กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 798.2 จริงดังคาด
ก็มีเรื่องพวกนี้นี่แหละที่ตระกูลสกุลหลิวธวัลทวีปจัดการได้ดีกว่าคนนอก
เป็นเศรษฐีร่ำรวยอยู่ที่ชะตา ไม่ได้อยู่ที่การลงแรงอย่างเหน็ดเหนื่อย เมื่อถึงช่วงเวลาแห่งความสูงศักดิ์ ก็ไม่จำเป็นต้องลงแรงทำไร่ทำนา
ฟังดูแล้วเหมือนจะมีเหตุผล แต่กลับไม่ใช่ทั้งหมด หากไม่มีเรือนกายที่ผ่านการลงแรงทำงานหนักเป็นพื้นฐาน ไม่ว่าอะไรก็ล้วนเป็นเพียงหอเรือนกลางอากาศที่ต้านทานลมพัดฝนตกได้แค่ไม่กี่ครั้ง
ดังนั้นหลิวจวี้เป่าจึงใส่ใจคำว่า ‘ขนบธรรมประจำตระกูล’ ดียิ่งกว่าใคร ลูกหลานสกุลหลิวทุกคนล้วนจำเป็นต้องล้มลุกคลุกคลานจากตำแหน่งที่ต่ำที่สุดมาก่อน ต้องสร้างชื่อด้วยตัวเอง ส่วนใหญ่แล้วมักจะเปลี่ยนชื่อแซ่ไปอยู่ตามตลาด อยู่ในราชสำนัก อยู่ในยุทธภพ ฝึกประสบการณ์ในแต่ละสถานที่นานหลายปี ท่ามกลางขั้นตอนนี้ทางตระกูลจะแค่ลงมือช่วยเหลืออย่างลับๆ สองครั้งเท่านั้น วันใดทางศาลบรรพชนมั่นใจได้แล้วว่าสามารถนำมาใช้งานได้จริงถึงจะได้กลับคืนสู่ตระกูล จากนั้นก็ยังจะต้องมีคนอีกหลายระดับชั้นที่คอยตรวจสอบพวกเขา ด่านแล้วด่านเล่าตามมาติดๆ กัน สุดท้ายถึงจะสามารถรับหน้าที่เพียงลำพังได้
ส่วนหลิวโยวโจวบุตรโทนของเขา ต้องให้เขาหาเงินด้วยหรือ? แน่นอนว่าไม่ต้อง หลิวโยวโจวออกจากบ้านไปอยู่ข้างนอกแค่ใช้เงินให้เต็มที่ก็พอ ยกตัวอย่างเช่นจวนโหยวโหรวของภูเขาห้อยหัวแห่งนั้น
หลิวจวี้เป่ากล่าว “หากเป็นเรื่องที่มีสองนัย วันหน้าถ้าเกิดข้อโต้แย้งกัน กองกำลังใต้อาณัติทั้งหลายของสกุลหลิวที่อยู่ในใบถงทวีปก็ล้วนสามารถยอมถอยให้ได้หลายส่วน”
สามารถหลบเลี่ยงประกายคมกริบได้ สรุปก็คืออย่าได้เอาอย่างหอเซียนจิ่วเจินที่หาเรื่องซวยใส่ตัว ทางฝั่งของใบถงทวีปทำอะไรมักจะไม่สนใจในเรื่องมังกรข้ามแม่น้ำของทวีปอื่น อันที่จริงหลายๆ ครั้งเมื่อเวลาผันผ่าน ก็มีแต่จะยิ่งกระทำยิ่งไร้ความยำเกรงมากเท่านั้น ตอนนี้คนที่สกุลหลิวต้องคบค้าสมาคมด้วยอย่างแท้จริง ก็คือเหวยอิ๋งที่การประชุมในศาลบุ๋นครั้งนี้ไม่ทำตัวโดดเด่น เจ้าสำนักกุยหยกท่านหนึ่งที่ยินดีเป็นฝ่ายประคับประคองผู้ฝึกตนสำนักใบถงด้วยตัวเอง ควรค่าให้สกุลหลิวทุ่มเทความคิดจิตใจ ดังนั้นสวีเซี่ยเซียนกระบี่ที่เฝ้าพิทักษ์ท่าเรือชวีซาน อีกไม่นานก็จะได้รับกระบี่บินส่งจดหมายที่เขียนด้วยลายมือของหลิวจวี้เป่าหนึ่งฉบับ
ส่วนเฉินผิงอันกับภูเขาลั่วพั่ว ไม่ต้องให้สกุลหลิวไปตีสนิทมากนัก ขอแค่การค้าของอีกฝ่ายใหญ่มากพอ เมื่อเส้นทางการทำการค้ามีมากขึ้นก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าไม่อาจอ้อมผ่านสกุลหลิวธวัลทวีปที่เป็นดั่งบุปผาผลิบานตามสถานที่ต่างๆ ของใบถงทวีปไปได้
นี่ไม่ใช่ว่าหลิวจวี้เป่าไม่เห็นใครอยู่ในสายตา ดูแคลนอิ่นกวานหนุ่ม แต่นี่คือเรื่องจริง
อวี้พ่านสุ่ยใช้เสียงในใจเอ่ย “เจ้ารู้สึกว่าจากหน้าประตูเรือนของอำเภอพ่านสุ่ยไปจนถึงท่าเรือเวิ่นจิน ระยะทางช่วงนั้นเจิ้งจวีจงจะพูดคุยอะไรกับเฉินผิงอันบ้าง?”
หลิวจวี้เป่ายิ้มกล่าว “ข้าจะเดาเรื่องนี้ไปทำไม เดาไม่ออกหรอก ยากกว่าทำการค้าให้ขาดทุนเสียอีก”
เจิ้งจวีจงผู้นี้มีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวเกินไป ฉลาดเฉลียวจนเหมือนปีศาจจำแลง เพราะถึงอย่างไรก็เป็นคนที่สามารถเล่นหมากล้อมชนะชุยฉานได้
อวี้พ่านสุ่ยส่งเสียงจุ๊ๆๆ รัวเป็นทอด ฟังเข้าสิ นี่ใช่คำพูดของคนไหม?
หลิวจวี้เป่าลังเลอยู่ชั่วขณะ ก่อนใช้เสียงในใจถาม “เจ้าคิดว่าหากเจิ้งจวีจงผสานมรรคาเป็นขอบเขตสิบสี่ จะผสานมรรคากับอะไร? ในอดีตชุยฉานคุยกับเจ้าเยอะหน่อย เคยได้บอกใบ้อะไรหรือไม่?”
อวี้พ่านสุ่ยแยกเขี้ยว “ไสหัวไปเลยไป อย่ามาพูดเรื่องนี้กับข้า เดี๋ยวจะซวย ข้าไม่ได้ยินอะไรมาทั้งนั้น ไม่รู้อะไรทั้งนั้น ข้าไม่รู้จักด้วยว่าใครคือเจิ้งจวีจง”
จากนั้นอวี้พ่านสุ่ยก็มองเทพเจ้าแห่งโชคลาภแห่งธวัลทวีปที่ลงมือน้อยครั้ง ทุกครั้งที่ต่อสู้ล้วนอาศัยการทุ่มเงินท่านนี้ด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง
แล้วเจ้าหลิวจวี้เป่าล่ะ? ในอนาคตจะผสานมรรคากับอะไร?
ผู้ฝึกตนผสานมรรคาขอบเขตสิบสี่ก็คือการข้ามฝั่งที่เงียบเชียบครั้งหนึ่งบนยอดเขา
หลิวจวี้เป่ายิ้มกล่าว “นอกจากหาเงินแล้วข้าก็ทำอย่างอื่นไม่เป็นทั้งนั้น”
อวี้พ่านสุ่ยนับถือทั้งใจและปากจริงๆ
อยู่ดีๆ หลิวจวี้เป่าก็เอ่ยขึ้นมาประโยคหนึ่งว่า “การประชุมครั้งนี้ของศาลบุ๋นไม่เหมือนเดิม ไม่อาจยอมรับคนเข้าใจที่ชอบแสร้งทำเป็นเลอะเลือนได้”
นอกจากหนันกวงจ้าวแล้วยังมีขอบเขตบินทะยานอีกหลายคนที่ไม่มีคุณสมบัติได้เข้าร่วมการประชุม ศาลบุ๋นไม่เชิญ แต่กลับไม่กล้าไม่มา
ยกตัวอย่างเช่นจิงเฮาที่มีฉายาว่าชิงกงไท่เป่า ผู้ฝึกตนของธวัลทวีป และยังมีเฝิงเซวี่ยเทาฉายาชิงมี่ที่มีชาติกำเนิดมาจากธวัลทวีป แต่กลับเป็นผู้ฝึกตนอิสระ อยู่ไม่เป็นหลักแหล่งยากจะตามหาร่องรอย
คนทั้งสองต่างก็เป็นขอบเขตบินทะยานที่ไม่ชอบปรากฏตัวบนโลก ล้วนเป็นผู้ฝึกตนใหญ่บนยอดเขาของไพศาลที่มีพลังการต่อสู้ไม่ธรรมดา
อวี้พ่านสุ่ยใช้มือดันปลายคาง “จำเป็นต้องใช้ตำราบทกวีบุกเบิกความสงบสุข หมาในหมู่บ้านข้างทางเห่าเสียงดังไม่หยุด”
หลิวโยวโจวยิ้มกล่าว “แค่ยกเท้าเตะทีหนึ่งก็พอ”
……
คู่กุมารทองกุมารีหยกของสำนักโองการเทพในอดีตเดินเคียงบ่ากันไป เท้าเดินเล่นแต่ใจกลับไม่ผ่อนคลาย
อยู่ริมน้ำของเกาะยวนยางที่ชื่อมีความหมายดีเยี่ยมอย่างถึงที่สุดนี้ น่าเสียดายที่คนทั้งสองไม่ใช่ยวนยางคู่หนึ่ง มีเพียงบุรุษเท่านั้นที่มีรัก
เกาเจี้ยนฝูมองนางแล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “เจ้าจะทำเช่นนี้ไปไย?”
เมื่อหลายปีก่อนเขาได้รู้เรื่องหนึ่งมาจากเจ้าสำนัก เฮ้อเสี่ยวเหลียงที่อยู่ในอุตรกุรุทวีปเคยป่าวประกาศให้แก่ภายนอกทราบว่านางมีคู่รักบนภูเขาอยู่แล้วคนหนึ่ง เพียงแค่รอให้อีกฝ่ายพยักหน้าตอบตกลงเท่านั้น
เกาเจี้ยนฝูยิ่งเศร้าใจ พึมพำเสียงเบาว่า “แล้วข้าจะทำเช่นนี้ไปไย?”
มักรู้สึกว่าตัวเองเทียบไม่ได้แม้กระทั่งเว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะ
สตรีที่รักอยู่ตรงหน้า ทว่ากลับรู้สึกห่างไกลเหมือนอยู่สุดขอบฟ้า ความรู้สึกเช่นนี้ต่อให้ดื่มน้ำก็ยังเหมือนดื่มเหล้าดับทุกข์
เขายิ่งไม่อาจยอมรับได้ว่าคู่รักในใจที่เฮ้อเสี่ยวเหลียงเลือกไว้ ถึงกับเป็นเด็กหนุ่มรองเท้าแตะในถ้ำสวรรค์หลีจูของปีนั้น
คิดไปคิดมา ต่อให้เขาจะพยายามหวนคิดถึงการพบเจอกันครั้งแรกในปีนั้นอยู่ตลอด เกาเจี้ยนฝูก็ยังจำได้แค่เด็กบ้านนอกขาเปื้อนโคลนที่ใบหน้าดำเกรียมน้อยๆ เรือนกายผอมบาง ยากจน ขลาดเขลา ไม่สะดุดตาเอาเสียเลย
เฮ้อเสี่ยวเหลียงหันหน้ามา พูดกลั้วหัวเราะเสียงเบาว่า “คนที่หลงรักมีคนที่รักอยู่แล้วก็ต้องรู้สึกแย่ขนาดนี้เลยหรือ? ข้ากลับรู้สึกว่าฟ้าไม่ถล่มลงมา เส้นทางยังคงมีอยู่”
เกาเจี้ยนฝูสีหน้าหม่นหมอง พยักหน้าเอ่ยว่า “เจ้าสามารถยอมรับได้ แต่ข้ากลับทำไม่ได้”
เฮ้อเสี่ยวเหลียงส่ายหน้า “การทำไม่ได้ในหลายๆ ครั้งก็คือการที่ตัวเองพูดกับตัวเองบ่อยครั้ง คอยถามใจตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า แต่กลับมีแค่คำตอบเดียว ถึงทำให้ทำไม่ได้จริงๆ ดังนั้นพวกเราถึงต้องฝึกฝนจิตใจอย่างไรล่ะ”
เกาเจี้ยนฝูพูดอย่างขมขื่น “ข้าไม่ได้กำลังพูดเรื่องมรรคกถากับเจ้าเสียหน่อย”
เฮ้อเสี่ยวเหลียงยิ้มกล่าว “เจ้าไม่พูดมรรคกถากับข้าแล้วจะพูดเรื่องอะไรได้?”
ในใจของเกาเจี้ยนฝูเจ็บปวดรวดร้าวถึงขีดสุด สตรีตรงหน้าผู้นี้มักจะเป็นเช่นนี้เสมอ ไม่ว่าพูดจาหรือทำอะไรล้วนไม่สนใจความคิดคนอื่น จิตแห่งเต๋าใสสว่าง แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้คนอื่นคิดถึงคำนึงหา ตัดใจจากนางไม่ลง
เฮ้อเสี่ยวเหลียงเอ่ยเตือน “หากยังปล่อยไว้ไม่สนใจเช่นนี้ จิตมารของเจ้าจะทำให้เจ้าไม่อาจเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนได้ชั่วชีวิต ครั้งนี้ฉีเทียนจวินจงใจพาเจ้ามาด้วย สิ่งที่เขาต้องการ เจ้าไม่เข้าใจจริงๆ หรือ? เพราะเขาหวังว่าเมื่อเจ้ากับข้าได้กลับมาพบเจอกันอีกครั้ง เจ้าจะสามารถใช้กระบี่แห่งสติปัญญาตัดสายใยรักให้ขาดสะบั้น”
เกาเจี้ยนฝูหันไปมองน้ำในลำคลองของเกาะยวนยาง ดูเหมือนว่าจะเป็นเหล้าดับทุกข์ในทะเลสาบหัวใจไปเสียทั้งหมด ได้แต่เจ็บใจที่ดื่มได้ไม่หมด ดื่มอย่างไรก็ยังมองไม่เห็นก้นบึ้ง
เฮ้อเสี่ยวเหลียงถอนหายใจอยู่ในใจ ไม่เกลี้ยกล่อมให้มากความอีก
เกาเจี้ยนฝูทอดสายตามองอยู่เป็นนาน ก่อนจะถามเสียงเบาว่า “เขามีอะไรดีกันแน่”
คนลุ่มหลงในรักบางคนเพียงแค่หวังว่าคนในใจที่อยู่ห่างไกลจนไม่อาจเอื้อมถึงจะไม่มีบุรุษคนใดในใต้หล้าที่เหมาะสมคู่ควรกับนาง รวมถึงตัวเองด้วย
เจ็ดอารมณ์หกโลกีย์ห้าปรารถนา มนุษย์เกลือกกลิ้งอยู่ในธุลีแดง (หรือฝุ่นแดงที่คละคลุ้งจากการวิ่งผ่านของรถม้าและอาชา ใช้เปรียบเปรยกับโลกมนุษย์หรือสังคมโลกีย์)
เฮ้อเสี่ยวเหลียงกล่าว “โอกาสบนมหามรรคาข้า ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่าเขาดีหรือไม่ดี”
ความนัยในคำพูดนี้ก็คือ ดีก็เป็นคู่บำเพ็ญเพียรในใจ ไม่ดีก็ยังเป็นคู่บำเพ็ญเพียรของนาง
เกาเจี้ยนฝูพึมพำ “หากรู้อย่างนี้แต่แรก ปีนั้นที่อยู่ในสนามรบของเมืองหลวงแห่งที่สองในภาคกลางก็คงตายๆ ไปให้รู้แล้วรู้รอด”
เฮ้อเสี่ยวเหลียงไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
เกาเจี้ยนฝูมองการเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าที่ละเอียดอ่อนของสตรีข้างกาย ถึงกับเคลิบเคลิ้มหลงใหลไปทันที
คนพายเรือเฒ่าที่ติดตามกุ้ยฮูหยินเดินอยู่ด้านหลังคนทั้งสองก็พยายามหาเรื่องชวนคุย “เถาถิงแห่งเปลี่ยวร้างช่างสมคำเล่าลือ เป็นผู้กล้าคนหนึ่งจริงๆ”
ปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานตนหนึ่งที่มีชาติกำเนิดจากใต้หล้าเปลี่ยวร้าง กล้าจัดการหนันกวงจ้าวเสียจนหมอบราบคาบแก้วอยู่ในเกาะยวนยางพื้นที่สำคัญของศาลบุ๋น กู้ชิงซงรู้สึกนับถืออยู่มาก
มีเพียงข้อเดียวที่รับไม่ค่อยได้สักเท่าไรก็คือพี่เถาถิงผู้นั้นเป็นขอบเขตบินทะยาน พอขอบเขตสูงจึงดูเป็นความบกพร่องในความสมบูรณ์แบบ นี่สู้ตนที่ขอบเขตถดถอยจากเซียนเหรินมาเป็นหยกดิบไม่ได้แล้ว
กู้ชิงซงเหลือบตามองสตรีเซียนเหรินจากสำนักชิงเหลียง ได้ยินมาว่าศิษย์น้องหญิงเล็กผู้นี้กับเฉินผิงอันมีเรื่องราวที่ไม่สามารถบอกเล่าให้คนอื่นฟังได้
คนพายเรือเฒ่าดีดลูกคิดอยู่ในใจ วันหน้าจะไปขอความรู้จากเจ้าเด็กน้อยนั่นอย่างไร มาดของผู้อาวุโสอย่าเอามาใช้จะดีกว่า เดี๋ยวจะไม่เป็นที่ชื่นชอบ เขาคนนี้แบ่งแยกความหนักเบา ความช้าเร็วได้อย่างชัดเจน แต่ไหนแต่ไรมาคนบนภูเขาก็ให้การยอมรับว่าเขาทำอะไรมั่นคงหนักแน่น พูดจาเหมาะสมน่าเชื่อถือ
เจ้าโจรน้อยอย่างเฉินผิงอันนิสัยไม่เหมือนหน้าตาเลยจริงๆ ช่างอำพรางตัวอย่างลึกล้ำ ปีนั้นขนาดเขายังมองพลาดไป เข้าใจผิดคิดว่าเป็นเจ้าทึ่มปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมที่ทำอะไรไม่น่าเชื่อถือ จะไปเข้าใจความรักชายหญิงกับผายลมอะไร คิดไม่ถึงว่าจะเป็นยอดฝีมือชั้นสูงที่ไม่ต้องมีอาจารย์ก็เชี่ยวชาญได้ด้วยตัวเอง
พลาดการคบหาเป็นสหาย ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก ทำให้คนเสียใจจนไส้เขียวเลยจริงๆ
พูดถึงแค่บันทึกขุนเขาสายน้ำที่จู่ๆ ก็โผล่มาบนโลกแล้วจู่ๆ ก็หยุดพิมพ์เล่มนั้น ต้องบอกว่ากู้ชิงซงคือคนที่เคารพบูชาที่สุดท่ามกลางนักอ่านทุกคนที่เคยอ่านตำราเล่มนั้นมาเลย เปิดอ่านพลิกไปพลิกกลับจนเขาท่องจำได้ขึ้นใจ การพบเจอกันระหว่างเฉินผิงอัน (ชื่อในตำราที่อ่านเหมือนชื่อจริงของเฉินผิงอัน) กับสตรีมากมาย ความยอดเยี่ยมของบทสนทนาทั้งหลายเหล่านั้นล้วนถูกเขาวาดวงกลมเอาไว้ น่าเสียดายก็แต่เรียนรู้กลเม็ดเด็ดพรายมามากมาย แต่พอมาเดินอยู่ข้างกายกุ้ยฮูหยิน แม้แต่พูดก็ยังพูดไม่ออก ต่างจากสิ่งที่เขียนในหนังสือและสิ่งที่คิดในใจมากนัก ถึงอย่างไรความรู้ที่ได้มาจากในตำราก็ยังตื้นเขินเกินไปนี่เอง
กู้ชิงซงรู้สึกว่าเจ้าเด็กเฉินผิงอันนั่นมีพรสวรรค์เลิศล้ำ แล้วก็ให้เสียใจที่ตัวเองโฉดเขลาเกินไป ถึงกับไม่รู้จักขอความรู้มาจากเฉินผิงอันอย่างนอบน้อม ต่อให้อีกฝ่ายยินดีถ่ายทอดความรู้ให้หมดหน้าตักก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองจะเรียนเป็นสักกี่ส่วน จึงอดไม่ไหวเอ่ยเรียกเสียงเบาว่า “กุ้ย…ฮูหยิน”
กุ้ยฮูหยินแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เซียนฉาผู้นี้เรียนรู้จากลู่เฉินมาได้แค่วิชาบทเดียวเท่านั้น ทำตัวเป็นตังเม
กู้ชิงซงถามหยั่งเชิง “จินซู่ได้ครองคู่อยู่กับซุนเจียซู่ คือวาสนารักที่ไม่เลวเลย”
กุ้ยฮูหยินยังคงไม่เอ่ยอะไร หากเป็นคนปกติยังว่าไปอย่าง แต่คนผู้นี้แค่มอบสีให้เขาก็เปิดโรงย้อมผ้าได้แล้ว จะสนใจเขาไปทำไม
กู้ชิงซงเริ่มลำพองใจนิดๆ คราวนี้ไม่ถูกด่า นั่นก็หมายความว่ามีหวังแล้วใช่หรือไม่?
บนถนนริมลำคลอง คนสองกลุ่มเดินสวนทางกันไป
กู้ชิงซงมีสีหน้าปั้นยาก คือสวีเซวี่ยนกับสหายรักที่เดินผ่านมา
แปลกจริง เหตุใดแต่ละคนล้วนต้องมาชอบศิษย์น้องหญิงเล็กอย่างเฮ้อเสี่ยวเหลียงด้วยนะ
ทั้งสองฝ่ายไม่ได้มีการสบตาอะไรกัน เพียงแค่เดินผ่านไปคนละทางเท่านั้น
รอกระทั่งเดินจากมาไกลแล้วสวีเซวี่ยนถึงได้หันกลับไปมอง
ยิ้มหยันให้กับเกาเจี้ยนฝูที่อยู่ข้างกายเฮ้อเสี่ยวเหลียง
หลินซู่ยังคงพูดถึงการประลองก่อนหน้านี้ “เวทกระบี่สูงส่ง แต่เก็บซ่อนอำพรางอยู่ตลอด เผชิญหน้ากับเซียนเหรินคนหนึ่งถึงกับยังมีกำลังเหลือ เป็นข้าคงทำไม่ได้ ช้าก้าวหนึ่งก็ช้าไปเสียทุกก้าว ไม่แน่ว่าชีวิตนี้คงได้แต่มองฝุ่นที่อีกฝ่ายทิ้งไว้ด้านหลังแล้ว”
สวีเซวี่ยนเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าอยากหัวเราะก็หัวเราะมาเถอะ เจ้าหมอนั่นก็คือคู่รักบนภูเขาที่เฮ้อเสี่ยวเหลียงเลือกแล้ว”
คนผู้นี้เคยพบเจอกับเฮ้อเสี่ยวเหลียงที่ปากทางลำน้ำใหญ่ไหลเข้ามหาสมุทรทางทิศตะวันตกที่อุตรกุรุทวีป ว่ากันว่าชายหญิงคู่นี้ยังเคยเดินขึ้นไปบนหอสูงริมทะเล มองฟ้าสูงแผ่นดินกว้างไกลด้วยกัน
หลังจากนั้นก็เป็นเฮ้อเสี่ยวเหลียงกับสวีเซวี่ยนที่เปิดฉากเข่นฆ่ากันในอาณาเขตที่ราชวงศ์ฮวาหลิงกำหนดให้ เฮ้อเสี่ยวเหลียงลงมือรุนแรงมาก ไม่เพียงแต่ทำร้ายให้สวีเซวี่ยนบาดเจ็บ ยังสังหารสาวใช้ขอบเขตโอสถทองสองคนข้างกายสวีเซวี่ยนแล้วแย่งชิงดาบกระบี่สองเล่มที่มีชื่อว่าไฮจู ฝูเหอไปด้วย หลังจบเรื่องเฮ้อเสี่ยวเหลียงเอาพวกมันไปโยนไว้หน้าประตูภูเขาสำนักชิงเหลียงอย่างไม่ใส่ใจ ป่าวประกาศไปทั่วทวีปว่าให้สวีเซวี่ยนไปเก็บเอามาเอง หากไม่มีความกล้าทั้งยังไม่มีความสามารถก็ให้ป๋ายฉางผู้เป็นอาจารย์มาช่วย
ตอนนั้นคนชุดเขียวเดินทางไกลอยู่ต่างถิ่น สวีเซวี่ยนมีโอกาสสังหาร น่าเสียดายที่เฮ้อเสี่ยวเหลียงไม่ให้โอกาสนี้แก่เขา
อยู่หน้าประตูของด่านรัก ห้าขอบเขตล่างด้านในประตูสามารถมองเป็นขอบเขตบินทะยานที่หัวเราะเยาะคนนอกประตูได้ตามใจ
หลินซู่ยิ้มเอ่ย “หากเจ้าไม่พูด ข้าก็ไม่รู้จริงๆ ว่ามีเรื่องเช่นนี้ ข้ารู้แค่ว่าเขาเป็นเพื่อนกับหลิวจิ่งหลง”
หลินซู่คือคนในภูเขาตามแบบฉบับที่แท้จริง ปลีกตัวอยู่อย่างสันโดษ ตั้งใจถามมรรคา ไม่สนใจเรื่องราวภายนอก เรื่องราวในใต้หล้าก็คือเรื่องของคนในใต้หล้า เรื่องของการฝึกตนต่างหากถึงจะเป็นกิจธุระในบ้านที่ต้องใส่ใจ
ฮว่อหลงเจินเหรินเคยวิจารณ์หลินซู่เอาไว้ว่าคือตัวอ่อนการฝึกตนที่ไม่ขาดกลิ่นอายเซียน ก็แค่ว่าไม่มีกลิ่นอายของมนุษย์สักเท่าไร ไม่ควรมาเกิดในอุตรกุรุทวีป ไปเกิดที่ธวัลทวีปต้องได้ดิบได้ดีกว่านี้แน่นอน
มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ทั้งด่าคนแล้วก็ทั้งชมคน
แต่สำหรับผู้ฝึกตนของอุตรกุรุทวีปแล้ว อย่าว่าแต่ถูกเจินเหรินผู้เฒ่าของยอดเขาพาตี้ชมหนึ่งประโยคเลย ต่อให้ถูกด่าแค่ครึ่งประโยคก็ถือเป็นเกียรติแล้ว
ส่วนเรื่องที่ฮว่อหลงเจินเหรินถือโอกาสด่าธวัลทวีปไปพร้อมกันด้วย นับเป็นเรื่องอะไรได้? นี่เรียกว่าให้หน้าธวัลทวีปแล้ว
สิบคนรุ่นเยาว์ของอุตรกุรุทวีปในอดีต สวีเซวี่ยนอันดับหนึ่ง หลินซู่อันดับสอง หลิวจิ่งหลงแห่งสำนักกระบี่ไท่ฮุยอยู่ในอันดับที่สาม
เพราะมีสาเหตุจากเฮ้อเสี่ยวเหลียง สวีเซวี่ยนได้รับบาดเจ็บสาหัส เดิมทีสามารถฝ่าทะลุขอบเขตเป็นห้าขอบเขตบน กลายเป็นเซียนกระบี่ได้อย่างราบรื่น กลับกลายเป็นว่าถูกถ่วงเวลาให้ล่าช้ากว่าเดิมไปมาก
ผลคือสิบคนรุ่นเยาว์ที่เพิ่งออกจากเตาสดใหม่เมื่อหลายปีก่อน สวีเซวี่ยนยังคงอยู่อันดับหนึ่ง แต่หลิวจิ่งหลงกับหลินซู่กลับไม่ติดอันดับแล้ว หลินซู่นั้นเป็นเพราะขอบเขตถดถอย
บุญคุณความแค้นบนภูเขา ไม่มีทางจะเลิกรากันเพียงแค่เพราะฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่แย่งชิงกับผู้อื่น เพียงแต่ว่าหลินซู่มองเรื่องนี้อย่างคนคิดได้
ส่วนหลิวจิ่งหลงนั้นเป็นเพราะมารับตำแหน่งเจ้าสำนัก จึงไม่เหมาะสม บวกกับเลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบ การถามกระบี่สามครั้งก่อนหลังจากเซียนกระบี่สามท่านอย่างลี่ไฉ่ ต่งจู้ ป๋ายฉาง หลิวจิ่งหลงล้วนรับไว้ทั้งหมด ดังนั้นอุตรกุรุทวีปจึงยอมรับในสถานะเซียนกระบี่ของหลิวจิ่งหลง จึงไม่เอาออกมารังแกพวกคนรุ่นเยาว์ที่กำลังเดินขึ้นเขาแล้ว
หลินซู่ใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “เจ้าระวังหน่อย อย่าพูดอะไรให้กลายเป็นจุดอ่อน ตอนนี้เซียนกระบี่หนุ่มผู้นั้นไม่ว่าถามกระบี่กับใครก็ล้วนได้เปรียบทั้งหมด”
สวีเซวี่ยนยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เส้นทางบนภูเขายาวไกล ไม่คิดจะช่วงชิงสูงต่ำทันทีทันใดหรอก”
หลินซู่รู้สึกกังขาเล็กน้อย มักรู้สึกว่าสหายรักพูดจาแฝงความนัย แต่เขาไม่มีอารมณ์ไปสนใจความพัวพันขัดแย้งบนภูเขาพวกนี้จริงๆ
บนเกาะของเกาะยวนยาง เหยียนเก๋อได้วิ่งไป ‘กอดสาวงามกลับบ้าน’ แล้ว เทียนหนีเองก็เตรียมคำพูดไว้เรียบร้อย เมื่อกลับไปถึงที่พักบนภูเขาอ๋าวโถวก็จะเริ่มจรดพู่กันเขียน มรสุมบนเกาะยวนยางวันนี้คู่ควรแก่การประโคมเขียนให้เต็มที่ รอแค่ศาลบุ๋นคลายคำสั่งห้ามรายงานขุนเขาสายน้ำเท่านั้น เหลือเพียงฉินจ่าวที่ไปหาอวี้เมี่ยน เทพีบุปผาดอกเหมยหนึ่งในสี่เทพีบุปผาเจ้าชะตาของพื้นที่มงคล
อันที่จริงชื่ออันไพเราะที่นักประพันธ์ทั้งหลายมอบให้กับเทพีบุปผาท่านนี้มีมากมาย พูดถึงแค่การประชุมในศาลบุ๋นครั้งนี้ พวกอริยะปราชญ์ในศาลบุ๋นอย่างซูจื่อ หลิ่วชี เฉาจู่…ก็ล้วนเคยมีบทกวีขับขานดอกเหมยที่ติดปากคนมาก่อน
เป็นเหตุให้ทุกๆ ร้อยปีนางจะต้องเปลี่ยนชื่อหนึ่งครั้ง ไม่ต่างจากสตรีที่เปลี่ยนเครื่องแต่งหน้าประทินโฉมทุกวัน
ยกตัวอย่างเช่นนางค่อนข้างชอบชื่อ ‘ชิงเค่อ’ รอกระทั่งแม้แต่รุ่ยเฟิ่งเอ๋อร์ก็ยังได้ชื่อ ‘อวี่เค่อ’ มา นางจึงส่งมันเข้าตำหนักเย็น ละทิ้งไม่เอามาใช้อย่างสิ้นเชิง
——