กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 801.2 ผูกด้ายแดง
ทั้งสองฝ่ายแยกย้ายกัน เซี่ยหยวนจะไปเยี่ยมเยือนผู้อาวุโสท่านหนึ่งที่สนิทสนมกันซึ่งพักอยู่บนเกาะนกแก้ว
ใบหน้าของเด็กสาวเทพีบุปผาที่มีชื่อเล่นว่ารุ่ยเฟิ่งเอ๋อร์เปี่ยมไปด้วยความลิงโลด ทะยานลมเร่งรุดมาที่เกาะนกแก้ว ยอบกายคารวะอิ่นกวานหนุ่มแล้วเอ่ยขอบคุณจากใจจริง บอกว่าอาจารย์จางไม่เพียงแต่ไม่โกรธ กลับกันยังดีใจอย่างมากด้วย
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม เชื้อเชิญเทพีบุปผาท่านนี้ให้ไปเป็นแขกบนภูเขาลั่วพั่วในวันหน้า
อันที่จริงเมืองเล็กบ้านเกิด ตรงหน้าประตูบ้านบรรพบุรุษของหลิวเสี้ยนหยาง มีคูน้ำสายเล็กสายหนึ่งไหลผ่าน ระหว่างร่องหินมีดอกเฟิ่งเซียนอยู่ดอกหนึ่งที่กึ่งๆ เติบโตอยู่กลางอากาศ อีกทั้งยังผลิดอกออกมาห้าสี แม่นางที่โตหน่อยของบ้านเกิดเกินครึ่งก็คล้ายว่าจะชอบเด็ดเอาดอกไปบดแล้วนำมาย้อมเล็บของพวกนางให้เป็นสีแดงสด ตอนนั้นเฉินผิงอันก็ไม่ได้รู้สึกว่างดงามอะไร หลิวเสี้ยนหยางเคยพร่ำพูดอยู่บ่อยๆ ว่าดอกไม้นี้งอกที่หน้าประตูบ้านเขา พวกคนเฒ่าคนแก่บอกว่ามีความเป็นมา เกี่ยวกับฮวงจุ้ย ผลคือภายหลังถูกเจ้าขี้มูกยืดน้อยที่อยากได้ใช้จอบอันเล็กมาแอบขโมยขุดไปกลางดึก พอฟ้าสางหลิวเสี้ยนหยางนั่งยองอยู่หน้าประตูอึ้งงันไปนาน ปากก็สบถด่าดังลั่น รอกระทั่งถึงตอนกลางคืน เจ้าขี้มูกยืดน้อยที่แอบขโมยดอกเฟิ่งเซียนไปปลูกที่อื่นก็ถูกคนดึงหูเดินมาตลอดทาง จึงยอมเอากลับไปคืน แล้วบอกกับหลิวเสี้ยนหยางที่ยังถูกปิดหูปิดตาว่า ดูเหมือนดอกเฟิ่งเซียนที่อยู่หน้าประตูดอกนั้นจะมีขาจึงเดินออกจากบ้านไปเองแล้วก็กลับมา ของที่หายไปได้กลับคืนมา หลิวเสี้ยนหยางดีใจอย่างมาก บอกว่าดอกไม้นี้มหัศจรรย์จริงๆ ตอนนั้นเฉินผิงอันพยักหน้ารับ ส่วนเจ้าขี้มูกยืดน้อยกลอกตามองบนทำหน้าทะเล้น
อันที่จริงรอกระทั่งภายหลังที่ทั้งหลิวเสี้ยนหยางและเฉินผิงอันที่คนหนึ่งออกเดินทางไปขอศึกษาต่อ อีกคนหนึ่งหวนกลับคืนบ้านเกิดหลังจากเดินทางไกล ล้วนกลายเป็นคนบนภูเขาไปแล้ว ถึงได้รู้ว่าดอกเฟิ่งเซียนที่ปีนั้นมองดูแล้วงดงาม อันที่จริงก็เป็นแค่ดอกไม้ธรรมดาเท่านั้น
ถัวเหยียนฮูหยินเอ่ยขอตัวกับเฉินผิงอัน พาเทพีบุปผาเฟิ่งเซียนท่านนี้กลับไปเดินเล่นที่ร้านผ้าห่อบุญอีกครั้ง ก่อนหน้านี้นางแอบถูกใจของอยู่สองสามชิ้น
หลิ่วชื่อเฉิงเดินไปถึงหน้าประตูจวนแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่กึ่งกลางภูเขาของเกาะนกแก้วก็จับห่วงเคาะประตูหัวสัตว์เคาะลงเบาๆ
มีสตรีท่าทางขลาดกลัวคนหนึ่งเดินออกมา ผู้อาวุโสในบ้านของตนและเหล่าสหายบนภูเขา แต่ละคนเหมือนเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ ไม่กล้าออกมาพบหลิ่วเต้าฉุนแห่งนครจักรพรรดิขาวผู้นี้ สุดท้ายจึงให้นางมา
ส่วนเซียนกระบี่ชุดเขียวและยังมีนักพรตเนิ่น ผู้ฝึกตนหญิงก็ไม่กล้าแม้แต่จะเหลือบมอง ต่อให้นางจะมีทำเนียบของสำนัก แต่เผชิญหน้ากับพวกคนดุร้ายที่สามารถงัดข้อกับเจ้าสำนักของสำนักใหญ่ๆ ได้เหล่านี้ นางหรือจะกล้าก่อเรื่อง
หลิ่วชื่อเฉิงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “แม่นางท่านนี้ ข้ากับผู้อาวุโสตระกูลเจ้าเป็นสหายรักกัน เจ้าช่วยยกเรือนหลังนี้ให้ข้ายืมหน่อยได้หรือไม่ ข้าจะเอามาใช้รับรองสหาย”
ผู้ฝึกตนหญิงพยักหน้ารับอย่างแรง อาจารย์บอกว่าขอแค่หลิ่วฉุนเต้าผู้นี้เปิดปาก ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ให้ตอบตกลงทุกเรื่อง
หลิ่วชื่อเฉิงใช้สองนิ้วคีบเงินฝนธัญพืชเหรียญหนึ่งออกมา “แม่นาง รับเงินฝนธัญพืชไปแล้ว จำไว้ว่าต้องทอนเงินร้อนน้อยให้ข้าสองเหรียญด้วย”
ในสายตาคู่นั้นของนางเต็มไปด้วยความสงสัย เพียงแต่ไม่กล้าไม่ทำตาม หลังจากรับเงินฝนธัญพืชเหรียญนั้นมาแล้วนางก็หยิบเอาเงินร้อนน้อยสองเหรียญออกมาจากชายแขนเสื้อ มอบให้กับเจ้าหอแก้วใสที่ชื่อเสียงเลื่องระบือผู้นี้อย่างระมัดระวัง
หลิ่วชื่อเฉิงยิ้มเอ่ย “ความงามของใต้หล้า หากเงินร้อนน้อยสิบเหรียญคือคะแนนเต็ม แม่นางก็มีความงามเท่าเงินแปดเหรียญแล้ว วันนี้ได้พบเจอกันถือว่ามีบุพเพวาสนาต่อกันไม่น้อย ทำให้ข้าน้อยได้มีบุญตาครั้งใหญ่ ไม่ทราบว่าแม่นางชื่ออะไร บ้านอยู่ไหน ฝึกตนที่ใด ทุกวันนี้มีคู่บำเพ็ญเพียรแล้วหรือยัง…”
เฉินผิงอันมายืนข้างกายหลิ่วชื่อเฉิง ยกฝ่ามือตบป้าบเข้าที่ท้ายทอยของเขา จากนั้นจึงหันไปเอ่ยขออภัยผู้ฝึกตนหญิง “รบกวนแล้ว”
หากรู้แต่แรกว่าหลิ่วชื่อเฉิงมีสหายรักบนภูเขาทั่วทั้งใต้หล้าเช่นนี้ ตนก็คงไม่เปิดปากขอให้ช่วยแล้ว
สตรีผู้นั้นส่ายหน้า ไม่เอ่ยอะไรสักคำ เพียงแค่เปิดทางหน้าประตูให้เท่านั้น
ผู้ฝึกตนที่อยู่ในเรือนได้พากันเดินออกมาจากประตูข้างแล้ว ไม่มีใครกล้าทะยานลม ไปรวมตัวกับผู้ฝึกตนหญิงที่ท่าเรือแล้วนั่งเรือโดยสารออกจากเกาะนกแก้วทันที
สตรียังกระวนกระวายใจ แต่อาจารย์กลับใช้เสียงในใจยิ้มกล่าวกับนางว่า “สร้างคุณความชอบครั้งหนึ่ง เดี๋ยวกลับไปจะให้ทางศาลบรรพจารย์จดลงบันทึกไว้”
เข้ามาในจวน ในเรือนพักที่เงียบสงบมีร่มใบของต้นป่ายเขียวครึ้ม เฉินผิงอันหยิบข้องปลาอันนั้นออกมาจากชายแขนเสื้อก่อน จากนั้นจึงเปิดวัตถุจื่อชื่อ หยิบข้าวของต่างๆ ออกมาด้วยท่วงท่าคล่องแคล่วคุ้นเคย แล้วทำหน้าที่เป็นพ่อครัว เตรียมแสดงฝีมือทำอาหารให้หลี่เป่าผิงกับหลี่ไหวกิน
หลี่ไหวกับนักพรตเนิ่นช่วยกันยกโต๊ะยกเก้าอี้ หลิ่วชื่อเฉิงหยิบเหล้าหมักตระกูลเซียนออกมาหลายกา
อาหารหนึ่งโต๊ะมีปลาหลีสีทองของเกาะยวนยางอยู่หลายตัว ไม่ว่าจะนึ่งน้ำใส ตุ๋นน้ำแดงล้วนมีหมด ครบครันทั้งรูปรสกลิ่นสี
เฉินผิงอันยิ้มถาม “เป็นอย่างไร?”
หลี่เป่าผิงพยักหน้า “อร่อย”
หลี่ไหวเอ่ย “ดีกว่าฝีมือของเผยเฉียนเยอะเลย”
หลิ่วชื่อเฉิงกับนักพรตเนิ่นสบตากัน ต่างก็รู้สึกว่าจำเป็นต้องมีมาดกันสักหน่อย อย่าได้เอ่ยประโยคที่ผิดต่อมโนธรรมในใจออกมาเลย
เฉินผิงอันชำเลืองตามองเจ้าคนสองคนที่พอได้กินของดีแล้วกลายเป็นใบ้ พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ บางทีนี่ก็อาจจะเป็นดั่งคำกล่าวที่ว่าความงามยิ่งใหญ่ไม่จำเป็นต้องเอื้อนเอ่ยแล้ว
กินดื่มอิ่มหนำ เฉินผิงอันก็วางตะเกียบลง หลี่เป่าผิงยังเคี้ยวอย่างละเอียด หลี่ไหวก็ยังคงสวาปามอยู่เหมือนเดิม
หลี่ไหวพลันรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย ขยับเข้าใกล้เฉินผิงอัน กดเสียงต่ำเอ่ยว่า “เฉินผิงอัน ข้าเองก็เคยอ่านตำรามาหลายเล่ม ให้ข้าได้พูดหลักการเหตุผลในตำราให้เจ้าฟังหน่อยได้ไหม? หากว่าไม่ถูกต้อง เจ้าก็แค่ฟังแล้วปล่อยผ่านไป”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ต้องได้แน่อยู่แล้ว เจ้าพูดได้เลย”
ดูเหมือนหลี่ไหวจะยังไม่มั่นใจอยู่เหมือนเดิม จึงได้แต่รวมเสียงให้กลายเป็นเส้น แอบพูดกับเฉินผิงอันว่า “ในตำราบอกว่าเมื่อคนผู้หนึ่งมีทั้งความสามารถที่ยอดเยี่ยม อีกทั้งยังมีสติปัญญาดีเลิศ ก็มักจะมีชีวิตที่ค่อนข้างเหนื่อย เพราะต้องเหนื่อยกายกับภายนอก แล้วยังเหนื่อยใจกับภายใน ทุกวันนี้เจ้ามียศมีตำแหน่งมากมาย ดังนั้นข้าจึงหวังว่าเวลาปกติเจ้าจะสามารถหาวิธีผ่อนคลายอารมณ์ได้บ้าง ยกตัวอย่าง…ชอบตกปลาก็ดีมากเลย”
บัณฑิตสวมชุดลัทธิขงจื๊อผู้นี้ เวลานี้ในดวงตาเต็มไปด้วยความกังวลใจ
แต่ไหนแต่ไรมาหลี่ไหวก็ไม่ถนัดเรื่องการพูดคุยเหตุผลกับใคร วันนี้ถือว่าเป็นความพยายามยิ่งใหญ่สุดที่มีแล้ว
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เหตุผลที่ดีเช่นนี้ ข้าต้องเก็บเอามาใส่ใจแน่นอน”
หลี่ไหวหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง สามารถอธิบายเหตุผลให้เฉินผิงอันฟังได้แล้ว ถ้าอย่างนั้นตนไม่เป็นนักปราชญ์ก็น่าเสียดายจริงๆ
เฉินผิงอันกุมหมัดเคาะท้องเบาๆ “หลักการเหตุผลดีๆ ทั้งหมดที่เห็นในตำราและที่ได้ยินได้ฟังมา ขอแค่เข้ามาอยู่ในท้องแล้วก็กลายเป็นหลักการเหตุผลของข้าแล้ว”
หลี่ไหวมองเขา เอ่ยเรียก “เฉินผิงอัน”
เฉินผิงอันถามอย่างสงสัย “อะไรหรือ?”
หลี่ไหวหัวเราะหึหึ “เจ้าชื่อเฉินผิงอันนี่นะ เพราะฉะนั้นจะต้องสงบสุขปลอดภัย มีเจ้าอยู่ พวกเราก็จะคิดว่าต้องหาโอกาสมารวมตัวกัน ต่อให้ไม่มีอะไรให้พูดคุยก็ต้องมารวมตัวกันให้ได้”
เฉินผิงอันไม่อยู่ ดูเหมือนว่าทุกคนจะพบเจอหรือแยกจาก ก็ราวกับว่าได้แต่ปล่อยให้เป็นไปตามโชควาสนาแล้ว แน่นอนว่าทุกคนยังคงเป็นเพื่อนกัน เพียงแต่ดูเหมือนว่าไม่ได้คิดอยากจะกลับมาพบเจอกันถึงเพียงนั้นอีก
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
หลี่ไหวก้มหน้าลงพุ้ยข้าวต่อ
ปู้เค่อชี่ หลินตอไม้ แน่นอนว่าล้วนเป็นสหายที่ดี แต่นิสัยเย็นชาไปสักหน่อย ไม่ค่อยพิถีพิถันเรื่องการกลับมาพบเจอกันอีกครั้งหลังจากลากันไปนานอะไรนัก
ยังมีอวี๋ลู่ที่คำพ้องเสียงก็คืออวี๋หลู ความหมายก็ประมาณว่า ‘คนสกุลหลูที่ยังหลงเหลืออยู่’ นี่ก็อาจเป็นการแสดงปณิธานของตัวเอง ไม่ลืมชาติกำเนิด อวี๋ลู่กำลังบอกเตือนตัวเองอย่างต่อเนื่องว่า ‘ข้าคือลูกหลานสกุลหลู’? ปีนั้นมีเพียงอวี๋ลู่ที่เป็นคนเสนอตัวเฝ้ายามตอนกลางคืนกับเฉินผิงอัน บวกกับที่ปีนั้นตอนอยู่สำนักศึกษาต้าสุย อวี๋ลู่ลงมือแทนเขา ทั้งยังลงมืออย่างหนักหน่วง หลี่ไหวจดจำไว้ในใจมาโดยตลอด
อันที่จริงหลี่ไหวคิดถึงพวกเขามาก แน่นอนว่ายังมีเจ้าลูกคิดน้อยอย่างสือเจียชุนด้วย ได้ยินว่าแม้แต่ลูกของนางก็มีอายุถึงวัยที่สามารถพูดคุยเรื่องการแต่งงานได้แล้ว
ปีนั้นระหว่างเส้นทางของการเดินทางไกล หลี่ไหวสนิทกับเฉินผิงอันมากที่สุด แล้วก็กลัวเฉินผิงอันมากที่สุด เพราะหลี่ไหวที่ยังเป็นเด็กอาศัยสัญชาตญาณทำให้รู้ว่าเฉินผิงอันมีความอดทนดีเยี่ยม นิสัยดี ใจกว้างเป็นที่สุด ตัดใจมอบของให้คนอื่นได้มากที่สุด ยอมลงให้คนอื่นได้มากที่สุด หากคนที่นิสัยดีเช่นนี้เริ่มโกรธขึ้นมา ไม่สนใจเขาแล้ว เขาก็ยากที่จะเดินทางไปได้ไกลขนาดนั้นจริงๆ
กลางขุนเขาไม่มีน้ำ ท่ามกลางแสงแดดแผดเผา หาลำธารสักเส้นเป็นเรื่องยากลำบากจริงๆ ปากคอแห้งผาก ริมฝีปากแตกแห้ง เด็กหนุ่มที่สวมรองเท้าสานถือมีดผ่าฟืนอยู่ในมือ บอกว่าเขาจะไปดูสักหน่อย ตอนที่เฉินผิงอันกลับมาก็ผ่านไปเกินครึ่งชั่วยามแล้ว บนร่างแขวนกระบอกไม้ไผ่ที่บรรจุน้ำไว้เต็มไปหมด
หลี่ไหวมักจะลืมเลือนเรื่องเล็กๆ น้อยๆ มากมาย แต่ไม่เคยลืมความรู้สึกที่เฉินผิงอันมอบให้เขา เป็นความรู้สึกที่เหมือนกำลังบอกว่า ขอแค่มีข้าอยู่ก็ไม่มีเรื่องอะไรหรอก
เวลานั้นหลี่ไหวจะรู้สึกว่าเป็นเพราะเฉินผิงอันอายุมาก อีกทั้งเคยชินกับความยากลำบากมาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นไม่ว่าอะไรก็ล้วนเข้าใจ แน่นอนว่าต้องเข้าใจเรื่องการขึ้นเขาลงห้วยมากกว่าเด็กในบ้านคนมีเงินอย่างหลินโส่วอี ยิ่งเข้าใจว่าควรจะขอวิธีการใช้ชีวิตมาจากเทพเทวดาอย่างไร
รอกระทั่งตัวหลี่ไหวเองอายุสิบสี่ ถึงได้รู้ว่าดูเหมือนจะไม่เป็นเช่นนั้น หรือแม้กระทั่งภายหลังต่อให้จะโตขึ้นมาอีกสิบปีจนกระทั่งอายุยี่สิบสี่แล้วก็ตาม
ไม่มีใครยินดีไปคบค้าสมาคมกับเรื่องหยุมหยิมปลีกย่อยที่ผลาญความอดทนมากที่สุดอยู่ทุกวันอีกแล้ว
แต่หลี่ไหวกลับรู้สึกมาโดยตลอดว่าการที่ต้องคอยดูแลจิตใจของคนอื่นเป็นเรื่องที่เหนื่อยมากเรื่องหนึ่ง
เขาทำไม่ได้ ไม่มีความอดทนเช่นนั้น
ดังนั้นโชคดีที่อาจารย์ฉีหลอกเฉินผิงอันมาให้พวกเขา
บนเส้นทางของการเดินทางไกล มักจะมีเด็กหนุ่มรองเท้าสานที่ตรงเอวห้อยมีดผ่าฟืนเดินเปิดทางอยู่ด้านหน้าสุดเสมอ
บนเส้นทางของชีวิตคน ได้เดินไปพร้อมกับเฉินผิงอันก็จะเดินไปได้อย่างมั่นคงปลอดภัยอย่างมาก เพราะดูเหมือนเฉินผิงอันมักจะเป็นคนแรกที่นึกได้ถึงปัญหายุ่งยาก พบเจอปัญหายุ่งยาก แล้วก็แก้ไขปัญหายุ่งยากได้เสมอ
ชุยตงซานเคยบอกว่ายิ่งเป็นหลักการเหตุผลที่เรียบง่ายก็ยิ่งง่ายที่จะรู้ แต่ขณะเดียวกันกลับยากที่มันจะกลายมาเป็นหลักการเหตุผลของตัวเองอย่างแท้จริง เพราะเข้าหูผ่านปากไม่เคยไปอยู่ในใจ
เจ้าหมอนี่ยังบอกด้วยว่าหลายๆ คนอาศัยความโชคดีถึงได้มีชีวิตที่ดี แต่หลายคนกลับอาศัยความสามารถที่แท้จริงใช้ชีวิตให้ยิ่งนานก็ยิ่งไม่สมใจปรารถนามากขึ้นเรื่อยๆ
หลิ่วชื่อเฉิงมองสตรีชุดแดงแวบหนึ่ง แล้วจึงหันไปมองหลี่ไหว
เจ้าหอแก้วใสที่ฟ้าไม่กลัวดินไม่เกรงผู้นี้ พลันเข้าใจอะไรได้มากขึ้น
คนรุ่นเยาว์ของถ้ำสวรรค์หลีจูเริ่มถูกบนภูเขาของแจกันสมบัติทวีปมองเป็น ‘รุ่นเปิดประตู’ แล้ว
เพียงแต่ว่าเนื่องจากรายงานขุนเขาสายน้ำไม่ว่องไวมากพอ ตอนนี้จึงยังขาดคนอีกไม่น้อย
แต่หลิ่วชื่อเฉิงไม่เหมือนกัน ตอนนั้นพาน้องหลงป๋อไปเยือนเมืองเล็กของอำเภอไหวหวงด้วยตัวเอง จึงเคยได้เห็นคนรุ่นเยาว์ที่ภาพบรรยากาศแตกต่างกันไปกลุ่มนั้น
หากไม่พูดถึงหลี่หลิ่วและสตรีผู้นั้น
ก็ยังมีเฉินผิงอันแห่งภูเขาลั่วพั่ว มีหลิวเสี้ยนหยางแห่งสำนักกระบี่หลงเฉวียน กู้ช่านแห่งนครจักรพรรดิขาว หม่าขู่เสวียนแห่งตรอกซิ่งฮวา
ซ่งจี๋ซินแห่งตรอกหนีผิง อ๋องเจ้าเมืองแห่งต้าหลี จ้าวเหยาแห่งถนนฝูลวี่ รองเจ้ากรมอาญาแห่งเมืองหลวงต้าหลี เซี่ยหลิงแห่งตรอกเถาเย่ ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของสำนักกระบี่หลงเฉวียน หลินโส่วอีที่มีชาติกำเนิดจากจวนผู้ตรวจการ
แน่นอนว่ายังมีหลี่เป่าผิง หลี่ไหวแห่งสำนักศึกษาซานหยา
เฉินผิงอันยิ้มถาม “เป่าผิง ช่วงนี้อ่านหนังสืออะไร?”
หลี่เป่าผิงส่ายหน้า “ไม่ได้อ่านหนังสือแล้ว ก็แค่คิดถึงเรื่องบางอย่าง”
เฉินผิงอันถามอย่างใคร่รู้ “เรื่องอะไร?”
หลี่เป่าผิงตอบ “เรื่องหนึ่งคือคิดว่าทำไมคราวก่อนถึงได้เถียงแพ้หยวนพาง ระหว่างทางที่มาก็คิดจนเข้าใจแล้ว ยังมีอีกสองเรื่องที่ยากกว่า”
เฉินผิงอันยิ้มถาม “ไหนลองเล่ามาสิ”
หลี่เป่าผิงคิดแล้วก็ชี้ไปที่โต๊ะ “ยกตัวอย่างเช่นในตำราต่างก็พูดกันว่าแรงบันดาลใจในการเขียนงานประพันธ์พรั่งพรูเหมือนสายน้ำพุ ข้าจึงขบคิดมาโดยตลอดว่าแรงบันดาลใจในการเขียนงานประพันธ์ของบัณฑิตได้มาอย่างไรกันแน่ ข้าก็เลยคิดวิธีได้อย่างหนึ่ง จินตนาการในสมองว่าตัวเองมีกระดานหมากหนึ่งอัน จากนั้นด้านในช่องว่างทุกช่องล้วนวางคำศัพท์ลงไป ก็คล้ายว่าได้อาศัยอยู่ในบ้าน เสียใจ ดีใจ เปลี่ยวเหงา เศร้าโศกอะไรนั่น กว่าจะเติมกระดานหมากอันหนึ่งให้เต็มได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ทีนี้ก็เกิดปัญหาอีกแล้ว เพราะการแวะเวียนไปเยี่ยมเยือนกันของคำศัพท์ทุกคำยุ่งยากมากเลยนะ หนึ่งช่องเดินไปหนึ่งก้าว ก็เหมือนอาจารย์น้อยเดินอยู่ในตรอกหนีผิง จำเป็นต้องทักทายกับซ่งจี๋ซินที่อยู่บ้านติดกัน หรือว่าสามารถเดินไปรวดเดียวได้หลายก้าว? เดินตรงไปถึงหน้าประตูบ้านของกู้ช่านหรือไม่ก็ของบ้านบรรพบุรุษตระกูลเฉาได้เลย? หรือว่าสามารถกระโดดเดินข้ามช่องไปได้? อาจารย์อาน้อยสามารถกระโดดจากตรอกหนีผิงไปถึงตรอกซิ่งฮวาในคราวเดียว ไปถึงหน้าบ้านข้าบนถนนฝูลวี่ได้เลยไหม? หรือว่าหากอยากจะดูดอกท้อก็ตรงไปที่ตรอกเถาเย่ของพี่หญิงเถาหยาได้เลย? ข้ายังตั้งกฎไม่เสร็จ นอกจากนี้แล้วก็คือการแวะเวียนไปเยี่ยมเยือนระหว่างเสียใจกับเศร้าใจ คือการบวกเพิ่ม ถ้าอย่างนั้นหากเสียใจกับดีใจมาเจอกัน คือการลบ การลบการเพิ่มในเรื่องนี้ก็จำเป็นต้องมีกฎเหมือนกัน…”
หลี่เป่าผิงตั้งแขนวางในแนวนอน จากนั้นยกสองมือตั้งขึ้น ก่อนจะเอนฝ่ามือลง ราวกับว่านำฟ้าดินสองแห่งมาทับซ้อนเข้าด้วยกัน “นอกจากเรื่องของอารมณ์แล้ว ข้าก็ยังคิดถึงกระดานหมากกระดานที่สอง เป็นการเพิ่มคำศัพท์ที่มีความเป็นรูปธรรมมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่นสะพานเล็ก น้ำไหล ประตูใหญ่ สหาย ตำรา…แล้วก็มีกระดานหมากเพิ่มมาอีกอันหนึ่ง เพราะความคิดหลายอย่าง นอกจากจะอยู่ในช่องบนกระดานแล้ว ก็เหมือนการคิดเหลวไหลไปเองคนเดียวอยู่ในบ้าน ต้องมองเห็นสิ่งของเสียก่อนถึงจะเกิดความรู้สึกร่วม เกิดการถ่ายโอนความรู้สึกและจินตนาการ…”
“ตอนที่ข้าคิดถึงเรื่องพวกนี้ ข้าก็คิดไปถึงอีกเรื่องหนึ่ง นั่นเป็นเรื่องที่ยากยิ่งกว่าเสียอีก ยกตัวอย่างเช่นในตำราบอกว่าเต๋าก่อเกิดหนึ่ง ข้าตั้งสมมติฐานว่าหนึ่งนี้ก็คือจุดหนึ่ง อาจารย์อาน้อย ยกตัวอย่างเช่นแบบนี้…”
ความคิดของหลี่เป่าผิงโลดแล่นอย่างมาก บวกกับที่นางพูดเร็ว จึงดูเหมือนคนที่มีจินตนาการบรรเจิดอย่างมาก
ตอนที่พูดถึง ‘เต๋าก่อกำเกิดหนึ่ง’ นิ้วโป้งและนิ้วชี้ของหลี่เป่าผิงประกบกันไว้คล้ายคีบเมล็ดงาเมล็ดหนึ่งไว้ที่ปลายนิ้ว นางยื่นมือออกไปแล้ววางมันลงกลางอากาศ
นาทีที่พูดว่า ‘หนึ่งก่อเกิดสอง’ หลี่เป่าผิงพลัดปลดปล่อยออกมาอย่างเต็มที่ ทันใดนั้นก็มีเส้นสองเส้นหนึ่งตั้งหนึ่งนอนลอดทะลุเมล็ดงาเมล็ดนั้นออกมา เพียงชั่วพริบตาก็มีเส้นตั้งอีกมากมายนับไม่ถ้วนก่อกำเนิดขึ้นมาในทันทีทันใด…
เฉินผิงอันเรียกนกในกรงออกมาโดยพลัน
——