กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 794.4 ซิ่วหู่อย่างมาก
ทางฝั่งของภูเขาอ๋าวโถว จวนที่หลิวจวี้เป่าเข้าพัก ท่านเทพเจ้าแห่งโชคลาภของธวัลทวีปท่านนี้กำลังชมขุนเขาสายน้ำผ่านฝ่ามือ บนพื้นของห้องโถงใหญ่มีม้วนภาพภูเขาสายน้ำภาพหนึ่งปรากฏขึ้น
ภรรยาของเขาไปทำธุระของตัวเองแล้ว เพราะนางได้ยินมาว่าที่เกาะนกแก้วมีร้านผ้าห่อบุญอยู่แห่งหนึ่ง เพียงแต่ว่าสตรีชวนบุตรชายให้ไปด้วยกัน หลิวโยวโจวไม่เต็มใจจะตามไปด้วย สตรีจึงเสียใจอย่างมาก แต่พอคิดถึงพวกสตรีที่คุ้นเคยกันดีบนภูเขาเหล่านั้น ยามที่เดินเที่ยวร้านผ้าห่อบุญกับนาง ทุกครั้งที่เจอของถูกใจ จะต้องทำท่าชั่งน้ำหนักถุงเงินในมืออย่างเลี่ยงไม่ได้ หากซื้อได้ไหวก็จะกัดฟันซื้อ ถูกใจแต่ซื้อไม่ไหวก็ต้องแสร้งทำเป็นว่าไม่ชอบ…พอสตรีคิดถึงเรื่องพวกนี้ก็อารมณ์ดีได้ทันที
นอกจากหลิวโยวโจวแล้วยังมีผู้ถวายงานสกุลหลิวอีกสองคนอย่างเพ่ยอาเซียงและหลิ่วสุ้ยอวี๋แห่งศาลเหลยกง
ยังมีคนนอกอีกสองคน อวี้พ่านสุ่ยกับฮ่องเต้เด็กหนุ่มราชวงศ์เสวียนมี่ หยวนโจ้ว
ฮ่องเต้เด็กหนุ่มสีหน้าสดใสมีชีวิตชีวา “ใต้เท้าอิ่นกวานท่านนี้อารมณ์ร้ายไม่เบาเลย ถูกใจข้านัก!”
ความสามารถสูง ชื่อเสียงโด่งดัง เจ้าอารมณ์ เจอกับเซียนเหริน นึกจะตีก็ตีกันขึ้นมาทันที
หลิวโยวโจวหัวเราะหึหึ “ภาพในห้องหนังสือบ้านข้าภาพนั้น คราวนี้ต้องมีมูลค่ามากแน่ๆ”
หลิ่วสุ้ยอวี๋นั่งอยู่บนเก้าอี้ท่วงท่าเกียจคร้าน เท้าคางด้วยมือข้างเดียว จุ๊ปากเอ่ยชื่นชม “เขาก็คืออาจารย์พ่อของเผยเฉียนสินะ”
เพ่ยอาเซียงมองภาพหมัดกระบวนท่าม้าเหล็กทะลวงขบวนรบในภาพวาดแล้วเอ่ยอย่างสงสัยว่า “กดขอบเขตไว้ค่อนข้างมากแล้ว เข่นฆ่าเอาชีวิตกับเซียนเหรินคนหนึ่งจะประมาทเกินไปหน่อยหรือไม่”
หลิวจวี้เป่าหัวเราะดังลั่น “เจ้าอ้วนอวี้ คุ้นตามากเลยใช่หรือไม่?”
อวี้พ่านสุ่ยพยักหน้ารับ ลูบหนวดหรี่ตา “วิธีการที่ใช้ซิ่วหู่อย่างมาก”
……
ริมลำคลอง ซิ่วไฉเฒ่าไม่ได้เดินขึ้นเขาต่อ แต่ให้เฉินผิงอันเดินขึ้นไปบนยอดเขาคนเดียว ส่วนเขาย้อนกลับไปที่ริมลำคลองเพียงลำพัง
ซิ่วไฉเฒ่าเป็นกังวลใจอย่างมาก ลังเลอยู่นาน สุดท้ายก็ยังอดไม่ไหวถามว่า “ไม่ได้จริงๆ หรือ?”
หลี่เซิ่งพยักหน้า หลังจากที่แบ่งร่างของเฉินผิงอันออกเป็นสามส่วนก็ได้พิสูจน์เรื่องหนึ่งให้เห็นแล้ว และเมื่อมั่นใจว่าไม่มีข้อผิดพลาด เขาจึงเอ่ยกับซิ่วไฉเฒ่าว่า “ในอดีตตอนที่อยู่ทะเลสาบซูเจี่ยน ภัยแฝงที่ทิ้งไว้หลังจากเฉินผิงอันทำลายจิตบุ๋นสีทองดวงนั้นใหญ่เกินไป ไม่ได้เรียบง่ายเพียงแค่ว่าขาดวัตถุแห่งชะตาชีวิตของห้าธาตุไปชิ้นหนึ่งเท่านั้น บวกกับที่ภายหลังผสานมรรคากับกำแพงเมืองปราณกระบี่ เป็นเหตุให้นอกจากเฉินผิงอันจะไม่อาจมีจิตหยินและจิตหยางได้แล้ว ก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่อาจหลอมตัวอักษรแห่งชะตาชีวิตได้ด้วย”
หลี่เซิ่งหยุดชะงักไปชั่วครู่ มองคนหนุ่มที่เดินรั้งท้ายสุดขึ้นไปบนภูเขาทัวเยว่แล้วเอ่ยว่า “น่าเสียดายอย่างมาก”
ซิ่วไฉเฒ่าอัดอั้นอยู่นานเพราะพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว ถึงท้ายที่สุดก็ได้แต่กระทืบเท้าเบาๆ ผู้เฒ่าได้แต่ทอดถอนใจยาวเหยียด “เจ้าขี้มูกยืดน้อยที่ผิดแล้วไม่รู้จักแก้ไขเอ้ย!”
หลี่เซิ่งเอ่ย “สืบสาวราวเรื่องกันแล้วก็ไม่ใช่การกระทำที่จงใจของชุยฉานหรอกหรือ?”
ซิ่วไฉเฒ่าทรุดตัวลงนั่งยอง เหม่อลอย เงียบไปนานมาก ก่อนจะพยักหน้า “อันที่จริงควรต้องโทษข้า”
หลี่เซิ่งกล่าว “ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายไปเสียทั้งหมด เจ้าที่เป็นอาจารย์ก็ไม่ต้องโทษตัวเองเกินไปนัก”
ป๋ายเจ๋อยิ้มเอ่ย “ความคิดร้อยพันเปิดกว้าง เส้นทางก็มีมากมาย”
อำเภอพ่านสุ่ย
ก่อนหน้านี้เจิ้งจวีจงแบ่งความคิดมาที่นี่ได้ไม่นาน ฟู่จิ้นก็มาที่ห้องนี้ มาเล่นหมากล้อมกับกู้ช่าน
ฝีมือการเล่นหมากล้อมของกู้ช่านธรรมดา ฟู่จิ้นจึงวางเม็ดหมากโดยใช้ฝีมือที่สูสีกับกู้ช่าน
เจิ้งจวีจงนั่งอยู่ตรงตำแหน่งประธาน ไม่ได้มีความสนใจกับกระดานหมากเท่าใดนัก หยิบเอาตำราสองสามเล่มที่กู้ช่านวางไว้ข้างมือขึ้นมา
ตอนที่กู้ช่านอยู่นครจักรพรรดิขาวและฝูเหยาทวีป นอกจากจะฝึกตนแล้วก็จะอ่านความรู้ของร้อยสำนักและรวมเล่มบทประพันธ์มากมาย หนังสือเบ็ดเตล็ดก็ยิ่งอ่านมากกว่า
ยกตัวอย่างเช่นหนังสือสองเล่มในมือเจิ้งจวีจง เล่มหนึ่งคือวิธีการคิดคำนวณค่าใช้จ่ายจากการสร้างเรือลำใหญ่ซึ่งเป็นฉบับสำเนาคัดลอก
เล่มหนึ่งคือกลโกงในการสอบเคอจวี่ ตัวอักษรเล็กเท่ามด เรียงแน่นอัดเป็นพรืด ระยะห่างมีความพิถีพิถัน
หนังสือพวกนี้ อย่าว่าแต่ผู้ฝึกตนบนภูเขาเลย ต่อให้เป็นลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อของสำนักศึกษาล่างภูเขาก็ไม่คิดจะแตะต้อง
สำหรับเฉินผิงอันที่โผล่เพิ่มมาอีกคนบนเกาะยวนยาง อันที่จริงเจิ้งจวีจงค่อนข้างจะประหลาดใจ ดังนั้นจึงเปิดหนังสืออ่านพลางโบกชายแขนเสื้อสร้างขุนเขาสายน้ำไปด้วย
สถานการณ์บนกระดานหมากเข้าสู่ช่วงปลายของกลางการประลอง กู้ช่านก็โยนเม็ดหมากยอมรับความพ่ายแพ้โดยตรง
ฟู่จิ้นผงกศีรษะ
บนม้วนภาพวาด เสียงในใจของทุกคนล้วนดังเข้าหูอย่างชัดเจน
สำหรับเรื่องนี้ทั้งกู้ช่านและฟู่จิ้นต่างก็เห็นจนชินตาแล้ว
บทสนทนาระหว่างเฉินผิงอันกับอวี๋เยว่และหลินชิง ล้วนถูกคนทั้งหลายของนครจักรพรรดิขาวแอบฟัง
ฟู่จิ้นยิ้มเอ่ย “อิ่นกวานท่านนี้เข้าใจพูดจริงๆ”
เจิ้งจวีจงวางตำราในมือลง ยิ้มกล่าว “ขอแค่เรียนรู้ได้ คนคนหนึ่งยอมรับในคำพูดของผู้อื่น ถึงจะมีความจริงใจ ถึงขั้นที่ว่าการปฏิเสธของเจ้ายังมีน้ำหนัก ไม่อย่างนั้นคำพูดทั้งหมดของพวกเจ้า ต่อให้พูดเสียงดังแค่ไหน ไม่ว่าจะพูดอย่างดุดัน หรือพูดประจบสอพลอ ก็ล้วนเบาราวขนห่าน เรื่องนี้ฟู่จิ้นเรียนรู้ไม่ได้แล้ว อายุมากแล้ว แต่กู้ช่านเจ้าเรียนรู้มาได้ไม่เลว”
ฟู่จิ้นพยักหน้า “ก็เหมือนว่าเงินร้อนน้อยเหรียญนั้นของเฉินผิงอันได้กลายเป็นศาลาที่ติดตามคนไปด้วย ดังนั้นขอแค่เฉินผิงอันได้เจอกับซูจื่อบนเส้นทางของชีวิตในอนาคต ซูจื่อก็จะยินดีเดินเข้ามานั่งพักในศาลา เพราะความจริงใจ ผู้ฝึกตนบนยอดเขาอย่างซูจื่อ คนที่เขียนบทประพันธ์ได้องอาจห้าวหาญอย่างซูจื่อ ไม่มีทางปฏิเสธความจริงใจนี้ของผู้เยาว์ ถ้าอย่างนั้นต่อให้ซูจื่อเคยมีความรู้สึกที่ไม่ดีต่อเฉินผิงอันในจุดอื่น ความรู้สึกไม่ดีนั้นก็จะถูกลดทอนให้หายไปได้เอง”
อันที่จริงนี่ก็คือการถามกระบี่ การถามหมัด อีกทั้งเขายังสามารถชนะมาได้อย่างเงียบเชียบด้วย
เพราะมีความสัมพันธ์กับก็ช่าน ฟู่จิ้นจึงค่อนข้างเข้าใจเฉินผิงอันผู้นี้
กู้ช่านพยักหน้า หลักการเหตุผลข้อนี้ตื้นเขินอย่างมาก ก็แค่ว่ารู้ง่ายทำได้ยาก เพราะบนเส้นทางชีวิตคน ส่วนใหญ่มักจะมีความรู้มากมายที่ต้องนำมาใช้ประคับประคองหลักการเหตุผลที่มองดูเหมือนเรียบง่าย
อาจารย์เคยบอกว่า ไม่ว่าจะเป็นหลักการเหตุผลที่สมบูรณ์แบบข้อใดก็ตาม ล้วนเป็นเรือนทั้งหลัง ไม่ใช่แค่เสาคานไม่กี่ต้น
หลายปีมานี้เขาไปเยือนทะเลสาบซูเจี่ยนแห่งนั้นมาไม่ต่ำกว่าร้อยครั้ง แน่นอนว่าสามารถค้นพบเรื่องหนึ่ง นับตั้งแต่หลิวเหล่าเฉิงไปจนถึงหลิวจื้อเม่า แล้วค่อยไปถึงจางเย่ เถียนหูจวิน ฯลฯ นิสัยของคนพวกนี้แตกต่างกันไป ประสบการณ์ในชีวิต เส้นทางการเดินขึ้นเขาฝึกตนก็ไม่เหมือนกัน แต่สำหรับนักบัญชีอย่างเฉินผิงอัน ต่อให้เป็นคนที่รู้สึกเป็นศัตรูกับเขา ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้รู้สึกชิงชังเฉินผิงอันเท่าใดนัก ไม่มีความดูแคลนอย่างยามที่คนฉลาดมองคนโง่ ไม่มีความเหยียดหยามอย่างยามคนที่ขอบเขตสูงกว่าปฏิบัติต่อผู้ฝึกตนกลางภูเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหยกดิบ ก่อกำเนิดที่มีชาติกำเนิดมาจากผู้ฝึกตนอิสระสองคนอย่างหลิวเหล่าเฉิงและหลิวจื้อเม่าที่ต่างก็มองนักบัญชีที่ตอนนั้นขอบเขตไม่สูงเป็นคู่ต่อสู้ที่มิอาจดูแคลน
เจิ้งจวีจงยิ้มกล่าว “เฉินผิงอันมี ‘เงินร้อนน้อย’ มากมายที่เป็นเช่นนี้ เท่ากับว่าเขาสร้างศาลาพักเท้าได้มากมายแล้ว ส่วนสำนักพีหมา สวนน้ำค้างวสันต์ นครเหนือเมฆ ถ้ำสวรรค์วังมังกร ต่างก็ไม่ได้เป็นแค่ศาลาหลังหนึ่งแล้ว แต่เป็นท่าเรือตระกูลเซียนทั้งหลายของเฉินผิงอัน เฉินหลิงจวินออกจากบ้านเกิดไปเดินลงน้ำ อยู่ในอุตรกุรุทวีปที่มีผู้ฝึกกระบี่มากมายดุจก้อนเมฆกลับเดินลงน้ำได้อย่างราบรื่น เหตุผลก็อยู่ที่ตรงนี้”
เจิ้งจวีจงเอ่ยมาถึงตรงนี้ก็ส่ายหน้า “หันเชี่ยวเซ่ออ่อนหัดเกินไปหน่อย อีกทั้งไม่ว่าเรียนอะไรก็ล้วนเชื่องช้า ดังนั้นนอกจากจะฝึกวิชาคาถาแค่ไม่กี่บทแล้ว ไม่ว่าเรื่องใดก็ล้วนไม่คิดมาก กลับกลายเป็นว่าเป็นเรื่องดี เดิมทีฟู่จิ้นสามารถทำเรื่องพวกนี้ได้ น่าเสียดายที่ศัตรูตัวฉกาจในใจก็คือเวทกระบี่ของเจ้า หรือก็คือฉายาจักรพรรดิขาวน้อยนี้ พวกเจ้าสามคน ในฐานะที่เป็นผู้ฝึกตน จะปล่อยให้ตัวเองเป็นเหมือนเด็กหนุ่มชาวบ้านที่ออกจากโรงเรียน วันๆ เอาแต่ประลองหมัดเท้ากับคนอื่น ถูกต่อยจนหน้าเขียวจมูกบวม แล้วยังมีความสุขไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย คนที่ใจกล้าหน่อยก็ถึงกับถือกระบองถือมีดไว้ในมือแบบนี้ไปตลอดชีวิตไม่ได้หรอกนะ”
ฟู่จิ้นเอ่ย “การปฏิเสธของการปฏิเสธ คือพื้นฐานของการยอมรับ”
กู้ช่านจดจำไว้เงียบๆ
เจิ้งจวีจงชี้นิ้วไปยังม้วนภาพ พลันยิ้มถามว่า “เหตุใดเขาถึงต้องทำเช่นนี้?”
ฟู่จิ้นกล่าว “อิ่นกวานท่านนี้กำลังขีดเส้นเส้นหนึ่งให้กับตัวเอง”
จงใจเน้นหนักไปทางสถานะของผู้ฝึกกระบี่ เพื่อดึงระยะห่างออกจากสายเหวินเซิ่ง
กู้ช่านก้มหน้าลงมองกระดานหมากที่มีเม็ดหมากอยู่ไม่มาก
เจิ้งจวีจงพยักหน้า “มีคนที่จัดวางแผนการไว้ตั้งแต่แรกแล้ว”
คนที่อยู่เบื้องหลังคงจะรอเวลาสามปีห้าปีก่อนแล้วถึงจะให้เฉินผิงอันเป็นดั่ง ‘น้ำลดหินผุด’ อยู่ในใต้หล้าไพศาล หมายจะสร้างอิ่นกวานคนสุดท้ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่ท่านนี้ให้กลายเป็นผู้มีคุณูปการไร้จุดด่างพร้อย มีชาติกำเนิดจากตรอกเก่าโทรมยากจน ได้รับคำสั่งสอนจากฉีจิ้งชุนแห่งถ้ำสรรค์หลีจู ฉีจิ้งชุนรับลูกศิษย์แทนอาจารย์ เดินทางไกลหมื่นลี้ ปณิธานสูงส่งยาวไกล นิสัยใจคอ คุณธรรมน้ำใจ ไม่เป็นรองให้กับอริยะปราชญ์ผู้มีเทวรูปคนใด ในด้านการสร้างคุณความชอบก็ยิ่งเป็นผู้นำของกลุ่มคนรุ่นเยาว์ ผู้ฝึกตนหนุ่มที่เพิ่งอายุสี่สิบปีเช่นนี้ ขาดก็แค่ไม่มีเทวรูปตั้งวางในศาลบุ๋นเท่านั้น ย่อมต้องเป็นที่เคารพเลื่อมใสของคนนับหมื่นแน่นอน
หันเชี่ยวเซ่อที่อยู่ตรงหน้าประตูหันหน้ามาถาม “หากไม่มีโอกาสอย่างหลี่ชิงจู๋ อวิ๋นเหมี่ยวนี้ ควรจะทำอย่างไร?”
กู้ช่านคีบเม็ดหมากขึ้นมาสองเม็ด กำไว้ในฝ่ามือ เม็ดหมากกระทบกันส่งเสียงดังแกรกกราก เขายิ้มเอ่ยว่า “อยู่ไกลสุดขอบฟ้า อยู่ใกล้เพียงเบื้องหน้า”
เฉินผิงอันต้องมาหาอาจารย์ของพวกเขาแล้วทำการค้ากับเจ้านครจักรพรรดิขาวท่านนี้แน่นอน
ไม่ว่าจะเป็นเกาะยวนยาง อำเภอพ่านสุ่ยหรือท่าเรือเวิ่นจิน ก็จะต้องมีมรสุมเช่นนี้เกิดขึ้นครั้งหนึ่ง
ฟู่จิ้นกล่าว “แค่เฉินผิงอันสร้างความทรงจำหนึ่งให้ผู้คนก็พอแล้ว ให้คนอื่นรู้ว่าอันที่จริงเขาคือคนที่…”
หันเชี่ยวเซ่อที่นั่งอยู่บนธรณีประตูรับคำอย่างง่ายๆ “คนที่แท้จริงแล้วนิสัยไม่ได้ดีขนาดนั้น?”
ฟู่จิ้นส่ายหน้า “เป็นคนที่ยังเป็นหนุ่มต่างหาก”
เด็กหนุ่มวู่วาม คนหนุ่มอารมณ์ร้อน คนหนุ่มกับนิสัยที่ไม่ดี หลายๆ ครั้งเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว หากสุขุมเกินไปอาจกลายเป็นที่สงสัยว่าเป็นคนมีกลอุบายลึกล้ำ ง่ายที่จะทำให้คนอายุน้อยกริ่งเกรง คนเฒ่าคนแก่ไม่ชื่นชอบ
หันเชี่ยวเซ่อทำสีหน้ากระจ่างแจ้ง
ผู้ฝึกกระบี่ อิ่นกวาน ผู้ฝึกยุทธปลายทาง เจ้าขุนเขาภูเขาลั่วพั่ว ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อ ลูกศิษย์ผู้สืบทอดสายบุ๋น คนรักของหนิงเหยา…ตัวตนทุกอย่าง ตำแหน่งทุกอย่าง ล้วนเป็นเรื่องรองลงมา
เพราะอายุยังน้อย ดังนั้นความรู้จึงยังไม่พอ สามารถศึกษาหาความรู้ได้ การอบรมบ่มเพาะตนไม่พอ ยังสามารถอ่านตำราอริยะปราชญ์เพิ่มหลายๆ เล่มได้ ขอแค่อายุยังน้อย เป็นคนหนุ่ม อิ่นกวานผู้นั้นก็สามารถช่วงชิงพื้นที่ถอยหลังกลับให้ตัวเองได้มากกว่าเดิม
หันเชี่ยวเซ่อเอ่ย “ต้องมีคนที่คิดจนเข้าใจเรื่องนี้ได้แน่นอน”
ฟู่จิ้นกล่าว “คนที่สมองปกติย่อมคิดได้”
หันเชี่ยวเซ่อกลอกตามองบน ครั้นจึงปัดแก้มให้ตัวเองต่อ
กู้ช่านเอ่ย “ไม่ใช่ป้องกันคนที่คิดได้ไม่ให้รู้เรื่องนี้ เขากำลังระวังเรื่อง ‘การคิดไปเอง’ ของคนอื่น”
ฟู่จิ้นหัวเราะ “ดังนั้นหากอวี๋เยว่ผู้นั้นช่วยออกกระบี่ แผนการทั้งหมดของเฉินผิงอันก็จะพังไม่เป็นท่า”
หันเชี่ยวเซ่อเหลือบตามองจักรพรรดิขาวน้อยผู้นี้ ตอนที่หัวเราะขึ้นมาก็ช่างหล่อเหลาน่ามองเสียจริง น่าเสียดายที่ไม่น่าเอ็นดูเหมือนกู้ช่าน นี่ก็คือความถูกชะตาแล้ว
ฟู่จิ้นเอ่ยต่อว่า “หวังดีช่วยทำให้เสียเรื่องมีอยู่ไม่น้อยจริงๆ”
เพราะหากอวี๋เยว่ออกกระบี่ สถานะของอิ่นกวานก็จะกดทับความทรงจำที่มีต่อ ‘คนหนุ่ม’ นั้นไป
อิ่นกวานอายุน้อยๆ คนหนึ่ง ผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ครึ่งตัว กลับมาถึงบ้านเกิดก็สามารถทำให้ผู้ฝึกกระบี่ของไพศาลคนหนึ่งที่เพิ่งรู้จักกันช่วยออกกระบี่ให้ได้ แน่นอนว่าจะต้องทำให้คนอิจฉา เคียดแค้นและทิ่มแทงใจคนอย่างมาก นี่จะตรงกันข้ามกับความตั้งใจเดิมของเฉินผิงอันไปอย่างสิ้นเชิง
กู้ช่านพลันเงยหน้าขึ้น
เจิ้งจวีจงยิ้มเอ่ย “ในที่สุดก็รู้ตัวอย่างเชื่องช้าแล้ว”
หลี่ชิงจู๋แห่งหอเซียนจิ่วเจิน กระทำทุกอย่างไปเพราะจิตมาร
จิตใจดั้งเดิมยังคงมีอยู่ เพียงแต่ว่าความคิดที่เดิมทีเล็กเท่าเมล็ดงาพลันขยายใหญ่ขึ้น
และหอเซียนจิ่วเจินก็คือหนึ่งในกองกำลังตระกูลเซียนที่ปีนั้น ‘ล้อมสังหาร’ นครจักรพรรดิขาว ส่วนการที่ขอบเขตบินทะยานผู้นั้นกายดับมรรคาสลาย แน่นอนว่าเป็นการลงมือเบื้องหลังของเจิ้งจวีจง ก็แค่ใช้วิธีการของคนอื่นมาจัดการคนคนนั้นเท่านั้น เดิมทีก็ไม่ต้องให้เจิ้งจวีจงลงมืออย่างแท้จริง ผู้ฝึกตนเฒ่าคนหนึ่งที่กำลังอยู่ในช่วงปิดด่านเป็นตาย นับตั้งแต่ค่ายกลใหญ่ขุนเขาสายน้ำของสำนักไปจนถึงลูกศิษย์ผู้สืบทอดที่ภาคภูมิใจซึ่งเดิมทีสามารถช่วยคุ้มกันให้ได้ ไปจนถึงคู่แค้นบนภูเขาคนหนึ่งที่แฝงตัวเข้าไปได้อย่างเงียบเชียบ ฟ้าเปลี่ยนสีแล้ว ยังจะรอดได้อย่างไร?
เจิ้งจวีจงคีบหมากเม็ดหนึ่งขึ้นมาวางลงบนกระดาน เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า “คู่รักของอวิ๋นเหมี่ยวถือว่าเป็นศิษย์พี่หญิงของเจ้าครึ่งตัว ไม่ได้รับการบันทึกชื่ออยู่ที่นครจักรพรรดิขาว ไม่อย่างนั้นด้วยคุณสมบัติด้านการฝึกตนของนางก็ไม่มีทางเป็นเซียนเหรินได้”
กู้ช่านถาม “เฉินผิงอันรู้หรือไม่?”
เจิ้งจวีจงยิ้มกล่าว “ไม่อย่างนั้นจะเป็นยังไงล่ะ? ต้องเดาได้แน่นอน แต่ไม่ว่าจะแน่ใจหรือไม่ก็ล้วนไม่ถ่วงรั้งการอาละวาดครั้งใหญ่ของเขาบนเกาะยวนยาง ข้าก็แค่ผลักเรือไปตามน้ำ มอบโอกาสที่มากพอให้เขามาเยี่ยมเยือนถึงสำนักเท่านั้น”
กู้ช่านไม่เอ่ยอะไรอีก ฟู่จิ้นก็เงียบไปเช่นกัน
เจิ้งจวีจงเอ่ยกับฟู่จิ้นว่า “ข้าจะเล่นหมากล้อมต่อจากกู้ช่านเอง”
ฟู่จิ้นส่ายหน้า “ต้องแพ้แน่นอน ไม่เล่นหรอก”
เจิ้งจวีจงไม่ได้บังคับในเรื่องนี้ เพียงเล่นหมากกระดานหนึ่งกับตัวเอง วางเม็ดหมากรวดเร็วราวกับบิน อันที่จริงยังคงเล่นอยู่บนกระดานเดิมของกู้ช่านกับฟู่จิ้น
บนเส้นทางของชีวิตคน สำหรับคนมากมายที่มองดูอยู่ด้านข้างแล้ว นี่ก็เป็นแค่การประลองหมากล้อมกับการแต่งหน้าประทินโฉมเท่านั้น
กู้ช่านพลันเอ่ยว่า “อันที่จริงเฉินผิงอันเหมาะสมกับนครจักรพรรดิขาวมากกว่า”
เจิ้งจวีจงยิ้มกล่าว “มีสถานที่ใดที่ไม่ใช่นครจักรพรรดิขาว ล้วนเหมาะสม ชีวิตคนเมื่อเดินไปถึงจุดที่น้ำแห้งขอด กลับเป็นช่วงเวลาที่ดวงจันทร์ลอยขึ้นกลางฟ้าพอดี”
——