กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 795.1 เข้าใจ
เกาะยวนยาง บินทะยานสองคน ศึกใหญ่กำลังปะทุเดือด
การต่อสู้ครั้งนี้ต่อสู้กันอย่างไม่มีต้นสายปลายเหตุ ไม่เหมือนเทพเซียนผู้เฒ่าบนยอดเขาที่ลงมือระวังแล้วระวังอีก กลับเหมือนเด็กหนุ่มในหมู่ชาวบ้านสองคนที่ทำอะไรตามแต่อารมณ์ พอมาพบเจอกันบนทางแคบ แค่มองสบตาแล้วไม่ชอบขี้หน้ากันก็จะต้องซัดกันให้ล้มคว่ำไปข้างถึงจะยอมเลิกราเสียมากกว่า
ฟ้าดินมืดมนขมุกขมัว ดวงอาทิตย์ใหญ่ที่ลอยอยู่กลางนภากาศคล้ายถูกผู้เฒ่าชุดเหลืองเขมือบกลืนลงท้องไปในชั่วพริบตา มีเพียงน้ำวนทั้งหลายที่ปานประหนึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์เบิกเนตรสวรรค์ ยิ่งทำให้ฟ้าดินเล็กแห่งนี้แปลกพิลึกน่าสยดสยองมากกว่าเดิม
ผู้ฝึกตนใหญ่ที่มีฉินจ่าว เหยียนเก๋อเป็นหนึ่งในนั้นต่างก็พรั่นผวาอยู่ในใจ ขอบเขตบินทะยานที่อยู่บนยอดเขาสูงสุดเช่นนี้ เหตุใดเมื่อก่อนถึงไม่เคยพบเจอมาก่อน ถึงขั้นที่ว่าไม่เคยได้ยินข่าวเลยแม้แต่น้อย? นักพรตเนิ่นอะไรกัน? เหยียนเก๋อเพียงแค่มั่นใจว่าผู้อาวุโสที่ดุร้ายตรงหน้าผู้นี้ย่อมไม่ใช่ยอดฝีมือผู้บรรลุมรรคาคนใดในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางแน่นอน
ผู้ฝึกตนที่ชมการรบอยู่บนเกาะยวนยาง ยิ่งขอบเขตสูงก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงภาพบรรยากาศอันยิ่งใหญ่ไพศาลที่มหามรรคาเคลื่อนโคจรได้อย่างชัดเจน
เกาะยวนยางคือบ่อน้ำแห่งหนึ่งที่ถูกวิดให้แห้งขอดเพื่อจับปลา ปลาที่ว่ายอยู่ในน้ำคล้ายถูกโยนขึ้นไปบนฝั่ง ทุกครั้งที่ผู้ฝึกตนหายใจก็ล้วนจำเป็นต้องเผาผลาญปราณวิญญาณฟ้าดินในร่างของตัวเอง
เทพเซียนห้าขอบเขตบนไม่ค่อยถือสาเรื่องนี้ เพียงแต่น่าสงสารผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่างที่ติดตามผู้อาวุโสในสำนักมาท่องเที่ยวที่นี่ ต่อให้พวกผู้อาวุโสจะคอยช่วยปกป้องมรรคาให้ หรือไม่ก็ใช้เวทชั้นสูงสกัดกั้นฟ้าดินเล็กแห่งหนึ่งขึ้นมา บ้างก็ร่ายสมบัติวิเศษของสำนักออกมาปกป้องพื้นที่แถบหนึ่งเอาไว้ เหล่าผู้ฝึกตนวัยเยาว์ที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวก็ยังคงกังวลว่าฟ้าจะถล่มลงมา แต่ละคนหน้าซีดขาว เรือนกายไม่มั่นคง คนไม่น้อยได้รับคำสั่งจากอาจารย์จึงลงไปนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นแล้วเริ่มเข้าฌานทำสมาธิ อาศัยคาถาทางใจที่ได้รับสืบทอดมาจากศาลบรรพจารย์ของสำนักตัวเองมาต้านทานการบีบคั้นจากมหามรรคาที่ไร้รูปลักษณ์ซึ่งอัดแน่นไปทั่วฟ้าดินนี้
หนันกวงจ้าวเรียกสมบัติหนักแห่งชะตาชีวิตชิ้นหนึ่งออกมานานแล้ว ถึงกับเป็นศาลเก่าแก่ที่หาได้ยากแห่งหนึ่ง คือวิชาอภินิหารลี้ลับวิชาหนึ่งที่หลอมภูเขาให้กลายเป็นศาล ร่างจริงของหนันกวงจ้าวยืนอยู่หน้าประตูใหญ่ของศาลแห่งนั้น บนร่างสวมชุดคลุมอาคม ‘มังกรเฒ่า’ ที่มีระดับขั้นเป็นอาวุธเซียน ปราณกระบี่กระเพื่อมไหว โชคชะตาน้ำซัดขึ้นลง ลากเอาแสงแก้วใสเจ็ดสีออกมาหลายเส้น แถบผ้าหลากสีทุกเส้น อันที่จริงล้วนเป็นการแสดงออกของมหามรรคาของแม่น้ำลำคลองสายหนึ่ง
ร่างจริงของหนันกวงจ้าวหลบซ่อนอยู่ในศาล ส่วนศาลนั้นก็อยู่ตรงหว่างคิ้วของกายธรรมเขา ประหนึ่งตราประทับลายพุทราแดง
หนันกวงจ้าวบังคับจิตไปควบคุมกายธรรมให้เปิดฉากเข่นฆ่ากับขอบเขตบินทะยานที่พลังการต่อสู้น่าตะลึงผู้นั้น
บอกว่าเข่นฆ่า แต่อันที่จริงสถานการณ์กลับโน้มเอียงไปข้างหนึ่ง นั่นก็คือเป็นหนันกวงจ้าวที่พยายามป้องกันอย่างสุดกำลัง เผ่นหนีเอาชีวิตรอดอย่างบ้าคลั่ง
ท่ามกลางน้ำวนเหล่านั้นมักจะมีมือข้างหนึ่งโผล่ออกมา มือข้างหนึ่งถือดาบอาคมขนาดใหญ่ยักษ์ แค่ฟันง่ายๆ หนึ่งทีก็สามารถผ่าให้กายธรรมของหนันกวงจ้าวระเบิดสะเก็ดแสงไฟนับไม่ถ้วน สาดกระจายไปทั่วสารทิศราวกับหยดน้ำ
ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลางทุกคนบนเกาะยวนยางที่ชมศึกอยู่ ใครที่ข้างกายไม่มีผู้อาวุโสช่วยปกป้องมรรคาก็ต้องร่ายวิชารักษาชีวิต บ้างก็ร่ายสมบัติอาคมปกป้องกายหลายชิ้นออกมา แสงสว่างเล็กจ้อยขนาดเท่าเมล็ดงาทั้งหลายเมื่ออยู่ในฟ้าดินเล็กที่มืดสลัวมองไม่เห็นแสงตะวันแห่งนี้ พอเจอกับพายุลมกรดกระโชกแรงพัดเข้าใส่ แสงสว่างก็ส่ายไหวจะดับมิดับแหล่
ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนบางส่วนจำเป็นต้องปกป้องผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่างที่อยู่ใกล้เคียงซึ่งไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกัน ช่วยให้คนน่าสงสารเหล่านี้ไม่ถึงกับจิตแห่งมรรคาแหลกสลาย วิญญาณหลุดออกจากร่าง กลายเป็นผีเร่ร่อนไปในชั่วพริบตา โชคดีที่ท่วงทำนองแห่งมรรคกถาซึ่งกระจัดกระจายไปทั่วทิศจากการเข่นฆ่ากันของทั้งสองฝ่ายต่างก็ถูกผู้ฝึกตนใหญ่อย่างพวกฉินจ่าว อวี๋เยว่ลงมือสลายทิ้งไปให้
แพ้ชนะของสนามรบทางฝั่งนั้นไม่มีอะไรให้ต้องลุ้น ขอแค่เป็นคนที่มีตาก็ไม่มีทางตาลายจนมองเห็นความจริงไม่ชัด
และเหยียนเก๋อก็มองรากฐานของศาลภูเขาและชุดคลุมน้ำอาวุธเซียนสองชิ้นออกในปราดเดียว เขาเอ่ยว่า “หนันกวงจ้าวหลอมขุนเขาใหญ่ที่มีชื่อเสียงในพื้นที่อาคมที่ปริแตกครึ่งหนึ่งนั้นได้สำเร็จจริงๆ ด้วย ไม่อย่างนั้นชุดคลุมน้ำชุดนั้นก็ไม่มีทางมีระดับเป็นอาวุธเซียนได้”
การหล่อหลอมและการสร้างอาวุธเซียนทุกชิ้นบนภูเขาได้สำเร็จ เท่ากับว่าผู้ฝึกตนมีมหามรรคาที่ค่อนข้างสมบูรณ์เส้นหนึ่ง ผลประโยชน์ที่แท้จริงไม่ใช่การบำรุงทางจิตวิญญาณที่อาวุธเซียนมีต่อเจ้าของ สำหรับผู้ฝึกตนใหญ่ที่ได้ครอบครองอาวุธเซียนแล้ว ผลเก็บเกี่ยวแค่นี้ไม่ได้หายาก ประเด็นสำคัญคือการดำรงอยู่ของตัวอาวุธเซียนเองได้ผสานกลมกลืนกับมหามรรคา ซุกซ่อนความลี้ลับเอาไว้ ได้รับการยอมรับจากฟ้าดิน ตัวของอาวุธเซียนทุกชิ้นก็คือ ‘การพิสูจน์มรรคาบรรลุมรรคา’ ประเภทต่างๆ ซึ่งสามารถปูทางลัดเดินขึ้นสู่ยอดเขาเส้นหนึ่งให้กับผู้ฝึกตนได้
ฉินจ่าวเอ่ยอย่างกังขา “คลื่นมรสุมใหญ่เทียมฟ้าในปีนั้น สำหรับคนนอกอย่างหลิวทุ่ยแล้วก็คือฝึกตนอยู่ในบ้านดีๆ หายนะกลับหล่นลงมาจากฟ้า ไม่ว่าใครก็รู้ว่าเขาดวงซวยเจอภัยพิบัติที่ไม่คาดคิด แต่ผลกลับกลายเป็นว่าแม้แต่เขาก็ถูกทางฝั่งของศาลบุ๋นตำหนิ ถูกศาลบุ๋นลบคุณความชอบของสำนักไปไม่น้อย แต่กลับไม่เคยได้ยินว่าหนันกวงจ้าวถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย รู้แค่ว่าพื้นที่มงคลปริแตกถูกเขานำไปขาย พี่เทียนหนี? ในเรื่องนี้มีคำอธิบายอะไรหรือไม่?”
เทียนหนีที่ข่าวสารบนภูเขาว่องไว ในมือควบคุมหนึ่งในรายงานขุนเขาสายน้ำที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง พลิกเปิดปฏิทินเหลืองหน้านั้นอย่างรวดเร็ว ก่อนจะส่ายหน้า เอ่ยว่า “เรื่องนี้ทางฝั่งศาลบุ๋นควบคุมเข้มงวดมาก ไม่อนุญาตให้คนนอกเข้าไปสืบเสาะ ข้ารู้แค่ว่าหลังจากที่ผู้ฝึกกระบี่ไม่ทราบนามคนนั้น ‘บินทะยาน’ จากพื้นที่มงคลมายังไพศาล ก็เดือดร้อนให้พื้นที่มงคลบ้านเกิดถูกกองกำลังของฝ่ายต่างๆ จับจ้องหมายช่วงชิง เพียงไม่นานผู้ฝึกกระบี่ก็หายตัวไป ดูเหมือนว่าขนาดศาลบุ๋นก็ยังไม่พบตัวเขา ส่วนข้อที่ว่าเขาถูกคนฆ่าปิดปากไปแล้วหรือว่าหนีพ้นหายนะครั้งนั้นไปได้ก็บอกได้ยากจริงๆ”
ในอดีตหลังจากที่สรรพชีวิตในพื้นที่มงคลแห่งนั้นของฝูเหยาทวีปมอดม้วย ศพกองกลาดเกลื่อนทั่วทุกหนแห่ง ภูเขาสายน้ำแตกสลายปลิวปรายไปกับสายลม พวกผู้ฝึกตนใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังหลายคนต่างก็ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ เป็นเฒ่าชาวประมงที่ได้ผลประโยชน์ไปครอง บ้างก็ได้สมบัติล้ำค่า บ้างก็ได้เงิน ต่างคนต่างก็ฉวยโชควาสนามาไว้ในมือ แต่คนหนึ่งในนั้นที่ว่ากันว่าคือผู้ฝึกตนผีบนยอดเขาซึ่งเป็นตัวการร้ายของภัยพิบัติครั้งนี้ อดีตผู้นำบนภูเขาของหนึ่งทวีปซึ่งมีชื่อเสียงทัดเทียมกับหลิวทุ่ย หลังจบเรื่องได้ถูกศาลบุ๋นกักตัวไว้ในสวนกงเต๋อ นับแต่นั้นมาก็เงียบหายไร้ข่าวคราว คนอื่นๆ ที่เหลือก็ดูเหมือนว่าไม่อาจกุมถุงเงินที่ยังร้อนๆ ไว้ได้อยู่ จุดจบต่างก็ไม่ค่อยดีนัก ผ่านไปหลายสิบปี เซียนเหรินคนหนึ่งของฝูเหยาทวีปยังตายไปอย่างกะทันหัน ถูกคนผู้หนึ่งใช้กระบี่ฟันหัว ร่างกับหัวถูกแยกกันโยนทิ้งไว้ด้านล่างซุ้มป้ายประตูภูเขาและบนหลังคาของศาลบรรพจารย์
คิดไม่ถึงว่ากลับเป็นหนันกวงจ้าวที่ปีนั้นไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับพื้นที่มงคลที่ล่มสลายของฝูเหยาทวีปแห่งนั้นเลย ที่กลับกลายเป็นว่าได้รับผลประโยชน์ไปมากที่สุด?
ฝูเหยาทวีปในอดีตมีความคล้ายคลึงกับใบถงทวีป ต่างก็เป็นสถานการณ์บนยอดเขาที่สองสำนักคุมเชิงกัน เทียนเหยาเซียงที่หลิวทุ่ยอยู่ กับโฮ่วซานที่หยางเชียนกู่ผู้ฝึกตนผีอยู่ ต่างก็เป็นภูเขาที่มีขอบเขตบินทะยานคนหนึ่งนั่งพิทักษ์
เพียงแต่ว่า ‘โฮ่วซาน’ (ภูเขาด้านหลัง) สำนักที่ชื่อประหลาดแห่งนั้น เนื่องจากผู้ฝึกตนผีบนภูเขามีเยอะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในศาลบรรพจารย์ ครึ่งหนึ่งล้วนเป็นผู้ฝึกตนผี ถึงอย่างไรก็ไม่ค่อยเป็นที่ชื่นชอบของทั้งบนและล่างภูเขา ดังนั้นชื่อเสียงจึงสู้เทียนเหยาเซียงของหลิวทุ่ยไม่ได้ รอกระทั่งหยางเชียนกู่ถูกขังอยู่ในสวนกงเต๋อ ตำแหน่งของโฮ่วซานที่อยู่ในฝูเหยาทวีปก็ยิ่งดิ่งลงเหว สุดท้ายถูกป๋ายอิ๋งปีศาจบนบัลลังก์ของเปลี่ยวร้างทำลายค่ายกลใหญ่พิทักษ์ภูเขา จึงล่มสลายไปนับแต่นี้
สำนักผู้ฝึกตนผีแห่งหนึ่งที่ชื่อเสียงไม่ดี ถึงกับไม่ยอมสวามิภักดิ์ต่อป๋ายอิ๋งปีศาจใหญ่ คนส่วนใหญ่สู้รบจนตัวตาย ผู้ฝึกตนไม่มีเหลือแม้แต่คนเดียว มีเพียงผู้สืบทอดรุ่นเยาว์กลุ่มหนึ่งที่ถอยออกจากฝูเหยาทวีปไปก่อนนานแล้ว หลังจากสงครามปิดฉากลง ถึงได้ออกจากแผ่นดินกลางกลับคืนสู่บ้านเกิด รวบรวมคนร่วมสำนักที่กระจัดกระจายไปทั่วซึ่งจุดจบเทียบกับหมาไร้บ้านก็ยังไม่ได้ให้กลับมา สร้างภูเขาขึ้นมาใหม่อีกครั้ง สภาพการณ์ยากลำบากเกินกว่าจะเทียบเคียงภูเขาที่สามารถรักษาศาลบรรพจารย์เอาไว้ได้อย่างเทียนเหยาเซียงและนครดอกบัว
เล่าลือกันว่าหลังจากที่เจ้านครจักรพรรดิขาวปรากฏตัวที่ฝูเหยาทวีป มีเพียงเจอกับผู้ฝึกตนของโฮ่วซานที่หวนคืนกลับบ้านเกิดเท่านั้นที่ถึงจะให้การดูแลมากเป็นพิเศษ ถึงขั้นที่ว่าได้เอ่ยประโยคหนึ่งกับพวกผู้ฝึกตนผีรุ่นเยาว์ที่มีจำนวนน้อยนิดว่า คนยังสู้ผีไม่ได้ โฮ่วซานมีผีมากขึ้นแล้วอย่างไร
เล่าลือกันว่าคนบ้าคลั่งของนครจักรพรรดิขาว ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มกู้ช่านยังแหกกฎรับหน้าที่เป็นผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของโฮ่วซานแห่ง ‘ใหม่’ ด้วย
เห็นเพียงว่าบนม่านฟ้ามีน้ำวนลูกใหม่เอี่ยมปรากฏขึ้นมาลูกหนึ่ง จากนั้นก็มีมือใหญ่ที่ขาวใสราวกับหยกโผล่ออกมาคว้าหัวของกายธรรมหนันกวงจ้าวไว้อย่างดุดัน ก่อนจะบิดแรงๆ ผู้เฒ่าชุดเหลืองที่อยู่ห่างไปไกลปาดดาบไปในแนวขวางหนึ่งที แสงดาบคล้ายปูทางช้างเผือกเส้นหนึ่งไว้กลางม่านฟ้า ฟันกายธรรมของหนันกวงจ้าวออกเป็นสองท่อน ศาลภูเขาที่อยู่ตรงหว่างคิ้วของกายธรรม ในชุดคลุมอาคมที่มีร่างจริงของผู้ฝึกตนเฒ่าขอบเขตบินทะยานอยู่ด้านในมีแถบผ้าหลากสีสองเส้นยาวเหมือนน้ำตกลอยออกมา สุดท้ายวนล้อมเป็นเข็มขัด ซ่อมแซมกายธรรมที่ถูกฟันให้รวมเป็นหนึ่ง
ในที่สุดหนันกวงจ้าวก็มีสีหน้าตระหนกลน หากเป็นเซียนกระบี่ทั่วไป ปราณกระบี่ที่หลงเหลืออยู่ต้องไม่ถึงกับทำให้กายธรรมไม่อาจประสานตัวด้วยตัวเองได้อย่างแน่นอน ไหนเลยจะจำเป็นต้องให้เขาเผาผลาญตบะของจริง ใช้ผ้าแพรหลากสีที่หลอมมาจากแม่น้ำลำคลองมาสร้างเป็นเข็มขัดเส้นหนึ่งเพื่อ ‘บดบังความอัปลักษณ์’ ได้?
หนันกวงจ้าวจึงได้แต่ใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “สหาย ข้ายอมแพ้”
คาดไม่ถึงว่าผู้เฒ่าชุดเหลืองจะแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เดินมาข้างหน้าหนึ่งก้าว บิดข้อมือหนึ่งที ดาบยาวในมือก็ผ่าฟันไปไกลๆ อีกที ชัดเจนว่าต้องการจะฟันแสกหน้ากายธรรมของหนันกวงจ้าวให้ขาดออกเป็นสองท่อน
เพิ่งจะหลบแสงดาบที่น่าครั่นคร้ามไร้ทัดเทียมนั้นมาได้ มือที่ถือดาบอีกเล่มหนึ่งก็โผล่ออกมาจากน้ำวนแห่งอื่นอย่างรวดเร็ว ดาบแทงทะลุผ่านหัวใจด้านหลังของกายธรรมหนันกวงจ้าวมา ทะลุพ้นออกมาจากหน้าอก ดาบอาคมกระดกเสยขึ้นหนึ่งที ปลายดาบเอียงน้อยๆ ยกกายธรรมนั้นให้ลอยขึ้นสูงโดยตรง แล้วก็มีมืออีกข้างหนึ่งกำลำคอของกายธรรมเอาไว้แน่น กระชากกายธรรมของหนันกวงจ้าวไปด้านหลังอย่างแรง ดาบอาคมเกินครึ่งล้วนแทงทะลุร่างกายธรรมของหนันกวงจ้าวมาแล้ว
หน้าอกทั้งแถบของกายธรรมหนันกวงจ้าวปรากฏเป็นเส้นด้ายสีดำและสีทองตัดสลับกันเหมือนใยแมงมุมที่ขยายแผ่ลามออกไปอย่างต่อเนื่อง แล้วเขมือบกลืนปราณวิญญาณของกายธรรมหนันกวงจ้าวอย่างรวดเร็ว ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่ปณิธานมรรคกถาที่ซุกซ่อนอยู่ในกายธรรมก็ล้วนถูกเส้นด้ายประหลาดเหล่านั้นดึงเอาไป เจ้าของดาบอาคมก้าวออกมาหนึ่งก้าว เดินออกมาจากในน้ำวน เรือนกายใหญ่โตมโหฬารดำสนิทเหมือนหมึก มีเพียงดวงตาคู่นั้นที่เป็นสีขาวหิมะ มีประกายแสงสายฟ้าเปล่งวูบวาบ มันปล่อยด้ามดาบออก ยื่นมือข้างหนึ่งออกมา ห้านิ้วดั่งตะขอ ขยุ้มกุมศีรษะซีกหนึ่งของกายธรรมหนันกวงจ้าวเอาไว้แล้วกระชาก ‘หิมะขาว’ แถบใหญ่ลงมา โยนใส่เข้าปากเคี้ยวกร้วมๆ สวาปามอย่างเมามัน
ขอบเขตบินทะยานผู้ยิ่งใหญ่อย่างหนันกวงจ้าว เทพเซียนผู้เฒ่าบนยอดเขาที่มีชื่อเสียงอยู่ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางมานานมากแล้วท่านนี้เหมือนถูกหมาบ้ากัดไม่ปล่อย แล้วยังกัดกระชากเอาเลือดเนื้อก้อนใหญ่ของเขาไปด้วย
ขณะเดียวกันตรงน้ำวนจุดอื่น มีหอกยาวสีทองด้ามหนึ่งถูกขว้างออกมาอย่างว่องไว ถึงกับไม่แบ่งมิตรหรือศัตรู พุ่งแทงทะลุกายธรรมทั้งสองพาไปปักตรึงอยู่กลางฟ้าดินที่ว่างเปล่าโดยตรง
ฟ้าดินแห่งหนึ่ง แสงสว่างสาดส่องรอบทิศ น้ำวนทุกแห่งล้วนมีอาวุธชิ้นหนึ่งเปล่งวาบ กรีดผ่าอากาศเป็นเส้นแนวยาว พุ่งแทงใส่สองฝ่ายที่โรมรันกัน อาวุธแต่ละชิ้นพากันทิ่มแทงไปบนร่างของกายธรรมทั้งสอง
ประหนึ่ง ‘กอดอกไม้’ กอหนึ่ง
ผู้เฒ่าชุดเหลืองยกดาบฟันไปทีหนึ่งง่ายๆ นี่ก็คือคำตอบ
ผ่ากายธรรมทั้งสองที่ถูกพันธนาการอยู่ด้วยกันตั้งแต่ไหล่มาถึงชายโครง
หนันกวงจ้าวจึงได้แต่บังคับแถบผ้าหลากสีของชุดคลุมน้ำมาปะชุนช่องโหว่ของกายธรรมอย่างยากลำบากต่ออีกครั้ง
ภาพนี้ทำเอาผู้ฝึกตนทุกคนที่ชมศึกอยู่จิตใจสั่นสะท้าน
นักพรตเนิ่นที่ไม่รู้ว่าโผล่ออกมาจากไหนผู้นี้ เมื่อตัดสินใจอำมหิตขึ้นมา แม้แต่ตัวเองก็ยังฟันไปด้วย
เห็นเพียงว่าผู้เฒ่าชุดเหลืองใช้อีกมือหนึ่งเอาฝักดาบค้ำยันพื้น พื้นที่ว่างที่ปลายฝักดาบทิ่มไปมีวงแสงสีทองกระเพื่อมออกมาเป็นวงๆ ดอกไม้สีทองหลายดอกที่ไม่เคยมีบันทึกไว้ในตำราเล่มใด คล้ายเกิดมาจากกลางน้ำแล้วชูช่อตั้งตระหง่าน ส่ายไหวอย่างมีชีวิตชีวา
สีหน้าของนักพรตเนิ่นท่านนี้ดุร้าย ยอมแพ้? ข้าผู้อาวุโสอยู่ที่บ้านเกิดได้สังหารวีรบุรุษผู้กล้าไปนับไม่ถ้วน ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจที่มาเป็นแขกในท้องก็ไม่เคยมีใครที่ปากพูดว่ายอมแพ้สักคน
ช่วงเวลาหลายพันปีที่ฝึกตนได้เจอกับปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานที่ไม่ถูกกัน หากไม่มียี่สิบก็น่าจะมีจำนวนสองมือนับ สู้ไม่ได้ก็ต่างคนต่างชักเท้าเผ่นหนี หนีไม่พ้นก็คือตาย อีกทั้งมีใครบ้างที่ไม่รับมือได้ยากว่าเจ้าคนที่ไม่รู้ชื่อแซ่ผู้นี้เป็นร้อยเท่า? กว่าจะเจอคู่ต่อสู้ดีๆ ที่ขอบเขตสูงพอ แต่ดันเป็นเศษสวะได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ผ่านหมู่บ้านนี้ไปก็ไม่มีร้านนี้แล้ว วันนี้หากข้าผู้อาวุโสยังไม่รู้จักทะนุถนอมเห็นค่า จะไม่ถูกฟ้าผ่าตายหรอกหรือ?!
หากเฒ่าตาบอดได้ยินเข้า ด้วยนิสัยใจแคบเหมือนไส้ไก่ของเฒ่าตาบอดนั้น จะไม่ลงมือดึงเอ็นถลกหนังเขาด้วยตัวเองเลยหรือ?
บนม่านฟ้าของฟ้าดินเล็ก ทะเลเมฆสีทองมารวมตัวกันช้าๆ เสียงฟ้าคำรามดังครืนครั่น สะเทือนขวัญผู้คน
ต่อให้เป็นเซียนเหรินอย่างพวกฉินจ่าวก็ยังรู้สึกว่าหากยังต่อสู้กันแบบนี้ต่อไป เกินครึ่งสภาพการณ์คงแย่กว่านี้แล้ว
ไม่แน่ว่าตลอดทั้งเกาะยวนยาง เกาะที่ใหญ่โตแห่งนี้อาจถูกมรรคกถาซัดกวาดจนราบเป็นหน้ากลองก็เป็นได้
ตรงหน้าประตูศาลที่อยู่บนหว่างคิ้วของกายธรรม หนันกวงจ้าวเผยร่างจริง เลือดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด สภาพอเนจอนาถอย่างถึงที่สุด ชุดคลุมน้ำ ‘ราชามังกร’ ที่กว่าจะเลื่อนขั้นเป็นอาวุธเซียนได้ไม่ใช่เรื่องง่ายมีสีแดงสดปรากฎเป็นปื้นใหญ่ เห็นได้ชัดว่าหนันกวงจ้าวได้รับบาดเจ็บถึงรากฐานมหามรรคาแล้ว จึงไม่ทันใช้เวทคาถาเก็บสภาพน่าสังเวชของตน คำรามกร้าวอย่างเดือดดาล “นักพรตเนิ่น! เจ้าคิดจะพินาศวอดวายไปพร้อมกับข้าจริงหรือ?!”
ทว่าคำพูดในใจของหนันกวงจ้าวกลับ ‘ละมุนละม่อม’ กว่าหลายส่วน เขาฝืนทำตัวให้เยือกเย็น ถามหยั่งเชิงว่า “สหาย ไม่สู้เจ้าและข้ายุติกันแต่เพียงเท่านี้? เรื่องของอวิ๋นเหมี่ยว ข้าไม่เพียงแต่จะไม่สนใจอีก หลังจบเรื่องข้ายังจะมีการชดใช้ให้ สรุปก็คือล้วนสามารถพูดคุยกันได้”
ผู้เฒ่าชุดเหลืองหลุดหัวเราะพรืด วันนี้ข้าผู้อาวุโสได้เปิดโลกกว้างแล้วจริงๆ ยอมแพ้ไม่สำเร็จก็เลยคิดจะจ่ายเงินแทนแล้ว?
ที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างไม่มีความวกวนอ้อมค้อมแบบนี้ ก่อนจะตีกันก็ไม่ค่อยสนใจเรื่องความสัมพันธ์ควันธูป ศาลบรรพจารย์มีรูปแขวนของใครบ้าง มีคุณความชอบกับผายลมสุนัขอะไรบ้าง หลังตีกันเสร็จก็ยิ่งไม่คิดจะวิงวอนขอร้อง โชคไม่ดี ฝีมือสู้คนอื่นไม่ได้ก็จงยอมตายแต่โดยดี!
หากการยอมแพ้ใช้ได้ผลจริงล่ะก็? ข้าผู้อาวุโสจะต้องกลายเป็นหมาเฝ้าประตูอยู่ที่ภูเขาใหญ่แสนลี้นั่นหรือ?!
——