กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 800.1 ขึ้นที่สูงมองไปไกล
เฝิงเซวี่ยเทาที่มีชาติกำเนิดเป็นผู้ฝึกตนอิสระคนนั้น เมื่อเทียบกับชิงกงไท่เป่าที่อำเภอพ่านสุ่ยแล้วกลับเด็ดขาดยิ่งกว่า พอเห็นว่าวันนี้จั่วโย่วไม่คล้ายจะออมมือให้ก็รีบเรียกวิชาอภินิหารด้านการโจมตีที่เป็นวิชาก้นกรุออกมาทันที
ผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานที่มีฉายาว่าชิงมี่ผู้นี้ ตรงหว่างคิ้วพลันมีแสงสีทองสว่างเจิดจ้า ราวกับเนตรสวรรค์เปิดออก พอจะมองเห็นได้อย่างเลือนรางว่าคล้ายประตูใหญ่ที่เปิดอ้า เผยให้เห็นฟ้าดินเล็กที่มีลักษณะเป็นวังหลวงขนาดจิ๋ว จากนั้นก็มีเด็กหนุ่มสวมชุดหม่างรัดเข็มขัดหยกขาวคนหนึ่งเดินออกมา ดวงตาเป็นสีทอง สองมือถือแท่งเหล็ก ทุกครั้งที่แท่งเหล็กทั้งสองตีกระทบกันก็จะมีประกายสายฟ้าสีทองแลบวาบออกมาแล้วขยายใหญ่อย่างต่อเนื่อง สุดท้ายถักทอกลายเป็นตาข่าย คล้ายบ่อสายฟ้าที่ปณิธานมากมายไร้ที่สิ้นสุดได้ปรากฎขึ้นมาบนโลกมนุษย์
ทุกครั้งที่จั่วโย่วส่งกระบี่ออกไปหนึ่งครั้งก็จะต้องทิ้งวิถีโคจรของกระบี่ที่ชัดเจนมั่นคงเส้นหนึ่งไว้ระหว่างฟ้าดิน มิอาจขยับเคลื่อนได้
ดังนั้นบนม่านฟ้าจึงคล้ายว่ามีเส้นด้ายที่หยุดลอยอยู่กลางอากาศโผล่มาสิบกว่าเส้น
คาดว่านี่ก็คงสมกับคำกล่าวที่ว่ากรีดผ่านภากาศมากที่สุดแล้ว
อันที่จริงเฝิงเซวี่ยเทาได้ร่ายใช้วิชาหลบหนีที่ลี้ลับมหัศจรรย์ไปหลายชนิดแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดจั่วโย่วถึงมักจะตามหาจุดที่ร่างจริงของเขาซ่อนอยู่ได้อย่างแม่นยำเสมอ และเพียงชั่วพริบตาก็ขี่กระบี่มาถึง
ส่วนเด็กหนุ่มที่สวมชุดหม่างรัดเข็มขัดหยกคนนั้นก็คือจิตหยางกายนอกกายของเฝิงเซวี่ยเทา มีชื่อว่า ‘ชิงมี่’ แท่งเหล็กในมือจำแลงเป็นแส้สายฟ้า สามารถไปตามหาจั่วโย่วด้วยตัวเองได้เช่นกัน น่าเสียดายที่แค่ขยับเข้าใกล้จั่วโย่ว เวทอสนีพวกนั้นก็จะมีจุดจบที่เป็นดั่งฟ้าร้องดังฝนตกเบา
ไม่ใช่ว่า ‘ชิงมี่’ เป็นหมอนปักลายบุปผาอะไร แต่เป็นเพราะเวทอสนีโจมตีที่พลานุภาพเท่าเทียมกับทัณฑ์สวรรค์นี้เผชิญหน้ากับจั่วโย่ว ถึงได้ดูธรรมดาอย่างมาก
ไม่ว่าจะเปลี่ยนมาเป็นเซียนเหรินคนใดก็ตาม ป่านนี้คงร้อนใจจนหัวหูไหม้ไปแล้ว
เฉินผิงอันแหงนหน้าหรี่ตามองอย่างตั้งใจ สายฟ้าทุกเส้นล้วนซุกซ่อนตัวอักษรสีทองไว้เป็นพรวนยาว ราวกับว่าคือวิชาลับของกรมสายฟ้าที่สมบูรณ์แบบบทหนึ่ง
เพียงแค่การเคลื่อนไหวเล็กน้อยอย่างการมองไม่กี่ครั้งนี้ แส้ยาวสายฟ้าเส้นหนึ่งบนม่านฟ้าก็เหมือนแม่ทัพเทพกรมสายฟ้าที่สัมผัสได้ถึงการล่วงเกินจากมนุษย์ธรรมดา จึงฟาดสายฟ้าลงมาใส่อย่างว่องไว พลังอำนาจดุดันน่ายำเกรง พุ่งตรงเข้าจู่โจมเฉินผิงอันที่อยู่ใกล้กับท่าเรือเกาะนกแก้ว
เฉินผิงอันดีดปลายเท้าเบาๆ พริบตาเดียวก็ลอยพ้นห่างพื้นมาหลายสิบจั้ง ยื่นฝ่ามือออกไปข้างหนึ่ง ห้านิ้วงอเป็นตะขอ ใช้ฝ่ามือสกัดขวางสายฟ้าสีทองเส้นนั้นเอาไว้ มืออีกข้างหนึ่งบิดหมุนข้อมือ บังคับพายุลมกรดของผู้ฝึกยุทธไม่ให้ปณิธานที่แท้จริงของสายฟ้าพวกนั้นแหลกสลายแล้วกระจายหายไป สุดท้ายสะบัดชายแขนเสื้อ โยนเม็ดไข่มุกสายฟ้าสีทองเม็ดหนึ่งใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ
เท่ากับว่าเก็บเอาเศษซากของยันต์อสนีสายฟ้าส่วนหนึ่งมาได้ มีความหมายไม่มาก แต่ก็ดีกว่าไม่มีเลย เวลาว่างก็จะพยายามหลอมออกมาให้ได้เป็นตัวอักษรสักสองสามตัว
ผู้ฝึกลมปราณที่สามารถรับเอาแส้ยาวสายฟ้าทั้งหมดไว้ได้โดยที่เวทอสนีไม่สูญเสียปณิธานไปแม้แต่น้อย ขอบเขตบินทะยานทั่วไปยังไม่แน่เสมอไปว่าจะทำได้ เว้นเสียจากว่าเป็นผู้ฝึกตนใหญ่ที่เดินขึ้นฟ้าไปครึ่งก้าวอย่างเทียนซือใหญ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์หรือไม่ก็อย่างฮว่อหลงเจินเหริน
ยันต์ล้ำค่าของตระกูลเซียนที่สืบทอดกันมาจากบนยอดเขา พลาดเพียงเสี้ยวก็ห่างไกลพันลี้ ขาดแค่หนึ่งถึงสองประโยคหรือขาดตัวอักษรที่เป็นกุญแจสำคัญไปสองสามคำ ไม่แน่ว่าอาจทำให้ผู้ฝึกตนเดินหลงไปทางผิด
เจี่ยเฉิงนักพรตเฒ่าตาบอดที่ภายหลังได้กลายผู้ถวายงานของภูเขาลั่วพั่ว หากไม่พูดถึงสถานะบางอย่างที่ต้องเก็บซ่อนไว้ ก็เพราะว่าเรียนวิชาอสนีนอกรีตที่ไม่สมบูรณ์บทหนึ่งถึงได้ทำร้ายอวัยวะภายใน ต่อมาก็เป็นเหตุให้ดวงตาทั้งสองข้างสูญเสียการมองเห็น
นักพรตเนิ่นกระวนกระวายอยู่ในใจ เห็นได้ชัดว่าออกจากมากำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว เวทกระบี่ของจั่วโย่วก็พัฒนาขึ้นอีก
เป็นครั้งแรกที่หลี่ไหวได้เห็นอาจารย์ลุงจั่วที่เมื่อก่อนเคยได้ยินแต่ชื่อ ไม่เคยเห็นหน้าค่าตาท่านนี้
พอคิดถึงความรู้น้อยนิดที่อยู่ในท้องของตัวเอง หลี่ไหวก็รู้สึกใจฝ่ออย่างยิ่ง มักรู้สึกว่าหากตนได้เจอกับอาจารย์ลุงจั่วท่านนี้ คาดว่าคงต้องโดนด่าตายเป็นแน่
เพราะในอดีตเผยเฉียนเคยบอกว่า ความรู้ของอาจารย์ลุงจั่วสูงมาก ปีนั้นนางติดตามห่านขาวใหญ่ไปเที่ยวกำแพงเมืองปราณกระบี่ด้วยกัน คือความโชคดีในสามชาติภพ ได้เจอกับอาจารย์ลุงใหญ่จั่วที่ความรู้สูงกว่าเวทกระบี่ การทดสอบความรู้ในครานั้น อาจารย์ลุงจั่วถามจนฟ้าสะท้านดินสะเทือนเทพผีร่ำไห้ โชคดีที่นางท่องจำไว้ได้แม่นถึงได้ผ่านด่านไปอย่างหวุดหวิด ต้องรู้ว่าอาจารย์ลุงจั่วถามคำถามยากๆ ต่อนางรวดเดียวตั้งหลายสิบข้อ นางตอบกลับไปได้แค่เจ็ดแปดส่วนเท่านั้น
ดังนั้นความทรงจำที่ใหญ่ที่สุดที่หลี่ไหวมีต่ออาจารย์ลุงท่านนี้ก็คือ ‘ชอบคว้าเอาตัวคนรุ่นเยาว์มาถามคำถามมากมาย’
นักพรตเนิ่นกำลังจะเปิดปากพูด หลิ่วชื่อเฉิงก็ชิงทอดถอนใจเอ่ยชมตัดหน้าไปเสียก่อน “ผู้อาวุโสจั่วช่างยอดเยี่ยมนัก เวทกระบี่เลิศล้ำค้ำฟ้าแล้ว”
นักพรตเนิ่นกล่าว “ผู้อาวุโส? สหายหลิ่ว คงไม่ต้องถึงขั้นนั้นกระมัง ตามอายุแล้วเจ้าแก่กว่าจั่วโย่วไม่น้อยเลยนะ”
หลิ่วชื่อเฉิงเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “การถามมรรคามีก่อนหลัง ทักษะและความรู้ของแต่ละคนมีความถนัดต่างกันไป ผู้ที่มีความรู้กว้างขวางย่อมเป็นอาจารย์ เพียงแค่นี้เท่านั้น เรียกอาจารย์จั่วว่าผู้อาวุโสด้วยความจริงใจ คือถ้อยคำจากใจจริงของข้าผู้แซ่หลิ่ว”
เฉินผิงอันเอ่ยเตือนนักพรตเนิ่น “ผู้อาวุโส”
นักพรตเนิ่นถามอย่างสงสัย “มีอะไรรึ?”
แกล้งโง่ไปอย่างนั้นเอง แท้จริงแล้วในใจสบถด่าไม่เหลือชิ้นดี มารดามันเถอะ ศิษย์พี่จั่วโย่วของเจ้าออกกระบี่ จะให้ข้าผู้อาวุโสไปยุ่งอะไรด้วย จะให้ไปช่วย หรือไปหาเรื่องให้โดนฟันกันเล่า?
อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ยินดีด่าอาเหลียงร้อยประโยค แต่จะไม่ยอมสบตากับจั่วโย่วเด็ดขาด นี่คือหลักการเหตุผลที่แม้แต่คนโง่ก็ยังรู้
เฉินผิงอันจึงได้แต่อธิบายอย่างมีน้ำอดน้ำทน “ความสัมพันธ์ควันธูปกองใหญ่บนพื้นที่เก็บมาได้เปล่าๆ ผู้อาวุโสขี้เกียจก้มเอวขนาดนี้เลยหรือ?”
นักพรตเนิ่นกระจ่างแจ้ง หัวเราะร่าเสียงดัง “มีเหตุผล มีเหตุผล”
ที่แท้ก็เป็นผู้ฝึกตนจำนวนไม่น้อยที่มาเดินเที่ยวบนเกาะนกแก้ว ขอบเขตไม่สูง แต่ความกล้าไม่น้อย ไม่รู้จักหนักเบา เห็นเรื่องสนุกบนภูเขามาจนเคยชิน ไม่รู้ถึงความลี้ลับมหัศจรรย์ของการประลองมรรคกถาของผู้ฝึกตนบนยอดเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวทอสนีของนักพรตชิงมี่ที่ประหลาดเกินไป ถึงกับสามารถค้นพบสายตาของคนที่ลอบมองมาด้วยตัวเองราวกับมีดวงตางอกขึ้นมา เมื่อเป็นเช่นนี้จึงมีแส้ยาวสายฟ้าหลายสิบเส้นผ่าเปรี้ยงลงมา
นักพรตเนิ่นทะยานร่างขึ้นจากพื้นดิน ลอยตัวอยู่กลางอากาศเหนือเกาะนกแก้ว โบกชายแขนเสื้อใหญ่ ตบให้สายฟ้าสีทองพวกนั้นแหลกสลายไป
เฉินผิงอันเอ่ยเตือนอีกครั้ง “ผู้อาวุโสช่วยคนแล้วก็จำไว้ว่าต้องด่าคนด้วย ไม่ต้องเกรงใจ”
นักพรตเนิ่นจึงก้มหน้าลงด่าทอดังลั่น “เจ้าพวกเด็กน้อยไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ไม่ต้องการลูกตากันแล้วหรือไร?!”
เสียงขอบคุณดังขึ้นไม่ขาดสายจากในบริเวณใกล้เคียงกับเกาะนกแก้ว ผู้ปกป้องมรรคาส่วนหนึ่งที่เอ่ยห้ามเด็กรุ่นเยาว์ไม่ทัน หากทุ่มสุดกำลังที่มี พวกผู้ฝึกตนเฒ่าก็สามารถปกป้องชีวิตของเด็กรุ่นเยาว์ข้างกายเอาไว้ได้ เพียงแต่ว่ามีคนลงมือช่วยเหลือ แน่นอนว่าต้องดีกว่า สามารถหลีกเลี่ยงความเสียหายของตบะและสมบัติวิเศษไปได้มาก
ทันใดนั้นทุกคนก็ให้รู้สึกสะท้อนใจยิ่งนัก คิดไม่ถึงว่านักพรตเนิ่นที่อยู่ดีๆ ก็โผล่มาบนโลกผู้นี้ ก่อนหน้านั้นตอนที่อยู่บนเกาะนกแก้วมองดูเหมือนกระทำการกำเริบเสิบสาน โอหังสุดขีด แต่กลับกลายเป็นว่าเป็นยอดฝีมือที่รักและห่วงใยเด็กรุ่นหลัง?
คนเราไม่อาจมองกันที่หน้าตาได้จริงๆ
เฉินผิงอันเอ่ยเตือนอีกว่า “หากมีคนเชื้อเชิญผู้อาวุโสให้ไปเป็นแขกที่บ้าน สามารถเลือกสักสองสามคนที่ถูกชะตาได้ ตอบพวกเขาไปว่าหากมีเวลาว่างค่อยว่ากัน”
นักพรตเนิ่นใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งตบสายฟ้าสีทองเส้นหนึ่งให้แหลกสลาย เอ่ยอย่างเดือดดาลว่า “เรื่องน้ำใจคนเล็กๆ น้อยๆ แค่นี้ ข้าผู้อาวุโสยังต้องให้เจ้ามาสอนอีกรึ?!”
เฉินผิงอันหัวเราะร่า “ไหนเลยจะกล้าสอนผู้อาวุโสให้ทำอะไร แต่สอนผู้อาวุโสว่าควรวางตัวเป็นคนอย่างไรกลับพอจะทำได้”
อยู่กับเถาถิงแห่งเปลี่ยวร้างผู้นี้ จะปล่อยตามใจอีกฝ่ายมากเกินไปนักไม่ได้
นักพรตเนิ่นชำเลืองตามองจั่วโย่วที่อยู่ไกลสุดขอบฟ้า แต่หนึ่งกระบี่สามารถขยับมาใกล้เพียงตรงหน้าได้ก็ทะยานลมหวนกลับมาที่เดิมอย่างขุ่นเคือง
หลิ่วชื่อเฉิงถามเสียงเบา “พี่ใหญ่เถาถิง ท่านคิดว่าทั้งสองฝ่ายจะตีกันนานแค่ไหน?”
ส่วนเรื่องผลแพ้ชนะ ไม่มีอะไรให้ต้องลุ้น
นักพรตเนิ่นหลุดหัวเราะพรืด “ไม่ใช่ขอบเขตบินทะยานขั้นสมบูรณ์แบบก็ต้านรับกระบี่ของจั่วโย่วได้แค่ไม่กี่ทีเท่านั้น ต้องมองจั่วโย่วให้เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบสี่เกินครึ่งตัว”
ขอบเขตสิบสี่เกินครึ่งตัว ฟังดูเหมือนว่าไม่น่าฟังเท่าขอบเขตบินทะยานขั้นสูงสุด
แต่ในความเป็นจริงแล้ว อย่าว่าแต่เกินครึ่งเลย ต่อให้แค่ขอบเขตสิบสี่ครึ่งตัว ก็ทิ้งระยะห่างเป็นร่องปราการใหญ่ลึกกับขอบเขตบินทะยานทั่วไปแล้ว
เพราะนี่หมายความว่าท้ายที่สุดแล้วผู้ฝึกตนใหญ่บนยอดเขาคนหนึ่งจะมีคุณสมบัติได้เดินขึ้นฟ้าหรือไม่
เนื่องจากตอนนี้ยังไม่มีอันตรายถึงชีวิต เฝิงเซวี่ยเทาจึงเหลือบมองไปยังเซียนกระบี่ชุดเขียวบนเกาะนกแก้วคล้ายตั้งใจคล้ายไม่ได้เจตนา
คาดไม่ถึงว่านักพรตชิงมี่แค่แบ่งสมาธิไปเล็กน้อยก็โดนกระบี่หนึ่งฟันเข้าใส่อย่างไร้ต้นสายปลายเหตุ
จั่วโย่วปาดกระบี่ในแนวขวางแล้วฟันในแนวตั้ง เป็นเหตุให้บ่อสายฟ้าบ่อนั้นถูกฟันเป็นสองซีกแล้วก็ถูกฟันซ้ำเป็นอีกสองซีก
ก่อนหน้านี้ตีกับชิงกงไท่เป่าที่อำเภอพ่านสุ่ยก็ดี ตอนนี้ตีกับเฝิงเซวี่ยเทาบนม่านฟ้าแห่งนี้ก็ช่าง จั่วโย่วยังออมแรงไว้ไม่น้อย เพียงแค่ใช้ขอบเขตของเวทกระบี่ตอนที่ออกทะเลไปเยี่ยมเยือนเซียนถามกระบี่ต่อบินทะยานทั้งสองคนเท่านั้น อีกทั้งยังไม่ได้ลงแรงอย่างเต็มที่ด้วย
นี่เท่ากับว่ากดขอบเขตแล้วกดขอบเขตอีก
หนึ่งเพราะการลงมือของขอบเขตบินทะยานทั้งสองมีสิ่งให้ต้องกังวลมากมาย กังวลว่าจะถูกทางศาลบุ๋นซักไซ้เอาความผิด ขณะเดียวกันก็ไม่กล้าร่ายใช้วิชาอภินิหารอย่างเต็มกำลัง
นอกจากนี้จั่วโย่วเองก็ไม่รู้รากฐานของขอบเขตบินทะยานฝ่ายตรงข้ามว่าลึกหรือตื้น ไม่อยากให้กลายเป็นว่าแค่ออกกระบี่ไม่กี่ทีก็ไม่ทันระวังฟันอีกฝ่ายจนร่อแร่ใกล้ตาย
แต่หากอยู่บนทะเลก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ไม่ระวังก็ไม่ระวังไปเถอะ
จะว่าไปแล้วขอบเขตบินทะยานบางคนของใต้หล้าไพศาลอย่างพวกหนันกวงจ้าว จิงเฮา ความสามารถในการจับคู่เข่นฆ่าด้อยกว่าปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานของใต้หล้าเปลี่ยวร้างอยู่จริงๆ
ผู้ฝึกลมปราณของใต้หล้าไพศาล ส่วนใหญ่แล้วฝึกตนไปเพื่อขอบเขต เพื่อพิสูจน์มรรคาเป็นอมตะ
ทว่าทางฝั่งของใต้หล้าเปลี่ยวร้างกลับบริสุทธิ์เรียบง่ายยิ่งกว่า ขอบเขตข้าก็ต้องการ ความเป็นอมตะไม่เสื่อมสลายข้าก็ต้องการ แต่ว่าพูดไปพูดมาก็ยังเพื่อให้การเข่นฆ่าต่อสู้บนมหามรรคาสาแก่ใจได้มากกว่าเดิม
แสวงหาผลลัพธ์ที่มีอายุยืนยาวอยู่เคียงคู่ไปกับฟ้าดินเหมือนกัน แต่กลับเป็นเส้นทางการฝึกตนสองเส้นที่แตกต่างกัน
เฝิงเซวี่ยเทาไม่เสียทีที่มีชาติกำเนิดจากผู้ฝึกตนอิสระ เขาใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “หากเซียนกระบี่จั่วคิดแต่จะฆ่าคนก็อย่าโทษหากพื้นที่ในรัศมีพันลี้จะมีเวทคาถากระจายออกไปเหมือนฝนที่ตกลงในโลกมนุษย์ ถึงเวลานั้นเดือดร้อนคนบริสุทธิ์ แน่นอนว่าหลักๆ แล้วยังต้องโทษข้า เพียงแต่ว่าคนตายหงายขึ้นฟ้า นี่ก็โทษข้าไม่ได้แล้ว คงต้องโทษที่เซียนกระบี่จั่วบีบคั้นกันมากเกินไป”
จั่วโย่วกล่าว “เจ้าจะลองดูก็ได้”
เฝิงเซวี่ยเทาสะอึกอึ้งไปทันใด เกือบจะถูกจั่วโย่วผู้นี้ทำให้โมโหจนบาดเจ็บภายใน
หากเปลี่ยนมาเป็นคนอื่นที่ไม่ยี่หระเช่นนี้ เฝิงเซวี่ยเทาอาจจะเข้าใจไปว่าอีกฝ่ายแค่วางท่าข่มขู่ให้คนกลัวเท่านั้น
ทว่าบัณฑิตที่หันไปฝึกกระบี่ตรงหน้าผู้นี้ไม่อาจใช้หลักการทั่วไปมาประเมินได้
เฝิงเซวี่ยเทาถาม “เพราะอะไรเจ้าถึงต้องถามกระบี่กับข้า? ตีกันก็ควรต้องมีเหตุผลกระมัง? ข้ากับเจ้า และกับสายเหวินเซิ่งของพวกเจ้าไม่เคยมีความแค้นใดๆ ต่อกัน”
จั่วโย่วเอ่ย “เห็นเจ้าแล้วไม่สบอารมณ์ ถือว่าเป็นเหตุผลหรือไม่?”
สีหน้าเฝิงเซวี่ยเทามืดทะมึน “ทำไมต้องให้ข้าลงสนามรบให้ได้ด้วย?! ข้าผู้อาวุโสฝึกตนอย่างเงียบสงบบนภูเขามาหลายพันปี ฝึกอบรมบ่มเพาะใจตน ไม่เคยสร้างปัญหาให้กับล่างภูเขาของไพศาลแม้แต่น้อย หรือว่าเจ้าจั่วโย่วคิดว่าตัวเองเป็นเจ้าลัทธิศาลบุ๋นแล้ว ถึงต้องมายุ่งวุ่นวายกับคนอื่นเช่นนี้?!”
จั่วโย่วขมวดคิ้วพูด “จะเปลืองน้ำลายพูดกับเจ้าเป็นประโยคสุดท้าย มีเพียงคนที่กระดูกแข็งพอถึงจะมีคุณสมบัติมาพูดจาแข็งกระด้างกับข้า”
ขอบเขตบินทะยานทั้งหลายพวกนี้ ความสามารถในการฝึกตนไม่อ่อนด้อย ทว่าความสามารถในการหาข้ออ้างให้กับตัวเองกลับแข็งแกร่งยิ่งกว่า
ไปร่วมสมรภูมิรบของแต่ละทวีป ต่อให้ไม่อาจเอาอย่างโจวเสินจือ แต่แค่เอาอย่างไหวอินไหวซ่วนผานก็ยังทำไม่ได้งั้นหรือ? ทำได้สิ ก็แค่ไม่ยินดีทำเท่านั้น ไม่ต้องการจะเสียเปรียบแม้แต่น้อย หากเป็นเพียงแค่นี้ก็ช่างเถิด รอให้ใต้หล้าสงบสุขหมดเรื่องแล้วยังจะมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นอีก ยกตัวอย่างเช่นทางทิศใต้ของหลิวเสียทวีปมีสงครามที่การสู้รบรุนแรงเกิดขึ้นหลายครั้ง ชิงกงไท่เป่าที่ทั้งบ้านเกิดและสำนักล้วนอยู่ที่ธวัลทวีปกลับไม่เคยโผล่หน้าตั้งแต่ต้นจนจบ โจวเสินจือผู้ฝึกกระบี่ของแผ่นดินกลางรบตายที่ถ้ำซานสุ่ยของฝูเหยาทวีป เฝิงเซวี่ยเทาที่มีความแค้นกับโจวเสินจือ หลังจบเรื่องยังวิ่งไปชื่นชมซากปรักสนามรบ ต่อให้มาอยู่ที่ศาลบุ๋น ผู้ฝึกตนใหญ่บนยอดเขาที่หลบพ้นหายนะทางสงครามมาได้เหล่านี้ก็ยังไม่รู้จักทำตัวสำรวมกันบ้าง
ตอนที่ฟ้ากำลังจะถล่มลงมา ก้มหน้าค้อมเอว มีชีวิตอยู่รอดไปเพียงวันๆ ย่อมได้ รอกระทั่งวิถีทางโลกสงบสุขแล้วปิดประตูแอบชอบใจอยู่กับตัวเองก็พอ อย่าคิดได้คืบแล้วยังจะเอาศอก แสร้งทำเป็นว่าตัวเองค้ำฟ้ายันดิน เอวยืดตรง เพียงแค่ไม่ทันระวังพลาดสงครามที่ถาโถมเข้าใส่ใต้หล้าเท่านั้น
อันที่จริงจั่วโย่วพูดคุยกับเฝิงเซวี่ยเทาแค่ไม่กี่ประโยคเท่านั้น เพียงแต่ว่าทุกครั้งที่พูดเพิ่มหนึ่งประโยคก็จะไม่พอใจคนผู้นี้เพิ่มไปอีกหนึ่งส่วน
ดังนั้นจั่วโย่วจึงคิดจะปล่อยกระบี่เป็นครั้งสุดท้าย
และเวลานี้เองทางฝั่งของศาลบุ๋นพลันมีเรือนกายหนึ่งพุ่งกระโจนขึ้นมา ตะโกนเสียงดังว่า “ให้ข้าทำเอง!”
จั่วโย่วลังเลเล็กน้อย สุดท้ายก็ไม่ได้ส่งกระบี่นั้นออกไป
ปล่อยให้คนผู้นั้นเดินสวนไหล่กับตนไป กดหัวเฝิงเซวี่ยเทาที่ไม่มีที่ให้หลบเลี่ยง พากัน ‘บินทะยาน’ ออกไปจากไพศาล
ดูจากท่าทางแล้วน่าจะพาคนตรงไปที่กำแพงเมืองปราณกระบี่เลย
ผู้ฝึกตนของแต่ละฝ่ายที่อยู่รอบศาลบุ๋น ทุกคนล้วนปากอ้าตาค้าง
จั่วโย่วสอดกระบี่กลับใส่ฝัก พลิ้วกายหวนกลับไปยังศาลบุ๋น
ไม่มีการออกกระบี่ที่เกินความจำเป็น ไม่มีคำพูดที่มากเกินพอดี
——