กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 797.3 ไม่ไพศาล
ภายใต้เปลือกตาของผู้ฝึกกระบี่บนหัวกำแพงและปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ของเปลี่ยวร้างทุกคน เคยมีคนต่างถิ่นผู้หนึ่งที่ตอนนั้นยังไม่ได้เป็นอิ่นกวานวิ่งไปทางตะวันออกทีมุ่งไปทางตะวันตกที คอยก้มๆ เงยๆ เก็บกวาดสนามรบ ทำให้ทั้งฝ่ายคนกันเองและฝ่ายศัตรูต้องอุทานด้วยความทึ่ง
ภายหลังผู้ฝึกกระบี่หนุ่มที่กลายเป็นอิ่นกวานยังสวมหน้ากากสตรี สวมชุดสีแดงปักปิ่นประดับ เรือนกายอรชรอ้อนแอ้น ออกจากหัวกำแพงเมืองมุ่งหน้าสู่สนามรบ คอยเก็บตกคุณความชอบทางการสู้รบมาจากสี่ทิศ แกล้งเป็นสตรีได้สมจริงยิ่งกว่าสตรีเสียอีก ในสภาวะที่มีอันตรายรายล้อมอยู่รอบด้าน กลับยังตวาดเสียงหวาน ไม่ใช่เสียงคำรามอย่างเดือดดาลอะไรด้วยซ้ำ ตอนที่หลบเลี่ยงเวทคาถาทั้งหลาย เอวอ่อนร่อนบิด กรีดกรายร่ายกระบวนท่า ชุดคลุมอาคมพลิ้วไสว งดงามราวบุปผาผลิบาน…
ดังนั้นตั้งแต่ต้นจนจบตัวตนที่แท้จริงจึงไม่ถูกเปิดเผย สุดท้ายยังเป็นเพราะลู่จือที่ปากไวเผยความลับสวรรค์ หลังจากนั้นมาลู่จือคิดอยากจะซื้อเหล้าดื่มก็ได้แต่ต้องไหว้วานให้สหายช่วยเหลือ เพราะทางฝั่งของร้านเหล้าได้รับคำสั่งจากเถ้าแก่รองไว้ว่า เซียนกระบี่ใหญ่ลู่ซื้อเหล้า ราคาเพิ่มอีกเป็นเท่าตัว ลู่จือไม่สะดวกจะไปคิดเล็กคิดน้อยกับเด็กๆ และพวกลูกจ้างดื้อรั้นของร้านเหล้าพวกนั้น อีกอย่างสามารถทำให้เฉินผิงอันไม่มีหน้าเดินออกมาจากคฤหาสน์หลบร้อนได้ อันที่จริงจ่ายเงินเทพเซียนเพิ่มอีกแค่ไม่กี่เหรียญก็ไม่นับเป็นอะไรจริงๆ เพียงแต่ว่าเวลาปกติในกระเป๋าของลู่จือก็ไม่มีเงินสักเท่าไร เพราะเอาไปเติมเต็มหลุมไร้ก้นอย่าง ‘เป่ยโต่ว’ กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มนั้นหมดแล้ว
อาเหลียงเองก็รู้ว่าการที่ลู่จือหลอมกระบี่บิน ‘เป่ยโต่ว’ อย่างไม่สนใจราคาที่ต้องจ่ายก็เพราะอยากจะแกะสลักตัวอักษรลงบนหัวกำแพง
ก็เหมือนที่นางตัดสินใจเด็ดขาดไว้นานแล้วว่า เมื่อแกะสลักตัวอักษรเสร็จจะจากไป
สำหรับลู่จือแล้ว เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเซียนเหรินที่ได้ครอบครองกระบี่บินเล่มนั้น กระบี่บินสังหารปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยาน โดยเฉพาะปีศาจใหญ่บนบัลลังก์คนที่นางหมายหัวเอาไว้ ย่อมมีความมั่นใจมากกว่าเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานที่ขาดกระบี่บิน ‘ธรรมดา’ ไปเล่มหนึ่ง
ผู้ฝึกลมปราณของใต้หล้าไพศาลต้องไม่มีทางเข้าใจความดื้อดึงเช่นนี้ของลู่จืออย่างแน่นอน
ขอบเขตไม่ต้องการ? เพียงแค่อยากทิ้งตัวอักษรไว้แล้วก็ตายไป?
อาเหลียงเข้าใจ
ลู่จือหวังให้บนหัวกำแพงเมืองของกำแพงเมืองปราณกระบี่ เคยมีผู้ฝึกกระบี่หญิงคนหนึ่งได้แกะสลักตัวอักษรทิ้งไว้ที่นี่ นางไม่ต้องการให้คนที่ได้แกะสลักตัวอักษรล้วนเป็นบุรุษทั้งหมด
ลู่จือที่เป็นเช่นนี้ ทำไมจะไม่งดงามเล่า?
นางงดงามอย่างมาก
ตอนนั้นเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสสั่งคฤหาสน์หลบร้อนให้แจ้งลู่จือเดินทางไปยังทักษินาตยทวีป แน่นอนว่าย่อมหวังให้วิถีกระบี่ เวทกระบี่ ขอบเขตและกระบี่บินของลู่จือต่างก็สามารถพัฒนารุดหน้าไปอีกขั้น
ไม่อย่างนั้นต่อให้ลู่จือจะโชคดีแค่ไหน กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่งแตกสลาย แต่กายไม่ดับมรรคาไม่สลายบนสนามรบ ลู่จือก็ยังต้องขอบเขตถดถอย นั่นหมายความว่าขอบเขตนางถดถอยจากเซียนเหรินลงมายังหยกดิบแล้ว
หลังจากที่เลื่อนเป็นห้าขอบเขตบน ผู้ฝึกกระบี่คิดจะฝ่าทะลุขอบเขตก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด เมื่อขอบเขตถดถอยแล้วคิดจะให้ขอบเขตขยับสูงขึ้นอีกครั้งก็ยิ่งยากราวกับเดินขึ้นสวรรค์ ก็เหมือนอย่างอาเหลียงกับหลิวชาที่ตกปลาอยู่ในพื้นที่ลับของสวนกงเต๋อ อันที่จริงต่างก็ไม่หวังว่าชีวิตนี้จะได้หวนกลับคืนไปยังขอบเขตสิบสี่อีกแล้ว ไม่ใช่ว่าพอขอบเขตถดถอยแล้วปณิธานก็หดหาย แต่เป็นเพราะคนเรามักต้องมีช่วงเวลาที่พละกำลังหมดสิ้นลง เรื่องราวดีงามในใต้หล้าทั้งหมดไม่อาจหล่นลงแค่บนหัวของคนสองคนได้
เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสต้องคาดหวังให้โลกมนุษย์ไม่เพียงแต่มีลู่จือผู้ฝึกกระบี่ที่รอดชีวิตมาจากสนามรบ แต่ในอนาคตยังต้องมีเซียนกระบี่หญิงที่สามารถอาศัยกระบี่บินที่สมบูรณ์แบบสองเล่มมางัดข้อกับขอบเขตสิบสี่บางคนได้ด้วย
อาเหลียงยิ้มถาม “เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสจากไป อันที่จริงก็ไม่มีใครมาควบคุมเจ้าได้แล้ว ทำไมถึงเปลี่ยนนิสัยเสียล่ะ?”
ลู่จือกล่าว “ไม่มีอะไร แค่รู้สึกว่าหากไม่ต้องตายได้ก็จะไม่ตาย ดูเหมือนว่ายังมีอีกหลายเรื่องที่สามารถทำได้”
ยกตัวอย่างเช่นใต้หล้าห้าสีแห่งนั้นยังมีนครบินทะยาน
หรือยกตัวอย่างเช่นนางยังไม่เคยรับลูกศิษย์
แล้วก็อาจเป็นเพราะคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่จากไปแล้วไม่ได้กลับมามีมากเกินไป ลู่จือกังวลว่าทางฝั่งของไพศาลแห่งนี้จะจดจำไม่ได้ว่ามีนางคอยออกกระบี่ในใต้หล้าไพศาลไม่หยุด หรือเคยมีสำนักกระบี่หลงเซี่ยงอยู่
อาเหลียงพยักหน้า “แบบนี้ดีมาก”
ลู่จือหันหน้ามามองเขาอย่างจริงจัง แล้วเอ่ยว่า “ก็แค่หน้าตาขี้เหร่ไปสักหน่อย”
อาเหลียงลูบเส้นผม “แล้วตอนนี้ล่ะ?”
ขี่ลาท่ามกลางฝนโปรยปราย บนศีรษะสวมงอบไม้ไผ่สาน ตรงเอวห้อยดาบไม้ไผ่ ผิวปากเดินท่องอยู่ในยุทธภพ
อาเหลียงรู้สึกมาโดยตลอดว่าไม่มีบนภูเขาล่างภูเขาอะไรทั้งนั้น ในโลกมนุษย์ไม่ว่าเดินไปทางไหนล้วนเป็นยุทธภพ
เนื้อแพะตุ๋นของเป่ยหล่ง ผ้าขี้ริ้วในหม้อไฟของอวี๋โจว ปลาหลีราดน้ำแดงใต้น้ำตกของถ้ำสวรรค์เล็กหวงเหอ ล้วนเป็นกับแกล้มเหล้าที่เลิศรสอร่อยที่สุด
อาเหลียงหันหน้าไปยิ้มเอ่ยกับซีผิง “พวกเราสามารถเอาอย่างกำแพงเมืองปราณกระบี่ ประชุมส่วนประชุม แต่ก็สามารถให้คนออกมาสูดอากาศผ่อนคลายสมองบ้าง ได้หรือไม่?”
จิงเซิงซีผิงพยักหน้ารับ จากนั้นก็ไปปรึกษากับเจ้าลัทธิสามท่านของศาลบุ๋น เพียงไม่นานก็มีคนสองกลุ่มทยอยกันเดินออกมาจากประตูใหญ่
จั่วโย่วกับฉีถิงจี้เดินออกมาด้วยกัน
หลินจวินปี้ จ้าวเหยากวงเทียนซือน้อย ฟ่านชิงรุ่นเทพเจ้าแห่งโชคลาภน้อยของสกุลฟ่านเสวียนอวี๋
คนสองกลุ่มที่เดินออกมาจากศาลบุ๋นก่อนใครคือผู้ฝึกกระบี่กับคนรุ่นเยาว์
หลังจากนั้นก็มีคนทยอยกันเดินข้ามธรณีประตูออกมา นั่งลงบนขั้นบันได จับกลุ่มสองสามคน บ้างนั่งสูงบ้างนั่งต่ำ
การประชุมในศาลบุ๋นก็มีเหล้าให้ดื่ม เพียงแต่ว่ามาดื่มเหล้าด้านนอกการมองเห็นเปิดกว้าง จึงให้รสชาติที่แตกต่างออกไปจริงดังคาด
ซีผิงลุกขึ้นยืน กลับไปยืนอยู่ตรงหน้าประตูอีกครั้ง คนที่เข้าร่วมประชุมบางคนที่เพิ่งจะยกก้นขึ้นเตรียมจะเดินออกไปนอกประตูจึงรู้ว่าจำนวนคนที่ได้ออกไปมีจำกัด จึงวางก้นลงอีกครั้งเงียบๆ
ฟ่านชิงรุ่นนั่งอยู่บนขั้นบันได บิดข้อมือหนึ่งทีก็มีพัดพับเล่มหนึ่งโผล่มา บนพัดวาดเป็นสาวงามผู้สูงศักดิ์ บนหน้าพัดพวกนางบ้างก็ยิ้มแย้มแววตาสว่างไสว บ้างวาดภาพอยู่ในหอหลากสี บ้างดีดพิณใต้ต้นไม้ บ้างอ่านตำราพร้อมจุดธูปไปด้วย
ตอนอยู่ในศาลบุ๋นไหนเลยจะกล้าทำเช่นนี้
ฟ่านชิงรุ่นพูดเสียงเบา “จวินปี้ ข้าอยากรู้เรื่องของเซียวสวิ้นผู้นั้นจริงๆ เจ้าสามารถเล่าเรื่องที่เล่าได้ให้ฟังสักสองสามประโยคได้ไหม?”
จ้าวเหยากวงพยักหน้า “ข้าด้วยอีกคน”
หลินจวินปี้คิดแล้วก็ให้คำตอบที่กระชับสั้นเรียบง่าย “อดีตอิ่นกวาน”
ฟ่านชิงรุ่นปิดพับพัด ยกพัดตีหน้าผาก
หลินจวินปี้พูดล้อเล่นแล้วก็หยิบเหล้าทะเลสาบคนใบ้ที่เก็บรักษาไว้อย่างดีมานานหลายปีออกมาสองกา ยื่นส่งให้ฟ่านชิงรุ่นและจ้าวเหยากวง “ลองชิมดู”
จ้าวเหยากวงดื่มไปหนึ่งอึก “ไม่เห็นจะเป็นอย่างไร”
ฟ่านชิงรุ่นดื่มไปหลายอึก ก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย “ไม่เท่าไรจริงๆ”
หลินจวินปี้กล่าว “เซียวสวิ้นอยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่มีบารมีอย่างมาก นางเป็นอิ่นกวานอยู่ที่นั่นนานพันปี อันที่จริงการกระทำของนางกลับไม่เหมือนอิ่นกวาน แต่เหมือนสิงกวานที่ดูแลเรื่องการเข่นฆ่าสังหารมากกว่า”
หลินจวินปี้เริ่มดื่มเหล้า เทเหล้าลงชาม แกว่งชามเหล้าเบาๆ คล้ายจะมองเห็นกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่จิตใจผูกพันจากน้ำสุราที่เกิดเป็นริ้วกระเพื่อมเบาๆ
หลินจวินปี้ไม่เคยปฏิเสธว่าตัวเองไม่ยินดีลงสนามรบของกำแพงเมืองปราณกระบี่อีกครั้งเพราะกลัวตาย แต่ชั่วชีวิตนี้เขาจะต้องคิดถึงสถานที่แห่งนั้นอย่างมาก เพราะเคยมีสถานที่แห่งหนึ่งที่ทำให้เขายินยอมพร้อมใจสละชีวิตลืมตาย เคยมีวันเวลาของการฝึกตนที่ไม่กลัวตายอย่างแท้จริงอยู่ช่วงหนึ่ง
เหล้าแต่ละกาหลินจวินปี้ล้วนจ่ายเงินซื้อมา ดื่มเหล้าจ่ายเงินห้ามติดเงิน ทางร้านเหล้าไม่เคยแหกกฎมาก่อน ทว่าชามเหล้ากลับเป็นสิ่งที่เขาเอาติดมือมาจากร้านเหล้าแห่งนั้นด้วย
หลินจวินปี้คิดว่าคราวหน้าที่เดินทางไปเยือนนครบินทะยานของใต้หล้าห้าสี ได้หวนกลับคืนไปยังคฤหาสน์หลบร้อนในอดีต จะถือโอกาสเอาชามเหล้าไปคืนที่ร้าน
ดื่มเหล้าทะเลสาบคนใบ้ไปแล้วหนึ่งอึก หลินจวินปี้ก็พูดต่อว่า “คฤหาสน์หลบร้อนและคฤหาสน์หลบหนาวที่มีไว้ให้เพื่อผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวานโดยเฉพาะ มีเอกสารเก็บเอาไว้อยู่ในคลัง ปีแล้วปีเล่าจึงทับซ้อนกองกันเป็นภูเขา หลังจากที่ข้ารับหน้าที่เป็นผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวาน ช่วงเวลาหลายปีที่อยู่ในคฤหาสน์หลบร้อน เนื่องจากเซียวสวิ้นไม่สนใจจะดูแล คำอธิบายมากมายบนเอกสารก็ยิ่งเหมือนเป็นแค่การเล่นสนุกของนางเท่านั้น เซียนกระบี่สองคนที่ทรยศไปพร้อมกับนางอย่างลั่วซานและจู๋อาน คือคนที่ดูแลเรื่องราวต่างๆ อย่างแท้จริง แต่ก็แค่ทำงานในหน้าที่เท่านั้น ทำได้ไม่เลว ไม่อาจพูดได้ว่าเซียนกระบี่ทั้งสองท่านทำได้ดีมากมายอะไร”
หลินจวินปี้เอ่ยเยาะเย้ยตัวเอง “ข้าเองก็เหมือนกับพวกเจ้า แรกเริ่มข้ารู้สึกว่าลัทธิขงจื๊อเลือกวิญญูชนออกมาสักคนก็สามารถทำได้ดีกว่าเซียวสวิ้นแล้ว ยกตัวอย่างเช่นวิญญูชนหวังไจ่ที่ทำหน้าที่เป็นขุนนางผู้ตรวจตราการศึกสงครามในปีนั้น หรือยกตัวอย่างเช่นข้าหลินจวินปี้”
ฟ่านชิงรุ่นถามอย่างสงสัย “แล้วยังปล่อยให้นางเป็นอิ่นกวานตั้งหลายปีขนาดนั้น? ไม่มีใครเห็นต่างบ้างหรือ? หรือเป็นเพราะว่าผู้ฝึกกระบี่ที่ไม่เห็นด้วยล้วนเอาชนะเซียวสวิ้นไม่ได้? ก็เลยปิดปากเงียบเสียเลย?”
ฟ่านชิงรุ่นไม่ได้โง่จนคิดว่าผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่โง่กันไปทั้งหมด
อีกอย่างห่างไปไม่ไกลก็มีอาเหลียง จั่วโย่ว ฉีถิงจี้และลู่จือนั่งอยู่ พูดจาต้องระมัดระวังไว้หน่อย โดยเฉพาะอาจารย์จั่วจากสายเหวินเซิ่ง เซียนกระบี่ใหญ่จั่วท่านนั้น นิสัยของเขาเป็นอย่างไร คนทั้งใต้หล้าล้วนรู้กันดี
หลินจวินปี้ส่ายหน้า “นับตั้งแต่เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสไปจนถึงเซียนกระบี่ผู้อาวุโสอย่างพวกต่งซานเกิง เฉินซี แล้วจนไปถึงผู้ฝึกกระบี่ทุกคน แทบจะทุกคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ถึงขั้นที่ว่านับตั้งแต่ใต้เท้าอิ่นกวานของสายอิ่นกวานใหม่ โฉวเหมียว รวมไปถึงข้าที่มาถึงทีหลัง ต่างก็รู้สึกว่าหากไม่พูดถึงเรื่องการทรยศ ก่อนหน้านี้ให้เซียวสวิ้นเป็นอิ่นกวานก็คือตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่จำเป็นต้องคิดหาคนที่สอง”
หลินจวินปี้ยกชามเหล้าขึ้น “จะลองทดสอบพวกเจ้า รากฐานในการหยัดยืนหมื่นปีของกำแพงเมืองปราณกระบี่ คืออะไร?”
จ้าวเหยากวงยิ้มกล่าว “นอกจากมีผู้ฝึกกระบี่มากมายดุจก้อนเมฆแล้ว ยังมีอะไรได้อีก?”
ฟ่านชิงรุ่นเอ่ย “ไม่ละโมบในเงินทอง ไม่กลัวตาย?”
หลินจวินปี้ยิ้มกล่าว “คำถามข้อนี้เป็นใต้เท้าอิ่นกวานที่ถามข้าในปีนั้น ข้าแค่ยกมาถามพวกเจ้าบ้างเท่านั้น หากพวกเจ้าเป็นผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวาน หึหึ คอยดูไปเถอะ ใต้เท้าอิ่นกวานก็จะต้องเลือกกระบี่บินออกมาจากในตะกร้าไม้ไผ่ใบใหญ่ใบหนึ่งแล้ว”
กำแพงเมืองปราณกระบี่เคยมีคำกล่าวหนึ่งเล่าลือกันไปบอกว่า พวกถ้อยคำเหน็บแนมระคายหูทั้งหลายของอิ่นกวานหนุ่ม ต้องมีมากมายหลายตะกร้าใหญ่ ด่าคนล้วนไม่ซ้ำคำ
ปีนั้นคำตอบของหลินจวินปี้ก็ไม่ได้ทำให้อิ่นกวานหนุ่มรู้สึกพอใจ ดังนั้นหลินจวินปี้ในเวลานี้จึงเอ่ยคำตอบนั้นของเฉินผิงอันออกมาโดยตรง
“ไม่ไพศาล”
เพราะกำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่มีทางเปลี่ยนไปเป็นใต้หล้าไพศาลได้ตลอดกาล
นี่ก็คือคำตอบของเฉินผิงอัน
ฟ่านชิงรุ่นใช้พัดพับตบเข่าตัวเองอย่างแรง “นับถือ”
จ้าวเหยากวงยกกาเหล้าขึ้น “ต้องดื่มอึกใหญ่ๆ”
หลินจวินปี้บอกเล่าเรื่องวงในที่คนนอกไม่เคยรู้ต่ออีกครั้ง “อันที่จริงหากไม่มีการปรากฏตัวของเฉินผิงอัน ก็จะต้องมีโฉวเหมียวที่หยัดยืนขึ้นมาอยู่ดี และเซียนกระบี่หนุ่มผู้นี้ก็จะได้เป็นอิ่นกวานคนสุดท้าย”
และสหายรักสองคนที่อยู่ข้างกายก็ต้องเพิ่งเคยได้ยินชื่อโฉวเหมียวนี้เป็นครั้งแรกอย่างแน่นอน
ทว่าหากโฉวเหมียวอยู่ในใต้หล้าไพศาลก็จะเป็นเหมือนเว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะของแจกันสมบัติทวีป เหมือน ‘เซียนกระบี่สวีจวิน’ แห่งเกราะทองทวีป โฉวเหมียวจะต้องมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งใต้หล้า
หลินจวินปี้พูดเองเออเองต่อไปว่า “ในใจของข้า โฉวเหมียวเป็นรองแค่ใต้เท้าอิ่นกวานเท่านั้น เขาคือผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งที่ร้ายกาจอย่างมาก ไม่ได้ร้ายกาจเรื่องเวทกระบี่ แต่โฉวเหมียวเก่งในเรื่องการวางแผนและควบคุมสถานการณ์ใหญ่อย่างมาก”
คฤหาสน์หลบร้อนในอดีตคือสถานที่ที่ทำให้คนสบายใจมากเป็นพิเศษ แม้จะมีการทะเลาะโต้เถียง มีการขว้างเก้าอี้ทุ่มโต๊ะอย่างเดือดดาลใส่กัน แต่ถึงท้ายที่สุดแล้วสหายกลายเป็นสหายรัก คนที่เดิมทีไม่ได้เป็นสหายก็กลายมาเป็นสหายกันทั้งหมด
หลินจวินปี้สอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ค้อมเอวลงน้อยๆ หรี่ตามองไปยังทิศไกล “ในช่วงเวลาหลายปีนั้น บ้างครั้งที่คฤหาสน์หลบร้อนมีเวลาว่าง ใต้เท้าอิ่นกวานก็จะมาทบทวนกระดานหมากกับพวกเรา”
“ยกตัวอย่างเช่น?”
“ยกตัวอย่างเช่นกำแพงเมืองปราณกระบี่ปล่อยผู้ฝึกตนของสามลัทธิและของเมธีร้อยสำนักเข้ามามากกว่าเดิม ในเวลาร้อยปี ในเวลาห้าร้อยปี ในเวลาพันปี กำแพงเมืองปราณกระบี่จะมีสถานการณ์เป็นแบบใดบ้าง พวกเจ้าลองเดาดูว่าอารัมภบทก่อนการทบทวนกระดานหมากนี้คืออะไร?”
——