กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 803.2 พบเจอกับอาจารย์ผู้เฒ่า
เดิมทีเผยเปยตั้งใจไว้ว่าชีวิตนี้จะรับลูกศิษย์เพียงแค่คนเดียว ก็คือเฉาสือ
เพราะว่าเมื่อหลายปีก่อนศึกใหญ่ปิดฉากลง ฮ่องเต้ของราชวงศ์ต้าตวนได้เปิดปากขอร้องเผยเปยเรื่องหนึ่ง บอกว่าตัวเองใช้ฐานะของผู้เฒ่าคนหนึ่งที่ชอบอ่านนิยายในยุทธภพมากที่สุด ขอร้องแม่นางเผยที่มองดูแล้วยังอ่อนเยาว์อย่างมากเพื่อยุทธภพของตนเรื่องหนึ่ง
ให้ยุทธภพของราชวงศ์ต้าตวนในวันหน้าครึกครื้นสักหน่อย มียอดฝีมือมากสักหน่อย สี่ปรมาจารย์ใหญ่อะไร สิบยอดฝีมือใหญ่อะไรนั่น ล้วนจำเป็นต้องมี
เผยเปยตอบตกลง
ดังนั้นทุกวันนี้เผยเปยถึงได้มีลูกศิษย์ผู้สืบทอดสี่คนอยู่ในนามของนาง ลูกศิษย์ใหญ่หม่าฉวีเซียน โต้วเฝิ่นเสีย เลี่ยวชิงอ่าย และลูกศิษย์คนสุดท้ายเฉาสือ
สำหรับภายในกันเอง คนอีกสามคนที่เหลือหากไม่นับเฉาสือ แท้จริงแล้วก็เป็นแค่ลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อของเผยเปยเท่านั้น เฉาสือยังคงเป็นลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขา ขณะเดียวกันก็เป็นลูกศิษย์ปิดประตูด้วย
สำหรับภายนอก เนื่องจากเฉาสือมีอายุน้อยที่สุด จึงกลายเป็นศิษย์น้องเล็กสำหรับพวกหม่าฉวีเซียนสามคน
สำหรับเรื่องนี้เฉาสือไม่ได้คิดอะไรมาก แต่พวกศิษย์พี่ชายหญิงสามคนอย่างหม่าฉวีเซียนกลับรู้กันดีอยู่แก่ใจว่ามีเพียงพวกเขาเลื่อนเป็นขอบเขตสิบเท่านั้น ถึงจะมีโอกาสถูกอาจารย์มองเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดที่แท้จริง
เฉินผิงอันยืนนิ่งอยู่ที่เดิมตลอด เพียงแต่ม้วนชายแขนเสื้อสองข้างขึ้นเบาๆ
หนึ่งก้าวของหม่าฉวีเซียนค่อนข้างมีน้ำหนัก ดินโคลนใต้ฝ่าเท้าจึงเกิดรอยจมยุบลงไปเล็กน้อย เรือนกายพลันหายวับไปจากที่เดิม ปณิธานหมัดเปี่ยมล้นทั่วร่างของหม่าฉวีเซียนทะลักพรูออกมา ต้นไผ่แถบใหญ่บริเวณโดยรอบตำแหน่งที่คนชุดเขียวยืนอยู่พากันเอนไปด้านหลังในเวลาเดียวกัน ลำต้นไผ่นับร้อยนับพันเอนจนกลายเป็นวงโค้งขนาดใหญ่ยักษ์
เฉินผิงอันยืนนิ่งไม่ขยับ ใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งดันข้อศอกจากอีกฝ่ายที่ตีเข้ามาตรงหัวใจ ถอยไปด้านหลังสองสามก้าว ฝ่ามือหนึ่งปล่อยออกไป เอียงขึ้นด้านบนเล็กน้อย พอไปหยุดดันอยู่ที่ปลายคางของหม่าฉวีเซียนแล้วก็พลันกระแทกแรงออกไป
หม่าฉวีเซียนหันขวับหลบมือที่มองดูเหมือนยกขึ้นมาง่ายๆ แต่แท้จริงแล้วกลับเต็มไปด้วยความอำมหิตไร้ปราณีนั้นของเฉินผิงอัน งอเข่าบิดเอวเบี่ยงไหล่ ร่างทรุดลงต่ำ หมุนร่างกวาดขาข้างหนึ่งไปในแนวขวาง แต่กลับมองไม่เห็นร่างคนชุดเขียวแล้ว มีเพียงไผ่เขียวแถบใหญ่ที่ถูกผ่าเอว หม่าฉวีเซียนยืนอยู่เหนือพื้นดิน ห่างออกไปไกลคนชุดเขียวพลิ้วกายลงบนยอดของต้นไผ่ที่ถูกสะบั้นขาดครึ่งท่อน มือหนึ่งกำหมัด มือหนึ่งเอาไพล่หลัง ยิ้มบางๆ ถามว่า “ชอบยอมอ่อนข้อให้มากหรือ? ก็แค่อายุมาก ไม่ใช่ว่าขอบเขตสูงเสียหน่อย จะต้องเกรงใจกันแบบนี้ไปไย”
โต้วเฝิ่นเสียหรี่ตาลง หากเปลี่ยนมาเป็นตน เมื่อครู่แค่เจอกับฝ่ามือที่ตวัดขึ้นของอิ่นกวานหนุ่ม นางต้องหลบไม่พ้นแน่นอน จะต้องโดนเข้าอย่างจัง คาดว่าการถามหมัดก็ต้องสิ้นสุดลงแล้ว จากนั้นก็ต้องรักษาอาการบาดเจ็บไปเดือนหนึ่งเสียแต่โดยดี
หม่าฉวีเซียนไม่พูดไม่จา สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ตั้งท่าหมัดที่มีความหมายของคันธนูโก่งโค้งเหมือนดวงจันทร์ ต้นไผ่รอบด้านที่มีผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้าผู้นี้เป็นจุดศูนย์กลางอยู่ในท่าก้มหัว พริบตาเดียวก็โน้มลำต้นลง เสียงแตกหักดังขึ้นไม่ขาดสาย
ถึงกับเป็นวิชาหมัดที่ดึงดูดเอาปราณวิญญาณไป แล้วค่อยเอามาหลอมเป็นลมปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ของผู้ฝึกยุทธอย่างนั้นหรือ? ผู้ฝึกยุทธที่เป็นเช่นนี้จะต่างจากอาจารย์หล่อหลอมอย่างไร? ยามที่รับมือกับผู้ฝึกลมปราณก็ไม่ใช่เท่ากับว่าได้นั่งบัญชาการณ์พื้นที่ไร้อาคมแห่งหนึ่งตามธรรมชาติหรอกหรือ?
ร่างของหม่าฉวีเซียนเปล่งวูบแล้วหายไป โต้วเฝิ่นเสียกับเลี่ยวชิงอ่ายถึงกับไม่อาจจับร่องรอยของศิษย์พี่ใหญ่ได้
ได้ยินเพียงเสียงที่เหมือนสองฝ่ายแลกหมัดกัน เหมือนเสียงฟ้าผ่าฤดูใบไม้ผลิที่ดั่งกึกก้องอยู่ในป่าไผ่ นาทีถัดมาก็ถึงคราวที่หม่าฉวีเซียนได้ไปยืนอยู่ตำแหน่งที่คนชุดเขียวยืน แขนข้างที่ออกหมัดสั่นสะท้านเล็กน้อย มีรอยเลือดซึมออกมาจากชายแขนเสื้อ
สายตาของผู้ฝึกยุทธหญิงสองคนมองไปยังจุดที่ห่างไปไกลยิ่งกว่า คนผู้นั้นยืนอยู่บนลำต้นไผ่สีเขียวที่คล้ายกำลังก้มหัวแนบพื้น สองมือไพล่หลัง หลุบตาลงต่ำมองมาจากที่สูง ในสายตายังคงมีเพียงแต่หม่าฉวีเซียน ยิ้มถามว่า “ยังจะยอมอ่อนข้อให้อีก เห็นว่าข้าเป็นสหายในยุทธภพที่เดินทางมาไกลจริงๆ หรือไร?”
เลี่ยวชิงอ่ายตวาดเสียงหนัก “ถามหมัดก็ถามหมัด ใช้คำพูดหมิ่นเกียรติคนอื่น เจ้าก็คู่ควรได้เป็นปรมาจารย์ด้วยหรือ?!”
เฉินผิงอันพยักหน้า “มีเหตุผล ฟังแล้วเหมือนจะมีเรื่องแบบนั้นอยู่จริงๆ”
แจกันสมบัติทวีปมีผู้เฒ่าอยู่คนหนึ่ง พกกระบี่อย่างองอาจ ฝักกระบี่เป็นไม้ไผ่เหลือง ทุกครั้งที่ผู้เฒ่าออกท่องยุทธภพ ก่อนออกจากบ้านจะต้องเปิดปฏิทินเหลืองดูก่อนเสมอ
ผลคือมีครั้งหนึ่งผู้เฒ่าที่อยู่ในบ้านถูกผู้ฝึกยุทธของทวีปอื่นมาขอซื้อฝักกระบี่ถึงบ้าน ไม่ขายก็ต้องตาย แล้วยังจะต้องมอบชีวิตของหลานชายและหลานสะใภ้ไปให้ด้วย
คาดว่านับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ในใจผู้เฒ่าก็ไม่มียุทธภพอยู่อีกแล้ว เริ่มยอมรับความแก่ชรา เปิดปฏิทินเหลืองเล่มนั้นไม่ไหวอีกแล้ว
ทำไม วันนี้ข้าเฉินผิงอันเพียงแค่พูดคุยกับพวกเจ้าสองสามประโยคก็รู้สึกว่าข้าไม่คู่ควรจะเป็นผู้ฝึกยุทธแล้วอย่างนั้นหรือ?
หม่าฉวีเซียนคิดขึ้นมาได้ว่าอิ่นกวานหนุ่มผู้นี้คือคนของแจกันสมบัติทวีป พลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงถามหยั่งเชิงไปว่า “เจ้าเป็นอะไรกับตาเฒ่าแซ่ซ่งคนหนึ่งของแคว้นซูสุ่ย?”
ในที่สุดก็จำได้แล้ว
เฉินผิงอันหรี่ตาลง เอ่ยเนิบช้าว่า “เป็นอะไรกัน? ก็เป็นผู้อาวุโสกับผู้เยาว์อย่างไรล่ะ ผู้อาวุโสซ่งเคยสอนเวทกระบี่วิชาหนึ่งให้แก่ข้า”
หนึ่งกระบี่พุ่งไป พันกองทัพหลบลี้หนีห่าง
มหามรรคาสอดคล้องกับกำแพงเมืองปราณกระบี่
เฉินผิงอันขยับเดินไปด้านข้างหนึ่งก้าว เดินลงมาจากลำต้นไผ่ สองเท้าสัมผัสพื้นดิน ไผ่เขียวต้นหนึ่งที่อยู่ข้างกายก็พลันดีดผึงเด้งตรง ใบไผ่สั่นสะเทือนรุนแรง
เฉินผิงอันถาม “เจ้าลืมไปแล้วใช่หรือไม่ว่าผู้เฒ่าคนนั้นชื่ออะไร?”
หม่าฉวีเซียนหลุดหัวเราะพรืด “ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง ใช่แล้ว ตาเฒ่าชื่ออะไร ข้าก็จำไม่ได้แล้วจริงๆ”
จำได้ว่านั่นเป็นผู้ฝึกยุทธเฒ่าที่อยู่ในหมู่บ้านอะไรสักอย่าง เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตหกหรือขอบเจ็ดแล้วนะ?
สำหรับแคว้นเล็กในแจกันสมบัติทวีปแล้ว คงถือว่าเป็นปรมาจารย์ใหญ่ที่เป็นผู้นำในยุทธภพของหนึ่งแคว้นได้เลยกระมัง? หม่าฉวีเซียนเพียงแค่จำได้อย่างเลือนรางว่าตอนแรกอีกฝ่ายไม่รู้จักดีชั่ว ขอบเขตต่ำต้อยน้อยนิด ทว่ากลับใจกล้าไม่เบา ยืนกรานเด็ดขาดว่าจะไม่ขายฝักกระบี่อันนั้น ชายหนุ่มหญิงสาวคู่หนึ่งในหมู่บ้าน คล้ายจะเป็นเด็กรุ่นเยาว์ของผู้เฒ่าคนนั้นก็ยิ่งทุ่มชีวิตอย่างไม่เสียดาย ถึงท้ายที่สุดคาดว่าคงเพราะผู้เฒ่ารู้สึกว่าทำให้ครอบครัวต้องบ้านแตกสาแหรกขาดเพียงแค่เพื่อฝักกระบี่ชิ้นเดียวนั้นไม่คุ้มกัน ถึงได้ยอมมอบฝักกระบี่ออกมาให้แต่โดยดี
เฉินผิงอันเพียงแค่แบ่งสมาธิออกไปเล็กน้อย ขมวดคิ้วเบาๆ
เพราะการประชุมริมลำคลองที่ประหลาดอย่างถึงที่สุดนั้น คล้ายว่าจะสิ้นสุดลงแล้ว ผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่ทุกคนต่างก็หวนกลับมาที่ริมแม่น้ำแห่งกาลเวลาอีกครั้ง
หม่าฉวีเซียนคว้าจับโอกาสเสี้ยวหนึ่งที่โผล่มาแปบเดียวแล้วหายไปนี้ไว้ได้ พลันพุ่งมาอยู่ตรงหน้าเฉินผิงอันในเสี้ยววินาที ปล่อยหมัดที่ปณิธานหมัดสมบูรณ์แบบที่สุดในชีวิตออกไปอย่างเงียบเชียบ
เฉินผิงอันยื่นมือข้างหนึ่งออกมาคว้าหมัดนั้นของหม่าฉวีเซียนเอาไว้ หลังจากผลักออกเบาๆ แล้วก็เป็นครั้งแรกที่เป็นฝ่ายปล่อยหมัดออกไปเอง คือกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้า
หนึ่งหมัดหล่นร่วง ต่อยให้เรือนกายกำยำของหม่าฉวีเซียนถอยกรูดไปด้านหลังสิบกว่าจั้ง บนแนวเส้นตรงที่ร่างของเขาพุ่งออกไปนั้นได้กระแทกชนไผ่เขียวไปมากมายนับไม่ถ้วน แต่ละหมัดเชื่อมโยงติดต่อกัน หม่าฉวีเซียนถอยแล้วถอยอีก ไม่เหลือเรี่ยวแรงให้เอาคืนแม้แต่น้อย
โต้วเฝิ่นเสียหน้าซีดขาวเล็กน้อย หรือว่าศิษย์พี่จะต้องถูกคนต่อยตีจนขอบเขตถดถอยจริงๆ?
เดิมทีการที่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตถดถอยก็เป็นเรื่องหายากที่ใหญ่เทียมฟ้าอยู่แล้ว ภัยแฝงที่จะตามมาน่ากลัวกว่าการที่ผู้ฝึกลมปราณบนภูเขาขอบเขตถดถอยเสียอีก
เลี่ยวชิงอ่ายหมายจะเดินก้าวออกไปสะบั้นปณิธานหมัดที่เชื่อมโยงติดต่อกันของหมัดนั้นตามจิตใต้สำนึก แต่นางกลับยังข่มกลั้นความคิดที่จะออกหมัดเอาไว้ได้ ได้แต่มองศิษย์พี่ถูกคนชุดเขียวออกหมัดใส่ไม่หยุดคาตา
ผู้ฝึกยุทธถามหมัดก็มีกฎของผู้ฝึกยุทธถามหมัด ถึงขั้นที่ว่ายิ่งใหญ่กว่าผลแพ้ชนะและความเป็นความตายเสียอีก
กระทั่งบัดนี้โต้วเฝิ่นเสียถึงได้เชื่อมั่นเรื่องหนึ่งอย่างแท้จริง
บางทีทุกวันนี้เฉินผิงอันอาจจะมีคุณสมบัติที่จะถามหมัดเพื่อแบ่งแพ้ชนะกับเฉาสือแล้วจริงๆ
ศิษย์พี่หม่าฉวีเซียนเคยบอกว่า ผู้ฝึกยุทธในโลกมีมากมายนับไม่ถ้วน แต่กลับมีเพียงศิษย์น้องเฉาสือเท่านั้นที่ก่อนจะเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตสิบ สามารถบดขยี้คู่ต่อสู้ทุกคนที่คิดจะช่วงชิงในขอบเขตเดียวกันได้อย่างสิ้นเชิง คิดอยากจะชนะด้วยกี่หมัดก็แค่ต้องออกหมัดเท่านั้น
รอกระทั่งศิษย์น้องเล็กเฉาสือเลื่อนเป็นขอบเขตสิบแล้ว ไม่ว่าจะเจอกับผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้าคนใดก็ตามในโลก ไม่ว่าคนผู้นั้นจะมีคุณสมบัติเป็นเช่นไร ขอแค่คิดอยากจะแบ่งแพ้ชนะกับเขาก็เป็นแค่เรื่องของหมัดเดียวเท่านั้น ไม่มีทางจำเป็นต้องออกหมัดที่สอง
ปีนั้นหญิงสาวคนนั้นมาถามหมัดที่ต้าตวน ท่าทีที่เฉาสือมีต่อนาง อันที่จริงเหมือนในอดีตตอนที่ปฏิบัติกับอวี้เจวี้ยนฟูตอนที่อยู่ซากปรักสนามรบของเกราะทองทวีปมากกว่า
แต่การแสดงออกของเผยเฉียนก็ทำให้คนตกตะลึงมากจริงๆ การประลองหมัดสองสามครั้งนั้น แม้ว่าเฉาสือจะยอมต่อให้เหมือนคนที่เล่นหมากล้อม อีกทั้งยังจงใจกดขอบเขต ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบ ทุกครั้งที่เฉาสือออกหมัดล้วนจริงจังอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างการถามหมัดครั้งที่สามที่เฉาสือถึงกับไม่ทันระวังโดนหมัดของอีกฝ่ายสองที
เป็นเหตุให้หลังจากการถามหมัดครั้งนั้นสิ้นสุดลง เผยเฉียนที่แพ้หมัดสลบเหมือดไปทันที แต่กลับเอาหลังแนบติดกำแพงไว้อย่างแน่นหนา ไม่ให้ตัวเองล้มลงพื้น
ราวกับกำลังพูดว่า ข้าไม่ได้แพ้หมัด
อีกทั้งหลังจบเรื่องเฉาสือยังจำต้องไปนั่งอยู่บนหัวกำแพงเมืองของเมืองหลวงต้าตวน มือหนึ่งเท้าคาง อีกมือหนึ่งนวดคลึงหน้าผากลดรอยบวมเขียวช้ำ
ป่าไผ่ถูกหม่าฉวีเซียนพุ่งชนจนกลายเป็นเส้นทางยาวสามลี้ สองฝากฝั่งล้วนมีแต่ต้นไผ่ที่ถูกพายุหมัดซัดให้ล้มระเนระนาด สุดท้ายผู้ฝึกยุทธที่ขุนเขาสายน้ำในฟ้าดินเล็กร่างมนุษย์ปริแตกย่อยยับ นาทีก่อนยังเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้า นาทีนี้กลับเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตแปด ได้แต่เอนหลังพิงต้นไผ่เขียวต้นหนึ่ง ใบหน้าเต็มไปด้วยคราบเลือด ได้แต่เบิกตากว้าง แขนสองข้างห้อยลู่ลง เท้าทั้งสองพยายามยันพื้นไว้สุดกำลัง พยายามให้ร่างของตนแนบติดต้นไผ่เอาไว้ แต่กระนั้นก็ยังไม่อาจหยุดยั้งเรือนกายที่ไถลลื่นลงเบื้องล่างอย่างช้าๆ ได้
คนชุดเขียวจึงต้องค้อมเอว ยื่นมือข้างหนึ่งออกไปกดไว้บนหน้าผากของหม่าฉวีเซียน ช่วยให้เขาฝืนหยัดยืนอยู่ได้ ก้มหน้าลงเอ่ยว่า “จำเอาไว้ว่าผู้อาวุโสคนนั้นแซ่ซ่ง นามอวี่เซา คืออริยะกระบี่แห่งแคว้นซูสุ่ย”
เฉินผิงอันปล่อยมือ ปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์เฮือกนั้นของหม่าฉวีเซียนสลายหายไปสิ้น ร่างไถลลงสู่พื้น หลังพิงไผ่เขียว เรือนกายได้รับบาดเจ็บสาหัส ศีรษะห้อยเอียงไปข้างหนึ่งคล้ายหลับสนิท
เจอกับกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าเกือบยี่สิบหมัด ขอบเขตถดถอยไม่แปลก ขอบเขตไม่ถดถอยสิถึงจะแปลก
ส่วนสรุปแล้วหม่าฉวีเซียนโดนหมัดตนไปกี่หมัดกันแน่ เฉินผิงอันไม่ได้จำ จะจำเรื่องพวกนี้ไปทำไม
เฉินผิงอันหันหน้าไปมองผู้ฝึกยุทธหญิงสองคนที่อยู่ตรงกระท่อม
โต้วเฝิ่นเสียอารมณ์หนักอึ้ง สีหน้าเคร่งเคียด ไม่เหลือสีหน้ายั่วเย้าหว่านเสน่ห์อีกต่อไป
นางมองสบตากับคนชุดเขียว ฝ่ายหลังผงกศีรษะเบาๆ จากนั้นดีดปลายเท้าหนึ่งที พุ่งไปยังปลายสุดของทะเลเมฆ เหยียบลงบนกิ่งไผ่กิ่งหนึ่ง ทอดสายตามองไปยังทิศไกล คล้ายว่าถามหมัดเสร็จแล้วก็เตรียมจะทะยานลมจากไป
โต้วเฝิ่นเสียพุ่งตัวออกไป ทรุดตัวลงนั่งยอง ยื่นมือไปประคองไหล่ของหม่าฉวีเซียน ใบหน้าของนางพลันเต็มไปด้วยความเจ็บปวดทุกข์ทน ศิษย์พี่ขอบเขตถดถอยจริงๆ ด้วย
เลี่ยวชิงอ่ายหยุดอยู่ที่เดิมตรงหน้าประตูกระท่อม เดินก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว พลันกุมหมัดตะโกนเสียงกร้าว “เฉินผิงอัน ภายในสามสิบปี รอข้าไปถามหมัด!”
เฉินผิงอันหันหน้าไปมองนางแวบหนึ่ง “ตามใจเจ้า”
นาทีถัดมาคนชุดเขียวที่อยู่บนยอดสูงสุดของทะเลไผ่ก็หายตัวไป
ขณะเดียวกันนั้นเฉินผิงอันที่อยู่ในเรือนของเกาะนกแก้วก็หายไปเช่นกัน
เฉินผิงอันสองคนที่คนหนึ่งเดินเตร็ดเตร่อยู่นอกศาลบุ๋น อีกคนหนึ่งก่อเรื่องก่อราวไปทั่วได้กลับคืนมายังริมลำคลองอีกครั้ง สามคนรวมเป็นหนึ่ง
การประชุมริมลำคลองครั้งนี้ต่างหากถึงจะเป็นเรื่องประหลาดที่ใหญ่ที่สุด
——