กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 800.3 ขึ้นที่สูงมองไปไกล
เฉินผิงอันชี้ไปที่ปากของเจี่ยงหลงเซียง เอ่ยเตือนว่า “นี่คือจุดจบที่คราวก่อนเจ้าอยู่ที่นี่แล้วไม่ได้ควบคุมปากตัวเองให้ดี ครั้งนี้จะยังไปฟ้องที่ศาลบุ๋นอีกหรือไม่ เจ้าก็ลองชั่งน้ำหนักเอาเอง คำพูดสามารถพูดได้ตามใจ แต่ฟันในปากมีแค่ไม่กี่ซี่เท่านั้น ต้องหัดทะนุถนอมเอาไว้ให้ดี ไม่อย่างนั้นวันหน้าไปถ่ายทอดความรู้ไขข้อข้องใจที่บ้านเกิด พูดไม่ชัดเจน พวกเด็กๆ ที่ฟังคำสอนก็ง่ายที่จะไม่เข้าใจว่าสรุปแล้วเจ้ากำลังพูดอะไรอยู่กันแน่”
สีหน้าของเจี่ยงหลงเซียงเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่างไม่แน่นอน
ข้อสงสัยที่ใหญ่ที่สุดของเขาตอนนี้ อันที่จริงไม่ใช่ว่าเหตุใดอีกฝ่ายถึงได้ลงมือกับตน เรื่องนี้ไม่สำคัญแล้ว แต่คือเหตุใดอีกฝ่ายถึงกล้าลงมืออย่างอำมหิตเช่นนี้ เหตุใดพวกอริยะปราชญ์ศาลบุ๋นที่อยู่ใกล้ในระยะประชิดถึงไม่มีสักคนที่มาดูแลบ้างเลย!
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “วันนี้อยู่ที่ศาลบุ๋น ข้าไม่กล้าแตะต้องเจ้า แต่อย่าได้นึกว่าทำอย่างนี้แล้วจะจบกันไป วันหน้าข้าจะยังไปเที่ยวเยือนราชวงศ์เส้าหยวนอีกรอบ ถึงเวลานั้นพวกเราก็มารำลึกความหลังกันต่อ ดังนั้นไม่ต้องให้เจ้าลำบากไปแก้แค้นหรอก”
ในใจเจี่ยงหลงเซียงเปี่ยมไปด้วยความเจ็บแค้น ทั้งกริ่งเกรงทั้งเดือดดาลอย่างละครึ่ง
แบบนี้ยังเรียกว่าไม่กล้าแตะต้องข้าอีกหรือ?!
คราวหน้าที่พบเจอกัน เจ้ายังคิดจะทำอย่างไรอีก?
เฉินผิงอันยกมือขึ้น ยื่นฝ่ามือหนึ่งออกมาเบาๆ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ข้าจะต้องคิดบัญชีกับเจ้าให้ดีๆ เป็นแน่ ทั้งทุนทั้งกำไรจะเอากลับคืนมาทั้งหมด”
เจี่ยงหลงเซียงกำลังจะลุกขึ้นยืน
เฉินผิงอันเงื้อมือทำท่าว่าจะตี เจี่ยงหลงเซียงก็ตกใจจนต้องรีบหันหน้าหนี
เฉินผิงอันจากไปพร้อมเสียงหัวเราะ
สตรีสวมหมวกคลุมหน้าปรากฏตัวจากตรงหัวเลี้ยว จากนั้นก็หยุดยืนนิ่งมองไกลๆ มายังคนชุดเขียว
แม้ว่าจะไม่เห็นหน้าตา แต่รูปร่างอรชรของนาง เพียงแค่นางยืนอยู่ตรงนั้นก็ราวกับกิ่งเหมยกิ่งหนึ่งที่ยื่นออกมาจากมุมกำแพง
เฉินผิงอันทิ้งเจี่ยงหลงเซียงไว้ด้านหนึ่ง ตัวเองเดินไปหาสตรีที่สวมหมวกคลุมหน้า กุมหมัดยิ้มเอ่ย “คารวะเถ้าแก่เหยา”
นางยิ้มพลางคารวะกลับคืน “คุณชายเฉิน”
เฉินผิงอันเอ่ย “เรียกชื่อข้าก็ได้”
คนทั้งสองเดินเคียงบ่าเข้าไปในตรอกด้วยกัน คนที่อยู่ข้างกายเฉินผิงอันก็คือจิ่วเหนียง คราแรกนางติดตามสวินยวนออกมาจากราชวงศ์ต้าเฉวียนไปที่สำนักกุยหยกก่อน ฝึกตนอยู่ที่นั่นนานหลายปี หลังจากนั้นก็ติดตามเทียนซือใหญ่จ้าวเทียนไล่ออกมาจากใบถงทวีป ต่อมานางก็ตั้งใจฝึกตนอยู่ที่ภูเขาด้านหลังของจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์
นางกับเลี่ยนเจินจิ้งจอกฟ้าเก้าหางถือว่ามีต้นกำเนิดเดียวกันแต่คนละสาย เพียงแต่ว่าเกิดมามีความใกล้ชิดกันตามธรรมชาติ หลายปีนี้อยู่ร่วมกันความสัมพันธ์จึงเหมือนพี่สาวกับน้องสาว
จิ้งจอกฟ้าเลี่ยนเจิน มหามรรคาสูงส่งยาวไกลมากแล้ว โดดเด่นอย่างถึงที่สุด อยู่ในภูเขามานาน กลิ่นอายเซียนล่องลอย ไม่ใช่ว่าภูตทั่วไปจะสามารถทัดเทียมได้ แต่นางกลับชอบฟังจิ่วเหนียงเล่าเรื่องในยุทธภพที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของหมู่บ้านร้านตลาดอย่างมาก แม้แต่เรื่องการประลองปัญญาการประชันความกล้าระหว่างพวกมือปราบของที่ว่าการและพวกภูตผีชั่วร้ายทั้งหลายในเมืองหูเอ๋อร์ เลี่ยนเจินก็รับฟังอย่างเพลิดเพลินยิ่ง
จิ่วเหนียงหันหน้ามา ยื่นนิ้วออกไปแหวกเปิดมุมหนึ่งของผ้าคลุมหน้า ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “เกือบจะจำคุณชายเฉินไม่ได้แล้ว”
ปีนั้นตอนที่อยู่โรงเตี๊ยมริมชายแดนต้าเฉวียน ทั้งสองฝ่ายพบเจอกันเป็นครั้งแรก เฉินผิงอันยังเป็นเพียงเด็กหนุ่มคนหนึ่ง
สวมชุดสีขาว ตรงเอวห้อยน้ำเต้าบรรจุเหล้าสีชาดลูกหนึ่ง ข้างกายมีแม่นางน้อยถ่านดำที่เฉลียวฉลาด และยังมีข้ารับใช้ที่ภาพบรรยากาศแตกต่างกันไปติดตามมาด้วย
เด็กหนุ่มในอดีต วันนี้กลับกลายมาเป็นบุรุษชุดเขียวเรือนกายสูงเพรียวคนหนึ่ง เป็นเซียนกระบี่บนภูเขาอย่างสมชื่อแล้ว
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “มาดของเถ้าแก่เหยายังคงอยู่ คิดถึงเหล้าบ๊วยหมักห้าปีของโรงเตี๊ยมอย่างมาก แล้วยังมีแพะย่างทั้งตัวอีก ช่างเป็นรสชาติที่บนภูเขาไม่มี ล่างภูเขาน้อยนักที่จะมีจริงๆ”
จิ่วเหนียงคลายนิ้วออก ปล่อยมุมหนึ่งของผ้าคลุมหน้าลง “เรียกเถ้าแก่เหยาอะไรกัน ห่างเหินเกินไปแล้ว คุณชายเรียกข้าว่าจิ่วเหนียงก็พอแล้ว”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
ครั้งแรกที่ได้ยินประโยคว่า ‘ชีวิตคนเส้นทางแคบ จอกเหล้ากว้าง’ ในชีวิต ก็คือคำพูดบนโต๊ะสุราของจิ่วเหนียงท่านนี้
จิ่วเหนียงยิ้มถาม “เว่ยคอแข็งผู้นั้น ทุกวันนี้ไม่ได้เป็นองค์รักษ์อยู่ข้างกายคุณชายหรือ?”
ผู้ฝึกยุทธแซ่เว่ยคนนั้นบอกว่าตัวเองคอแข็ง ผลคือดื่มเหล้าชามหนึ่งลงท้อง บุรุษผู้นั้นก็กลายเป็นโคลนเละๆ กองหนึ่ง นอนฟุบคว่ำบนเตียงส่งเสียงกรนดังราวฟ้าผ่า
ช่างเป็นความทรงจำที่ทำให้คนจดจำได้อย่างลึกล้ำเสียจริง
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ล้วนมีชีวิตเป็นของตัวเอง”
จิ่วเหนียงถอนหายใจ “เหตุผลเป็นเช่นนี้จริง”
เฉินผิงอันใช้เสียงในใจเอ่ย “ได้ยินมาว่าทุกวันนี้จงขุยยังอยู่ที่ดินแดนพุทธะสุขาวดี จึงพลาดการประชุมครั้งนี้ไป”
จิ่วเหนียงไม่ได้มีเรื่องอะไรให้รำลึกความหลังกับเฉินผิงอัน แค่พบเจอกันอย่างผิวเผิน แม้ว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายจะไม่เลว แต่ก็ไม่ถึงขั้นที่ทำให้จิ่วเหนียงต้องมาตามหาเขา
ไม่ได้ถามออกมา แต่การมาของนาง เดิมทีก็เป็นการถามคำถามอย่างหนึ่ง
จิ่วเหนียงกลับเอ่ยว่า “จะไปพูดถึงเขาทำไม มีชีวิตอยู่อย่างคนก็ไม่ใช่คน ผีก็ไม่ใช่ผี ชอบหาความลำบากใส่ตัว”
เฉินผิงอันจึงกล่าวว่า “ปีนั้นจงขุยขี้ขลาด แต่อาจเป็นเพราะเขาเดาออกถึงสภาพการณ์ของตัวเองในภายหลัง จึงไม่อาจทำตัวกล้าหาญได้”
จิ่วเหนียงกลอกตามองบน “เขายังขี้ขลาดอีกหรือ?”
จากนั้นนางก็หัวเราะ “ขี้ขลาดหรือใจกล้า ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับข้า เขาเป็นแค่นักบัญชีคนหนึ่ง ไม่ว่าจะพบเจอหรือแยกย้ายล้วนให้เป็นไปตามบุพเพวาสนาเถอะ”
เฉินผิงอันจึงไม่เอ่ยอะไรให้มากความอีก
หลังจากที่พูดคุยเรื่องสถานการณ์ล่าสุดของราชวงศ์ต้าเฉวียนกับจิ่วเหนียงสองสามประโยค สองฝ่ายก็แยกย้ายกันไปทางใครทางมัน
จงขุยกับจิ่วเหนียงที่สถานะพิเศษคนนี้ก็เหมือนบัญชีเลอะเลือนบัญชีหนึ่งบนสมุดวาสนาชีวิตคู่
จิ่วเหนียงผู้นี้ หรือควรจะเรียกว่าฮ่วนซาฮูหยิน เรื่องที่นางโกรธเคืองจงขุยซึ่งรับหน้าที่เป็นนักบัญชีมากที่สุด ถึงขั้นที่ว่าไม่ใช่เรื่องที่จงขุยปิดบังสถานะวิญญูชนของสำนักศึกษา คอยจับตามองทุกการกระทำของฮ่วนซาฮูหยินเช่นนางอยู่ที่โรงเตี๊ยม แต่เป็นเพราะจงขุยขี้ขลาดเกินไป คำพูดเหลวไหลทุกคำที่มองดูเหมือนขวัญกล้าเทียมฟ้าของเขา อันที่จริงล้วนเป็นความขี้ขลาดทั้งสิ้น
ไม่แน่เสมอไปว่าข้าจะตอบตกลงเจ้าจงขุย แต่ในเมื่อเจ้าจงขุยชอบข้า ทว่าแม้แต่คำว่าชอบสักคำก็ยังไม่พูดออกมา จะนับเป็นเรื่องอะไรได้?
บางทีสิ่งที่นางคาดหวังก็คือ นักบัญชีอย่างจงขุยนี้จะมายืนอยู่ตรงหน้านางอย่างถูกต้องตามกฎตามระเบียบ พูดคำว่าชอบออกมาอย่างจริงใจ
ไม่ใช่ว่าสตรีไม่มีเหตุผลไปเสียทั้งหมด เพียงแต่ว่าส่วนใหญ่แล้วเหตุผลของบุรุษมักจะไม่ได้อยู่บนเส้นทางเดียวกับกับเหตุผลที่พวกนางอยากฟัง
เหตุผลของสตรี อันที่จริงเป็นเรื่องของอารมณ์ความรู้สึกมากกว่า หากแม้แต่การใช้เหตุผลเพื่อพวกนาง บุรุษก็ยังไม่อาจทำได้อย่างชัดเจน ถ้าอย่างนั้นก็หมดหวังแล้ว แน่นอนว่ายิ่งพูดมากก็ยิ่งทำผิดได้มาก
เฉินผิงอันรู้สึกมาโดยตลอดว่าตนเองก็แค่เข้าใจเรื่องความรักชายหญิงช้าไปสักหน่อย อันที่จริงสามารถถือว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์คนหนึ่งได้ เพราะเรื่องที่เขาเข้าใจมีอยู่ไม่น้อย
ในบรรดาศิษย์พี่ร่วมสำนัก พูดถึงแค่เรื่องนี้ ต่อให้เอามารวมกันก็ยังสู้ตนไม่ได้
คำพูดประเภทนี้ต่อให้ต้องพูดต่อหน้าศิษย์พี่จั่วและศิษย์พี่จวินเชี่ยน เขาก็ยังกล้าพูด
แน่นอนว่าเงื่อนไขก็คือต้องมีอาจารย์อยู่ข้างกายด้วย
เฉินผิงอันเดินอยู่ในตรอกเพียงลำพัง อยู่ดีๆ ก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา ก่อนหน้านี้ไปเยือนท่าเรือเวิ่นจินพร้อมกับเจิ้งจวีจง
อันที่จริงตลอดเส้นทางเจ้านครจักรพรรดิขาวผู้นี้เอ่ยกับตนแค่สามประโยคเท่านั้น เฉินผิงอันจึงเพียงแค่รับฟังอย่างเดียว
เฝ่ยหรานและโจวชิงเกา ไม่ต้องสงสัยเลยว่าในการคุมเชิงกันของสองใต้หล้าครั้งนี้ ก็คือคนสองคนที่เป็นหน้าเป็นตาที่สุดของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง
สำหรับเรื่องนี้เจิ้งจวีจงเอ่ยวิจารณ์มาหนึ่งประโยค ‘เฝ่ยหรานฉลาดมาก มีความหวังบนมหามรรคา จุดจบของโจวชิงเกาอาจจะค่อนข้างน่าสงสาร ดังนั้นเรื่องการทบทวนกระดาน หากเป็นไปได้ล่ะก็ ไม่สู้เจ้าทำให้เขาสมปรารถนาไปเถอะ’
อีกประโยคหนึ่งมีความหมายลึกล้ำมากยิ่งกว่า ‘ชีวิตคนเหมือนความฝัน เมื่อจิตใจถูกชักนำ ไม่ทันระวังสะดุ้งโหยง เหมือนคนสะดุ้งตื่นจากฝัน’
เหลือประโยคสุดท้ายคือถ้อยคำที่สมกับเป็นคำกล่าวของผู้อาวุโส ‘เรียกเจ้าว่าอาจารย์เฉิน แล้วยังออกมาพบเจ้า เหตุผลเรียบง่ายมาก วันนี้คนที่ข้ามาพบไม่ใช่อิ่นกวานหนุ่มของวันนี้ แต่เป็นอาจารย์เฉินบนยอดเขาในอนาคต’
ต่อจากนี้เฉินผิงอันคิดว่าจะไปถามหมัดสักรอบ
……
บนเรือราตรีลำนั้น ในเมืองหลิงซี เด็กหนุ่มรูปโฉมหล่อเหลาที่บนศีรษะมีเขากวางติดตามเจ้านายหญิงของเขาเป็นฝ่ายไปขอพบกลุ่มของหนิงเหยาที่มาเป็นแขกที่นี่ บอกว่ายินดีต้อนรับให้พวกเขาอยู่ต่อที่นี่
ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันไม่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ ตอนที่เดินทางผ่านนครหลิงซี ทั้งสองฝ่ายเกือบจะลงมือต่อกันอีกด้วย
เข้าพักที่จวนตระกูลเซียนแห่งหนึ่งของนครหลิงซี ท่ามกลางม่านราตรี หนิงเหยาพาเผยเฉียน หมี่ลี่น้อยและเด็กชายผมขาวมานั่งชมจันทร์บนหลังคาเรือนหลังหนึ่งด้วยกัน
ระหว่างที่เดินทางท่องเที่ยว ทุกครั้งที่หนิงเหยาเดินทางผ่านนครทุกแห่งก็จะต้องออกกระบี่ฟันหนึ่งที เพื่อทำลายตราผนึกของเรือข้ามฟาก
ทางฝั่งของเรือราตรีก็ไม่มีทีท่าว่าจะขัดขวาง
เวลานี้หนิงเหยายิ้มถาม “หมี่ลี่น้อย พอมีข้าเพิ่มมาอีกคน พวกเจ้าที่อยู่อุตรกุรุทวีปก็จะได้ไปเยือนสถานที่ต่างๆ น้อยลงหรือไม่?”
หมี่ลี่น้อยตั้งใจคิดแล้วส่ายหน้า “ไม่หรอกๆ”
ต้องใช้สมองสักหน่อย ให้เห็นว่าได้ผ่านการตรึกตรองอย่างตั้งใจมาแล้ว ไม่อาจหลุดปากพูดอะไรออกไปง่ายๆ แบบนั้นจะไม่มีความจริงใจมากพอแล้ว
เผยเฉียนนั่งอยู่ด้านข้างด้วยความรู้สึกอกสั่นขวัญผวาเล็กน้อย กังวลจริงๆ ว่าหมี่ลี่น้อยจะหลุดปากพูดอะไรไป
หมี่ลี่น้อยเหล่ตามองเผยเฉียน จากนั้นก็ทิ้งตัวนอนหงายไปด้านหลัง แอบยื่นมือไปยกนิ้วโป้งให้จากข้างหลัง ขอความดีความชอบจากเผยเฉียน ขณะเดียวกันก็ชมเชยตัวเองไปด้วย
นางไม่ใช่เจ้าโง่น้อยเสียหน่อย
ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในโรงเตี๊ยมนครเถียวมู่ มีความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ เกิดขึ้น อันที่จริงล้วนเป็นเวทอำพรางตาที่นางจงใจแกล้งโง่ไปอย่างนั้นเอง
หมี่ลี่น้อยลังเลอยู่นานมาก แต่ก็ยังถามอย่างระมัดระวังว่า “ฮูหยินเจ้าขุนเขา ท่านกำลังกังวลว่าเจ้าขุนเขาคนดีจะไปชอบสตรีผู้อื่นหรือ?”
หนิงเหยายิ้มไม่เอ่ยอะไร
หมี่ลี่น้อยยกสองแขนกอดเข่า เอ่ยเสียงเบา “ไม่มีหรอกนะ ปีนั้นที่ข้ายืนอยู่ในตะกร้าไม้ไผ่ใบใหญ่ด้านหลังเขา ออกท่องยุทธภพไปพร้อมกับเจ้าขุนเขาคนดี ได้เดินทางไปไกลมาก ทุกครั้งที่เขาเจอกับแม่นางหน้าตางดงามล้วนไม่เคยสนใจ เจ้าขุนเขาคนดีชอบพี่หญิงหนิงมากเลยนะ คิดถึงพี่หญิงหนิงทุกวันเลย”
หนิงเหยาเอ่ย “อันที่จริงข้าไม่เคยเป็นกังวลเลย เพียงแต่ว่าหากเป็นเช่นนี้ ดูเหมือนว่าเวลาพูดไปพูดมา ข้าก็มักจะไม่รู้ว่าตัวเองอยากจะพูดอะไรแล้ว”
หนิงเหยาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า “อันที่จริงก็ยังกังวลอยู่บ้าง”
ทำไมจะไม่กังวลสักนิดเลยเล่า ต้องมีกันบ้างนั่นแหละ
หากเฉินผิงอันมีสถานที่ที่อยากไปเยือนก็จะต้องไปให้ถึงที่นั่นให้ได้ ต่อให้ต้องเดินทางอ้อมไปไกลก็ไม่มีทางเปลี่ยนใจ
แต่หากเขาต้องการไปจากสถานที่แห่งหนึ่ง นั่นก็จะไม่มีทางหวนกลับคืนมาอีก
หมี่ลี่น้อยถามอย่างสงสัย “ฮูหยินเจ้าขุนเขา ได้ยินเจ้าขุนเขาคนดีเล่าว่า พวกท่านสองคนคือรักแรกพบอย่างที่เล่ากันในตำนานเลยนะ”
หนิงเหยาไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี จึงไม่ตอบรับประโยคนี้ รักแรกพบอะไรกัน ไม่มีเรื่องแบบนั้นเสียหน่อย เพียงเอ่ยกับหมี่ลี่น้อยว่า “เรียกข้าว่าพี่หญิงหนิงก็พอแล้ว”
เผยเฉียนที่ดื่มเหล้าจงใจแสร้งสำลัก ไออยู่สองสามที
หมี่ลี่น้อยรู้ใจทันที พูดผิดแล้วหรือ? ดังนั้นจึงรีบแก้เสริมไปว่า “ทราบแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเป็นเจ้าขุนเขาคนดีที่หลงรักพี่หญิงหนิงตั้งแต่แรกพบ ตอนนั้นพี่หญิงหนิงยังลังเลอยู่ว่าจะชอบเจ้าขุนเขาคนดีดีหรือไม่ ใช่ไหม?”
หนิงเหยาคิดแล้วก็ส่ายหน้ายิ้มเอ่ย “อย่าไปฟังเขาพูดเหลวไหล ปีนั้นตอนที่เพิ่งได้เจอกันในตรอกหนีผิง ข้าไม่ได้ชอบเขา เขาเองก็ไม่ได้ชอบข้า”
หมี่ลี่น้อยยกสองแขนกอดอกทันใด หันตัวมามองหนิงเหยา พูดอย่างจริงจังว่า “ไม่ใช่สักหน่อย เจ้าขุนเขาคนดีบอกว่าตอนนั้นเขาก็แค่ไม่รู้ว่าตัวเองชอบท่านเท่านั้น”
หนิงเหยาหัวเราะอย่างฉุนๆ “เหตุผลถูกเขายกไปพูดหมดแล้ว”
แต่ครั้งแรกที่ได้ยินเรื่องนี้ นางกลับอารมณ์ดีอย่างมาก
……
คนสองคนที่มีรูปโฉมเป็นเด็กหนุ่มชุดขาวกับบัณฑิตชุดเดียวเดินอาดๆ กลับมาที่โรงเตี๊ยมตระกูลเซียนซึ่งตั้งอยู่ที่ท่าเรือป๋ายลู่ของภูเขาตะวันเที่ยง
ร่างจริงของเถียนหว่านถึงกับยังคงหลบซ่อนตัวอยู่ที่ภูเขาตะวันเที่ยง แต่นางถูกเจ้าคนสองคนที่สมองมีปัญหานี้บีบบังคับให้จำต้องปรากฎตัวที่ท่าเรือป๋ายลู่
เพราะว่าวิธีการแยกร่างหลบหนีของนางก่อนหน้านี้ไม่เพียงแต่ถูกคนทั้งสองมองออก ยังถูกอีกฝ่ายกักขังจิตวิญญาณทั้งหมด หากถูกจับไปแค่ดวงจิตหรือวิญญาณ เถียนหว่านก็เตรียมพร้อมสำหรับผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดเอาไว้แล้ว ก็แค่สละทิ้งไปเท่านั้น นางย่อมมีวิธีในการชดเชยมหามรรคา แต่นี่ได้ไปครบทั้งจิตและวิญญาณ นางจึงไม่อาจทำอะไรได้แล้ว
เจียงซ่างเจินยิ้มตาหยีมองพี่หญิงเถียนหว่านที่สวมชุดสีชมพู “ดวงจันทร์บนน้ำห่างไกลเหมือนท้องนภา ดอกไม้ตรงหน้าคล้ายมองจากในคันฉ่อง คนหยกขาวสวมชุดเขียวมรกต พบหน้าง่ายเข้าใกล้ยาก”
ทางฝั่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่มีเรือนกาย ‘หนึ่ง’ ทิ้งตัวดิ่งลงมาบนพื้น
เฝิงเซวี่ยเทาผู้ฝึกตนใหญ่ที่ถูกบีบให้ต้องบินทะยานเดินทางไกลมายังใต้หล้าแห่งอื่นรู้สึกเวียนหัวตาลาย กว่าจะหยุดร่างได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ทอดสายตามองไปไกล ไม่นึกว่าจะเป็นใต้หล้าเปลี่ยวร้าง
ส่วนชาติสุนัขบางตัวนั้น สองขายืนเหยียบอยู่บนไหล่ของขอบเขตบินทะยานท่านนี้ สองมือปาดลูบเส้นผม ทอดถอนใจเอ่ยว่า “ขึ้นที่สูงมองไปไกล”
——