กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 796.1 มรสุมกลางสุราผ่านไปอีกครั้ง
นักพรตเนิ่นสู้รบสร้างชื่อบนเกาะยวนยาง เล่นงานเสียจนหนันกวงจ้าวร่อแร่ปางตาย
หนันกวงจ้าวถูกนักพรตเนิ่นโยนลงน้ำในลำคลอง ชั่วขณะนั้นถึงกับไม่มีใครกล้าไปงมเขาขึ้นมา
ผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานคนหนึ่งที่ชื่อเสียงโด่งดัง ได้แต่อาศัยชุดคลุมน้ำที่ขาดวิ่นไม่เหลือสภาพดีลอยล่องไปตามน้ำทั้งอย่างนั้น
นักพรตเนิ่นยืนอยู่ริมชายฝั่ง เมื่อปรากฏในสายตาของผู้คนที่มามุงดู แน่นอนว่ามองดูแล้วย่อมมีมาดของวีรบุรุษ กลิ่นอายสูงศักดิ์ดุจผู้ที่ไร้ศัตรูเทียมทาน
ทางฝั่งของเกาะยวนยาง ฉินจ่าวใช้เสียงในใจสอบถามนักพรตเนิ่นอยู่ไกลๆ “ผู้อาวุโส ขอให้ข้าได้ไปช่วยหนันกวงจ้าวก่อนได้หรือไม่?”
นักพรตเนิ่นหลุดหัวเราะพรืด “ได้สิ ทำไมจะไม่ได้ล่ะ ช่วยได้ตามสบาย งมคนขึ้นมาแล้ว อีกเดี๋ยวก็สามารถให้คนอื่นช่วยเจ้าบ้างได้แล้ว”
ฉินจ่าวจนใจยิ่งนัก
นิสัยใจคอของผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานขั้นสูงสุดคนนี้ไม่อาจใช้หลักการทั่วไปมาวัดประเมินได้เลย วันหน้าต้องไปมาหาสู่ให้น้อยหน่อย หากหลบเลี่ยงได้ก็ต้องรีบเปิดทางให้อีกฝ่าย
หลี่ไหวรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวไปหมด เขาเคยชินกับการที่ตัวเองเป็นคนที่ไม่สะดุดตามากที่สุดในกลุ่มคนไปแล้ว ไม่เคยชินกับสภาพการณ์ที่ถูกผู้คนมากมายจับจ้องมองมาเช่นนี้เลย รู้สึกเหมือนมีมดไต่เต็มร่าง ชวนให้ตึงเครียดอย่างถึงที่สุด สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าบริเวณโดยรอบเกาะยวนยาง บ้างไกลบ้างใกล้ จะมีเทพเซียนบนภูเขากี่มากน้อยที่ตอนนี้กำลังมองขุนเขาสายน้ำผ่านฝ่ามือ มองเรื่องสนุกของเขาที่อยู่ทางนี้?
หลี่ไหวถาม “บาดเจ็บหรือไม่?”
นักพรตเนิ่นรู้สึกอบอุ่นในใจ คล้ายได้กินหม้อไฟร้อนๆ ในวันที่อากาศหนาวเหน็บ พลันเก็บพลังอำนาจที่ดุร้ายบนร่างส่วนนั้นลงไป ยิ้มกว้างเอ่ยว่า “ไม่เป็นผายลมอะไรทั้งนั้น เวทคาถาบางส่วนกระแทกลงบนร่างก็แค่คันๆ เท่านั้นเอง”
นักพรตเนิ่นพลันค้อมเอวก้มหัว ถูมือไม่หยุด พลางยิ้มพูดประจบว่า “คุณชาย วางใจได้เลย ข้าอยู่กับคุณชายนานวันเข้าก็เหมือนพกดอกจือหลันติดกาย แน่นอนว่าต้องเปลี่ยนแปลงนิสัยไปมากมายแล้ว วันนี้ลงมือก็เว้นที่ว่างไว้เสี้ยวหนึ่ง เจ้าแก่นี่ไม่ได้ขอบเขตถดถอย อีกทั้งยังไม่มีความกล้าที่จะกลับมาแก้แค้นด้วย”
ตาเฒ่าที่ไม่รู้ชื่อแซ่ หากมีความองอาจกล้าหาญที่บอกว่าจะตายก็ตายอยู่จริง กลับกลายเป็นว่าดี การเข่นฆ่าครั้งต่อไป ทั้งสองฝ่ายลงนามสัญญาเป็นตายกัน เลือกสถานที่ที่เงียบสงัด ลงมืออย่างไม่ต้องยำเกรงสิ่งใด หลังจบเรื่องศาลบุ๋นต้องไม่มีทางสนใจแน่นอน
ก่อนหน้านี้ไม่ได้ทำตามความต้องการของหลี่ไหวด้วยการหยุดมือแต่เนิ่นๆ เรื่องนี้จะปล่อยให้เฒ่าตาบอดรู้ไม่ได้เด็ดขาด คนเราเปลี่ยนจากฟุ่มเฟือยมาเป็นประหยัดมันยากมากนะ อยู่ข้างกายหลี่ไหว ได้เสวยสุขอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ทุกวันนี้นักพรตเนิ่นไม่อยากกลับไปกินดินที่ภูเขาใหญ่แสนลี้ต่อแล้ว
หลี่ไหวเอ่ย “บุญคุณความแค้นบนภูเขาเป็นสิ่งที่ข้ากลัวมากที่สุด แต่เจ้าขอบเขตสูง ย่อมมีนิสัยเป็นของตัวเอง ข้าไม่อาจโน้มน้าวอะไรได้ เพียงแต่ว่าถึงอย่างไรใต้หล้าไพศาลก็ไม่เหมือนภูเขาใหญ่แสนลี้ เรื่องหนึ่งง่ายที่จะนำให้ร้อยพันเรื่องตามมา ดังนั้นผู้อาวุโสต้องระวังตัวสักหน่อย สุดท้ายจะพูดประโยคที่ฟังแล้วอาจจะไม่ชอบ คนเราไม่อาจถูกศักดิ์ศรีหน้าตาดึงให้เดินไป หน้าตาอะไรนั่น แค่มีก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องมีเยอะเกินไป”
วัตถุประสงค์เพียงหนึ่งเดียวในการท่องยุทธภพของหลี่ไหวก็คือตัวข้าไม่หาปัญหาใส่ตัว ปัญหาก็อย่ามาวุ่นวายกับข้า
นักพรตเนิ่นทอดถอนใจในใจ สามารถสัมผัสได้ถึงความจริงใจและห่วงใยของหลี่ไหวจึงพยักหน้าเอ่ยเสียงเบาว่า “คุณชายสั่งสอนได้ถูกต้องแล้ว แค่ครั้งนี้เท่านั้น ไม่มีครั้งหน้าแล้ว”
หลี่ไหวพลันหัวเราะร่าเสียงดัง เอามือตบไหล่ของนักพรตเนิ่น “เจ้านี่ใช้ได้เลยนี่นา ที่แท้ก็เป็นขอบเขตบินทะยานจริงๆ ด้วย”
นักพรตเนิ่นรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย “ยังดีๆ”
หากอยู่กับเฒ่าตาบอด เท้าหนึ่งก็เหยียบให้เขาลงไปนอนหมอบ ถูกกระทืบจนกระดูกสันหลังหักได้แล้ว ต่อให้ออกมาจากภูเขาใหญ่แสนลี้แล้ว แต่นั่นก็ยังเป็นแค่เรื่องของไม่กี่เท้าเท่านั้น
ป๋ายเหย่ ตงไห่นักพรตเฒ่าจมูกวัวหน้าเหม็นแห่งอารามกวานเต๋า พระเฒ่าน้ำแกงไก่ ภิกษุเสินชิงที่ปกป้องคุ้มกันผู้ที่ไปเผยแพร่พระธรรมที่ตะวันออก เฒ่าตาบอดที่แบ่งแยกดินแดนตั้งตนเป็นอิสระในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง
ขอบเขตสิบสี่ทั้งหลายเหล่านี้ ต่างก็มีลักษณะนิสัยที่แตกต่างกันไป
ป๋ายเหย่มีกระบี่เซียนอยู่ในมือ พลังพิฆาตสูงที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
ร่างทองไม่ดับสลายของเสินชิงยากที่จะทำลายมากที่สุด บนยอดเขาของไพศาลเคยมีข่าวลือเล็กๆ ข้อหนึ่งแพร่ออกมา ‘การโจมตีของขอบเขตสิบสี่ครึ่งตัว การป้องกันของขอบเขตสิบสี่สองคน’ ว่ากันว่าอาจจะเป็นอาเหลียงที่เป็นคนเอ่ยประโยคนี้เป็นคนแรกสุด
เกี่ยวกับวิธีการผสานมรรคาของภิกษุเฒ่าต่างถิ่นท่านนี้ ผู้ฝึกตนบนยอดเขาของใต้หล้าไพศาลแค่มีการคาดเดาบางอย่าง บ้างก็บอกว่าเขาผสานมรรคากับ ‘คัมภีร์จินกัง’ เล่มหนึ่ง และยังมีคำกล่าวที่แปลกประหลาดบอกว่า ‘มังกรช้างหลอมเห็บสิงโตล้านตัว’
เจ้าอารามผู้เฒ่ามีมรรคกถาสูงส่ง วิชาความรู้หลากหลาย ถูกกำหนดมาแล้วว่าเป็นคนที่รับมือได้ยากมาก ส่วนเฒ่าตาบอด นิสัยแปลกประหลาดเกินไป เก็บตัวสันโดษไม่สุงสิงกับผู้ใด ชอบย้ายภูเขามาวาดภาพ อยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็ไม่เคยลงมือตามความหมายที่แท้จริงสักครั้งเดียว ดังนั้นทุกอย่างจึงกลายเป็นปริศนา
ต่อให้เป็นนักพรตเนิ่นที่เป็นหมาเฝ้าบ้านมานานหลายปี ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจรากฐานมหามรรคาของเฒ่าตาบอดมากนัก
วิธีการผสานมรรคาของผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่ หากแยกมหามรรคาสองเส้นอย่างฟ้าอำนวยและดินอวยพรออกไปไม่พูดถึง พูดถึงแค่การผสานมรรคาประเภทที่สามอย่างคนสามัคคี แต่ละคนที่ผสานมรรคาด้วยวิธีการล้วนน่าเหลือเชื่อไม่แพ้กัน
บทกวีในใจของป๋ายเหย่ จิตมารคู่รักของอู๋ซวงเจี้ยง บนโลกมีมังกรที่แท้จริงของคนพิฆาตมังกร ห้าความฝันเจ็ดจิตธรรมของลู่เฉิน
นักพรตเนิ่นชำเลืองตามองชุดสีชมพูที่บาดตาอย่างถึงที่สุด แต่สุดท้ายก็ยังข่มกลั้นความวู่วามที่จะลงมือเอาไว้
ไม่อย่างนั้นหากไปอยู่ที่ภูเขาใหญ่แสนลี้ ขอแค่ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่ผ่านทางมา ใครเล่าจะกล้าสวมชุดสีสันฉูดฉาดขนาดนี้ นักพรตเนิ่นทนไม่ไหวจริงๆ
เถาถิงแห่งเปลี่ยวร้าง กู้ชิงซงแห่งไพศาล เจ้าหอแก้วใสของนครจักรพรรดิขาว
บนเกาะยวนยางเล็กๆ วันนี้ถึงกับมีวีรบุรุษใหญ่สามท่านมารวมตัวในเวลาเดียวกัน
หอแก้วใสของนครจักรพรรดิขาว เจ้าหอหลิ่วเต้าฉุน ชุดคลุมเต๋าสีชมพูคือสัญลักษณ์ประจำตัวของเขา
หลิ่วชื่อเฉิงเป็นเพียงแค่ชื่อของบัณฑิตแคว้นป๋ายเหอที่ถูกยืมมาใช้ บนทำเนียบขุนเขาสายน้ำของนครจักรพรรดิขาว อันที่จริงเป็นชื่อหลิ่วเต้าฉุน
ในมือของอวิ๋นเหมี่ยวถือประคองหลิงจือหยกขาว หมุนตัวกลับมาก้มศีรษะคารวะหลิ่วชื่อเฉิง “อวิ๋นเหมี่ยวคารวะหลิ่วซือ”
หลิ่วซือเป็นคำเรียกขานอย่างให้ความเคารพ บนภูเขา การมีอักษรซือต่อท้ายชื่อ แรกเริ่มสุดมีต้นกำเนิดมาจากลัทธิพุทธ ภายหลังคนทั้งไพศาลล้วนใช้กัน เหมือนกับการเติมอักษร ‘จื่อ’ ท้ายชื่อ
รอกระทั่งหลิ่วชื่อเฉิงมาปรากฏตัวบนเกาะยวนยาง ก็เรียกได้ว่าคลื่นลูกหนึ่งเพิ่งจะสงบ คลื่นอีกลูกก็ถาโถม ทุกคนมองเห็นชุดเต๋าสีชมพูนั้นไกลๆ ในใจก็เหมือนรัวกลองไม่หยุด นี่ทำให้ผู้ฝึกตนหลายคนที่มาชมเรื่องสนุกบนเกาะยวนยางพากันหยุดเท้าไม่เดินหน้าต่อ ผู้เยาว์บางคนไม่เข้าใจจึงมีผู้อาวุโสในสำนักช่วยไขความกระจ่างให้ เล่าประสบการณ์ความ ‘มีหน้ามีตา’ ของผู้ฝึกตนใหญ่แห่งนครจักรพรรดิขาวท่านนี้ เพราะว่าทุกที่ที่เจ้าหอหลิ่วผ่านไป ย่อมต้องมีมรสุมเกิดขึ้นแน่นอน
ผลงานทางการสู้รบครั้งสุดท้ายก็คือไปชิงตัวเด็กสาวที่เป็นผู้สูงศักดิ์หวงจื่อของจวนเทียนซือคนหนึ่งมา ท้าทายภูเขามังกรพยัคฆ์ ผลคือเทียนซือใหญ่ถึงกับพกเอาตราประทับเทียนซือลงจากภูเขา ว่ากันว่าไล่ตามไปถึงบนมหาสมุทร จ้าวเทียนไล่ไม่ไว้หน้านครจักรพรรดิขาวเลยแม้แต่น้อย เขาลงมืออย่างรุนแรง ส่วนเจิ้งจวีจงก็ไม่ได้ลงมือช่วยเหลือศิษย์น้องเล็กคนนี้ จากนั้นหลิ่วเต้าฉุนก็หายตัวไปจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางเป็นเวลานานถึงหนึ่งพันปีเต็ม เมื่อหลายปีก่อนหลิ่วเต้าฉุนเดินอาดๆ กลับนครจักรพรรดิขาว หวนคืนไปเป็นเจ้าหอแก้วใสอีกครั้ง แต่กลับเริ่มเปลี่ยนมาใช้ชื่อหลิ่วชื่อเฉิงนี้แทน
แม้แต่ฉินจ่าว เหยียนเก๋อที่อยู่บนเกาะก็ยังรู้สึกปวดหัวเป็นทบทวี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทียนหนีที่คุ้นเคยกับความถูกความผิดบนภูเขามากที่สุดที่ถึงกับทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง “ไม่จบไม่สิ้นสักที วันนี้มันมีแต่เรื่องอะไรกันนะ”
หลิ่วชื่อเฉิงคร้านจะมองเซียนเหรินชุดขาว นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการทักทายตามมารยาทเลย เขาทะยานลมมาหยุดอยู่ข้างกายเฉินผิงอันโดยตรง “ช่างผ่อนคลายสบายอารมณ์เหลือเกินนะ มาตกปลาที่นี่งั้นรึ? มีอุปกรณ์ตกปลาที่เหมาะมือหรือไม่ หากไม่มีก็ดีเลย ข้าสนิทกับฉู่ซีเซียนเหรินแห่งศาลาลวี่ซัวพอดี ความสัมพันธ์ไม่เลวมาโดยตลอด เดี๋ยวคราวหน้าจะเอามาให้เจ้าสักชุดดีไหม?”
ให้ใช้เสียงในใจพูดกับสหายรักเฉินผิงอัน? เรื่องตลกใหญ่เทียมฟ้าแล้ว! ข้าผู้แซ่หลิ่วออกจากบ้านมาอยู่ข้างนอก ทั่วร่างเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายแห่งความเที่ยงตรงไพศาล ไม่มีคำพูดใดที่พูดออกมาอย่างเปิดเผยไม่ได้ ไม่มีเรื่องใดที่มองเป็นเรื่องส่วนรวมไม่ได้
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “มือเก่ามีคันเบ็ดแค่อันเดียว มือใหม่ต้องวางแผงบนพื้น เจ้าขอคันเบ็ดตกปลามาจากเจ้าศาลาฉู่อันเดียวก็พอแล้ว วันหน้าข้าจะมอบเงินเทพเซียนให้เจ้า”
สำหรับความกระตือรือร้นอย่างไร้ต้นสายปลายเหตุของบัณฑิตหลิ่วผู้นี้ เฉินผิงอันพอจะรู้อยู่ในใจ เดาต้นสายปลายเหตุได้คร่าวๆ แล้ว ปีนั้นคนที่หลี่เป่าผิงไปมีปัญหาด้วย เกินครึ่งคงเป็นหลิ่วชื่อเฉิงผู้นี้แล้ว หลี่เป่าผิงถึงได้พูดว่า ‘กู้ช่านทำให้คนประหลาดใจ’
พอหลิ่วชื่อเฉิงเดินจากไป ไฉ่ป๋อฝูที่หล่นกระแทกพื้นอย่างแรงก็พลันคืนสติ หันหน้าไปมองช้าๆ เหลือบไปเห็นว่าหลิ่วชื่อเฉิงไม่มีเวลามาสนใจตนชั่วคราวก็ดีดตัวขึ้นมาในท่านอนหงาย จากนั้นก็กระโดดผลุงลงน้ำ โคจรวิชาน้ำแห่งชะตาชีวิต เผ่นหนีไปยังช่วงล่างของลำคลองเกาะยวนยางอย่างบ้าคลั่ง ไม่เสียทีที่เป็นผู้ฝึกตนอิสระที่เคยช่วงชิง ‘คัมภีร์สกัดคงคา’ เล่มนั้นกับหลิ่วจื้อเม่ามาก่อน
อย่าเห็นว่าทุกวันนี้ขอบเขตของไฉ่ป๋อฝูไม่สูง ลุ่มๆ ดอนๆ เดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลง เมื่อหลายปีก่อนกว่าจะลดจากก่อกำเนิดไปยังขอบเขตประตูมังกรอีกครั้ง จากนั้นอาศัยประตูมังกรหวนกลับมายังโอสถทองได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ทว่าวิชาอภินิหารแหวกน้ำนี้ร่ายใช้ได้ไม่ธรรมดาเลย ไม่แพ้ให้กับก่อกำเนิดแม้แต่น้อย
ไฉ่ป๋อฝูกลัวกู้ช่านมาก อีกทั้งไฉ่ป๋อฝูยังรู้ว่าเจ้าเด็กกู้ช่านผู้นี้ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ฟ้าไม่กลัวดินไม่เกรง ดูเหมือนว่าแม้แต่เจิ้งจวีจงก็ยังไม่กลัว มีเพียงเฉินผิงอันคนเดียวที่เขากลัวมาก
ไฉ่ป๋อฝูรู้สึกมาโดยตลอดว่านครจักรพรรดิขาวที่ทุกหนทุกแห่งล้วนไร้เหตุผล คือสถานที่ฝึกตนที่สร้างขึ้นมาเพื่อกู้ช่านโดยเฉพาะ
กู้ช่านอยู่ที่นั่นเหมือนปลาได้น้ำ บนเส้นทางการฝึกตนตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ เจ้าเด็กนี่เหมือนมีเทพช่วย ฝ่าทะลุขอบเขตไปตลอดทางเหมือนผ่าลำไม้ไผ่ ทุกๆ ปีล้วนมีภาพบรรยากาศอย่างใหม่เกิดขึ้นเสมอ
กระทั่งบัดนี้ไฉ่ป๋อฝูก็ยังไม่รู้ขอบเขตที่แท้จริงของกู้ช่านว่าใช่ผู้ฝึกกระบี่หรือไม่ แล้วได้เรียนวิชาคาถาอะไรไปบ้าง ถึงอย่างไรไฉ่ป๋อฝูก็แน่ใจในเรื่องหนึ่ง กู้ช่านคิดจะจัดการตนก็ไม่จำเป็นต้องใช้ขอบเขต
หลิ่วชื่อเฉิงสีหน้าเคร่งเครียด แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องที่น้องหลงป๋อเผ่นหนีไป รอกระทั่งเจ้าตะพาบผู้นั้นเผ่นหนีไปไกลแล้ว หลิ่วชื่อเฉิงลองชั่งน้ำหนักอย่างระมัดระวังครู่หนึ่ง ก่อนจะแหกกฎตัวเองใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “เฉินผิงอัน เห็นหรือไม่ เจ้าคนที่ก่อนหน้านี้ข้าแค่ฟาดไปทีเดียวก็ลงไปนอนบนพื้นแต่โดยดีผู้นั้น ชื่อเสียงร้ายกาจฉาวโฉ่ระบือไกล เป็นคนชั่วคนหนึ่ง ชื่อว่าไฉ่ป๋อฝู ฉายาคือหลงป๋อ เคยเป็นก่อกำเนิดที่เดินกร่างไปทั่วทวีปบ้านเกิดพวกเจ้า เจ้าพวกคนที่มีชาติกำเนิดเป็นผู้ฝึกตนอิสระเช่นนี้ ทำอะไรไม่มีความพิถีพิถันมากที่สุด ดูเหมือนว่ายังเป็นชู้รักของสตรีสกุลสวี่นครลมเย็นด้วย ปีนั้นเป็นเขาที่ดึงดันจะเล่นงานหลี่เป่าผิงให้จงได้ ตอนนั้นข้าเดินทางไปพร้อมกับกู้ช่านพอดี เดินทางผ่านแคว้นหูแล้วเจอเรื่องนี้โดยบังเอิญ มีหรือจะนิ่งดูดายไม่สนใจได้?”
หลิ่วชื่อเฉิงหันหน้าไปมองทางริมชายฝั่ง เฉินผิงอันกลับช่วยพูดขึ้นมาก่อนแล้ว “เอ๊ะ ทำไมถึงหนีไปแล้วล่ะ”
หลิ่วชื่อเฉิงที่ถูกแย่งพูดมีสีหน้ากระอักกระอ่วนทันใด
ในใจนินทาไม่หยุด มารดามันเถอะ ไม่เสียแรงที่เป็นเฉินผิงอันแห่งเมืองเล็กที่ขนบธรรมเนียมเรียบง่ายบริสุทธิ์เป็นสถานที่รวบรวมผู้ประสบความสำเร็จ คำพูดคำจาช่างชวนให้คนสะอิดสะเอียนเสียจริง
เฉินผิงอันยิ้มถาม “คำพูดหลอกผี ตัวเจ้าเองเชื่อหรือไม่เล่า?”
หลิ่วชื่อเฉิงไม่มีอะไรจะเสียแล้วจึงเริ่มเรียกวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตที่ไม่ต้องมีอาจารย์สั่งสอนก็เข้าใจได้โดยตัวเองออกมาด้วยการพูดจาอย่างไม่ละอายใจว่า “ถึงอย่างไรข้าก็ถูกหลี่ซีเซิ่งสั่งสอนมาแล้ว แล้วยังถูกกู้ช่านอาฆาตมาจนถึงทุกวันนี้ วันนี้เพิ่มเจ้าเฉินผิงอันอีกคนจะเป็นไรไป”
เฉินผิงอันเงียบงัน
เดิมทีวันนี้คิดจะลงมือต่อสู้กับหนันกวงจ้าวอย่างเต็มที่สักครั้ง พ่ายแพ้นั้นเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว เพราะถึงอย่างไรหนันกวงจ้าวก็เป็นขอบเขตบินทะยาน ต่อให้จะไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่อย่างเผยหมิ่น โอกาสชนะก็ยังไม่มีแม้แต่น้อย เพียงแต่ว่าจุดประสงค์ที่ลงมือก็คือต้องการให้คนรู้ว่าคนหนุ่มคนหนึ่ง ไม่รู้จักหนักเบา นิสัยเจ้าอารมณ์ เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบก็กล้าถามกระบี่ต่อผู้ฝึกกระบี่เฒ่าขอบเขตบินทะยานคนหนึ่งแล้ว
น่าเสียดายที่ถูกนักพรตเนิ่นเข้ามาก่อกวน ทำให้สูญเสียโอกาสใหญ่อันดีไป
รอกระทั่งหลิ่วชื่อเฉิงมา เฉินผิงอันก็ไม่มีอารมณ์จะร่วมแสดงกับอวิ๋นเหมี่ยวต่อแล้ว ไม่เป็นไร ถ้าอย่างนั้นตอนอยู่บนภูเขาอ๋าวโถวก็จะลงมือกับเจี่ยงหลงเซียงล่วงหน้าแล้วกัน
ส่วนการถามหมัดอีกครั้งหนึ่งที่เป็นบุญคุณความแค้นส่วนตัว การถามหมัดของทั้งสองฝ่ายจะไม่มีการป่าวประกาศให้คนนอกรับรู้
เฉินผิงอันมองน้ำในลำคลองของเกาะยวนยางแวบหนึ่ง ไม่ว่าจะเรื่องใดหรือสิ่งใด ก็ปล่อยให้เป็นไปตามบุพเพนำพาก็แล้วกัน
ยกตัวอย่างเช่นการปรากฏตัวของหลิ่วชื่อเฉิงได้ทำให้เฉินผิงอันมีแผนการอย่างใหม่ขึ้นมาทันที ผลลัพธ์ที่ได้ไม่แย่ไปกว่าการต่อยตีกับอวิ๋นเหมี่ยวอีกรอบ เผลอๆ อาจจะดีกว่าด้วยซ้ำ
อวิ๋นเหมี่ยวกลั้นหายใจทำสมาธิ ศิษย์พี่ศิษย์น้องจากนครจักรพรรดิขาวคู่นี้เริ่มตกปลาอีกแล้วหรือ? ครั้งนี้เป็นเจิ้งจวีจงที่ถือคันเบ็ด ศิษย์น้องเล็กอย่างหลิ่วเต้าฉุนเป็นเหยื่อล่อ? หรือว่าตกปลาใหญ่ขอบเขตบินทะยานอย่างหนันกวงจ้าวได้แล้วก็ยังไม่พอ?
จุดที่น่ากลัวที่สุดของเจิ้งจวีจงไม่ได้อยู่ที่ความสามารถด้านการเล่นหมากล้อมที่ยอดเยี่ยม ชอบตกแต่ปลาตัวใหญ่เท่านั้น ตรงกันข้ามกันเลยด้วยซ้ำ การล่อลวงใจคนของเจิ้งจวีจงคล้ายปิดฟ้าบังตะวัน หากเป็นบ่อปลาที่ถูกเขาหมายตาก็จะไม่มีปลาตัวไหนที่หลุดรอดออกจากตาข่ายไปได้ กับพวกบุคคลตัวเล็กๆ ทั้งหลาย เจิ้งจวีจงก็ยิ่งมีความอดทนดีเยี่ยม ยินดีจะสิ้นเปลืองแรงกาย สุดท้ายร้อยเรียงขึ้นเป็นตาข่ายจับปลาที่ตาถี่แม้แต่ลมก็ลอดผ่านไปไม่ได้ ปีนั้นหลังจากเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงที่อันตรายล่อแหลมของหอเซียนจิ่วเจินยุติลง อวิ๋นเหมี่ยวที่หลอกลวงอาจารย์ลบล้างบรรพชนคือผู้ที่ได้รับผลประโยชน์มากที่สุด แต่เขาก็ยังหวาดผวาไม่คลาย หลังจบเรื่องได้ทำการทบทวนสถานการณ์อย่างระมัดระวัง พบว่านับตั้งแต่ผู้ถวายงาน เค่อชิงทั้งหลายของศาลบรรพจารย์ไปจนถึงลูกศิษย์ผู้สืบทอดสองคน ผู้ปกป้องมรรคาของสกุลซ่งจัวลู่ ลูกศิษย์นักการฝ่ายนอกที่คอยเก็บกวาดลานเรือนพัก ผู้ฝึกตนหญิงปลายแถวที่คอยดูแลสวนดอกไม้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้ำหลายท่านที่อยู่บนภูเขาใต้อาณัติของหอเซียนจิ่วเจิน…ดูเหมือนว่าจะมีร่องรอยของเม็ดหมากที่เจิ้งจวีจงวางไว้บนกระดานทั้งสิ้น บ้างจริงบ้างเท็จ เรื่องจริงเรื่องลวงสลับสับเปลี่ยนไม่แน่นอน
สถานที่ตกปลา ช่วงเวลาโยนคันเบ็ด น้ำหนักของเหยื่อล่อ ทิศทางที่ปลาจะว่ายหนีไป ตกปลาน้ำลึกตกปลาน้ำตื้น…ทุกอย่างล้วนอยู่ในการควบคุมของเจิ้งจวีจง
คำกล่าวที่ว่า ‘เซียนนั่งตกปลาอยู่บนฟ้า ปลาว่ายน้ำเหมือนแค่ลอยอยู่ในกระจก’ ช่างกล่าวได้ดีจริงๆ
อวิ๋นเหมี่ยวจะไม่กลัวได้อย่างไร?
เฉินผิงอันหันหน้าไปพูดกับอวิ๋นเหมี่ยว “กระบี่บิน”
อวิ๋นเหมี่ยวคลายเชือกห้าสีที่ทั้งสามารถจับกระบี่และสามารถหลอมกระบี่ออกนานแล้ว อยากจะขอร้องให้กระบี่บินที่หยุดลอยนิ่งไม่ขยับไปไหนรีบๆ กลับไปหาเจ้าของเสียทีด้วยซ้ำ
เฉินผิงอันเก็บชูอีและสืออู่ที่ซ่อนตัวอยู่ใต้น้ำมา กระบี่บินสองเล่มกลับคืนมาพักพิงในช่องโพรงลมปราณแห่งชะตาชีวิตสองช่องอีกครั้ง
อวิ๋นเหมี่ยวถาม “ขอถามอาจารย์ จะจัดการกับหลี่ชิงจู๋ลูกศิษย์ตัวก่อเรื่องของข้าอย่างไร?”
เฉินผิงอันตอบอย่างไม่ใส่ใจ “มีความผิดเล็กน้อยก็ต้องลงโทษจะได้ไม่ทำผิดร้ายแรงไปมากกว่านี้ หลังจบเรื่องหอเซียนจิ่วเจินก็แพร่คำพูดออกไปว่าหลี่ชิงจู๋เป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่ได้พูดอะไร ไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น”
อวิ๋นเหมี่ยวใช้เสียงในใจตอบรับ “ผู้เยาว์รับคำสั่ง”
วิธีการพวกนี้คุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว
เฉินผิงอันจึงได้แต่เอ่ยอีกครั้งว่า “เจ้าคิดอย่างไร นึกว่าข้าคืออาจารย์เจิ้งหรือ?”
อวิ๋นเหมี่ยวกล่าว “แน่นอนว่าไม่ใช่”
ในใจผู้เยาว์รู้ว่าอะไรเป็นอะไรก็แล้วกัน
นักพรตเนิ่นเห็นว่าเจ้าลูกกระต่ายชุดขาวยอมมอบกระบี่บินคืนให้กับอิ่นกวานหนุ่มแต่โดยดีก็โบกชายแขนเสื้อ ตบหนันกวงจ้าวที่ลอยล่องไปไกลอยู่บนน้ำให้กลับขึ้นฝั่ง
จะปล่อยให้ขอบเขตบินทะยานคนหนึ่งล่องไปถึงท่าเรือเวิ่นจินแบบนี้คงไม่ดีกระมัง คนต้องการหน้าตา ต้นไม้ต้องการเปลือก ไม่ตีกันก็ไม่ได้รู้จักกัน หรือจะพูดให้ถูกก็คือ ดูเหมือนตนยังต้องขอบคุณเจ้าเฒ่าผู้นี้ ไม่อย่างนั้นตนจะหาใครมาต่อสู้ด้วยได้เล่า? ฝูลู่อวี๋เสวียนหรือว่าเทียนซือใหญ่จ้าวเทียนไล่? อยากมีหน้ามีตาหรือรีบร้อนอยากจะไปเกิดใหม่กันแน่?
——