กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 801.1 ผูกด้ายแดง
เฝิงเซวี่ยเทาถาม “ทำไมถึงต้องพาข้ามาที่นี่?”
ผู้ฝึกตนใหญ่บนยอดเขาของไพศาล หากคิดจะบินทะยานไปยังใต้หล้าแห่งอื่น หนึ่งมีกฎเกณฑ์มากมาย อันดับแรกต้องได้รับคำอนุญาตจากศาลบุ๋นก่อน จากนั้นค่อยให้อริยะปราชญ์ลัทธิขงจื๊อที่เฝ้าพิทักษ์ม่านฟ้าช่วยเปิดประตูให้ ไม่อย่างนั้นก็ง่ายที่จะหลงทาง ไม่ระวังโผล่ไปยังพื้นที่ลับนอกฟ้าที่แปลกประหลาดทั้งหลาย ยากมากที่จะกลับมายังที่เดิมได้อีก นอกจากนี้ระหว่างขั้นตอนการบินทะยานของผู้ฝึกตนก็อันตรายมากเช่นกัน ต้องสื่อสารกับแม่น้ำแห่งกาลเวลาสายยาวที่เกิดจากการจำแลงของมหามรรคา ประกายแสงเจ็ดสีพร่างพราว หากไม่ระวังก็จะถูกทำลายตบะไปมากมาย ทำให้อายุขัยของผู้ฝึกตนสั้นลง ดังนั้นครั้งนี้ ‘จับมือ’ กับอาเหลียงเดินทางไกลมาเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ เพราะมีอาเหลียงเปิดทาง เฝิงเซวี่ยเทาจึงมาได้อย่างผ่อนคลาย ส่วนเหตุใดอาเหลียงถึงได้ไม่ผ่านประตูใหญ่ที่ตั้งเก่าของภูเขาห้อยหัวมายังใต้หล้าเปลี่ยวร้าง เฝิงเซวี่ยเทาก็คร้านจะถาม ถือเสียว่าไอ้หมอนี่โอ้อวดเวทกระบี่ที่สูงส่งของเขากับตนก็แล้วกัน
อาเหลียงกล่าว “เจ้าไม่ค่อยเหมือนกับชิงกงไท่เป่าสักเท่าไร”
เฝิงเซวี่ยเทาหลุดหัวเราะพรืด “ไม่เหมือนกัน? ก็โดนกระบี่จากจั่วโย่วเหมือนกันไม่ใช่หรือ?”
อาเหลียงจุ๊ปากยิ้มเอ่ย “อารมณ์ร้อนไม่เบาเหมือนกันนะนี่?”
หนันกวงจ้าว จิงเฮา เฝิงเซวี่ยเทา
ฉายาของขอบเขตบินทะยานสามคนนี้ได้แก่เทียนชวี่ ชิงกงไท่เป่า ชิงมี่ ดุดันทรงพลังไม่แพ้กัน
ข้ากลับไม่มี
พออาเหลียงคิดถึงเรื่องนี้ก็รู้สึกเสียใจเล็กน้อย
เฝิงเซวี่ยเทาที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขาผู้นี้มีความแค้นส่วนตัวกับโจวเสินจือเซียนกระบี่ผู้อาวุโสของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง เฝิงเซวี่ยเทามีชาติกำเนิดมาจากผู้ฝึกตนอิสระ เส้นทางการฝึกตนของในชีวิตนี้ ฉายาว่าชิงมี่ไม่ใช่ได้มาเปล่าๆ เรื่องลับๆ ล่อๆ แน่นอนว่าทำไปไม่น้อย และเรื่องที่ขาดศีลธรรมจริยธรรม ย่อมต้องมีมากเหมือนกัน
ส่วนจิงเฮานั้นมีชาติกำเนิดมาจากเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลจริงแท้แน่นอน เกิดบนภูเขา คือตัวอ่อนในการฝึกตนนับตั้งแต่ถือกำเนิด การฝึกตนตลอดชีวิตราบรื่นอย่างมาก ตอนนั้นเผ่าปีศาจของใต้หล้าเปลี่ยวร้างบดขยี้ขุนเขาสายน้ำของเกราะทองทวีป ข้ามมหาสมุทรขึ้นบกฝั่งทิศใต้สุดของหลิวเสียทวีป การประชุมของศาลบรรพจารย์ที่จิงเฮาอยู่ ทิศทางในช่วงแรกเริ่มคือผู้ฝึกตนของสำนักที่มีขอบเขตสูงกว่าประตูมังกรขึ้นไป อย่างน้อยต้องมีครึ่งหนึ่งที่ลงจากภูเขา ตัดสินใจเดินทางลงใต้ ไปรบตายอยู่บนสนามรบ ในบรรดานั้นคนที่อายุมากหน่อย ไม่มีความหวังในการฝ่าทะลุขอบเขต แล้วก็มีญาติมิตรของผู้ฝึกตนจำนวนไม่น้อยที่ตายอยู่ในหลิวเสียทวีป เป็นเหตุให้การออกจากภูเขาไปสังหารปีศาจครั้งนี้เพื่อผดุงความเป็นธรรม แล้วก็เพื่อแก้แค้นส่วนตัว
ทว่าสำนักใหญ่ที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ในหลิวเสียทวีปแห่งนี้กลับเลือกที่จะปิดภูเขาอย่างเหนือความคาดคิดของทุกคน อย่าว่าแต่หลังจบเรื่องที่คนภายนอกวิจารณ์กันไม่ขาดปากเลย แม้แต่ฝ่ายในของสำนักเองก็ยังรู้สึกเหลือเชื่ออย่างมาก
ได้ยินมาว่าเจ้าสำนักที่เตรียมจะนำคนลงจากภูเขาด้วยตัวเอง อยู่ดีๆ ก็เปลี่ยนความคิดในช่วงท้ายของการประชุมในศาลบรรพจารย์ครั้งนั้น เพราะเขาได้รับคำสั่งจากจิงเฮาผู้เป็นบรรพจารย์อย่างลับๆ ว่าให้เก็บออมกำลังเอาไว้ รอให้กองทัพใหญ่เผ่าปีศาจบุกโจมตีขึ้นเหนือมาถึงประตูภูเขาบ้านตัวเองก่อนค่อยว่ากันก็ยังไม่สาย จะได้ครอบครองความได้เปรียบด้านชัยภูมิ เลียนแบบเทียนเหยาเซียงของหลิวทุ่ยในฝูเหยาทวีปและนครดอกบัวของใบถงทวีปที่พิทักษ์ภูเขาเอาไว้อย่างแน่นหนา การลงมือย่อมมั่นคงมากกว่า ซึ่งก็สร้างคุณความชอบให้กับบ้านเกิดได้เช่นเดียวกัน
หลิวเสียทวีปพ่ายแพ้ ก็พยายามรักษาตัวรอดไว้ให้ได้ ใต้หล้าไพศาลชนะ ถ้าอย่างนั้นอาณาเขตทางทิศใต้ที่กว้างใหญ่ไพศาลของหนึ่งทวีป ตระกูลเซียนบนภูเขาแต่ละแห่งล้วนถูกกวาดล้างจนเกลี้ยงแล้ว ก็เป็นช่วงเวลาหายากพันปีกว่าจะพานพบที่ทางสำนักจะได้ทำการบุกเบิกที่ดินอย่างกว้างขวาง รวบรวมกองกำลังมาอยู่ใต้อาณัติของตัวเอง
ส่วนเรื่องที่ว่าโลกภายนอกมา ‘ได้ยิน’ เรื่องที่ไม่แพร่งพรายสู่หูคนนอกเรื่องนี้ได้อย่างไร ก็เพราะว่าหลังบรรพจารย์ออกจากด่าน เจ้าสำนักคนนั้นก็สูญเสียตำแหน่งเจ้าสำนักทันที ทั้งยังถูกลงโทษ ถูกกล่าวหาว่าถ่วงเวลาทำให้เสียโอกาสในการสู้รบ ในฐานะเจ้าสำนักกลับไม่มีความรับผิดชอบแม้แต่น้อย ผิดต่อบรรพชนทั้งหลายที่อยู่ในภาพแขวน จำเป็นต้องปิดประตูทบทวนตัวเองเป็นเวลาร้อยปี
เฝิงเซวี่ยเทาถามว่า “เจ้าช่วยลงมาพูดคุยกันได้ไหม?”
ซากปรักของกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้ นอกจากมีอริยะปราชญ์ผู้มีเทวรูปในศาลบุ๋นคนหนึ่งเฝ้าพิทักษ์แล้ว ยังมีผู้ฝึกตนใหญ่ของทวีปต่างๆ ที่มาปักหลักที่นี่อีกหลายคนด้วย ทุกคนต่างก็กำลังชมเรื่องสนุก
อาเหลียงบ่น “เจ้าบอกให้ข้าลงข้าก็ลง ข้ายังต้องการหน้าตาอีกไหม? เจ้าเองก็โง่เสียจริง ไม่อย่างนั้นก็บอกข้าว่าไม่ต้องลงมา แล้วเจ้าก็รอดูดีไหมว่าข้าจะลงไปหรือไม่?”
เฝิงเซวี่ยเทาทำได้เพียงหยิบเอาสถานะของผู้ฝึกตนอิสระในอดีตออกมาใช้อีกครั้ง ถึงอย่างไรข้าก็เป็นผู้ฝึกตนอิสระ ข้าจะต้องการหน้าตาไปทำอะไร
อาเหลียงไม่ได้ทำให้เฝิงเซวี่ยเทาลำบากใจมากนัก เขาพลิ้วกายลงพื้น นั่งลงบนริมขอบของหัวกำแพง ใช้หลังเท้าเตะผนังกำแพงเบาๆ หยิบเหล้าออกมาหนึ่งกา
เฝิงเซวี่ยเทาลังเลเล็กน้อย ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งยอง มองไปทางทิศใต้แล้วถามว่า “ที่นั่นก็คือภูเขาใหญ่แสนลี้ของเฒ่าตาบอดหรือ?”
อาเหลียงพยักหน้ารับ “ถือว่าเป็นถิ่นของข้า มักจะไปดื่มเหล้ากินเนื้อเป็นประจำ ปีนั้นเฒ่าตาบอดกินกระบี่ของข้าไปสิบแปดที จึงเลื่อมใสในเวทกระบี่ของข้ามาก บอกว่าหากไม่เป็นเพราะข้าอายุน้อยหล่อเหลา รูปโฉมคมคาย ก็คงเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเฉินชิงตูที่ออกกระบี่อย่างเต็มกำลังแล้ว”
เฝิงเซวี่ยเทาฟังเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา เพียงแค่พึมพำกับตัวเองว่า “อาเหลียง ทำไมเจ้าถึงขัดขวางการออกกระบี่ของจั่วโย่ว? อย่างมากข้าก็แค่ยืนนิ่งไม่ขยับ รับกระบี่เขาหนึ่งทีก็พอแล้ว มากสุดก็แค่ขอบเขตถดถอย”
อาเหลียงกล่าว “เท่าที่จำได้ ผู้ฝึกตนอิสระอย่างพวกเจ้าคิดบัญชีกันเก่งมากนี่นา หากขอบเขตถดถอย ไปที่ทิศใต้ อยู่ในใต้หล้าไพศาลจะนับเป็นอะไรได้ ชื่อเสียงไม่น่าฟัง”
เฝิงเซวี่ยเทาถาม “ดังนั้นข้าถึงไม่เข้าใจว่าทำไมเจ้าถึงต้องช่วยข้า”
อาเหลียงกล่าว “จำได้หรือไม่ว่าการล่าสัตว์ฤดูใบไม้ร่วงประจำปีที่สิบหกของราชวงศ์หนึ่งในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ราชวงศ์แห่งนั้นออกคำสั่งเรียกแคว้นใต้อาณัติหลายแห่งแล้วร่วมมือกับแคว้นใหญ่ที่เป็นเพื่อนบ้านอีกหลายที่ เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลทุกคน บวกกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้ำพากันค้นภูเขาล่าเหยื่ออย่างยิ่งใหญ่เกรียงไกร ทำการกวาดล้างสังหารพวกภูตผีอย่างกำเริบเสิบสาน?”
เฝิงเซวี่ยเทาสีหน้าไร้อารมณ์ “จำไม่ได้แล้ว”
อาเหลียงกล่าว “ข้าจำได้ มีผู้ฝึกตนอิสระคนหนึ่งที่ผ่านทางมาลงมือโจมตีอย่างรุนแรงครั้งหนึ่ง เล่นงานเซียนเหรินสองคน ทำให้เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลพวกนั้นหน้าม้านอับอายกันเป็นแถบ”
เฝิงเซวี่ยเทาเอ่ยอย่างสงสัย “เรื่องเล็กแบบนี้ เอามาพูดถึงทำไม”
เขาก็แค่ไม่ชอบการกระทำของเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลพวกนั้น อายุน้อยๆ แต่ละคนกลับประสบการณ์โชกโชน เจ้าเล่ห์เพทุบาย เชี่ยวชาญการวางแผน
อาเหลียงดื่มเหล้า เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า “หากสำนักตระกูลเซียนที่มีผู้ฝึกตนมารวมตัวกันเป็นเพียงแค่การย้ายวงการขุนนางล่างภูเขาขึ้นไปอยู่บนภูเขา ข้ารู้สึกว่าน่าเบื่ออย่างมาก”
เฝิงเซวี่ยเทาเพียงแค่นั่งยองๆ ด้วยความรู้สึกเบื่อหน่าย
อาเหลียงหันหน้ามา “มีความกล้าพอที่จะพิสูจน์ว่าศาลบุ๋นมองเจ้าผิด จั่วโย่วออกกระบี่ฟันคนผิดหรือไม่?”
เฝิงเซวี่ยเทาหัวเราะหยัน “ช่างเถิด บอกตามตรง ข้าไม่รู้สึกว่าตัวเองผิดตรงไหน แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าพวกเขาผิดเหมือนกัน”
อาเหลียงลูบคลำปลายคาง เอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “ใต้หล้านี้ไม่มีผู้ฝึกตนอิสระที่เป็นห้าขอบเขตบนเลยสักคน”
ในใจเฝิงเซวี่ยเทารู้สึกสะท้อนใจ
เจ้าชาติสุนัขผู้นี้ หากยินดีพูดจาอย่างจริงจังก็ไม่ได้แย่เหมือนที่โลกภายนอกเล่าลือกันเลย
อาเหลียงถาม “ชั่วชีวิตนี้เจ้ามีสหายที่เป็นผู้ฝึกกระบี่หรือไม่?”
เฝิงเซวี่ยเทาส่ายหน้า “เพื่อนกินมีไม่น้อย เพื่อนสนิท ไม่มี”
พูดให้ถูกก็คือไม่มีแล้ว เมื่อนานมากมาแล้ว เคยมี
อาเหลียงลุกขึ้นยืน พูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ต้องแสดงความยินดีกับเจ้าแล้ว!”
เฝิงเซวี่ยเทารู้ว่าท่าไม่ดีแล้ว
แล้วก็จริงดังคาด อาเหลียงพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ขอแค่บุกสังหารไปในเปลี่ยวร้างพร้อมกับข้า เจ้าก็จะมีสหายเป็นผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่ง”
เฝิงเซวี่ยเทายิ้มเจื่อน “ไม่มีทางเลือกแล้วใช่ไหม?”
บุกสังหารไปในเปลี่ยวร้าง? เขาเฝิงเซวี่ยเทาไม่ใช่ป๋ายเหย่สักหน่อย
อาเหลียงพูดด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความปรารถนาดี “วางใจได้เลย ข้าจะปกป้องขอบเขตบินทะยานคนหนึ่งไม่ได้เชียวหรือ?”
เฝิงเซวี่ยเทาถอนหายใจยาวเหยียด เริ่มคิดว่าจะหนีอย่างไรดี เพียงแต่พอคิดว่าหากไปถึงใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ดูเหมือนว่าเจ้าชาติสุนัขที่อยู่ข้างกายจะคุ้นเคยกับที่นั่นกว่าตนมาก แล้วจะหนีอย่างไร?
บุรุษผู้นั้นโยนกาเหล้าที่วางเปล่าทิ้งไป สองมือวางบนหน้าผาก “ผู้ทะลวงเปลี่ยวร้างจากไพศาล ผู้ฝึกกระบี่อาเหลียง”
ไม่รอพี่หญิงลู่จือแล้ว ต้องมอบแผ่นหลังที่สง่างามยิ่งใหญ่เอาไว้ให้นาง
เฝิงเซวี่ยเทาเก็บอารมณ์ที่วุ่นวายสับสนในใจลงไป ถอนหายใจ เลิกคิ้วมองไปทางทิศใต้ เงียบไปพักใหญ่ คลี่ยิ้มเล็กน้อย พึมพำพูดเลียนแบบวิธีพูดของอาเหลียง “ผู้ฝึกตนอสิระชิงมี่ เฝิงเซวี่ยเทาแห่งธวัลทวีป”
……
ทางฝั่งของร้านผ้าห่อบุญเกาะนกแก้ว เดินเล่นครบเก้าสิบเก้าร้าน เฉินผิงอันไม่ถึงกับกลับไปพร้อมผลเก็บเกี่ยวเต็มไม้เต็มมือ แต่ก็ได้ของติดมือไปไม่น้อย
เฉินผิงอันถามหลิ่วชื่อเฉิงว่าช่วยหาที่พักบนเกาะให้หน่อยได้หรือไม่ เขาคิดว่าจะทำอาหารให้กับทุกคนมื้อหนึ่ง หลิ่วชื่อเฉิงย่อมต้องบอกว่าไม่มีปัญหา เพื่อนบนภูเขาของเขามีมากมาย คนที่ไม่รู้จักเขามีไม่มาก คนที่ไม่เคยได้ยินชื่อเขา ไม่มี
ผู้เฒ่าภูตต้นไม้ที่เรียกตัวเองว่าเฉิงหนันเหล่าเทียนจวิน ดูเหมือนว่าบนร่างจะมีตราผนึกตระกูลเซียนอยู่จึงยังไม่อาจกลับคืนร่างจริงได้ชั่วคราว เรือนกายสูงประสามสามชุ่น เวลานี้กำลังนั่งดื่มเหล้าอยู่บนไหล่ของนักพรตเนิ่นเงียบๆ เหล่ตามองหลิ่วชื่อเฉิงที่พูดจาไร้ยางอายอยู่ด้านข้าง เห็นว่าอีกฝ่ายสวมชุดสีสันฉูดฉาด จึงด่าไปประโยคหนึ่งว่าทำตัวอย่างกับสตรี
ผลคือถูกหลิ่วชื่อเฉิงคว้ามากำไว้ในฝ่ามือ ขยี้อยู่พักหนึ่งค่อยโยนกลับไปที่ไหล่ของนักพรตเนิ่น ภูตต้นไม้เฒ่าหัวหมุนเหมือนคนเมาเหล้า ถามหลี่ไหวว่า เจ้าคนแซ่หลี่ คนสนิทถูกรังแกแล้ว เจ้าไม่คิดจะสนใจบ้างเลยหรือ? หลี่ไหวบอกว่าไม่สน
ภูตต้นไม้เฒ่ารีบลุกขึ้นยืนทันใด เหน็บน้ำเต้าบรรจุเหล้าไว้ที่เอว จัดระเบียบเสื้อผ้า ประสานมือคารวะเอ่ยว่า เซียนซือท่านนี้สวมชุดสีชมพู ช่างเป็นความงามที่แตกต่าง ประดุจยอดพธูผู้โดดเด่นสะคราญโฉม…หลิ่วชื่อเฉิงฟังแล้วขนลุก จึงเอาฝ่ามือข้างหนึ่งกดลงไปเบาๆ ภูตต้นไม้เฒ่าใช้สองมือประคองภูเขาลูกนั้นเอาไว้ ร้องโอดครวญไม่หยุด หลี่ไหวจึงได้แต่ช่วยพูดให้ หลิ่วชื่อเฉิงถึงได้ยอมหดมือกลับไป ภูตต้นไม้ไม่กล้าด่าเซียนซือชุดชมพูนั่นอีกแล้ว หันหน้าไปถ่มน้ำลายอีกทาง แต่ก็พลันนึกขึ้นได้ว่าตรงนั้นเป็นพื้นที่ของนักพรตพนิ่น จึงรีบใช้ปลายเท้าเช็ดออก
หลี่ไหวนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงใช้เสียงในใจพูดกับเฉินผิงอัน “ทางฝั่งของร้านยาตระกูลหยาง ตาเฒ่าทิ้งสัมภาระห่อหนึ่งไว้ให้เจ้า ในจดหมายบอกว่าให้เจ้าไปเอาที่ห้องเขาด้วยตัวเอง”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
หลี่ไหวหยิบตำราสีออกเหลืองเล่มหนึ่งออกมาจากในชายแขนเสื้อ “ภูเขาลั่วพั่วเลื่อนขั้นเป็นสำนัก ข้าไม่ได้เข้าร่วมงานพิธี คงจะหม่นหมองไร้ชีวิตชีวา เป็นความไม่เพียบพร้อมในความสมบูรณ์แบบกันเลยสินะ ตาเฒ่ามอบให้ข้า ด้านในนี้เป็นยันต์ผีอะไรไม่รู้รุงรังเต็มไปหมด ข้าไม่อยากเรียน แล้วก็เรียนไม่เป็นด้วย แค่เห็นก็ปวดกบาลแล้ว มอบให้เจ้า อย่าได้รังเกียจเสียล่ะ”
เฉินผิงอันไม่ได้เกรงใจ รับมาแล้วก็เอ่ยว่า “ถือว่ายืมมา อ่านจบแล้วจะคืนให้เจ้า”
หลี่ไหวเอ่ยอย่างมีโทสะ “คืนข้ามาเลย”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ยังอ่านไม่จบสักหน่อย”
เฉินผิงอันพลันหยุดเดิน หันหน้าไปมอง
คืออวี๋เยว่ผู้ฝึกกระบี่เฒ่า เขาเองก็พาพวกลูกหลานตระกูลชั้นสูงกลุ่มนั้นเดินเที่ยวร้านผ้าห่อบุญเสร็จแล้ว นอกจากสกุลเซี่ยมี่อวิ๋นแล้วก็ยังมีหญิงสาวจากสุกลจูเซียนเสีย เพียงแต่ว่านางไม่ได้น่าเอ็นดูอย่างผู้ฝึกกระบี่จูเหมย ไม่รู้ว่าพวกนางทั้งสองฝ่ายต้องนับลำดับศักดิ์กันอย่างไร
อวี๋เยว่หัวเราะร่าเอ่ยกับคนหนุ่มสาวข้างกายว่า “เซี่ยหยวน วันนี้ข้าผู้อาวุโสอารมณ์ไม่เลว จะบอกความลับหนึ่งแก่เจ้า เจ้าสามารถควบคุมปากตัวเองได้หรือไม่?”
ลูกหลานสกุลเซี่ยมี่อวิ๋นแห่งธวัลทวีปผู้นี้เล่นแง่เล็กน้อย เอ่ยกับเค่อชิงอันดับหนึ่งของบ้านตัวเองว่า “ตอบตกลงกับอาจารย์อวี๋ไปก่อน ส่วนจะควบคุมปากได้หรือไม่ ฟังแล้วค่อยว่ากัน ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องที่ตัวไม่เป็นของตัวเอง ใจไม่เป็นตามปากนี่นะ”
อวี๋เยว่กล่าว “เจ้ามาร่วมวงความครึกครื้นที่ศาลบุ๋นคราวนี้ คนที่เจ้าอยากพบเจอที่สุดคนนั้น อยู่ไกลสุดขอบฟ้า อยู่ใกล้เพียงตรงหน้า”
เซี่ยหยวนเดินเร็วๆ ไปหา ลูกหลานตระกูลขุนนางที่หล่อเหลาสง่างามผู้นี้คล้ายไม่มีความลังเลใดๆ ครั้นจึงประสานมือคารวะเซียนกระบี่ชุดเขียวอย่างเงียบเชียบ ทว่าความเงียบในเวลานี้กลับเหนือกว่าเสียงใดๆ
นี่เรียกว่าเซี่ยหยวนก้มหัวกราบคารวะอิ่นกวานในชีวิตนี้
เฉินผิงอันมองอวี๋เยว่แวบหนึ่ง ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “ใต้เท้าอิ่นกวานวางใจได้ เซี่ยหยวนมองดูเหมือนไม่เป็นโล้เป็นพาย แต่อันที่จริงเจ้าเด็กนี่รู้จักหนักเบาดียิ่ง ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางถูกเจ้าประมุขสกุลเซี่ยอบรมปลูกฝังให้เป็นเจ้าประมุขคนถัดไป ในอดีตเขาเคยอาศัยช่องทางลับของทางตระกูลได้รู้เรื่องราวของใต้เท้าอิ่นกวานจึงเลื่อมใสบูชาท่านอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งศึกที่เรือนชุนฟานภูเขาห้อยหัวที่เขายังตั้งใจเขียนนิยายรักหวานชื่นขึ้นมาเล่มหนึ่งโดยเฉพาะ ถัวเหยียนฮูหยินแห่งสวนดอกเหมยอะไร น่าหลันไฉ่ฮ่วนแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่อะไร ซ่งพิ่นเซียนกระบี่หญิงแห่งเกราะทองทวีปอะไร ล้วนช่วยใต้เท้าอิ่นกวานจัดการหมดสิ้นแล้ว ใต้เท้าอิ่นกวานคงจะไม่รู้ว่าเมื่อช่วงสิบปีที่ผ่านมานี้ นิยายรักประโลมโลกบนภูเขาที่ได้รับความนิยมที่สุดของธวัลทวีป สี่ห้าในสิบส่วนล้วนมาจากมือของเซี่ยหยวน ผู้ฝึกตนหญิงที่คิดจะซ้อมเขาหากไม่มีหนึ่งร้อยก็ต้องมีแปดสิบนั่นแหละ”
เฉินผิงอันกุมหมัดคารวะคนหนุ่มกลับคืน แต่อันที่จริงอยากจะต่อย ‘เจียงซ่างเจินแห่งธวัลทวีป’ ผู้นี้ให้ล้มคว่ำด้วยหมัดเดียวเสียมากกว่า
เซี่ยหยวนยืดเอวขึ้นตรงแล้วก็พลันยื่นมือออกมา คาดว่าคงอยากจะจับชายแขนเสื้อของเฉินผิงอัน เพียงแต่ไม่สมใจปรารถนา คุณชายหนุ่มจึงได้แต่เอ่ยอย่างขลาดๆ ว่า “อยากจะสัมผัสกลิ่นอายเซียนสักหน่อย จะได้จรดพู่กันดุจมีเทพช่วย”
เฉินผิงอันยิ้มเตือน “คุณชายเซี่ย ตำราบางเล่มอย่าได้แพร่ออกไปภายนอกจะดีกว่า”
เซี่ยหยวนมองถัวเหยียนฮูหยินที่อยู่ข้างกายอิ่นกวานหนุ่มแล้วก็พยักหน้า เป็นบุรุษเหมือนกัน ย่อมเข้าใจกันดี
——