กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 804.1 ชนะไปก่อนหนึ่งตา
เฉินผิงอันที่กลับมาสะพายกระบี่อีกครั้งปรากฏตัวอยู่ด้านล่างขั้นบันไดนอกประตูใหญ่ศาลบุ๋น
เจ้าเด็กหลินจวินปี้ผู้นี้ใจกล้าไม่น้อยเลยนะ ดูเหมือนว่าจะเพิ่งสร่างเมา?
เห็นเฉินผิงอันที่เดินขึ้นบันไดมา หลินจวินปี้ก็รีบสลายกลิ่นเหล้าที่มีอยู่เต็มร่าง เรียกคำหนึ่งว่าใต้เท้าอิ่นกวาน จากนั้นก็คลี่ยิ้มไม่เอ่ยอะไร
เฉินผิงอันพยักหน้า เอ่ยชมเชยว่า “กล้าทำตัวเหลวไหลเมามายอยู่นอกประตูใหญ่ของศาลบุ๋น จวินปี้ช่างเปี่ยมไปด้วยบารมียิ่งใหญ่ เผด็จการหล้าหาญ ออกจากบ้านไม่พกตะกร้าใหญ่ติดตัวมาด้วยสักใบ เดี๋ยวก็ไปทำร้ายคนข้างกายเข้าหรอก”
หลินจวินปี้เขินอายยิ่งนัก
ข้างกายยังมีผู้ฝึกตนอีกส่วนหนึ่งที่ออกมาดื่มเหล้าแก้เบื่อ ต่างก็หันข้างมามองคนชุดเขียว เพราะจะไม่ให้พวกเขาสนใจก็ไม่ได้เลยจริงๆ
คนที่มีคุณสมบัติมาเข้าร่วมการประชุมที่นี่ แต่ละคนล้วนการข่าวว่องไวไม่แพ้กัน รู้ดีว่าคนหนุ่มสะพายกระบี่ตรงหน้าผู้นี้ อย่าเห็นว่ายิ้มตาหยีดูอารมณ์ดี แท้จริงแล้วนิสัยแย่อย่างยิ่ง อารมณ์ร้ายอย่างมาก
เป็นอิ่นกวาน ตอนที่อยู่ในการประชุมก่อนหน้านี้ก็เป็นคนผู้นี้ที่กล้าไม่เห็นภูเขาทัวเยว่และใต้หล้าเปลี่ยวร้างอยู่ในสายตา บอกว่าจะทำสงคราม ตอนนี้ศาลบุ๋นก็เลยจะทำสงครามตามไปด้วย
จากนั้นก็เป็นลูกศิษย์ของสายเหวินเซิ่ง เมื่อเทียบกับจั่วโย่วที่เป็นศิษย์พี่แล้วก็ถึงกับหนักหนายิ่งกว่า
ภายใต้เปลือกตาของอริยะปราชญ์ทุกคนในศาลบุ๋น ได้ไปมีเรื่องกับเซียนเหรินอวิ๋นเหมี่ยวบนเกาะยวนยาง ดูเหมือนว่าอีกนิดเดียวอวิ๋นเหมี่ยวก็จะเรียกสมบัติพิทักษ์ภูเขาของหอเซียนจิ่วเจินออกมาแล้ว นั่นเรียกว่าสู้สุดชีวิต ไม่ได้เรียกว่าประลองฝีมือกันแล้ว แล้วยังไม่ยอมหยุด หลังจากนั้นยังไปหาเรื่องราชวงศ์เส้าหยวนอีก? ไปตีเจี่ยงหลงเซียงที่อยู่ในเมืองห่างไปไม่ไกล ได้ยินมาว่าเมื่อครู่นี้เพิ่งจะไปตีกับหม่าฉวีเซียนลูกศิษย์ใหญ่ของเผยเปยมาด้วย เพียงแค่ใช้วิธีการถามหมัดของผู้ฝึกยุทธ แต่ถึงกับเล่นงานจนอีกฝ่ายขอบเขตถดถอยไปโดยตรง? ดูเหมือนว่าหม่าฉวีเซียนเพิ่งจะเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตเก้าได้ไม่ถึงยี่สิบปีเองไม่ใช่หรือ ผลกลับกลายเป็นว่าถูกคนทำลายอนาคตบนวิถีวรยุทธที่เดิมทีมีหวังจะเดินขึ้นสู่ยอดสูงสุดแล้วค่อยเดินขึ้นสู่สวรรค์ไปทั้งอย่างนี้ หลังจากนี้หม่าฉวีเซียนจะสามารถหวนกลับคืนสู่ขอบเขตเก้าได้หรือไม่ก็ยังเป็นปัญหาที่ไม่เล็กข้อหนึ่ง
การต่อสู้สามครั้งที่ทยอยกันเกิดขึ้น ผู้ฝึกลมปราณ บัณฑิต ผู้ฝึกยุทธเต็มตัว ล้วนมีเรื่องมาครบถ้วนแล้ว?
ต่อสู้เก่งก็จริงอยู่ แต่นิสัยก็แย่มากจริงๆ เหมือนกัน
เทียนซือน้อยของภูเขามังกรพยัคฆ์เอ่ยอย่างตกตะลึงว่า “เป็นเจ้า?!”
ตอนนั้นพบเจอกันในโรงเตี๊ยมของนครเถียวมู่บนเรือราตรี เวลานั้นจ้าวเหยากวงคิดไม่ถึงเลยว่าคนชุดเขียวที่พบเจอโดยบังเอิญจะเป็นเฉินสืออี อิ่นกวานแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่
จอกแหนใบหนึ่งล่องลอยกลับคืนสู่มหาสมุทรใหญ่ ชีวิตคนล้วนพบเจอกันโดยบังเอิญได้ทุกที่
ปีนั้นก่อนจะลงจากภูเขาได้ขอให้คนช่วยทำนายให้ ได้เซียมซีดีมาใบหนึ่ง แล้วก็จริงเสียด้วย ออกจากบ้านครั้งนี้ในที่สุดตนก็ได้เจอกับผู้สูงศักดิ์แล้ว
พูดถึงแค่ศาลบุ๋นแห่งนี้ก็มีอาจารย์จั่วที่ได้ยินชื่อเสียงมานานแต่ไม่เคยได้พบหน้า ทั้งสองฝ่ายยังพูดคุยกันอย่างถูกคอด้วย
แล้วยังมีใต้เท้าอิ่นกวานที่ชื่อเสียงเลื่องลือตรงหน้าผู้นี้ ส่วนอาเหลียงนั่นก็ช่างเถิด ไม่ถือว่าเป็นผู้สูงศักดิ์อะไร เป็นพี่น้องคนดีที่ร่วมทุกข์ด้วยกันมามากกว่า
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เป็นข้า คิดไม่ถึงว่าจะได้เจอกันอีกครั้งเร็วขนาดนี้”
คาดว่าผู้สูงศักดิ์หวงจื่อที่ทั่วร่างเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของคนบนภูเขาผู้นี้จะต้องยิ่งคิดไม่ถึงว่าลูกจ้างร้านที่ขายของชิ้นนั้นให้พวกเขา เวลานั้นก็คืออู๋ซวงเจี้ยง
จ้าวเหยากวงก้มศีรษะคารวะ พอลุกขึ้นแล้วก็เอ่ยขออภัยด้วยรอยยิ้มเจิดจ้า “คราวก่อนที่อยู่บนเรือข้ามฟาก นักพรตน้อยล่วงเกินท่านแล้ว อาจารย์เฉินเป็นผู้ใหญ่ใจกว้าง อย่าได้ถือสากันเลย แต่หากอาจารย์เฉินถือสากันจริงๆ ก็ได้เหมือนกัน วันหน้าไปเยือนภูเขามังกรพยัคฆ์ นักพรตน้อยจะต้องเอาสุราดีๆ หลายไหออกมาให้ อาจารย์เฉินเชิญถือสากับพวกมันได้ตามสบาย”
เฉินผิงอันกุมหมัดยิ้มกล่าว “เดินทางไปเยือนทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง หากไม่แวะไปที่จวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์ จะไม่ถือว่าไปเสียเที่ยวหรอกหรือ แต่บอกไว้ก่อนว่าเรื่องที่จะตีกลองต้อนรับแขกอะไรนั่นก็เว้นไว้ดีกว่า”
เวทห้าอสนีดั้งเดิมของภูเขามังกรพยัคฆ์คือต้นกำเนิดที่แท้จริงอย่างสมชื่อของใต้หล้า เฉินผิงอันเลื่อมใสมานานมากแล้ว หวังเพียงว่าคราวหน้าที่ไปเยือนซือจวนเทียนซือ ภูเขามังกรพยัคฆ์จะอนุญาตให้ตนอ่านหนังสือหลายเล่มหน่อย
จ้าวเหยากวงอึ้งตะลึง ตีกลอง? นี่หมายความว่าอย่างไร? หรือใต้เท้าอิ่นกวานกำลังบอกกับตนเป็นนัยๆ ว่าให้จัดงานต้อนรับอย่างครึกครื้น เอิกเกริกเสียหน่อย? แต่ตนไม่ใช่เทียนซือคนปัจจุบันนะ จะทำเหลวไหลแบบนั้นไม่ได้เด็ดขาด ร่างกายของบรรพจารย์บ้านตนยังแข็งแรงดีอยู่ มองดูแล้วยังอ่อนเยาว์กว่าตนเสียอีก บนหมัดมีคนมายืนได้ บนแขนก็ให้ม้ามาวิ่งได้สบายๆ
เฉินผิงอันเห็นว่าเทียนซือน้อยฟังไม่เข้าใจก็เอ่ยขออภัยไปหนึ่งคำ บอกว่าตนพูดเหลวไหล อย่าได้คิดเป็นจริงเป็นจัง
หลินจวินปี้จึงได้แต่อธิบายให้สหายรักหัวทึบข้างกายฟังว่า “มีครั้งหนึ่งอาเหลียงแอบไปที่ภูเขามังกรพยัคฆ์ ได้ยินมาว่าวิธีการรับรองแขกของจวนเทียนซือพวกเจ้าเอิกเกริกอย่างมาก คาถาอสนีพุ่งเข้าใส่ไม่หยุด เสียงตีกลองดังสนั่นฟ้า”
จ้าวเหยากวงกระจ่างแจ้งทันใด ยิ้มเอ่ย “ไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาดเลย”
เพราะความสัมพันธ์กับซิ่วไฉเฒ่าเหวินเซิ่ง อันที่จริงภูเขามังกรพยัคฆ์กับสายของเหวินเซิ่งจึงสนิทสนมกับไม่น้อย ส่วนการที่อาจารย์จั่วออกกระบี่ในอดีต นั่นเป็นบุญคุณความแค้นส่วนตัวระหว่างผู้ฝึกกระบี่ อีกอย่างผู้อาวุโสในจวนเทียนซือที่ชีวิตนี้ถูกกำหนดมาแล้วว่าไม่อาจเป็นเซียนกระบี่ได้ ภายหลังก็หันไปสงบใจฝึกวิชาอสนี ทำลายก่อนแล้วสร้างขึ้นใหม่อีกครั้ง โชคดีหลังเจอเคราะห์ร้าย จิตแห่งมรรคาใสกระจ่าง มีความหวังบนมหามรรคา ทุกครั้งที่ดื่มเหล้ากับคนอื่นก็มักจะพูดถึงหายนะบนมหามรรคาของตนเองในปีนั้นอย่างไม่มีเขินอาย และกลับกันยังเป็นฝ่ายพูดถึงการถามกระบี่กับเซียนกระบี่จั่วโย่วในครั้งนั้น บอกว่าตนรับกระบี่ของจั่วโย่วไปมากถึงแปดกระบี่ มากกว่าตัวอ่อนกระบี่คนใดหรือผู้ฝึกกระบี่คนใดไปหลายที นี่คือผลงานการสู้รบที่ได้มาไม่ง่ายเลย ระหว่างที่พูดคุยยังมีสีหน้าของวีรบุรุษผู้กล้าหาญที่แม้จะพ่ายแพ้ก็แพ้อย่างสมเกียรติด้วย
คนหลายกลุ่มที่นั่งดื่มสุราคุยเล่นกันบนขั้นบันไดด้านข้าง เวลานี้ต่างก็มีความรู้สึกที่ไม่ต่างกันสักเท่าไร
อิ่นกวานหนุ่มที่ได้กลับคืนมายังไพศาลบ้านเกิดอีกครั้ง มองดูเหมือนพูดคุยง่าย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีเรื่องด้วยได้ง่ายๆ
ในกลุ่มคนมีผู้เฒ่าคนหนึ่งที่ดื่มเหล้าไปอึกใหญ่ เหลือบตามองแผ่นหลังของคนหนุ่ม ชุดเขียวสะพายกระบี่ แล้วยังหนุ่มอย่างมาก ผู้เฒ่าก็อดไม่ไหวเอ่ยอย่างสะท้อนใจขึ้นมา “คนหนุ่มช่างดีจริงๆ”
เฉินผิงอันเดินข้ามธรณีประตูเข้าไปในศาลบุ๋นพร้อมกับคนทั้งสอง พอเข้าไปแล้วก็ไปนั่งลงตรงตำแหน่งของอาเหลียง
รู้ว่าอาเหลียงได้ออกเดินทางไกลแล้ว เฉินผิงอันก็ล้มเลิกความคิดที่จะแวะไปหาฮูหยินภูเขาชิงเสิน เดิมทีคิดว่าจะไปขอโทษถึงที่ เพราะถึงอย่างไรที่ร้านก็สวมรอยขายเหล้าภูเขาชิงเสินมานานหลายปี แล้วก็ยังอยากถือโอกาสถามฮูหยินท่านนั้นด้วยว่าจะขอซื้อต้นไผ่สักสองสามต้นได้หรือไม่ เพราะถึงอย่างป่าไผ่ผืนเล็กที่ซานจวินใหญ่เว่ยเพื่อนบ้านปลูกเอาไว้ก็ทนรับการดึงถอนของคนข้างกายได้อีกแค่ไม่กี่ทีแล้ว แล้วพ่อครัวใหญ่ยังจะคอยยุยงให้หมี่ลี่น้อยแวะไปส่องดูอยู่ทุกวันเช่นนั้น เฉินผิงอันที่เป็นเจ้าขุนเขารู้สึกผิดต่อมโนธรรมในใจจริงๆ
สังเกตเห็นว่าโต๊ะที่อยู่ใกล้กับตนว่างเปล่า ทั้งสุราทั้งผลไม้ถูกกวาดเอาไปจนเกลี้ยงแล้ว นี่อาเหลียงปล้นเสร็จก็เผ่นหนีเลยรึ?
ลู่จือถาม “ก่อเรื่องแบบนี้ ศาลบุ๋นไม่จัดการเจ้าหรือไร?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่หรอก ข้าลงมืออย่างพอเหมาะ ล้วนอยู่ในกฎเกณฑ์ของศาลบุ๋น”
ฉีถิงจี้เอ่ยสัพยอก “ออกกระบี่บนเกาะยวนยาง ปล่อยหมัดบนภูเขาอ๋าวโถว ขาดก็แค่เตะเกาะนกแก้วให้พลิกคว่ำแล้ว”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “เจ้าสำนักฉีช่างเจ้าบทเจ้ากลอนนัก”
ลู่จือกล่าว “เผยเปยจะมาหาเรื่องเจ้าหรือไม่?”
หากเผยเปยจะออกหน้าให้ลูกศิษย์อย่างหม่าฉวีเซียนให้ได้ เฉินผิงอันไม่มีทางได้เปรียบแน่นอน
เฉินผิงอันกล่าว “ไว้ค่อยว่ากัน เรือมาเจอสะพานย่อมต้องลอดผ่านไปได้ ผ่านไปไม่ได้ก็เดินลงจากเรือขึ้นฝั่ง”
จั่วโย่วเอ่ยอย่างเฉยชา “หม่าฉวีเซียนมีอาจารย์ เจ้าก็เป็นคนที่มีศิษย์พี่เหมือนกัน ต้องกลัวอะไร หมัดของจวินเชี่ยนไม่เบาเหมือนกัน”
เฉินผิงอันหันหน้ามายิ้มเอ่ย “ศิษย์คนเดียวถามกระบี่ต่อบินทะยานสองคน อาจารย์รู้เข้าต้องดีใจมากแน่ๆ”
ไม่ว่าตอนอยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่จะเป็นอย่างไร พูดถึงแค่ตอนที่ศิษย์พี่อยู่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางก็ไม่เคยออกกระบี่มานานมากแล้วจริงๆ
จั่วโย่วไม่สนใจจะพูดคุยเรื่องนี้ เพียงแค่เอ่ยว่า “เรื่องเกี่ยวกับหอเซียนจิ่วเจิน ทางฝั่งของจัวลู่ซ่งจื่อได้มาขอโทษข้าแล้ว ยังหวังว่าวันหน้าเจ้าจะไปเยือนสำนักศึกษาที่เมืองจัวลู่ ไปอยู่สักหลายๆ วัน รับหน้าที่ช่วยอธิบายเรื่องกลยุทธทางการทหารให้กับลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อของสำนักศึกษาฟัง”
นี่ก็คือข้อดีของการมีอาจารย์มีศิษย์พี่นั่นเอง
เฉินผิงอันถามอย่างสงสัย “ซ่งจื่อแห่งจัวลู่เชิญคนผิดแล้วกระมัง ข้าไปไม่สู้ให้ศิษย์พี่ไปยังดีกว่า”
จั่วโย่วเหลือบตามองเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันรีบพูดทันใด “มีโอกาสข้าจะต้องไปฟังคำบรรยายที่จัวลู่แน่นอน แต่เรื่องที่จะให้ไปอธิบายให้ความรู้ที่สำนักศึกษานั้นก็ช่างเถิด ต้องปฏิเสธแน่”
จั่วโย่วพยักหน้า ไม่พูดอะไรอีก เริ่มหลับตาทำสมาธิ
ลู่จือถามอย่างใคร่รู้ “สรุปแล้วเผยเปยผู้นั้นอายุเท่าไรกันแน่?”
เฉินผิงอันตอบ “หากตำราประวัติศาสตร์ทางการของราชวงศ์ต้าตวนไม่ได้โกหก นางก็อายุไม่มาก ไม่ถึงสองร้อยปีกระมัง”
ลู่จือกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็สองร้อยกว่าปีแล้ว”
เฉินผิงอันพูดไม่ออก นี่มันเหตุผลอะไรกัน
หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็ใช้เสียงในใจสอบถามสถานการณ์ล่าสุดของจางซานเฟิงจากฮว่อหลงเจินเหริน ยังบอกว่าเดี๋ยวตนจะไปเยือนอุตรกุรุทวีป ครั้งนี้จะต้องไปเป็นแขกที่ยอดเขาพาตี้แน่นอน
ฮว่อหลงเจินเหรินยิ้มกล่าว “ไปเป็นแขกดี ไปเป็นแขกสิดี เจ้าหนูเจ้าต้องไปให้ได้นะ เจ้าเด็กซานเฟิงนั่น หลายปีมานี้ขอบเขตเพิ่มทะยานพรวดพราด จะขัดขวางอย่างไรก็ขวางไม่อยู่ ก่อนหน้านี้ไม่นานเพิ่งจะออกจากด่าน ครั้งนี้เจ้าไปเยือนอุตรกุรุทวีปจะต้องไปพบเขาให้ได้เลยนะ”
มีคนไปเป็นแขกแน่นอนว่าดี ยอดเขาพาตี้จะได้รับของขวัญจากคนไปเยี่ยมเยือน เพราะถึงอย่างไรยอดเขาพาตี้ก็ยากจนนัก ไม่ถึงกับไม่มีข้าวสารกรอกหม้อ แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ภูเขาที่ใช้จ่ายเงินมือเติบอะไรได้ ยามพูดจาจึงไม่มีความมั่นใจใดๆ อยู่ในอุตรกุรุทวีปยังเป็นเช่นนี้ เงินก็คือความกล้าหาญของวีรบุรุษ ไปเยือนธวัลทวีปที่ทุกหนทุกแห่งล้วนมีแต่เงินเทพเซียน เขาก็ยังจำต้องก้มหัวพูดคุยกับผู้อื่นไม่ใช่หรือ?
ฮว่อหลงเจินเหรินรู้สึกมาโดยตลอดว่าสหายรักบนภูเขาของตน แต่ละคนไม่เข้าใจมารยาทเสียบ้างเลย อาศัยว่ามีอายุมากก็ทำหน้าหนา ล้วนเป็นคนที่ฝึกตนเป็นเซียนอยู่บนภูเขา แต่ละคนไม่เอาการเอางาน นอกจากมีเงินแล้วก็ไม่เห็นว่าตบะของพวกเจ้าจะสูงไปยังไงเลย คนกันเอง ใครเป็นคนกันเองกับตะพาบเฒ่าที่กระเป๋าเงินแน่นตุงอย่างพวกเจ้ากันเล่า
ดังนั้นในอดีตทุกครั้งที่ออกจากด่าน เจินเหรินผู้เฒ่าจึงต้องถามบรรดาลูกศิษย์ผู้สืบทอดซึ่งมีหยวนหลิงเตี้ยนเป็นหนึ่งในนั้นว่า ช่วงนี้พวกเจ้าได้คบหาสหายใหม่ๆ บ้างหรือไม่ สามารถเชิญมาเป็นแขกบนภูเขาได้นะ น่าเสียดายที่แต่ละคนโง่ไม่แพ้กัน ไม่มีใครเข้าใจความนัยแท้จริงที่ซ่อนอยู่ในคำพูดของเขาเลย
เฉินผิงอันได้ยินว่าจางซานเฟิงเพิ่งจะฝ่าทะลุขอบเขตก็วางใจได้ไม่น้อย ลังเลอยู่พักใหญ่ก่อนจะเอ่ยกับเจินเหรินผู้เฒ่าไปอย่างระมัดระวังว่า ตอนอยู่บนเกาะยวนยางตนได้เจอกับหลิ่วเต้าฉุนของนครจักรพรรดิขาวแล้ว
เจินเหรินผู้เฒ่าถามอย่างสงสัย “หลิ่วเต้าฉุน? ผินเต้าเคยได้ยินชื่อคนผู้นี้ แต่เขาไม่ใช่ว่าถูกน้องจ้าวแห่งจวนเทียนซือสยบไว้ที่แจกันสมบัติทวีปหรอกหรือ? โผล่มาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? น้องจ้าว น้องจ้าว มีเรื่องแบบนี้อยู่จริงไหม? ทำไมเจ้าหลิ่วเต้าฉุนถึงแอบหนีออกมาได้เสียแล้วเล่า? เป็นเพราะตบะของหลิ่วเต้าฉุนสูงเกินไป หรือเป็นเพราะในอดีตที่น้องชายเงื้อฝ่ามือนั้นตบลงไป ตราประทับเทียนซือไม่ได้ตบโดนเขาจังๆ กันแน่?”
จ้าวเทียนไล่ยิ้มตอบ “ไม่แน่ใจเหมือนกัน คาดว่าเวลานานเข้า ปณิธานในตราประทับเทียนซือคงสลายไปแล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่ตอนนั้นก็ไม่ได้ลงมืออย่างจริงจัง ส่วนเรื่องที่หลิ่วเต้าฉุนมาเกาะยวนยางได้อย่างไร ข้าก็ยิ่งไม่รู้แล้ว”
เมื่อก่อนตอนที่ฮว่อหลงเจินเหรินยังควบตำแหน่งเทียนซือใหญ่ต่างแซ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์ ยามที่เจอหน้ากันจะต้องเรียกเขาว่าเทียนซือผู้อาวุโสคำแล้วคำเล่า ตอนนี้กลับดีนัก พอถูกถอดตำแหน่งออกไป กลับพร่ำเรียกว่าน้องจ้าวอยู่ได้
ดูท่าตอนนั้นที่ภูเขามังกรพยัคฆ์ปฏิเสธไม่ให้จางซานเฟิงมารับตำแหน่งต่อคงทำให้ฮว่อหลงเจินเหรินขัดเคืองใจไม่น้อย
อวี๋เสวียนทอดถอนใจตามมาด้วย “นั่นสิๆ สายยันต์นี้ ยากที่จะเก็บรักษาปณิธานเอาไว้อย่างยาวนาน ก็เหมือนยันต์ประคองภูเขาของข้าผู้อาวุโสนั่นแหละ หากไม่เป็นฝ่ายถอนออกด้วยตัวเอง อย่างมากสุดผ่านไปอีกสักแปดร้อยปีพันปีก็คงคลายตัวออกเองหลายส่วนแล้ว”
นักพรตเฒ่าสามคนพูดคุยกัน เฉินผิงอันฟังด้วยความรู้สึกชาไปทั้งหนังหัว
ตนพูดกับฮว่อหลงเจินเหรินคนเดียว เหตุใดคนอื่นถึงได้ยินด้วยนะ?
ฝูลู่อวี๋เซียนและเทียนซือใหญ่ที่เป็นยอดฝีมือผู้บรรลุมรรคาสองคนต้องไม่ถึงขั้นแอบฟังคนอื่นคุยอย่างแน่นอน ไม่ได้ว่างขนาดนั้น ถ้าอย่างนั้นจะเป็นเพราะอาศัยริ้วกระเพื่อมบางส่วนของแม่น้ำแห่งกาลเวลามาอนุมานเอาหรือไม่?
เฉินผิงอันจึงได้แต่เป็นฝ่ายเอ่ยทักทายกับผู้อาวุโสทั้งสองท่านก่อน
จ้าวเทียนไล่ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เวทอสนีของอิ่นกวานตอนอยู่บนเกาะยวนยาง ไม่ธรรมดาเลย”
อวี๋เสวียนยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ขว้างหินใส่คนอื่น นี่ออกจะเกินไปหน่อยแล้ว แต่เห็นแล้วก็สะใจมากเลย”
ส่วนฮว่อหลงเจินเหรินนั้นงีบหลับต่ออีกครั้ง
เคยสู้รบให้มารแห่งฝันนับล้านตายดับ เป็นเหตุให้พลังของข้าเพิ่มขึ้นเป็นทบทวี
……
หนึ่งคนแก่หนึ่งเด็กออกมาจากเกาะนกแก้ว นั่งเรือโดยสารที่ท่าเรือมุ่งตรงไปยังจวนบนภูเขาอ๋าวโถว
เพราะฮ่องเต้เด็กหนุ่มอยากจะโดยสารเรือที่เรียบง่ายโกโรโกโสลำนี้ มีเหตุผลเต็มเปี่ยม บอกว่าสามารถได้เห็นผู้ฝึกตนต่างถิ่นมากหน่อย ไม่แน่ว่าในบรรดานั้นอาจมียอดฝีมืออย่างใต้เท้าอิ่นกวานซ่อนตัวอยู่ก็เป็นได้ จากนั้นหากเห็นว่าฐานกระดูกของเขายอดเยี่ยมก็จะได้รับไปเป็นลูกศิษย์ สุดท้ายรู้ว่าเขาคือฮ่องเต้ ก็ได้แต่ปล่อยผู้มีความสามารถด้านการฝึกตนที่เป็นดั่งหยกงามชิ้นหนึ่งไป ยอดฝีมือได้แต่จากไปอย่างหม่นหมอง รู้สึกเสียดายไปทั้งชีวิต วันหน้าอยู่บนภูเขาทุกครั้งที่คิดถึงก็จะต้องหลั่งน้ำตาด้วยความทุกข์ทน…
ทว่ารอกระทั่งหยวนโจ้วได้ขึ้นมาบนเรือจริงๆ กลับค้นพบว่าไม่มีใครสนใจเขาเลย
หยวนโจ้วยืนอยู่ข้างราวรั้ว เอ่ยว่า “ท่านปู่อวี้ การค้าครั้งนี้ ข้ามักจะรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องนะ”
การประชุมครั้งที่สอง แม้ว่าหยวนโจ้วจะเป็นฮ่องเต้ของเสวียนมี่ แต่กลับไม่ได้เข้าร่วมการประชุม
เหตุผลของอวี้พ่านสุ่ยก็คือฮ่องเต้อายุน้อยเกินไป ลมแรงเกินไป ง่ายที่จะถูกลมพัดกวาดเอาหัวไปด้วย
ดังนั้นนี่คือผลลัพธ์จากการที่เขาขอร้องศาลบุ๋นมาอย่างยากลำบาก หากฝ่าบาทรู้สึกอัดอั้นก็อดกลั้นเอาไว้ แน่นอนว่าหยวนโจ้วเต็มใจจะอดทนข่มกลั้น สกุลหยวนเสวียนมี่เพิ่งจะเปิดแคว้นมาได้แค่ไม่กี่ปีเอง เขาก็ไม่ได้อยากเป็นฮ่องเต้คนสุดท้ายของราชวงศ์หรอกนะ
——