กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 799.1 หนึ่งกระบี่ทลายหมื่นอาคม
เรือข้ามฟากขยับเข้าใกล้เกาะนกแก้ว เฉินผิงอันหันหน้าไปมองนักพรตเนิ่นที่กำลังฝอยกับหลิ่วชื่อเฉิงจนน้ำลายแตกฟอง ถามว่า “ได้ยินว่าผู้อาวุโสสนิทกับนครจินชุ่ยหรือ?”
ฝีมือการทำชุดคลุมอาคมของนครจินชุ่ยยอดเยี่ยมเลิศล้ำ ชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทั้งเปลี่ยวร้าง ไม่อย่างนั้นชุดคลุมมังกรสีหมึกของปีศาจใหญ่หย่างจื่อตัวนั้นก็ไม่มีทางใช้เวทลับเฉพาะที่เป็นเส้นทางน้ำแบ่งหยินหยางของนครจินชุ่ย
จวนไฉ่เชวี่ยอาศัยชุดคลุมอาคมตัวหนึ่งของนครจินชุ่ยที่เฉินผิงอันได้มาแล้วจึงส่งต่อให้หมี่อวี้นำไปมอบให้ ทำให้เงินทองไหลมาเทมา ช่วยให้จวนไฉ่เชวี่ยที่เดิมทีค่อนข้างกันดารห่างไกลมีวี่แววว่าจะได้เลื่อนขั้นเป็นภูเขาจวนเซียนอันดับหนึ่งของอุตรกุรุทวีป ลำพังเพียงแค่ราชวงศ์ต้าหลีก็อาศัยการเชื่อมสัมพันธ์จากเว่ยซานจวินแห่งภูเขาพีอวิ๋น สั่งจองชุดคลุมอาคมรวดเดียวนับพันชิ้นมาจากจวนไฉ่เชวี่ย จากนั้นสกุลซ่งต้าหลีก็แจกจ่ายให้กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำ ศาลบุ๋น ศาลบู๊ ศาลเทพอธิบาลเมืองของสถานที่ต่างๆ นี่เป็นเหตุให้ทุกวันนี้ผู้ฝึกตนหญิงของจวนไฉ่เชวี่ยมีฉายาว่าสาวทอผ้า ถึงอย่างไรการเย็บปัก การหล่อหลอมชุดคลุมอาคม เดิมทีก็เป็นการฝึกตนของผู้ฝึกลมปราณจวนไฉ่เชวี่ยอยู่แล้ว
ภูเขาลั่วพั่วเองก็อาศัยส่วนแบ่งที่แน่นอนจากจวนไฉ่เชวี่ยทำให้ได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ ทุกๆ ห้าปีจะมีเงินฝนธัญพืชก้อนใหญ่หล่นลงมาในกระเป๋า เหวยเหวินหลงก็จะจดบันทึกลงบัญชีแล้วเก็บเข้าคลัง
ทุกครั้งที่อู่ชวินผู้คุมกฎของจวนไฉ่เชวี่ยเอาเงินไปมอบให้ที่ท่าเรือหนิวเจี่ยว ระหว่างที่เดินทางนางจะต้องระมัดระวังตัวอย่างมาก ด้วยกลัวว่าจะเจอพวกผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนทั้งหลายมาเป็นโจรดักปล้นกลางทาง หลังจากขึ้นเรือข้ามทวีปของสำนักพีหมาได้แล้วนับว่ายังดีหน่อย พูดถึงแค่ระยะทางขุนเขาสายน้ำจากจวนไฉ่เชวี่ยไปจนถึงชายหาดโครงกระดูกนั้น นางเดินทางอย่างอกสั่นขวัญแขวนมากเป็นพิเศษ เพราะว่าข้างกายมีเพียง ‘หมี่อวี้ผู้ฝึกกระบี่โอสถทอง’ แค่คนเดียวเท่านั้น หลายครั้งที่คุ้มกันนางไปส่งถึงท่าเรือของชายหาดโครงกระดูก อู่ชวินจะต้องถามซ้ำย้ำไปย้ำมาว่าไม่ต้องการให้ผู้ฝึกตนสำนักพีหมาคุ้มกันไปส่งจริงๆ หรือ? ถึงอย่างไรภูเขาลั่วพั่วของพวกเจ้าก็มีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับสำนักพีหมา จ่ายเงินจ้างคนให้ไปที่จวนไฉ่เชวี่ยสักรอบเพื่อความมั่นคงปลอดภัย ก็คงไม่มากเกินไปกระมัง? หมี่อวี้กลับบอกว่าจะจ่ายเงินให้สิ้นเปลืองเปล่าประโยชน์นี้ไปทำไม แล้วยังผลาญความสัมพันธ์ควันธูประหว่างเจ้าขุนเขากับสำนักพีหมาไปโดยใช่เหตุ มีเขาอยู่ด้วยนะ
อู่ชวินก็จะอดไม่ไหวถามบุรุษที่รูปโฉมเป็นห้าขอบเขตบน แต่ขอบเขตกลับเป็นแค่โอสถทองผู้นั้นว่า หากถูกคนดักแย่งเงินกลางทางจริงๆ จะถือว่าเป็นความผิดของใคร?
หมี่อวี้ยิ้มตอบ หากเงินหายไปจริงๆ ข้าจะรับผิดชอบเอง
บุรุษที่หน้าตาดี ยามพูดจาโอ้อวดวางโต ต่อให้จะทำให้คนไม่ชื่นชอบ แต่ก็รังเกียจไม่ลงจริงๆ
อู๋ชวินจึงทำอะไรไม่ได้ไปมากกว่านั้น เงินเป็นของภูเขาลั่วพั่ว ภูเขาลั่วพั่วเองไม่ใส่ใจ แล้วทำไมนางต้องร้อนใจเป็นกังวลแทนด้วยเล่า?
ยังดีที่หลายครั้งที่นางนำเงินไปส่งให้ที่ภูเขาลั่วพั่วล้วนไม่มีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น เพราะถึงอย่างไรเรือข้ามฟากสำนักพีหมา ภูเขาพีอวิ๋นขุนเขาเหนือแห่งต้าหลีก็ล้วนเป็นยันต์คุ้มกันกายชิ้นหนึ่ง
ส่วนกำแพงเมืองปราณกระบี่ หมี่ผ่าเอวห้าขอบเขตกลาง หมี่ปักบุปผาห้าขอบเขตบนอะไรนั่น ล้วนเป็นเรื่องราวขุนเขาสายน้ำที่อยู่ไกลสุดขอบฟ้า บุรุษข้างกายที่อยู่ใกล้เพียงตรงหน้าแซ่อวี๋นามหมี่ มาจากภูเขาลั่วพั่ว ทั้งสองฝ่ายไม่ได้มีความเกี่ยวข้องใดๆ ต่อกันเลยแม้แต่น้อย
เฉินผิงอันรู้ดีว่าตอนนี้ชุดคลุมอาคมตัวที่กลายเป็นอ่างเก็บสมบัติใหญ่สุดของจวนไฉ่เชี่ยและเป็น ‘ลาภลอย’ ก้อนใหญ่สุดของภูเขาลั่วพั่วนั้น ระดับขั้นก็เหมือนเสื้อเกราะเทพรับน้ำค้างที่ระดับขั้นต่ำสุดในบรรดาเม็ดเสื้อเกราะของสำนักการทหาร ยังสามารถกระโดดข้ามบันไดไปอีกหนึ่งขั้น จะทำได้อย่างไร แน่นอนว่าต้องไปถามบรรพจารย์ของนครจินชุ่ยใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ช่วยให้ฝีมือการหล่อหลอมชุดคลุมอาคมพัฒนารุดหน้าไปอีกขั้น
เพียงแต่ว่าผู้ฝึกตนนครจินชุ่ยไม่เคยข้ามผ่านกำแพงเมืองปราณกระบี่มายังไพศาล ในสมุดเล่มเล็กที่ให้คนช่วยนำไปส่งมอบต่อให้กับราชวงศ์ต้าหลีเล่มนั้น เฉินผิงอันเคยเตือนต้าหลีไว้ว่าจำเป็นต้องเก็บเอาชุดคลุมอาคมที่ผลิตจากนครจินชุ่ยมาจากบนสนามรบให้ได้มากที่สุด แล้วก็ต้องคลายตราผนึกเวทลับออกให้ได้มากกว่าเดิม ทางที่ดีที่สุดควรจับตัวผู้ฝึกตนของนครจินชุ่ยมาสักหลายๆ คน ยิ่งเป็นคนที่ขอบเขตสูงก็ยิ่งดี
นักพรตเนิ่นเหมือนเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ รีบปฏิเสธทันใด “ไม่สนิท ไม่เคยไปมาหาสู่กันหลายร้อยหลายพันปีแล้ว ความสัมพันธ์จะสนิทกันไปได้อย่างไร? พิธีแยกจวนเปิดยอดเขาของผู้ฝึกตนหญิงโอสถทองทุกคนของนครจินชุ่ย หรือแม้กระทั่งงานฉลองที่เจ้านครเลื่อนเป็นเซียนเหรินเมื่อสามร้อยปีก่อน สตรีอย่างหย่างจื่อยังไปร่วมงานด้วยตัวเอง อิ่นกวานเคยได้ยินว่าเถาถิงโผล่ไปอวยพรด้วยหรือ? ไม่มีเรื่องแบบนั้นเสียหน่อย”
เฉินผิงอันยิ้มพลางพยักหน้ารับ “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ เอกสารลับของคฤหาสน์หลบร้อนไม่ได้เขียนไว้เช่นนี้ แต่คงเป็นข้าที่มองผิดไปเอง เดี๋ยวกลับไปจะอ่านให้ละเอียดดูอีกที ดูสิว่าเข้าใจผู้อาวุโสผิดไปหรือไม่?”
นักพรตเนิ่นทำหน้าอัดอั้นเหมือนไม่ได้กินอาจมร้อนๆ
มาดของวีรบุรุษผู้องอาจกล้าหาญที่ช่วงชิงมาได้จากบินทะยานหนันกวงจ้าว ล้วนต้องคืนให้กับอิ่นกวานใจดำผู้นี้ทั้งหมด
นักพรตเนิ่นชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียในใจอย่างรวดเร็ว ก่อนถามหยั่งเชิงว่า “อิ่นกวานมีความแค้นกับนครจินชุ่ยหรือ? นครจินชุ่ยไม่เคยมีผู้ฝึกตนคนใดไปรุกรานไพศาลหรอกนะ”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลส่วนตัวหรือเหตุผลส่วนรวม ล้วนไม่มีความแค้นต่อกัน ผู้เยาว์ก็แค่เลื่อมใสในการหลอมชุดคลุมอาคมของนครจินชุ่ยเท่านั้น”
ในความเป็นจริงแล้วปีนั้นกลุ่มผู้ฝึกตนหญิงเผ่าปีศาจที่อยู่บนขบวนรถซึ่งพากันมาท่องเที่ยวกำแพงเมืองปราณกระบี่ทางทิศเหนือ พวกนางคุยกันเจื้อยแจ้ว ในบรรดานั้นมีทั้งผู้เยาว์ของตระกูลกวานเซี่ยงปีศาจใหญ่ แล้วก็มีผู้ฝึกตนคนหนึ่งที่มาจากนครจินชุ่ย เพราะชุดคลุมอาคมบนร่างนางตัวนั้นสะดุดตาอย่างมาก
นักพรตเนิ่นกระจ่างแจ้งโดยพลัน “ก็จริงนะ ได้ยินว่าทุกครั้งที่ลงสนามรบ อิ่นกวานสวมใส่ชุดคลุมอาคมค่อนข้างเยอะ”
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย ก่อนจะใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “หากผู้อาวุโสสามารถนำวิชาลับการหล่อหลอมที่มากพอของนครจินชุ่ยมาให้ได้ ข้าสามารถแบ่งส่วนแบ่งให้ครึ่งส่วน”
นักพรตเนิ่นยกมือเช็ดปาก ใต้เท้าอิ่นกวานช่างพูดตลกเก่งเสียจริง ข้าผู้อาวุโสเกือบจะหัวร่อจนฟันร่วงแล้ว
ประเด็นสำคัญคือยังจะแบ่งส่วนแบ่งให้อีกครึ่งส่วน เจ้าหนูเจ้าคิดว่าเอามาขับไล่ขอทานหรืออย่างไร? ห้าส่วนถึงจะพอได้
เฉินผิงอันเอ่ยต่อว่า “ทางฝั่งของศาลบุ๋นนี้ นอกจากเม็ดเสื้อเกราะของสำนักการทหารบางชนิดที่มีการหล่อหลอมจำนวนมากแล้ว มีความเป็นไปได้ว่าจะมีการสร้างชุดคลุมอาคมออกมาอีกสามถึงห้ารูปแบบ เพราะว่าต้องเน้นในเรื่องจำนวน ระดับขั้นจึงไม่จำเป็นต้องสูงเกินไปนัก คล้ายคลึงกับหอภูษาของกำแพงเมืองปราณกระบี่ในอดีต อุตรกุรุทวีปมีจวนไฉ่เชวี่ยอยู่แห่งหนึ่งที่มีโอกาสว่าจะได้เป็นหนึ่งในผู้ผลิต ข้ารู้ว่าท่านไม่ขาดเงิน แต่ทรัพย์สินเงินทองในใต้หล้าที่สะอาดเอี่ยม น้ำสายเล็กที่ไหลยาว เป็นสิ่งที่ล้ำค่าหาได้ยากที่สุด ข้าเชื่อว่าหลักการเหตุผลข้อนี้ ผู้อาวุโสน่าจะเข้าใจมากกว่าข้า แล้วนับประสาอะไรกับที่ทางฝั่งของศาลบุ๋นนั้น อาศัยสิ่งนี้มาหาเงินแล้วยังได้คุณความชอบมาอีกเล็กน้อย ต่อให้ผู้อาวุโสจะรักอิสระเสรี ไม่ต้องการคุณความชอบส่วนนั้น แต่เกินครึ่งทางศาลบุ๋นก็จะยังเห็นแก่น้ำใจในครั้งนี้”
เถาถิงแห่งเปลี่ยวร้างย่อมไม่ขาดเงินอย่างแน่นอน เป็นถึงขอบเขตบินทะยานขั้นสูงสุดแล้ว ยิ่งไม่ขาดตบะและขอบเขต ถ้าอย่างนั้นทุกวันนี้ ‘นักพรตเนิ่นแห่งไพศาล’ ยังขาดอะไร? ก็หนีไม่พ้นขาดความสงบทางใจในใต้หล้าไพศาลแห่งนี้
กลัวไปกลัวมา สืบสาวราวเรื่องกันแล้ว เถาถิงก็ยังคงกลัวว่าตนที่เป็นคนต่างถิ่นจะไม่ได้รับการยอมรับจากทางศาลบุ๋น หลายๆ เรื่องที่เป็นได้ทั้งถูกและผิด ทางศาลบุ๋นจะเข้าข้างผู้ฝึกตนใหญ่ของไพศาลมากกว่า
ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ก็เท่ากับว่าอิ่นกวานหนุ่มช่วยนักพรตเนิ่นปูเส้นทางในการเชิญธูปที่วกวนคดเคี้ยวให้กลายเป็นทางตรง เดินไปได้ไกลกว่าเดิม ทั้งยังจริงใจกว่าเดิม ด่านปีก็ย่อมผ่านไปได้ง่ายกว่าเดิม
นักพรตเนิ่นสีหน้าเคร่งขรึม ใช้เสียงในใจเอ่ยเนิบช้าว่า “นครจินชุ่ยแห่งนั้นคือสถานที่ที่ไม่แก่งแย่งชิงดีกับโลกภายนอก นี่ไม่ใช่ว่าข้าพูดเหลวไหลไปเอง ส่วนเจ้านครหลวนหูก็ยิ่งไม่ใช่ผู้ฝึกตนที่ชอบการรบราฆ่าฟัน นี่ยิ่งไม่ใช่ข้าพูดจาประจบเอาใจ ไม่อย่างนั้นนางก็ไม่มีทางตั้งฉายาว่า ‘อาลักษณ์ห้าบุปผา’ ทางฝั่งของคฤหาสน์หลบร้อนย่อมมีบันทึกอย่างละเอียด ถ้าอย่างนั้นใต้เท้าอิ่นกวานสามารถทำได้หรือไม่?”
พูดจาต้องคลุมเครือสักหน่อย
เฉินผิงอันกระจ่างแจ้งอยู่ในใจ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ตอนนี้ไม่สะดวกจะรับปากอะไร ไม่อย่างนั้นก็อย่าว่าแต่ผู้อาวุโสจะไม่เชื่อเลย แม้แต่ตัวข้าเองก็ยังรู้สึกว่าไม่มีความจริงใจมากพอ แต่ผู้อาวุโสช่วยให้นครจินชุ่ยมีทางถอยเพิ่มมาอีกหนึ่งทาง ไม่มีเรื่องใดที่แน่นอนเสมอไป ถึงเวลานั้นเจ้านครหลวนหูจะเดินบนทางสายนี้หรือไม่ก็เป็นการเลือกของนางเองแล้ว ทางฝั่งผู้อาวุโสก็ถือว่ามีคุณธรรมและเห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าแก่มากแล้ว”
นักพรตเนิ่นคิดแล้วก็เอ่ยว่า “วันหน้าข้าจะต้องบอกกับอาจารย์ของหลี่ไหวสักคำ เรื่องนี้ใหญ่เกินไป ข้าไม่กล้าตัดสินใจเองโดยพลการ”
อันที่จริงจะต้องบอกกับผายลมอะไรเล่า เฒ่าตาบอดสนใจฟังเรื่องที่ใหญ่เท่าเมล็ดงาเมล็ดถั่วเขียวพวกนี้ด้วยหรือ? ก็แค่เถาถิงรู้สึกว่าดูเหมือนการคุยเล่นของทั้งสองฝ่ายครั้งนี้ตนได้ถูกอิ่นกวานหนุ่มจูงจมูกเดินตลอดเวลา เสียหน้าเกินไปแล้ว
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ผู้อาวุโสอายุมาก วิถีแห่งการวางตัวอยู่ในสังคมย่อมโชกโชนสุขุมมากกว่า”
นักพรตเนิ่นนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงถามอย่างระมัดระวังว่า “ใต้เท้าอิ่นกวาน ปีนั้นข้าแอบหนีออกจากภูเขาใหญ่แสนลี้ไปอวยพรเรื่องการฝ่าทะลุขอบเขตของหลวนหู ทางฝั่งของคฤหาสน์หลบร้อนค้นพบได้อย่างไร? ข้าจำได้ว่าตัวเองออกจากบ้านครานั้นระวังตัวมากแล้ว ไม่ควรถูกพวกเจ้าจับร่องรอยได้ถึงจะถูก”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่มีเขียนไว้ ข้าเดาเอา”
บันทึกลับของคฤหาสน์หลบร้อนเขียนบอกไว้แค่ว่าเถาถิงแห่งภูเขาใหญ่แสนลี้มีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับนครจินชุ่ย นอกจากนี้เซียวสวิ้นอิ่นกวานคนก่อนยังเขียนอธิบายไว้ด้านข้างอีกหนึ่งประโยคด้วยตัวอักษรบิดเบี้ยวว่า ‘ชู้รักอย่างไม่ต้องสงสัย’
นักพรตเนิ่นยิ้มกระอักกระอ่วน
จะเชื่อดีหรือว่าไม่เชื่อดีล่ะ? ดูเหมือนว่าจะไม่ดีทั้งคู่
เฉินผิงอันเงียบไปพักหนึ่งก็ถามอย่างสงสัยว่า “ผู้อาวุโสไม่มีข้อสงสัยต่อผลประโยชน์ครึ่งส่วนนั่นเลยหรือ? อันที่จริงผู้เยาว์หวังอย่างยิ่งว่าผู้อาวุโสจะเปิดปากเรียกร้องขอเป็นหนึ่งส่วน”
นักพรตเนิ่นกำลังจะพูด เฉินผิงอันก็ทอดถอนใจพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงใจเสียก่อน “คิดไม่ถึงเลยว่าผู้อาวุโสจะเป็นคนใจกว้างขนาดนี้ ถึงกับไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้แม้แต่ครึ่งคำ ผู้เยาว์นับถือยิ่งนัก มาดของคนบนยอดเขาเช่นนี้ ต่อให้เป็นไพศาลก็ยากจะพานพบ”
นักพรตเนิ่นยังจะทำอย่างไรได้อีก ก็ได้แต่ลูบหนวดยิ้ม แต่ในใจด่ามารดาไปแล้ว
เพียงแต่พอคิดอีกที นักพรตเนิ่นก็รู้สึกว่าอันที่จริงตัวเองไม่ได้ขาดทุน ทั้งยังได้กำไรก้อนใหญ่ แน่นอนว่าคนหนุ่มที่อยู่ข้างกายผู้นี้ได้กำไรเยอะยิ่งกว่า
นักพรตเนิ่นอดกลั้นอยู่นาน ครั้นจึงใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “ทำการค้ากับอิ่นกวานช่างปลอดโปร่งสบายใจจริงดังคาด”
เฉินผิงอันส่ายหน้ายิ้มกล่าว “ผู้เยาว์ยังอยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบกับผู้อาวุโสได้ติด เพราะผู้อาวุโสไม่ใช่คนทำการค้าเลย ดังนั้นคนอื่นอยู่ด้วยถึงได้จิตใจปลอดโปร่งโล่งสบาย”
คำพูดนี้ช่าง…
ชั่วชีวิตนี้นักพรตเนิ่นไม่เคยสดชื่นแจ่มใสขนาดนี้มาก่อนจริงๆ
เรือข้ามฟากที่ทางศาลบุ๋นจัดหามาให้ลำนี้เดินทางอย่างเชื่องช้า ไม่อาจเร็วไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว ตลอดทางเรือข้ามฟากหลายลำที่ออกเดินทางไปยังร้านผ้าห่อบุญเกาะนกแก้วช้ากว่ากลับไปถึงท่าเรือแห่งนั้นก่อนนานแล้ว ล้วนเป็นเรือข้ามฟากส่วนตัวของบนภูเขา แต่ยามที่แล่นสวนกันกลับเปลี่ยนเส้นทางคล้ายตั้งใจคล้ายไม่ได้เจตนา เลือกที่จะอ้อมออกไป เห็นได้ชัดว่าเงามืดในใจที่มีต่อเซียนกระบี่ชุดเขียวซึ่งที่เจ้าอารมณ์อย่างถึงที่สุดและ ‘นักพรตเนิ่น’ ที่เจ้าอารมณ์ยิ่งกว่าแผ่กว้างไปไกล ไม่ว่าใครก็ไม่หวังจะกลายเป็นเซียนเหรินอวิ๋นเหมี่ยวหรือหนันกวงจ้าวขอบเขตบินทะยานคนถัดไป ไม่แน่ว่าแค่สบตากันก็อาจจะไปขวางหูขวางตาอีกฝ่าย จากนั้นเรือข้ามฟากบ้านตนก็จะโดนหนึ่งกระบี่ฟาดฟัน?
มีเพียงเรือข้ามฟากส่วนตัวของสกุลชิวอวี๋โจวแห่งหลิวเสียทวีปเท่านั้นที่ไม่ขยับออกห่าง กลับกันยังเคลื่อนเข้ามาใกล้ เฉินผิงอันเป็นฝ่ายกุมมือคารวะเรือข้ามฟากลำนั้นไกลๆ ก่อน
หลินชิงที่เป็นเค่อชิงของสกุลชิวเผชิญหน้ากับคนชุดเขียวที่อยู่บนเรือข้ามฟากฝั่งตรงข้ามแล้วโยนของชิ้นหนึ่งออกไป คือตราประทับสุยสิงที่แกะสลักเป็นภาพขุนเขาสายน้ำนูนต่ำที่เพิ่งจะแกะสลักเสร็จชิ้นนั้น ผู้ฝึกตนเฒ่าใช้เสียงในใจยิ้มเอ่ย “ยินดีต้อนรับเซียนกระบี่ไปเป็นแขกที่พื้นที่มงคลเหล่าเคิง”
เฉินผิงอันยื่นมือไปรับตราประทับเอาไว้ แล้วกุมหมัดอีกครั้ง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “แน่นอน นอกจากจะไปขอความรู้เรื่องหินทองจากอาจารย์หลินแล้ว ยังจะทำหน้าหนาขอตำราตราประทับหออวี้เสวียนมาหลายๆ เล่มด้วย แล้วยังจะต้องไปกินหม้อไฟของอวี๋โจวที่ใต้หล้าไร้ผู้ใดทัดเทียมเสียก่อนถึงจะยอมกลับ ตำราตราประทับย่อมต้องจ่ายเงินซื้อมา แต่หากหม้อไฟไม่อร่อยสมคำเล่าลือ ทำให้คนผิดหวัง ก็อย่าหวังว่าข้าจะควักเงินแม้แต่เหรียญทองแดงเดียว ไม่แน่ว่าวันหน้าอาจไม่ไปอวี๋โจวอีกแล้ว”
หลินชิงยิ้มกล่าว “ไม่มีปัญหา”
เรือข้ามฟากสองลำจึงสวนกันไปทั้งอย่างนั้น
หลินชิงบอกลูกหลานสกุลชิวว่าเซียนกระบี่ท่านนั้นอยากกินหม้อไฟ บุรุษหนุ่มมากความสามารถของสกุลชิวอวี๋โจวอย่างชิวเสินกงและชิวเสวียนจีหันมาสบตาแล้วยิ้มให้กัน อย่างอื่นของอวี๋โจวที่เป็นบ้านเกิดไม่ต้องพูดถึง แต่หม้อไฟนี่แหละที่ทำให้คนติดใจได้มากที่สุด
——