กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 795.2 เข้าใจ
ทุกคนได้ยินเพียงนักพรตเนิ่นแผดเสียงหัวเราะดังลั่น “เพิ่งจะต่อสู้กันไปได้แค่ครึ่งทาง เห็นๆ กันอยู่ว่าเจ้ายังมีวิธีการอีกมากมาย คิดจะเก็บซ่อนเอาไว้พาลงโลงด้วยกันหรือไร จะไม่เอาออกมาโอ้อวดหน่อยหรือ?! ทำไม ดูแคลนนักพรตเนิ่นอย่างนั้นรึ?”
มือขวายกดาบยาวหิมะขาวที่มีสายฟ้าแลบแปลบปลาบขึ้นมา ใช้มือซ้ายปาดเบาๆ หนึ่งที กลางฝ่ามือก็มีลูกแสงกลมๆ ที่ก่อตัวจากสายฟ้าปรากฏขึ้นมาลูกหนึ่ง โยนใส่ปากเคี้ยวเหมือนกินกับแกล้มแกล้มสุรา นักพรตเนิ่นหัวเราะเสียงเย็นชา “อาณาเขตนี้ของข้าไม่ได้เอาออกมาให้คนดูเรื่องสนุก หรือไม่เจ้าก็สร้างฟ้าดินขึ้นมาซะ เปลี่ยนสถานที่ต่อสู้ ให้เร็วหน่อย แบ่งเป็นแบ่งตายกันให้รู้แล้วรู้รอดไปเสีย”
การประลองมรรคกถาอยู่ที่ศาลบุ๋น อันที่จริงไม่ว่าใครล้วนเหมือนถูกมัดมือมัดเท้า ก่อนหน้านี้ที่เฉินผิงอันเปิดฉากเข่นฆ่ากับเซียนเหรินอวิ๋นเหมี่ยว ทั้งสองฝ่ายเองก็ต้องคอยออมแรงอยู่ตลอด ต้องกะน้ำหนักให้ดี หลีกเลี่ยงไม่ให้เดือดร้อนผู้บริสุทธิ์ จำเป็นต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ฝึกตนมากมายบนเกาะยวนยางด้วย
ในประวัติศาสตร์ของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง เคยมีการต่อสู้สุดชีวิตที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันของเซียนกระบี่สองคน ในรัศมีร้อยลี้รอบด้าน แสงกระบี่สาดกระจายนับไม่ถ้วน ผู้ฝึกตนร้อยกว่าคนหลบหนีไม่ทันเลยแม้แต่น้อย จึงถูกแสงกระบี่เฉียบคมที่มาจากกระบี่บินของทั้งสองฝ่ายเสียบเรียงกลายเป็นถังหูลู่ ตอนที่แสงกระบี่สองเส้นนั้นสลายหายไปก็เป็นช่วงเวลาที่จิตวิญญาณของเหล่าผู้ฝึกตนบริสุทธิ์ที่ไม่มีความเกี่ยวข้องถูกซัดจนแหลกเละไปแล้ว
คนหนึ่งในนั้น เดิมทีมีตำแหน่งสูง เป็นบรรพจารย์ผู้คุมกฎของจวนเซียนสำนักหนึ่ง ผลคือถูกทางสำนักตัดชื่อออกจากทำเนียบขุนเขาสายน้ำของสำนัก กลายไปเป็นผู้ฝึกตนอิสระที่ต้องคอยหนีหัวซุกหัวซุน และคนผู้นี้ก็คือเซียนกระบี่แห่งเกราะทองทวีปที่มาท่องเที่ยวแผ่นดินกลางอย่างซือถูจีอวี้ ภายหลังต่อมาซือถูจีอวี้จึงตัดสินใจไปกำแพงเมืองปราณกระบี่
หนันกวงจ้าวใช้เสียงในใจพูดต่ออีกครั้ง “นักพรตเนิ่น เจ้ากับข้าไม่มีความแค้นต่อกัน เหตุใดต้องดึงดันจะต่อสู้ให้ตายตกกันไปข้าง หากยังต่อสู้กันต่อไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรต่อทั้งเจ้าและข้าเลยแม้แต่น้อย”
ไหนเลยหนันกวงจ้าวจะคิดได้ว่า ที่บ้านเกิดของผู้เฒ่าชุดเหลืองคนนี้เคยชินกับการที่ขอแค่ลงมือ การตัดสินแพ้ชนะก็คือการแบ่งเป็นตายมาตั้งนานแล้ว ยิ่งคิดไม่ถึงว่านักพรตเนิ่นลงมืออย่างเหี้ยมโหดเช่นนี้ก็เพียงแค่เพราะอัดอั้นมานานเกินไปจริงๆ โทสะจึงอัดแน่นอยู่เต็มท้องนานแล้ว
นักพรตเนิ่นหัวเราะหยัน “อิดๆ ออดๆ เหมือนสตรี ข้าผู้อาวุโสจะเล่นงานเจ้าให้ร่อแร่ปางตายก่อนแล้วกัน แล้วค่อยไปจัดการเจ้าลูกกระต่ายน้อยที่สวมชุดขาวผู้นั้น”
นักพรตเนิ่นไม่ถึงขั้นคิดว่าจะสามารถสังหารขอบเขตบินทะยานตรงหน้าผู้นี้ได้อย่างสิ้นเชิงจริงๆ แต่หากจะให้อีกฝ่ายขอบเขตถดถอยกลับยังพอทำได้
หากใช้คำกล่าวของนายท่านใหญ่หลี่คุณชายบ้านตน ก็คือเป็นคนควรเหลือพื้นที่ว่างไว้เสี้ยวหนึ่ง วันหน้าจะได้กลับมาพบเจอกันได้ใหม่
ตามนิสัยการเข่นฆ่าของนักพรตเนิ่นในอดีต ไหนเลยจะต้องพูดจาไร้สาระแม้แต่ครึ่งประโยค ฆ่าตายแล้วกินให้เกลี้ยงก็ถือว่าสิ้นเรื่องแล้ว
เพราะหลังจากที่ออกมาจากใต้หล้าเปลี่ยวร้าง การเดินทางท่องเที่ยวตลอดทางมานี้ได้กินอิ่มหนำ นอนหลับสบาย มักจะเห็นหลี่ไหวเปิดหนังสือนิยายเรื่องราวในยุทธภพสองสามเล่มที่เปิดอ่านบ่อยจนเปื่อยอยู่เป็นประจำ พวกคนมีชื่อเสียงในยุทธภพที่บารมีสะเทือนไปทั้งยุทธจักร หรือไม่ก็วีรบุรุษฝ่ายธรรมะที่ผดุงความยุติธรรมในหนังสือพวกนั้น ยามที่ประลองฝีมือกับคนอื่น ล้วนพูดมากกันทุกคน หากพูดตามคำกล่าวของหลี่ไหวก็คือ เป็นเพราะทั้งสองฝ่ายที่ตีกันเป็นกังวลว่าพวกคนที่มามุงดูจะรู้สึกเบื่อเกินไป หากทั้งสองฝ่ายตีกันเงียบๆ ก็ไม่น่าสนใจมากพอ เสียงตะโกนร้องโห่ก็จะน้อยลงด้วย นักพรตเนิ่นฟังแล้วก็รู้สึกว่ามีเหตุผลอย่างมาก
หนันกวงจ้าวสีหน้ามืดทะมึน ไม่ใช้เสียงในใจพูดอีกต่อไป แต่ทิ้งประโยคอาฆาตไว้ว่า “นักพรตเนิ่น ไว้หน้าเจ้าแล้วก็อย่าได้หน้าไม่อายนัก!”
นักพรตเนิ่นตกใจสะดุ้งโหยง หรือว่าเจ้าคนที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้คือคนที่อำพรางตัวอย่างลึกล้ำ?
พลันสงสัยไม่แน่ใจขึ้นมา แต่พอคิดอีกทีก็ช่างแม่งมันเถอะ ตะพาบเฒ่าคนหนึ่งที่แม้แต่การประชุมในศาลบุ๋นก็ยังไม่มีคุณสมบัติจะเข้าร่วม จะร้ายกาจได้สักเท่าไรกันเชียว?
เจ้าคิดว่าตัวเองคือต่งซานเกิงหรือว่าอาเหลียงกันล่ะ?
เจ้าอาเหลียงผู้นั้น ปีนั้นเพียงแค่เพราะว่าตัวเองอุดอู้เบื่อหน่ายเลยคว้าเอาตัวผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งที่ผ่านทางมามาตบจนได้รับบาดเจ็บ แม้แต่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตก็ไม่ได้ถูกตนตบจนแตก ก็แค่หยอกเล่นเท่านั้น เพราะถึงอย่างไรภูเขาใหญ่แสนลี้บ้านตนกับกำแพงเมืองปราณกระบี่ ทั้งสองฝ่ายเป็นดั่งน้ำบ่อที่ไม่ยุ่งกับน้ำคลอง ผลคืออาเหลียงที่อยู่ในภูเขาใหญ่แสนลี้ถึงกับไล่ฟันมันไปไกลหลายพันลี้ สุดท้ายแม้แต่เฒ่าตาบอดก็ยังทนมองไม่ไหวจนต้องลงมือ เลยถูกอาเหลียงปล่อยกระบี่ใส่ติดต่อกันสิบแปดครั้ง
สตรีแซ่จูแห่งเซียนเสียมองเซียนกระบี่ชุดเขียวที่ทะยานลมลอยตัวอยู่กลางอากาศแวบหนึ่ง พอถอนสายตากลับมาแล้วก็ถามคุณชายหนุ่มหล่อเหลาของสกุลเซี่ยมี่อวิ๋นที่เปิดบทกลอนอ่านอย่างว่องไวเสียงเบาว่า “เซี่ยหยวน เจ้ารู้สึกว่าคนผู้นี้อายุเท่าไร?”
เซี่ยหยวนกำลังยุ่งอยู่กับการหาแรงบันดาลใจจากตำรารวมบทกวีที่ตัวเองชื่นชอบ เรื่องของการร่ายบทกลอนนี้พิถีพิถันในเรื่องใช้หินของภูเขาลูกอื่นมาขัดเกลาเป็นหยกมากที่สุด ถูกสตรีขัดจังหวะอารมณ์สุนทรีในการร่ายกวี เขาก็ทอดถอนใจหนึ่งที เงยหน้าขึ้นมองผู้เฒ่าชุดเหลืองที่อยู่ห่างไปไกลแวบหนึ่งแล้วตอบอย่างไม่ใส่ใจว่า “ไม่ว่าอย่างไรก็ควรอายุมากอยู่มานานหลายพันปีแล้ว”
สตรีหัวเราะอย่างฉุนๆ “ไม่ได้หมายถึงเขา!”
เซี่ยหยวนอึ้งตะลึง ก่อนจะหัวเราะฮ่าๆ “เจ้าหมายถึงเซียนกระบี่ชุดเขียวที่ฝึกควบวิชาอสนีหรือ หากจะให้ข้าเดานะ มากสุดก็ร้อยปี พอๆ กับ ‘เซียนกระบี่สวีจวิน’ แห่งเกราะทองทวีป ล้วนเป็นผู้มีพรสวรรค์บนวิถีกระบี่ที่ถือกำเนิดขึ้นมาตามโชคชะตาในไพศาลของพวกเรา แต่คนตรงหน้าพวกเราคนนี้กลับหนุ่มกว่าหน่อย”
ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าอวี๋เยว่ได้ยินแล้วก็เหลือกตามองบนทันที อัดอั้นแทบแย่ แต่ก็ไม่อาจบอกความจริงกับเซี่ยหยวนได้ว่าผู้ฝึกกระบี่ชุดเขียวตรงหน้าผู้นี้ก็คืออิ่นกวานที่เด็กอย่างเจ้าคิดถึงคำนึงหาอยู่ตลอด คือคนที่ทำให้เจ้าเซี่ยหยวนร้องตะโกนเสียงดังว่า ‘เจอหน้าแล้วต้องหมอบกราบสามครั้ง’ ผู้นั้น
ตระกูลชนชั้นสูงที่อยู่อันดับสูงสุดของใต้หล้าไพศาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งตระกูลที่เกี่ยวข้องกับเรือข้ามทวีปซึ่งมีการค้าขายกับภูเขาห้อยหัวและกำแพงเมืองปราณกระบี่ สำหรับอิ่นกวานหนุ่มที่เคยปรากฎตัวในห้องโถงประชุมของเรือนชุนฟาน อันที่จริงต่างก็พอมีความเข้าใจบ้างไม่มากก็น้อย ทว่าสิ่งที่รู้มามีไม่มาก เพราะทางฝั่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่มีการควบคุมอย่างเข้มงวด ยกตัวอย่างเช่นสกุลเซี่ยมี่อวิ๋นของธวัลทวีปก็ยังได้แค่อาศัยช่องทางต่างๆ บนภูเขา โดยเฉพาะกับสกุลหลิวที่เนื่องจากคบหากันมาหลายรุ่น และมีการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กันอยู่ตลอด ทำให้ได้รู้ว่าอิ่นกวานคนสุดท้ายที่เข้ามาแทนที่ตำแหน่งของเซียวสวิ้น นอกจากจะทำการค้าเก่งมากแล้ว ยังมีพลังอำนาจมีบารมีหนาหนัก ครั้งแรกที่ปรากฏตัวในภูเขาห้อยหัว ข้างกายก็มีเซียนกระบี่จากท้องถิ่นและต่างถิ่นกลุ่มใหญ่ติดตามมาด้วย นั่นคือเซียนกระบี่ตัวจริงหลายสิบท่านที่มีผลงานการสู้รบเกริกก้องเชียวนะ!
เดิมทีหลี่เป่าผิงยังเป็นห่วงหลี่ไหวอยู่บ้างว่าจะถูกการประลองเวทคาถาบนยอดเขาครั้งนี้ทำให้เดือดร้อนหรือไม่ คิดไม่ถึงว่าหลี่ไหวราวกับคนที่ไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ ยืนอยู่ที่เดิมได้อย่างมั่นคง พึมพำพูดอะไรบางอย่างอยู่กับตัวเองคนเดียว
จบเห่แล้ว หากสู้แพ้ยังพูดง่าย อย่างมากก็แค่ลากนักพรตเนิ่นเผ่นหนีไปด้วยกัน หากไม่ได้จริงๆ ถึงอย่างไรก็มีเฉินผิงอันอยู่ ขอแค่หลบอยู่ด้านหลังเฉินผิงอัน ไม่ว่าเรื่องอะไรก็พูดง่าย
แต่หากว่าสู้ชนะ ไม่เพียงแต่ช่วยให้เฉินผิงอันเสียเรื่อง นักพรตเนิ่นยังจะต้องผูกปมแค้นไว้บนภูเขาด้วยหรือไม่? จากนั้นก็จะเดือดร้อนให้ตนถูกคนหมายหัว ในยุทธภพมีแค่เป็นโจรพันวันเท่านั้น ไหนเลยจะมีหลักการที่ต้องป้องกันโจรพันวัน
ดังนั้นหลี่ไหวจึงใช้เสียงในใจถามหยั่งเชิงว่า “พี่ใหญ่เนิ่น พวกเรายอมแพ้ได้หรือไม่? ไม่อย่างนั้นวันหน้าท่องอยู่ในยุทธภพ ข้าอาจต้องอกสั่นขวัญผวาอยู่ทุกวัน กลัวว่าจะถูกใครเอากระบองมาฟาดเอานะ”
นักพรตเนิ่นรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่า แต่แข็งใจแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินคำเตือนของนายท่านใหญ่หลี่
การต่อสู้ครั้งนี้ข้าผู้อาวุโสยังไม่เจ็บไม่คัน มือยังไม่ทันร้อนเลยนะ!
ความเคลื่อนไหวบนมือของนักพรตเนิ่นยิ่งว่องไว ออกดาบอย่างอำมหิต ราวกับสายฟ้าหนักหมื่นชั่ง
บีบคั้นบินทะยานผู้นั้น หากไม่คุกเข่าโขกหัวยอมแพ้ถึงจะถือว่ามีความจริงใจ ก็จะต้องเข้าไปในฟ้าดินเล็กของอีกฝ่ายแล้วฆ่าแกงกันให้เต็มคราบสักครั้ง
แต่พอคิดอีกที นักพรตเนิ่นกลับรู้สึกเหมือนโดนทัณฑ์สวรรค์ผ่าลงหัว มารดามันเถอะ ตอนนี้อยู่ในฟ้าดินเล็กของตน แน่นอนว่าเขาสามารถพูดคุยกับหลี่ไหวได้ตามสบาย แต่หลี่ไหวสามารถมองเมินตราผนึกหนาชั้นของฟ้าดินมาพูดคุยกับตนได้อย่างไร?
นายท่านใหญ่ก็คือนายท่านใหญ่
หรือว่าเฒ่าตาบอดได้ถ่ายทอดวิชาลับบางอย่างให้เขา? แต่หลี่ไหวก็เคยบอกเองนี่นาว่าเขาไม่เคยเรียนอะไรมาจากเฒ่าตาบอดแม้แต่ครึ่งกระบวนท่า
หลี่ไหวเห็นว่านักพรตเนิ่นไม่ได้ยินคำพูดของตนก็ได้แต่หันไปถามหลี่เป่าผิง “เป่าผิง ทำอย่างไรดีล่ะ?”
หลี่เป่าผิงเอ่ย “ผู้อาวุโสท่านนี้ต้องหยุดมือแน่ ส่วนหลังจากนี้จะทำอย่างไร เจ้าไม่ต้องคิดมาก ผู้อาวุโสย่อมจัดการได้อย่างเหมาะสม”
หลี่ไหวยิ้มกว้าง ถ้าอย่างนั้นก็วางใจแล้ว จึงเอ่ยเหตุผลที่สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดินเสริมให้ตัวเองอีกประโยค “อีกอย่างก็ยังมีเฉินผิงอันอยู่ด้วยไม่ใช่หรือ ข้าต้องกลัวว่าจะมีปัญหาหรือ? ปัญหาต้องกลัวข้าถึงจะถูก!”
อันที่จริงความคิดมากมายของหลี่ไหว นับแต่เด็กมาก็ไม่ค่อยเหมือนคนทั่วไปอยู่แล้ว
ยกตัวอย่างเช่นปีนั้นหลี่เป่าผิงโยนกางเกงของเขาขึ้นไปไว้บนกิ่งไม้ สิ่งที่หลี่ไหวซึ่งร้องไห้จ้าเป็นกังวล ไม่ใช่ว่าจะต้องขายหน้า หรือว่าจะถูกสือชุนเจียเด็กหญิงมัดผมแกละหัวเราะเยาะไปอีกนานหรือไม่ แต่เป็นเพราะนั่นเป็นกางเกงตัวใหม่ แพงอย่างมาก ไม่ได้สวมกลับบ้าน ท่านแม่จะไม่เสียดายตายหรอกหรือ ไม่แน่ว่าอาจจะหยิกแขนของเขา ไม่อย่างนั้นไม่ได้สวมกางเกงก็ไม่เห็นจะเป็นไร เย็นสบายดีออก แต่ถูกหยิกแขนต้องเจ็บมากเลยนะ ต่อให้วันหน้าท่านแม่จะซื้อกางเกงตัวใหม่ให้เขา แต่ในบ้านก็ต้องไม่มีเงินซื้อน่องไก่แล้ว ดูจากสภาพของหลี่หลิ่วพี่สาวเขาก็ผอมแห้งแรงน้อยพออยู่แล้ว หน้าตายังไม่งดงาม วันหน้าจะออกเรือนได้อย่างไร? ดังนั้นจะปล่อยให้กางเกงที่ถูกแขวนไว้สูงบนกิ่งไม้หายไปไม่ได้เด็ดขาด
หรือยกตัวอย่างเช่นหยางเหล่าโถวที่โยนหนังสือสีออกเหลืองหลายเล่มมาให้เขา อยู่ในห่อสัมภาระที่แน่นตุงจึงไม่ค่อยสะดุดตา หน้าปกและหน้าแรกๆ ของหนังสือเหมือนถูกคนฉีกทิ้งไปแล้ว ในหนังสือส่วนใหญ่ล้วนมีแต่เวทคาถาบนภูเขา มีกฎเกณฑ์มากมาย อันนี้ไม่อยากเรียน อันนั้นไม่อยากทำ วิชานี้ส่งผลร้ายต่อคุณธรรมแห่งวิถีสวรรค์ วิชาอภินิหารบทนั้นถูกมหามรรคาสยบกำราบ…จะเรียนไปทำบ้าอะไร ดังนั้นเลือกไปเลือกมาหลี่ไหวจึงเลือกเรียนเสียงในใจ อันนี้ดี ไม่มีข้อพิถีพิถันอะไร เรียนแล้วก็ไม่มีข้อห้าม แล้วยังเอามาใช้ประโยชน์ได้อีกด้วย
หยางเหล่าโถวทิ้งจดหมายฉบับหนึ่งไว้ให้กับหลี่ไหว ในจดหมายสั่งความเรื่องบางอย่างเอาไว้
ยกตัวอย่างเช่นในอนาคตเขาควรจะไปหาอาจารย์ผู้เฒ่าคนนั้น ควรจะเรียนรู้วิชายันต์สองสามบทมาจากผู้อาวุโสท่านนี้ คนผู้นี้เคยเดินทางมาเที่ยวถ้ำสวรรค์หลีจู มาอยู่นานหลายปี มักจะดื่มเหล้ากับบิดาเจ้าเป็นประจำ ทักษะมากไม่กดทับตัวตาย มีวิชาความรู้ติดตัว เมื่อเทียบกับในกระเป๋ามีเงินมากแล้วยังจะมั่นคงปลอดภัยกว่า…
ก็เหมือนผู้เฒ่าในครอบครัวที่มักจะบ่นให้รำคาญใจ แต่พอผู้เฒ่าไม่บ่นอีกต่อไปกลับทำให้เสียใจยิ่งนัก
อารมณ์ของหนันกวงจ้าวในเวลานี้ย่ำแย่ถึงขีดสุด พอๆ กับตอนที่อวิ๋นเหมี่ยวเด็กรุ่นเยาว์ของเขามองลูกศิษย์ผู้สืบทอดของตัวเอง รู้สึกว่าเจ้าอวิ๋นเหมี่ยวผู้นี้คือดาวแห่งความโชคร้าย ตัวหาเรื่องโดยแท้
กับนักพรตเนิ่นไม่อาจใช้เหตุผลใดๆ ได้เลย ดูจากท่าทางของอีกฝ่ายคงต้องให้เขาขอบเขตถดถอยถึงจะยอมรามือ หนันกวงจ้าวจึงได้แต่ใช้วิชาอภินิหารก้นกรุวิชาหนึ่ง เรียกถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กที่ถูกเขาหล่อหลอมได้อย่างสมบูรณ์ออกมาโดยตรง
นักพรตเนิ่นหัวเราะร่าเสียงดัง เสียบดาบกลับเข้าฝัก แล้วโยนเข้าไปไว้ในจักรวาลชายแขนเสื้อ “ในที่สุดก็มีมาดของขอบเขตบินทะยานบ้างแล้ว!”
หลี่ไหวพูดอย่างรีบร้อน “ระวังนะ!”
นักพรตเนิ่นหันกลับไปมองคนหนุ่มสวมชุดลัทธิขงจื๊อที่อยู่ตรงริมฝั่งแล้วอึ้งตะลึง เจ้าเด็กนี่จะสนใจความเป็นความตายของหมาเฝ้าประตูตัวหนึ่งจริงๆ หรือ? เพื่ออะไรกัน? คิดไม่ออก
นักพรตเนิ่นส่ายหน้า คิดแล้วไม่เข้าใจก็อย่าไปคิดมันเลย ข้อนี้กลับเหมือนหลี่ไหวอยู่ไม่น้อย ก็ไม่แปลกที่พวกเขาสองคนมารวมตัวอยู่ด้วยกันได้โดยที่ไม่รู้สึกอึดอัด
เมื่อร่างของขอบเขตบินทะยานสองคนหายตัวไป ฟ้าดินของเกาะยวนยางก็กลับคืนมาสว่างแจ่มใสในชั่วพริบตา ดวงตะวันกลับคืนมาปรากฏตัวอีกครั้ง
ผู้ฝึกตนแทบทุกคนต่างโล่งอกโล่งใจ อีกทั้งผู้ฝึกลมปราณส่วนใหญ่ต่างก็เลือกที่จะทะยานลมออกห่างจากสถานที่อันตรายอย่างเกาะยวนยางแห่งนี้ภายใต้การปกป้องคุ้มกันจากผู้อาวุโส
ต่อสู้ทีเดียวถึงสองครั้งรวด อันดับแรกก็เป็นเซียนกระบี่คนหนึ่งกับเซียนเหรินคนหนึ่ง แล้วค่อยเป็นขอบเขตบินทะยานสองคน มาชมเรื่องสนุกก็ถือว่าชมจนเต็มอิ่มแล้ว
แล้วนับประสาอะไรกับที่สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าฟ้าดินเล็กของหนันกวงจ้าวจะพังทลายคาที่หรือไม่?
เซียนเหรินอวิ๋นเหมี่ยวต้องเป็นผู้ฝึกตนที่อารมณ์หนักอึ้งที่สุดแน่นอน
จะจากไปก็ไปไม่ได้ เพราะห่างไปไกลยังมีเจ้าเซียนกระบี่ชุดเขียวเอาสองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อยืนยิ้มตาหยีอยู่
หนันกวงจ้าวที่เป็นยันต์คุ้มกันชีวิตครึ่งแผ่นของหอเซียนจิ่วเจินตลอดมา ดูท่าแล้วคงไม่ได้เรื่อง ใครเล่าจะไปคาดคิดได้ว่าจะมีขอบเขตบินทะยานขั้นสูงสุดคนหนึ่งกระโดดออกมาร่วมวงทำให้สถานการณ์วุ่นวาย
ตามหลักการทั่วไปแล้ว ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในขอบเขตบินทะยาน มีใครบ้างที่ไม่ได้ไปศาลบุ๋น? ขอบเขตบินทะยานที่ถูกศาลบุ๋นทิ้งไว้ให้นั่งบนม้านั่งเย็นๆ อย่างหนันกวงจ้าว เดิมทีก็ควรเป็นคนที่ไร้ศัตรูทัดเทียม
ทว่าซ่งจื่อแห่งจัวลู่ผู้นั้น ทุกวันนี้กลับเข้าร่วมการประชุมอยู่กับศาลบุ๋น เรื่องวันนี้จะปิดฉากลงอย่างไร?
ผู้ฝึกตนใหญ่ของแผ่นดินกลางหลายคนที่ขอบเขตสูงมากมักจะเลือกถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลแห่งหนึ่งบนภูเขาแล้วตั้งใจฝึกตน ในภูเขาเงียบสงบ พิสูจน์มรรคาเป็นอมตะ ความสามารถในการเข่นฆ่าจึงไม่ค่อยจะสอดคล้องกับขอบเขต
อวิ๋นเหมี่ยววางแผนอย่างลับๆ เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ อันที่จริงส่วนลึกในใจกลับดูแคลนขอบเขตบินทะยานเฒ่าที่จิตวิญญาณเสื่อมโทรม กลิ่นอายความแก่ชราท่วมท้นผู้นี้อย่างมาก ตะพาบพันปีเต่าหมื่นปี ก็แค่มีชีวิตอยู่มานานเท่านั้น
ต่อให้ยังมีกระบี่บินอีกเล่มที่ถูกอวิ๋นเหมี่ยวกักไว้ในมือ แต่เฉินผิงอันกลับเหมือนคนที่กุมชะตาชีวิตบนมหามรรคาของอวิ๋นเหมี่ยวไว้มากกว่า
อยู่ดีๆ เฉินผิงอันก็นึกถึงคำพูดประโยคหนึ่งของศิษย์พี่จั่วขึ้นมา
เขาบอกว่าการถามกระบี่คือเรื่องที่ง่ายดายมากเรื่องหนึ่ง ก็แค่เจ้าต้องส่งกระบี่ออกไปมากกว่าคู่ต่อสู้
ยกตัวอย่างเช่นกระบี่หนึ่งส่งออกไป คู่ต่อสู้ตายแล้ว การถามกระบี่สิ้นสุด ต่างฝ่ายต่างส่งกระบี่ กระบี่สุดท้ายเป็นเจ้าที่ส่งออกไป แน่นอนว่ายังคงเป็นเจ้าที่ชนะ
ตอนนั้นเฉินผิงอันเพิ่งจะผ่านการ ‘ถามกระบี่’ ครั้งหนึ่งไปมาดๆ
ตั้งแต่ต้นจนจบศิษย์พี่เพียงแค่ยืนนิ่งไม่ขยับ แต่ศิษย์น้องกลับนอนร่อแร่ปางตายอยู่บนหัวกำแพง
เฉินผิงอันจึงเกิดขวัญกล้าเทียมฟ้าเอ่ยประโยคหนึ่งไป ‘ศิษย์พี่ช่างพูดได้ง่ายนัก’
ถึงอย่างไรการฝึกกระบี่ก็สิ้นสุดลงแล้ว ศิษย์พี่คงจะไม่จัดการตนอย่างไรต่ออีก ส่วนครั้งหน้าที่ฝึกกระบี่จะเจอความทุกข์ยากหรือไม่ ยังไม่สนแล้วกัน
จั่วโย่วไม่โกรธ เพียงแค่เอ่ยว่า ‘ฝึกกระบี่ศึกษาหาความรู้ วางตัวอยู่ร่วมกับคนอื่นในสังคม ล้วนต้องรู้หนักรู้เบา’
เฉินผิงอันนอนนิ่งอยู่กับพื้นแต่โดยดี ไม่กล้าได้คืบเอาศอก ก่อนถามคำถามข้อหนึ่งที่สงสัยมานาน ‘ศิษย์พี่ฝึกกระบี่อย่างไร?’
อันที่จริงคำถามข้อนี้ ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ เกรงว่านอกจากเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสที่ไม่สนใจแล้ว ทุกคนล้วนต้องอยากถามเขาอย่างแน่นอน
——