสีร่วมกันพันธนาการกระบี่บินเล่มนั้น ขณะเดียวกันก็ถูกกระบี่บินและเวทอสนีกระเทือน จึงเริ่มเกิดลางว่าจะสั่นคลอน อวิ๋นเหมี่ยวได้แต่พันธนาการกระบี่บินเล่มนั้นไว้ชั่วคราว ไม่มีโอกาสที่จะหลอมและทำร้ายจิตวิญญาณของผู้ฝึกกระบี่คนนั้น
ส่วนกระบี่บินสีเขียวมรกตที่ยากจะตอแยเล่มนั้นก็คอยพุ่งชนจากทางตะวันออกที ทางตะวันตกที เดี๋ยวขึ้นบนเดี๋ยวลงล่าง ลากแสงกระบี่ออกมานับไม่ถ้วนอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ทิ่มแทงจนเซียนเหรินชุดขาวคนหนึ่งกลายเป็นคนมรกตไปแล้ว
เฉินผิงอันชำเลืองตามองเซียนเหรินที่อยู่บนพื้นแล้วให้กระจ่างแจ้งอยู่ในใจ
ไม้ไผ่ตาถี่ไม่อาจสกัดขวางน้ำที่ไหลผ่าน ภูเขาสูงก็ไม่อาจกีดกั้นเมฆเคลื่อนคล้อย
นี่ก็คงจะเป็นรากฐานของ ‘ร่างเมฆาวารี’ ของอวิ๋นเหมี่ยวแล้ว
น่าเสียดายที่ไม่ใช่อู๋ซวงเจี้ยง ไม่อาจ ‘แยกร่าง’ เวทคาถาบทนี้ได้ด้วยการมองปราดเดียว ส่วนกระบี่บินสืออู่ ต่อให้วิถีการออกกระบี่จะมากแค่ไหน ก็ยังเหมือนคนที่เดินผ่านน้ำผ่านเมฆ เมฆและน้ำรวมตัวกันหรือแยกตัวจากกันล้วนไร้ร่องรอย ดังนั้นวิชาอภินิหารบทนี้ของหอเซียนจิ่วเจิน แม้แต่รูปร่างภายนอกก็ยังยากที่จะเรียนรู้ให้เหมือน
แต่หากเฉินผิงอันยินดีเรียกนกในกรงและจันทร์กลางบ่อออกมา ร่างเมฆาวารีของอวิ๋นเหมี่ยวก็ไม่มีทางแข็งแกร่งมิอาจทำลายแบบนี้ต่อไปอีกแน่นอน
ขอแค่กระบี่บินมีมากพอ แน่นถี่เหมือนทำนบน้ำ ก็ยังคงเป็นเรื่องของหนึ่งกระบี่ทลายอาคมได้อยู่ดี
ส่วนตราประทับห้าอสนีในมือที่เฉินผิงอันเอาออกมาใช้ในใต้หล้าไพศาลเป็นครั้งแรก ก็ขาดแค่ตราประทับจันทร์เต็มดวงที่เป็น ‘ตราประทับฟ้า’ เท่านั้น ตราประทับอาคมสี่ด้านที่นอกเหนือจากตราประทับดินได้แกะสลักเป็นภาพของสิ่งศักดิ์สิทธิ์สามสิบหกตน เมื่อเฉินผิงอันเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตหยกดิบก็ไม่ต้องถือสาในความเสียหายของปราณวิญญาณน้อยนิดแค่นั้น ปราณวิญญาณที่สะสมไว้จึงเอามาใช้มือเติบได้อย่างแท้จริง ไม่ต้องกระอักกระอ่วนเหมือนตอนเป็นผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลางที่ทุกครั้งที่ประลองเวทคาถามักจะตกอยู่ในสภาพการณ์ของสตรีที่ต่อให้เก่งแค่ไหน แต่ไม่มีวัตถุดิบก็ไม่อาจแสดงฝีมือทำอาหารออกมาได้อีก
เป็นเหตุให้ภาพบรรยากาศรอบด้านคนชุดเขียวเกิดเป็นภาพลวงตาที่น่าตะลึง มีเทพกรมสายฟ้าตีกลอง มีเจ้าแม่ฟ้าแลบปล่อยสายฟ้า มีพ่อปู่วาโยเป่าเมฆ มีเทพพิรุณโปรยน้ำฝน และยิ่งมีขุนนางสวรรค์ที่ต่างก็มีภาพกายธรรมตามหน้าที่ของตัวเอง
เวทคาถาอภินิหารมากมายปะปนกัน บวกกับปณิธานของเวทสายฟ้าที่เปี่ยมล้นหลายขุม คอยซัดทำลายเจียวหลงเวทน้ำที่ทะยานขึ้นมากลางอากาศให้แหลกสลายไป
ไม่เพียงเท่านี้ กองทัพหยินบนผิวน้ำที่อวิ๋นเหมี่ยวปล่อยไว้ไม่สนใจยังถูกเวทอสนีสยบกำราบตามธรรมชาติ แทบไม่ต้องให้จิตของเฉินผิงอันชักนำอย่างไร ถึงขั้นที่ว่าการเผาผลาญปราณวิญญาณยังแทบจะมองข้ามไปได้เลย พวกมันก็จำแลงกลายมาเป็นทะเลเมฆสีทองที่สามารถมองเป็นบ่อสายฟ้าสีทองแห่งหนึ่งด้วยตัวเอง อันดับแรกก็พุ่งชนเมฆทะมึนให้เปิดทางออกก่อน ทำให้ขุนเขาสายน้ำหลายสิบลี้บนเกาะยวนยางที่เดิมทีสีท้องฟ้าอึมครึมมืดทะมึนกลับคืนมาเป็นยามทิวาอีกครั้ง จากนั้นก็มีแส้สายฟ้ายาวหลายร้อยเส้นฟาดโบยลงมาบนกองทัพพลังหยินบนผิวน้ำ ประหนึ่งหนวดมังกรสีทองเส้นแล้วเส้นเล่าที่ห้อยย้อยตกจากม่านฟ้าลงมายังโลกมนุษย์
นี่ก็เป็นดั่งคำกล่าวที่ว่าเหตุใดผู้ฝึกลมปราณฝึกตนถึงให้ความสำคัญกับ ‘การสอดคล้องกับมรรคา’ มากที่สุด มหามรรคาของฝ่ายตัวเองสยบกำราบคู่ต่อสู้ได้ เวทคาถาแบบเดียวกัน แต่กลับเหนื่อยเพียงครึ่งให้ผลลัพธ์เป็นเท่าตัว
หลินชิงเค่อชิงเฒ่าที่เชี่ยวชาญการแกะสลักตัวอักษรหยกทองซึ่งก่อนหน้านี้อยู่ริมลำคลอง ทอดถอนใจเอ่ยชื่นชม “ช่างเป็นห้าอสนีที่มารวมตัวกันได้ดีจริงๆ หมื่นคาถาหนึ่งภูเขา สำนักดั้งเดิมแห่งใต้หล้า”
เทพธิดาอารามดอกเหมยเอ่ยอย่างขลาดๆ “ไม่สามารถเปิดบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำได้จริงหรือ?”
เวทอสนีเจิดจ้าพร่างพราว มองจนจิตวิญญาณแกว่งไกว การประลองเวทคาถาของตระกูลเซียนที่น่ามองขนาดนี้ มีความสุขคนเดียวไม่สู้มีความสุขไปด้วยกันนี่นา
ผู้ฝึกกระบี่หญิงจากสำนักกระบี่เหมยซานเอ่ยอย่างระอาใจ “อย่าเหลวไหลเด็ดขาด นิสัยของเซียนกระบี่ยากจะคาดเดา โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังรำคาญคนนอกที่ชมเรื่องสนุกแล้วส่งเสียงเอะอะมากที่สุด”
คุณชายจากสกุลเซี่ยมี่อวิ๋นลุกขึ้นยืนนานแล้ว กรอกเหล้าชิงเสินหนึ่งอึกเข้าปากแรงๆ พึมพำว่า “ต้องท่องกลอน จะต้องร่ายกลอนสักบทให้จงได้”
หลี่ไหวจุ๊ปาก “หลี่เป่าผิง เฉินผิงอันดุดันขนาดนี้เชียวหรือ?”
หลี่เป่าผิงยิ้มบางๆ พูดด้วยสีหน้ามีชีวิตชีวา “ก็อาจารย์อาน้อยนี่นะ”
หลี่ไหวยินดีลดลำดับศักดิ์ตัวเองลงรุ่นหนึ่ง ใช้เสียงในใจเอ่ยกับนักพรตเนิ่นที่อยู่ข้างกาย “อันที่จริงเฉินผิงอันคืออาจารย์อาน้อยของข้า”
ใบหน้านักพรตเนิ่นเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่แท้จริงแล้วกลับกลุ้มใจยิ่งนัก แบบนั้นลำดับศักดิ์ของข้าผู้อาวุโสจะไม่ลดลงไปอีกหรอกหรือ?
ผู้เฒ่าชุดเหลืองคนนี้กวาดตามองไปรอบด้าน มารดามันเถอะ แน่จริงก็มีขอบเขตบินทะยานมาสักคนสิ วันนี้อิ่นกวานหนุ่มกร่างแบบนี้ ไม่มีวีรบุรุษคนใดออกมากำราบความจองหองของเขาบ้างเลยหรือ? ขอบเขตบินทะยานมาสักคนก็จะได้ประมือกับเขาดีๆ สักที ฉายานักพรตเนิ่นที่เพิ่งตั้งมานี้จะเลื่องระบือไปทั่วใต้หล้าไพศาลได้หรือไม่ก็ต้องดูว่าวันนี้สวรรค์จะมอบโอกาสให้หรือไม่แล้ว
บนเกาะยวนยางมีเซียนซือคนหนึ่งที่มีความสัมพันธ์ไม่เลวกับจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์ที่ยิ่งตกตะลึงระคนกังขา “ผู้ฝึกกระบี่ วิชายันต์ เวทสายฟ้า หรือจะเป็นเทียนซือน้อยจ้าวเหยากวง?”
สหายรักที่อยู่ด้านข้างส่ายหน้า “ตอนนี้เทียนซือน้อยยังเข้าร่วมการประชุมอยู่ที่ศาลบุ๋น อีกทั้งจ้าวเหยากวงจะอย่างไรก็เป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวไม่ได้หรอก”
“กระบวนท่าหมัดก่อนหน้านั้นมองแล้วน่าตะลึงอย่างยิ่ง ต้องเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตเท่าไร? เดินทางไกล ยอดเขา?”
“บอกได้ยาก เอาเป็นว่าหากข้ายืนนิ่งไม่ขยับก็ไม่มีทางรับหมัดนั้นได้ไหวแน่นอน”
“คงไม่ใช่ว่าไม่ทันระวังก็จะสามารถสังหารบรรพจารย์อวิ๋นเหมี่ยวได้จริงๆ หรอกกระมัง?”
“ขอบเขตเซียนเหรินของอวิ๋นเหมี่ยวผู้นี้ผ่านการขัดเกลาอย่างตั้งใจมานานหลายร้อยปี ต้องไม่มีทางแย่ถึงขนาดนั้นแน่นอน พวกเราแค่รอดูไปก็พอ เชื่อว่าอวิ๋นเหมี่ยวต้องมีทางหนีทีไล่ซ่อนไว้แน่ๆ ไม่อย่างนั้นการต่อสู้ครั้งนี้ก็เท่ากับว่าชื่อเสียงของหอเซียนจิ่วเจินเละเทะไปทั่วทุกหัวถนนแล้ว”
อวิ๋นเหมี่ยวสะบัดชายแขนเสื้อกว้างใหญ่ของชุดคลุมอาคม โปรยเงินดอกไม้สีทองขนาดเท่าฝ่ามือออกมากำใหญ่
แสงสีทองร้อยกว่าเส้นพุ่งตรงขึ้นฟ้า เส้นยาวสีทองทั้งหลายรวมตัวกันเป็นหนึ่ง ขณะเดียวกันอวิ๋นเหมี่ยวก็สูดหายใจเข้าและออกหนึ่งที ร่ายเวทคาถาศาลบรรพจารย์ที่เป็นอาวุธกึ่งเซียนลัทธิเต๋าของหอเซียนจิ่วเจิน เก็บเทพส่องสว่างภายใน นำ ‘สิบแม่ทัพใน’ ตามคำกล่าวของลัทธิเต๋าซึ่งรวมอวัยวะอย่างดวงตา หู จมูก ตับ ม้ามเป็นหนึ่งในนั้นมาหลอมเป็นแม่ทัพนอก จำแลงออกมาเป็นแม่ทัพเทพกรมสายฟ้าสิบท่านที่จัดขบวนรบเรียงแถวอยู่ข้างนอกอย่างเคร่งขรึม เพื่อหลอมวิชาอภินิหารบทนี้ อวิ๋นเหมี่ยวยังเคยออกจากสำนักไปตามหาเมฆสายฟ้าร้อยกว่าก้อนมาโดยเฉพาะ กินสายฟ้ากลืนฟ้าแลบ สุดท้ายเดินถือเวทอสนีอยู่ในพื้นที่ต้องห้ามบึงสายฟ้าซึ่งเป็นจวนลับบรรพกาลแห่งหนึ่งที่ตัวเองพลัดหลงเข้าไป แล้วตั้งใจฝึกตนอยู่ในนั้นนานอีกหลายสิบปี
อวิ๋นเหมี่ยวต้องการใช้เวทอสนีถามมรรคากับเวทอสนี
เทียนจวินกรมสายฟ้าสิบตนกับแม่ทัพสามสิบหกตนจากกรมต่างๆ ซึ่งมีกรมสายฟ้าเป็นผู้นำของตราประทับอาคม แบ่งสูงต่ำกันได้ทันที
บนท้องฟ้าบนแม่น้ำ สองฝ่ายคุมเชิงกัน ข้างกายล้วนมีแต่เวทอสนีอันน่าครั่นคร้าม
ฟ้าร้องฟ้าผ่าสายฟ้าแลบ ภายใต้เส้นแสงสีทองที่สาดยิงออกมา เป็นเหตุให้อาณาเขตตลอดทั้งเกาะยวนยางเปล่งสีทองมลังเมลือง ราวกับว่าอยู่ดีๆ ก็มีบ่อสายฟ้าสีทองบ่อหนึ่งโผล่ออกมาจากความว่างเปล่า
เชื่อว่าทางฝั่งของภูเขาอ๋าวโถว เกาะนกแก้วและอำเภอพ่านสุ่ยจะต้องมีคนสัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวของทางฝั่งนี้อย่างแน่นอน และจะต้องพากันเดินทางมาดูแล้ว
ทุกคนจะต้องสงสัยใคร่รู้ว่าใครกันที่กล้ามาประลองเวทอาคมบนเกาะยวนยางโดยพลการในช่วงเวลาสำคัญของการประชุมศาลบุ๋นครั้งนี้
อวิ๋นเหมี่ยวใช้นิ้ววาดยันต์ลงกลางฝ่ามือแล้วกำไว้หลวมๆ ก่อนจะพลันคลายมือออก สายฟ้าสะเทือนครืนครั่น
เฉินผิงอันโบกชายแขนเสื้อหนึ่งที ตบเวทอสนีข้างกายให้แตกสลายไปได้ง่ายๆ
อวิ๋นเหมี่ยววาดยันต์ไม่หยุด มือกำแล้วก็แบออก ในมือของเซียนเหรินเต็มไปด้วยสายฟ้า
เฉินผิงอันผลักออกเบาๆ ตราประทับห้าอสนีขยับลอยขึ้นสูงเล็กน้อยแล้วทำการโคจรมหามรรคาด้วยตัวเอง สองนิ้วประกบกัน วาดเบาๆ หนึ่งครั้ง ผ่าเวทอสนีของอวิ๋นเหมี่ยวที่อยู่ตรงหน้าออก
ทางฝั่งของเกาะยวนยางยิ่งมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้นมา มีบางคนร้อนใจแล้ว “มารดามันเถอะ ไอ้หมอนี่โผล่มาจากไหนกันแน่? สรุปว่าเป็นปรมาจารย์ใหญ่วิถีวรยุทธหรือเป็นเซียนกระบี่ผีตอแยยากกันแน่?!”
หากลองพาตัวเองเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ สลับเปลี่ยนตำแหน่งกับอวิ๋นเหมี่ยว คาดว่าหากไม่มีร่างวารีเมฆา ป่านนี้ก็คงถูกกระบี่บินแทงตายไปนานแล้ว ไม่อย่างนั้นหากปล่อยให้อีกฝ่ายประชิดตัว ไม่มียันต์จือม่วงหลวนขาวหลบหนี ก็คงถูกหักคอไปแล้ว ถึงเวลานั้นโอสถทอง ทารกก่อกำเนิด จิตวิญญาณจิตหยินอะไร จะไม่ถูกคนผู้นั้นไล่ตามมาปล่อยหมัดไม่กี่ทีก็แหลกสลายไปแล้วหรอกหรือ?
มองดูเหมือนเวทคาถาตระกูลเซียนที่ปล่อยออกมายาวเหยียด อวิ๋นเหมี่ยวทำได้อย่างคล่องแคล่วดุจเมฆคล้อยน้ำไหล กลิ่นอายเซียนล่องลอย แต่อันที่จริงความยากลำบากกลับมีเพียงตัวเขาเองที่รู้ การประลองเวทคาถาบนภูเขา ประลองกันไปประลองกันมา ปราณวิญญาณที่ถูกเผาผลาญและความเสียหายของสมบัติอาคมล้วนเป็นเงินเทพเซียนกองใหญ่ สิ่งที่เสียไปก็ยิ่งเป็นรากฐานของตัวเองและของสำนัก เหตุใดผู้ฝึกลมปราณถึงได้รังเกียจผู้ฝึกกระบี่และผู้ฝึกยุทธเต็มตัวถึงเพียงนั้น คนหนึ่งถามกระบี่ คนหนึ่งถามหมัด เมื่อต้องประลองกันขึ้นมา คนที่ถูกท้าทาย ส่วนใหญ่มักไม่เรียกว่าเป็นการขัดเกลาบนมหามรรคาอะไรด้วยซ้ำ
อวิ๋นเหมี่ยวปล่อยวิชาอภินิหารไปอีกหนึ่งบท
สองมือทำมุทรา เหยียบอยู่บนเจ็ดดาว ตำราหยกเล่มที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าส่องแสงศักดิ์สิทธิ์พร่างพราว ก่อนจะกลายมาเป็นแท่นบูชาสถานที่ประกอบพิธีกรรม สุดท้ายด้านหลังอวิ๋นเหมี่ยวก็มีศาลาโอฬารใหญ่โตแห่งหนึ่งโผล่ออกมา อักษรสีทองบนกรอบป้ายเขียนเป็นสองคำว่า ‘ศาลาฝน’
ด้านในมีเซียนเหรินที่เรือนกายล่องลอย ใบหน้าพร่าเลือนคนหนึ่งยืนอยู่
รอบด้านของศาลา ฟ้าดินขมุกขมัวอึมครึม ฝนเม็ดใหญ่ตกกระหน่ำบดบัง
มือหนึ่งของอวิ๋นเหมี่ยวถือกระบี่ยาว อีกมือหนึ่งบีบยันต์ทุติยรุ้ง สีหน้าเคร่งขรึม ในใจท่องคาถาโบราณบทหนึ่ง “จำแลงเมฆขาว หมอกเมฆเยื้องกรายลงมา บดบังตะวันจันทร์ ก่อนจำแลงเป็นจักรวาล หมู่ภูเขาเกิดลมปราณ หมู่มวลน้ำผุดไอ สี่มหาสมุทรห้าขุนเขา รับคำสั่งอาจารย์ซานซานจิ่วโหว ยอดเขาสั่งเทพ ล่างมหาสมุทรพิฆาตเจียว หนึ่งกระบี่ตัดหัว มอบศีรษะให้แก่ป๋ายถงจื่อประจิม จงมารับคำสั่ง!”
ร่างของเซียนเหรินแน่นิ่งไม่ขยับ เพียงแต่ด้านหน้ามีกระบี่บินเล่มหนึ่งโผล่ออกมา
ทางฝั่งของเกาะยวนยาง ฉินจ่าวบิดหมุนข้อมือ ในมือก็มีขลุ่ยไผ่เขียวมรกตเลาหนึ่งปรากฏขึ้น เขาใช้ขลุ่ยเคาะฝ่ามือเบาๆ ยิ้มเอ่ยว่า “ดูท่าอวิ๋นเหมี่ยวจะสู้สุดชีวิตจริงๆ แล้ว”
ต้องระวังว่าจะติดร่างแหเดือดร้อนไปด้วยแล้ว
วิธีการนี้ของอวิ๋นเหมี่ยวไม่เคยได้ยินมาก่อน มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นท่าไม้ตายที่หอเซียนจิ่วเจินนำมาใช้กดกระดานโลงศพแล้ว?
เทียนหนีเอ่ย “เซียนเหรินผู้ยิ่งใหญ่ การประลองครั้งนี้กลับเหมือนถูกกดเหยียบไว้ใต้ฝ่าเท้า ไม่ว่าใครมาเจอแบบนี้ก็คงหายใจไม่คล่องคอเหมือนกัน”
เหยียนเก๋อทอดสายตามองไปยังศาลาใหญ่ยักษ์หลังนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ‘เซียนเหริน’ ล่องลอยที่อยู่ในศาลา รู้สึกอกสั่นขวัญผวาอยู่บ้าง “นี่คือ? เทพเซียนจากที่ใดกัน?”
ฉินจ่าวหัวเราะคิกคัก “สวรรค์เท่านั้นที่รู้ มีผู้ถ่ายทอดมรรคาเป็นขอบเขตบินทะยาน แน่นอนว่าต้องมือเติบอยู่แล้ว”
แม้ว่าฉินจ่าวจะพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แต่ในใจก็ตกตะลึงอยู่ไม่น้อย ท่ามกลางความมืดมิดที่มองไม่เห็น เขารู้สึกเพียงว่า ‘คนเทพ’ ที่มองเห็นสีหน้าไม่ชัดคนนั้น เพียงแค่มาหยุดพักเท้าที่ศาลาฝนเท่านั้น ไม่ได้มีชาติกำเนิดมาจากสายของเทพวารีบรรพกาลจริงๆ
แล้วก็จริงดังคาด
ข้างกายของอวิ๋นเหมี่ยวมีหอเรือนตระกูลเซียนอีกแห่งหนึ่งโผล่ขึ้นมา ทว่ากรอบป้ายกลับเขียนสองคำว่า ‘เตาไฟ’ ยังคงมีเซียนเหรินคนหนึ่งเฝ้าพิทักษ์อยู่ภายใน กลิ่นอายบนมหามรรคาใกล้เคียงกัน
เซียนเหรินที่อยู่ในสิ่งปลูกสร้างสองแห่งต่างก็ถือกระบี่กันคนละหนึ่งเล่ม
เฉินผิงอันเพ่งสายตามองไป
มีความรู้สึกแปลกพิกล
ความรู้สึกเช่นนี้ก็เหมือนปีนั้นตอนที่อยู่ในป้อมอินทรีบินของใบถงทวีปแล้วออกจากประตูมาเจอกับชายฉกรรจ์คนนั้น ทั้งๆ ที่ไม่เคยเห็นหน้า แต่กลับมีความรู้สึกว่าคุ้นเคย
แน่นอนว่าไม่ได้บอกว่า ‘คนเทพ’ สองคนในศาลาจะเป็นชายฉกรรจ์คนนั้น แต่มันทำให้เฉินผิงอันนึกถึงผู้เฒ่าที่ไม่ทราบแซ่ไม่ทราบนามคนหนึ่งขึ้นมาได้อย่างเลือนราง เขามีความสัมพันธ์ที่ดีเยี่ยมกับผู้เฒ่าเหยา แต่กลับไม่ใช่ช่างเตาเผา สนิทกับหลิวเสี้ยนหยางไม่น้อย ตอนที่เฉินผิงอันเป็นลูกจ้างเตาเผาไม่เคยพูดคุยกับผู้เฒ่าแม้แต่คำเดียว เพียงแค่เคยได้ยินหลิวเสี้ยนหยางเล่าให้ฟังว่า ตอนที่ผู้เฒ่าเหยาคอยจับจ้องเปลวไฟในเตาเผา สองผู้เฒ่ามักจะคุยเล่นกันบ่อยๆ หลังจากที่ผู้เฒ่าจากไป ก็ยังเป็นผู้เฒ่าเหยาที่ช่วยจัดงานศพให้เขา
——