กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 805.1 ยิ้มบางลูบไล้จอกแหน
หลี่เซิ่ง หย่าเซิ่ง ซิ่วไฉเฒ่า อริยะทั้งสามท่านกลับคืนมายังศาลบุ๋น เข้าร่วมการประชุมอีกครั้ง เป็นเหตุให้บรรยากาศที่เดิมทีเริ่มผ่อนคลายได้หลายส่วนกลับมาเป็นเคร่งเครียดในชั่วพริบตา ผู้ฝึกตนบางส่วนที่คิดอยากจะออกไปดื่มเหล้าคุยเล่นกันก็ต้องอยู่ฟังประชุมตามกฎระเบียบ
ซิ่วไฉเฒ่านั่งตัวตรงอย่างสำรวม รออยู่นานก็ยังไม่ได้ยินเสียงแสดงความยินดีแม้แต่ครึ่งคำ รู้สึกมึนงงอยู่บ้าง ต่างก็พูดกันว่าคนจากลาน้ำชาก็เย็นชืด ทำให้เห็นความสัมพันธ์อุ่นเย็นของผู้คน เห็นท่าทีเย็นชาของคนบนโลก เหตุใดเตาเย็นถึงถูกนำมาใช้อีกครั้ง พวกคนเจ้าเล่ห์น้อยใหญ่กลุ่มนี้ไม่แสดงท่าทีกันบ้างเลยหรือ? ได้สถานะอริยะผู้มีเทวรูปตั้งวางในศาลบุ๋นกลับคืนมาอีกครั้ง ตนไม่รู้สึกยินดีหรือผิดหวังเพราะสิ่งของนอกกายดีหรือร้ายก็จริง แต่นี่ก็ไม่ใช่เหตุผลที่พวกเจ้าจะไม่ผายลมสักครั้งนะ รังแกอาจารย์คนดี ดูแคลนคนซื่ออย่างนั้นหรือ?
อาจารย์ผู้เฒ่าฝูเห็นท่าทางขมวดคิ้วมุ่นอยู่กับตัวเองของซิ่วไฉเฒ่าก็ยิ้มอธิบายให้ซิ่วไฉเฒ่าฟังถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของศาลบุ๋นก่อนหน้านี้ สำนักศึกษารวมทั้งสิ้นห้าแห่งอย่างอวิ๋นเปียน หลันไถ หูเหลี่ยน ชุนโซวและถงลี่ พวกเจ้าขุนเขาทั้งหลายล้วนสูญเสียยศตำแหน่ง จึงมีเรื่องวุ่นวายกันอยู่พักหนึ่ง เจ้าขุนเขาชุนโซวที่อายุน้อยที่สุดยังแสดงความกังขาต่อหลี่เซิ่งอย่างเปิดเผย สุดท้ายถูกอาเหลียงส่งออกไปนอกประตู ดังนั้นเวลานี้ทุกคนจึงค่อนข้างระมัดระวังในเรื่องการพูดคุยกันด้วยเสียงในใจ
ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ยชื่นชมคำหนึ่งว่า บิดาพยัคฆ์ไม่ออกลูกเป็นสุนัข
หย่าเซิ่งหยิบสมุดเล่มหนึ่งออกมาจากสมุดกองใหญ่ที่อยู่บนโต๊ะ มองตำแหน่งที่เพิ่งถูกอิ่นกวานหนุ่มเข้ามานั่งแทนที่ด้วยความรู้สึกอ่อนใจเล็กน้อย ไม่ชอบอยู่บ้านขนาดนี้เลยหรือ?
แสงสีทองเปล่งวาบหนึ่งที จิงเซิงซีผิงที่อยู่ตรงหน้าประตูใหญ่ยื่นมือออกมารับ คือหน้าหนังสือแผ่นหนึ่ง เป็นจดหมายลับที่เขียนด้วยลายมือของอริยะผู้มีเทวรูปท่านหนึ่งที่ส่งมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่
หลี่เซิ่งวางตำราภูมิศาสตร์เล่มที่เพิ่งหยิบมาจากที่อื่นลง เอ่ยว่า “อาเหลียงกับชิงมี่ได้ไปถึงที่กำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว ดูจากท่าทางคนทั้งสองคงจะจับมือกันบุกเบิกเส้นทางลงใต้ไปก่อน”
พูดเรื่องนี้จบ หลี่เซิ่งก็ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “พวกเจ้าประชุมกันต่อได้เลย”
หย่าเซิ่งขมวดคิ้วน้อยๆ
หลี่เซิ่งใช้เสียงในใจพูดกับหย่าเซิ่งว่า “อาเหลียงพาเฝิงเซวี่ยเทาไปที่ภูเขาใหญ่แสนลี้ก่อน ก่อกองไฟที่นั่น บอกว่าจะกินหม้อไฟแกล้มสุรา ใต้หล้ามีเพียงข้า”
หย่าเซิ่งยกมือขึ้นกุมขมับ
ลู่จือได้ยินเรื่องนี้แล้วก็ถามว่า “ชิงมี่ผู้ฝึกตนอิสระที่เก็บหัวเก็บหางมิดชิดผู้นี้แค่ถูกจั่วโย่วฟันไปไม่กี่ทีก็เปลี่ยนนิสัยกลายไปเป็นวีรบุรุษผู้กล้าได้เลยหรือ?”
ฉีถิงจี้ยิ้มกล่าว “ต้องเพราะถูกอาเหลียงต้อนเป็ดขึ้นชั้นไม้แน่นอน (เปรียบเปรยว่าถูกบังคับให้ทำในเรื่องที่ไร้ความสามารถ) ชิงมี่จะไม่ตอบตกลงก็ไม่ได้”
จั่วโย่วกล่าว “ชิงมี่ผู้นี้มีเวทหลบหนีที่ไม่เลว ฝีมือด้านการต่อสู้ก็สูงกว่าจิงเฮาระดับหนึ่ง ทั้งยังมีอาเหลียงคอยนำทางให้ ยากมากที่พวกเขาจะตกอยู่ในวงล้อมของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง”
ฆ่าอาเหลียง ยุ่งยากที่สุด
นี่ได้กลายเป็นความรู้ที่มีร่วมกันของใต้หล้าไพศาลและใต้หล้าเปลี่ยวร้างไปแล้ว
จับคู่เข่นฆ่า สู้ไม่ได้ แต่หากจะรวมพรรครวมพวกมาไล่ล่าขวางทาง ต่อให้สุดท้ายกลายเป็นสถานการณ์ล้อมสังหารขึ้นมาจริงๆ กลับกลายเป็นว่าอาเหลียงดันชอบมาก ไม่แน่ว่าอาจถูกเขาที่ตัวคนเดียวท้าทายคนทั้งกลุ่มก็เป็นได้
แต่ว่าการเดินทางครั้งนี้ของอาเหลียงได้แสดงออกชัดเจนว่าจะพาผู้ติดตามอย่างชิงมี่ไปด้วย บุกฆ่าทะลวงไปในใต้หล้าเปลี่ยวร้างรวดเดียว ความอันตรายที่จะเจอระหว่างนี้จึงเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว
เฉินผิงอันเอ่ย “อาเหลียงคิดจะอาศัยกำลังของตัวเองคนเดียวมาสร้างความวุ่นวายให้กับสถานการณ์บนยอดเขาของเปลี่ยวร้าง ตกปลาตัวใหญ่แท้จริงที่ซ่อนตัวอย่างลึกล้ำออกมาให้กับศาลบุ๋น”
คิดจะขัดขวางอาเหลียงให้ได้อย่างแท้จริง ใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็ต้องเอาผู้แข็งแกร่งที่มีฝีมือพอจะถามกระบี่กับอาเหลียงออกมา ยกตัวอย่างเช่นบุคคลบนยอดเขาสูงอย่างหลิวชา
คนที่มีสถานะเอามาเปิดแก่เผยภายนอกได้ของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ตอนนี้มีขอบเขตสิบสี่แค่สองคนเท่านั้น เซียวสวิ้นที่เป็นหนึ่งในนั้น ต่อให้เจอกับอาเหลียง ทั้งสองฝ่ายก็ไม่มีทางตีกัน มีแต่จะดื่มเหล้าด้วยกันเสียมากกว่า
เซียวสวิ้นก็ดี เซียนกระบี่สองท่านของสายอิ่นกวานเก่าอย่างจู๋อานและลั่วซานก็ช่าง บวกกับจางลู่เซียนกระบี่ใหญ่ที่เฝ้าประตูอยู่ในภูเขาห้อยหัว ล้วนีความสัมพันธ์ที่ดีเยี่ยมกับอาเหลียง
ส่วนผู้ฝึกตนอิสระชิงมี่นั้น ต่อให้เป็นขอบเขตบินทะยาน ครั้งนี้ถูกอาเหลียงลากให้เดินทางลงใต้ไปด้วยกัน คาดว่าต่อให้ไม่อยากจะฝึกอบรมจิตใจให้ดีก็ยังยากแล้ว
ลู่จือหัวเราะเสียงหยัน “หากเขามีชีวิตรอดกลับมา ให้เขาลูบขาสองสามทีก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร”
ฉีถิงจี้ จั่วโย่ว เฉินผิงอัน บุรุษสามคนที่รักษาเนื้อรักษาตัวบริสุทธิ์ผุดผ่องในเรื่องของความรักชายหญิงต่างก็ปิดปากเงียบไม่พูดจาอย่างรู้กาลเทศะ
คู่รักบนภูเขาของฉีถิงจี้ ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้มีเพียงคนเดียว หลังจากภรรยาตายจากไป ชั่วชีวิตนี้เขาก็ไม่เคยมีความคิดที่จะมีภรรยาใหม่ ในความเป็นจริงแล้วผู้ฝึกตนหญิงของใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่หลงรักเซียนกระบี่ผู้อาวุโสผู้มีรูปโฉมหล่อเหลาคนนี้มีจำนวนไม่น้อยเลย อีกทั้งแต่ละคนล้วนเป็นห้าขอบเขตบนทั้งสิ้น ราวกับว่าขอแค่ฉีถิงจี้พยักหน้าตอบตกลง แค่มีฐานะให้ก็พวกนาง จะให้พวกนางทรยศออกจากเปลี่ยวร้างก็ยินดี
ส่วนจั่วโย่วก็ไม่ต้องพูดมากแล้ว
ฝ่ายเฉินผิงอัน ตอนที่อยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ยิ่งขึ้นชื่อว่าสายตาไม่แลใคร ราวกับว่าสตรีในใต้หล้านี้มีเพียงหนิงเหยาคนเดียว
เฉินผิงอันเปิดอ่านตำราที่ด้านบนรวบรวมผลลัพธ์จากห้องของอาจารย์ลี่ พลางสอบถามจิงเซิงซีผิง ขอความรู้เกี่ยวกับโพ่จื่อลิ่งอย่างนอบน้อมไปด้วย
บนเรือราตรีลำนั้น มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าโพ่จื่อลิ่งก็คือวิธีการในการลงจากเรือ อีกทั้งยังอาจจะกลายเป็นเหมือนเอกสารผ่านด่านอย่างหนึ่ง ในอนาคตหากมีโอกาสได้ขึ้นเรืออีกครั้งก็ไม่จำเป็นต้องใช้กระบี่เปิดทางฝืนลงจากเรือ
เฉินผิงอันมีแผนการที่ลึกล้ำยาวไกลต่อเรือข้ามฟากที่ร่องรอยไม่แน่นอนลำนี้ หากแน่ใจได้แล้วว่าภัยแฝงที่จะตามมามีไม่มาก เฉินผิงอันก็ถึงขั้นอยากจะเสนอตัวเป็นเจ้านครแห่งหนึ่งบนเรือราตรีด้วยซ้ำ
ซีผิงบอกว่าเดี๋ยวจะไปเอาหนังสือของศาลบุ๋นมาให้เฉินผิงอันสองสามเล่ม เพียงแต่ว่าหนังสือพวกนี้ล้วนเอาออกไปจากสวนกงเต๋อไม่ได้ จำเป็นต้องอ่านให้จบแล้วส่งคืน เพราะหนังสือพวกนี้ตามกฎแล้วมีเพียงอริยะปราชญ์ผู้มีเทวรูปและเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาเท่านั้นที่ถึงจะเปิดอ่านได้ แต่ในเมื่อหลี่เซิ่งอนุญาตด้วยตัวเอง แน่นอนว่าสามารถพลิกแพลงไปตามสถานการณ์ แต่ก็ไม่อาจละเมิดกฎได้เกินไปนัก ในใจเฉินผิงอันมีข้อสงสัย แต่กลับไม่ได้ถามมาก
ดูเหมือนว่าซีผิงจะคาดเดาความคิดของเฉินผิงอันออก จึงเป็นฝ่ายอธิบายว่าหากคิดจะฝึกฝนวิชาอภินิหารของลัทธิขงจื๊ออย่างโพ่จื่อลิ่งนี้ให้สำเร็จ ก็จำเป็นต้องศึกษาวิชายืมคำของนักปราชญ์และวิญญูชนแห่งสำนักศึกษาให้เป็นเสียก่อน
พอเฉินผิงอันได้ฟังก็เอ่ยขอบคุณจิงเซิงซีผิง จากนั้นจึงทำหน้าหนาขอคัมภีร์ฉบับสำเนาอีกชุดหนึ่งจากเขา บอกว่าขอไปให้เฉาฉิงหล่างลูกศิษย์ของตน เพราะพลาดพิธีสวมกวานของลูกศิษย์คนนี้ หากสามารถชดเชยด้วยตำราเนื้อหาคัมภีร์ที่คัดจากศิลาแกะสลัก เฉาฉิงหล่างจะต้องทะนุถนอมเห็นค่าเป็นอย่างมากแน่นอน
ซีผิงยิ้มกล่าว “ที่ข้ามีคัมภีร์ฉบับสำเนาที่เก็บรักษาไว้อยู่สองชุดจริง อายุค่อนข้างมากแล้ว ระดับขั้นนับว่าไม่ธรรมดา บัณฑิตคัดตำราไม่ใช่เรื่องง่ายเลย”
เฉินผิงอันรีบพูดทันใด “อิงตามราคาการคัดคัมภีร์ของพวกบัณฑิตในสายบุ๋นได้เลย เอาราคาที่แพงที่สุดแล้วเพิ่มไปอีกหนึ่งเท่าตัว”
ซีผิงที่อยู่ตรงหน้าประตูใหญ่หันหน้ามามองอิ่นกวานหนุ่มที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความจริงใจ คลี่ยิ้มไม่เอ่ยคำใด ทั้งไม่พยักหน้าตอบตกลง แล้วก็ไม่ส่ายหน้าปฏิเสธ
ได้ยินมาว่าที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่เคยมีใครได้กำไรจากเฉินผิงอันมาก่อน?
ศิลาคัมภีร์ซีผิงแต่ละก้อน นับจากที่ตั้งวางไว้หน้าประตูศาลบุ๋น พวกบัณฑิตรุ่นหลังก็พากันมาคัดลอก เพื่อใช้สิ่งนี้หาเงินประทังชีพ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นพวกลูกหลานตระกูลยากจนที่สอบไม่ติดเคอจวี่ โดยทั่วไปก็หาเงินได้แค่ไม่กี่เหรียญเท่านั้น อาศัยการมาศึกษาต่อที่นี่ พยายามหาค่าเดินทางกลับบ้านเกิดให้ได้มากหน่อย ต่อให้มีคนที่ลายมือสวยมาก คัดตัวอักษรแบบบรรจงขนาดเล็กได้อย่างงดงาม ก็ยังตั้งราคากับคนซื้อแค่ไม่กี่สิบตำลึงเงินเท่านั้น
ดังนั้นต่อให้ราคาเพิ่มไปอีกหนึ่งเท่าตัว แต่จะเพิ่มไปได้สักเท่าไรกันเชียว?
คัมภีร์ซีผิงฉบับสำเนาที่จิงเซิงซีผิงคัดเองหนึ่งชุด ใต้เท้าอิ่นกวานจ่ายเงินแค่สามสิบตำลึงเงินก็ซื้อไปได้แล้วหรือ?
ซีผิงพลันหัวเราะ “ก็ได้ ซื้อหนึ่งชุดแถมสองชุดก็แล้วกัน ราคารวมคิดเจ้าหนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะ สามารถได้กำไรเป็นเงินหลายร้อยตำลึงเงินมาจากใต้เท้าอิ่นกวานก็ไม่ง่ายแล้ว”
เฉินผิงอันถามหยั่งเชิง “อย่างน้อยมีชุดหนึ่งที่เป็นลายมือของอาจารย์ซีผิงเองกระมัง?”
ซีผิงพยักหน้า หันตัวเดินจากไปทันที จะไปคัดตำรามาให้อีกฝ่าย
ฮว่อหลงเจินเหรินจุ๊ปากเอ่ยชื่นชม “เฉินผิงอัน เจ้าทำการค้าไปถึงบนหัวของซีผิงแล้วหรือนี่? ใช้ได้ๆ ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็น่าจะรู้นะว่าซานเฝิงเองก็เป็นคนชอบอ่านหนังสือเหมือนกัน หืม?”
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างเจ็บปวดรวดร้าว “เหตุใดผู้อาวุโสไม่บอกแต่เนิ่นๆ เล่า ไม่อย่างนั้นต่อให้ผู้เยาว์ต้องลงไปชักดิ้นชักงอก็ต้องเปิดปากขอซื้อจากอาจารย์ซีผิงมาอีกสองชุดให้จงได้”
ฮว่อหลงเจินเหรินลุกขึ้นยืนทันใด เดินไปหาจิงเซิงซีผิง ทำเอาเฉินผิงอันที่มองอยู่อกสั่นขวัญผวา จะขวางก็ไม่กล้า
ฮว่อหลงเจินเหรินเดินออกไปจากศาลบุ๋น เพียงไม่นานก็ไล่ตามไปทันซีผิง เอามือคล้องไหล่อีกฝ่าย บอกว่าเจ้าเด็กเฉินผิงอันนั่นเปลี่ยนใจกะทันหัน รู้สึกว่าโอกาสหาได้ยาก ชุดเดียวไม่พอ เจ้าตัวดี ทำตัวเป็นสิงโตอ้าปากกว้างเสียได้ ถึงกับขอคัมภีร์ฉบับสำเนาจากเจ้าถึงสามชุด แรกเริ่มยังบอกว่าห้าชุดด้วยนะ เป็นผินเต้าที่ทั้งปลอบทั้งดุ เกลี้ยกล่อมเจ้าเด็กนั่นว่าต้องหัดรู้จักพอ อย่ารบกวนอาจารย์ซีผิงมากเกินไป
จิงเซิงซีเผิงดันแขนเจินเหรินผู้เฒ่าออกเบาๆ ยิ้มเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะคัดเพิ่มอีกสองชุด ราคาที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้านั้นยังคงเดิม เพียงแต่ว่าสองชุดที่เพิ่มมานี้ต้องคิดอีกหนึ่งเหรียญเงินร้อนน้อย”
ฮว่อหลงเจินเหรินลูบหนวดยิ้ม เดินก้าวยาวๆ กลับมาที่ศาลบุ๋น พอมาถึงตรงขั้นบันไดก็รีบชะลอฝีเท้าให้เชื่องช้า เดินอิดออดกว่าจะข้ามธรณีประตูมาได้ พอนั่งลงแล้วก็เอ่ยกับเฉินผิงอันว่า “สำเร็จแล้ว ปรึกษาเรื่องนี้กับอาจารย์ซีผิง ผินเต้าต้องขายหน้าแก่ๆ ออกไปหมดสิ้นแล้ว กว่าจะช่วยเจ้าขอมาเพิ่มได้อีกหนึ่งชุด”
รอยยิ้มเฉินผิงอันกระอักกระอ่วน ยังจะทำอย่างไรได้อีก ก็ได้แต่พยักหน้าเอ่ยขอบคุณเท่านั้น
ฮว่อหลงเจินเหรินคล้ายจะนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงเอ่ยว่า “แต่ว่าชุดที่เพิ่มมานี้ต้องเพิ่มเงินอีกหนึ่งเหรียญฝนธัญพืช ฟังปราดๆ ก็เหมือนว่าออกจะแพงไปสักหน่อย แต่เจ้าหนูเจ้าเองก็รู้ว่าทางฝั่งของศาลบุ๋นนี้ อาจารย์ซีผิงไม่เคยมีการคบค้าสมาคมกับใคร อริยะปราชญ์ของศาลบุ๋นกี่มากน้อยที่ร้องขออ้อนวอนอย่างยากลำบากก็ยังไม่ได้มา ดังนั้นจึงไม่เคยได้ยินว่าใต้หล้าไพศาลเคยมี ‘ลายมือที่แท้จริงของซีผิง’ ชุดใดปรากฏมาก่อน หนึ่งเหรียญเงินฝนธัญพืช เจ้าได้กำไรก้อนใหญ่เลยนะ แต่หากเจ้าตัดใจจ่ายเงินก้อนนี้ไม่ลงก็ช่างเถิด ผินเต้าช่วยเจ้าออกเองดีไหม?”
เฉินผิงอันกล่าว “ไม่ต้องๆ แม้จะบอกว่าเมื่อครู่นี้ตอนอยู่ที่ร้านผ้าห่อบุญเกาะนกแก้วใช้เงินไปไม่น้อย ทั้งยังซื้อเรือข้ามฟากลำหนึ่งมาจากราชวงศ์เสวียนมี่ ไม่เพียงแต่ใช้เงินเก็บไปจนหมด ยังติดหนี้อีกบานตะไท ทว่าเงินฝนธัญพืชหนึ่งเหรียญ ต่อให้ต้องกัดฟัน ผู้เยาว์ก็ยังต้องจ่ายให้ได้”
ฮว่อหลงเจินเหรินเลิกคิ้วสูง “เรือข้ามฟาก เรือข้ามทวีปมากกว่ากระมัง? คงไม่ใช่เรือเฟิงยวนที่ผินเต้าอยากได้มานานหลายปี แต่ให้ตายอย่างไรยอดเขาพาตี้ก็ซื้อไม่ไหวหรอกนะ?”
เฉินผิงอันแข็งใจตอบว่า “อาจารย์อวี้ไม่ได้บอกชื่อของเรือลำนี้”
ฮว่อหลงเจินเหรินพยักหน้า “เป็นเรื่องดี ยอดเขาพาตี้มีความสัมพันธ์เช่นไรกับภูเขาลั่วพั่ว เรือข้ามฟากของเจ้าก็เท่ากับเป็นของผินเต้าแล้ว วันหน้าหากเจ้าหนูเจ้าทำการค้าใหญ่โตขึ้น ทำไปถึงหน้าประตูของยอดเขาพาตี้ จากนั้นก็สร้างท่าเรือตระกูลเซียนขึ้นมาก็ยิ่งดีเลย ผินเต้าเองก็จะได้ลดค่าใช้จ่ายของเรือข้ามฟากไปได้ก้อนหนึ่ง ได้เลยๆ ล้วนเป็นเรื่องเล็ก เดี๋ยวข้าจะบอกกับเจ้าอ้วนน้อยอวี้สักคำ ค่าใช้จ่ายทั้งหมดของเฟิงยวนจากแผ่นดินกลางไปยังแจกันสมบัติทวีป จะไม่คิดกับเจ้า ราชวงศ์เสวียนมี่ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนั้น อีกทั้งเจ้าอ้วนน้อยอวี้ยังขึ้นชื่อว่าเอวร้อยเงินหมื่นก้วน ยังจะมาถือสาเรื่องเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้กับภูเขาลั่วพั่วของเจ้า ไม่เข้าท่าเอาเสียเลย”
อวี้พ่านสุ่ยที่เพียงแค่เอาจิตหยินออกเดินทางไกล แต่ร่างจริงยังคงเข้าร่วมการประชุมในศาลบุ๋น อยู่ดีๆ ก็รู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดีขึ้นมา แล้วก็จริงดังคาด เพียงไม่นานในทะเลสาบหัวใจก็มีเสียงกลั้วหัวเราะดังกังวานของฮว่อหลงเจินเหรินดังขึ้น “น้องอวี้”
อวี้พ่านสุ่ยหัวเราะแห้งๆ “พี่ฮว่อหลง มีเรื่องอะไรหรือ?”
ฮว่อหลงเจินเหรินบ่นว่า “น้องอวี้เจ้านี่นะ ไม่มีความพิถีพิถันอะไรเสียเลย เมื่อก่อนเป็นข้าผินเต้าที่มองคนผิดไป ถึงกับเห็นเจ้าเป็นพี่น้องคนดีที่มีคุณธรรมน้ำใจไปเสียได้”
อวี้พ่านสุ่ยยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ที่ถูกตัวเองบีบคั้นออกมา “พี่ฮว่อหลงหมายความว่าอย่างไรกัน น้องชายทำอะไรไม่ถูกหรือ ข้าสามารถแก้ไขได้ จะแก้ไขให้ทันทีเลย”
พี่น้องคนดี? พูดไปเรื่อย ก่อนจะมาประชุมที่ศาลบุ๋นครั้งนี้ พวกเราสองคนไม่เคยเจอหน้ากันมาก่อนเลยนะ
ฮว่อหลงเจินเหรินจึงพูดจาเป็นธรรมจริงใจดุจควักเอาหัวใจออกมาพูดกับไท่ซ่างหวงของราชวงศ์เสวียนมี่ผู้นี้ไปสองสามประโยค
อวี้พ่านสุ่ยพยักหน้ารับรัวๆ ราวไก่จิกเมล็ดข้าวเปลือก รับฟังคำสั่งสอนอย่างตั้งใจ มีข้อผิดพลาดจะแก้ไข ไม่มีก็ให้เป็นข้อเตือนใจ
ถึงท้ายที่สุดฮว่อหลงเจินเหรินก็ลูบหนวดยิ้ม หันหน้าไปบอกกับเฉินผิงอันว่าสำเร็จแล้ว อวี้พ่านสุ่ยผู้นี้ แม้จะเพิ่งพบเจอหน้ากันครั้งแรก แต่กลับคุยง่ายกว่าที่คิดไว้มากนัก เข้าอกเข้าใจคนอื่นเป็นอย่างดี
ฮว่อหลงเจินเหรินไม่หันหน้ามายังดี พอหันหน้ามาเช่นนี้ อวี้พ่านสุ่ยก็ยิ่งมั่นใจสิ่งที่คาดเดาไว้ในใจ ในใจผู้เฒ่าร่างอ้วนท้วมรู้สึกเศร้าใจขมขื่นนัก สีหน้าทึ่มทื่อ มองเฉินผิงอันอย่างอึ้งค้าง
ใต้เท้าอิ่นกวานที่ไม่เคยรังแกเด็กสตรีและคนชรา คนทำการค้าอย่างยุติธรรม ดี ดีมากๆ ดีไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว คราวนี้ราชวงศ์เสวียนมี่ยังต้องนำเรือข้ามฟากเฟิงยวนที่ซ่อมแซมเสร็จเรียบร้อยแล้วไปส่งให้ถึงท่าเรือภูเขาหนิวเจี่ยวของภูเขาลั่วพั่วอีกด้วย เจ้าจับเสวียนมี่ของพวกเราและตาเฒ่าอวี้อย่างข้าให้แน่นไปเลยสิ ถอนขนแกะเต็มที่กันเลยใช่ไหม (คำว่าถอนขนแกะเป็นคำแสลงในภาษาจีน หมายถึงได้ของฟรี ได้ของราคาถูก) ถอนกันไปตามใจเลย วันหน้าหากข้าอวี้พ่านสุ่ยเป็นคนไปขอพูดคุยเรื่องการค้าก่อน ข้าผู้อาวุโสจะใช้แซ่ตามเจ้าเลย
เฉินผิงอันไม่กล้าใช้เสียงในใจอธิบายให้อวี้พ่านสุ่ยฟัง
ได้แต่ถอนหายใจ ปล่อยไปก่อนเถอะ รอให้เจินเหรินผู้เฒ่าไม่อยู่ข้างกายค่อยไปอธิบายให้เจ้าประมุขสกุลอวี้ท่านนี้ฟังดีๆ ก็แล้วกัน
ตั้นตั้นฮูหยินแห่งหลุมน้ำลู่พลันเป็นฝ่ายเดินมาหาเฉินผิงอัน สอบถามเสียงเบาว่า “ได้ยินมาว่ากระบี่เซียนไท่ป๋ายของป๋ายเหย่ ท่อนที่เป็นปลายกระบี่ตกมาอยู่ในมือของเจ้าหรือ?”
เฉินผิงอันไม่ได้ปิดบังผู้ครองชะตาน้ำบนบกคนใหม่ของใต้หล้าไพศาลท่านนี้ เขาเบี่ยงตัวกลับมาน้อยๆ หันหน้าเข้าหาสตรี พยักหน้าเอ่ยว่า “ผู้อาวุโสชิงจง เป็นเช่นนี้จริง”
ตั้นตั้นฮูหยินลังเลอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะพูดเข้าประเด็นโดยตรงว่า “ขอให้ข้าดูหน่อยได้หรือไม่?”
ผู้ฝึกตนบนยอดเขาของไพศาล อันที่จริงต่างก็รู้กันดีว่าบนประตูใหญ่ของหลุมน้ำลู่เขียนคำว่าอะไรเอาไว้ รู้ดีว่าสตรีร่างอ้วนฉุผู้นี้เคารพเลื่อมใสป๋ายเหย่ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจของโลกมนุษย์เป็นที่สุด ไม่อย่างนั้นนางก็ไม่มีทางเอาสองคำในบทกวีของป๋ายเหย่ออกมา สุดท้ายตั้งฉายาให้ตัวเองว่า ‘ชิงจง’
เฉินผิงอันปฏิเสธไปอย่างละมุนละม่อม “ปลายกระบี่ไท่ป๋ายได้ถูกหลอมเป็นกระบี่ยาวด้านหลังของผู้เยาว์ไปแล้ว”
ความนัยในคำพูดก็คือ ในฐานะผู้ฝึกกระบี่จะให้ชักกระบี่ออกจากฝักเพื่อให้คนอื่นชื่นชมก็คงไม่เหมาะกระมัง
——