กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 805.2 ยิ้มบางลูบไล้จอกแหน
รอกระทั่งคิดไปถึงไข่มุกฉิวของหลุมน้ำลู่ที่กองกันเป็นภูเขา ส่องประกายแสงระยิบระยับมลังเมลืองอยู่ในคลังสมบัติภูเขาลั่วพั่วบ้านตน เฉินผิงอันก็รีบเอ่ยเสริมไปอีกประโยคว่า “หากวันหน้าโชคดีได้ร่วมสนามรบกับผู้อาวุโสชิงจง ผู้เยาว์ต้องออกกระบี่อย่างแน่นอน”
ในใจชิงจงฮูหยินรู้สึกไม่สบอารมณ์อยู่บ้าง เป็นบุรุษตัวโตๆ แต่กลับอิดออดไม่ผึ่งผายเอาเสียเลย
เฉินผิงอันเองก็ได้แต่ทำเป็นมองไม่เห็นความไม่สบอารมณ์ของตั้นตั้นฮูหยินท่านนี้
จั่วโย่วพลันเอ่ยว่า “มีปัญหาหรือ?”
ฉีถิงจี้ยิ้มบางๆ “ดูเหมือนว่าจะมีอยู่บ้าง”
ลู่จือเอ่ยแค่คำเดียว “อ้อ?”
ชิงจงฮูหยินพูดอย่างหนักแน่นเด็ดเดี่ยว “ตอบอาจารย์จั่ว ไม่มีปัญหาแน่นอน!”
เอาอีกแล้ว
ก่อนหน้านี้ก็เป็นนักพรตเฒ่าสามคนที่มีฮว่อหลงเจินเหรินเป็นหนึ่งในนั้น เจ้าหนึ่งคำข้าหนึ่งคำพากันข่มขู่คน
ตอนนี้ก็มีเซียนกระบี่สามคนที่มีจั่วโย่วเป็นหนึ่งในนั้นอีก
ชอบรังแกสตรีที่โดดเดี่ยวเดียวดายทั้งยังสำรวมตนกันยิ่งนัก ต้องการอะไรกันแน่
หากพวกเจ้าแน่จริงก็ไปหาเรื่องเซียวสวิ้นที่เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบสี่ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างเสียสิ ทว่าตั้นตั้นฮูหยินมาคิดดูอีกที ดูเหมือนว่าใต้หล้านี้คนที่หาเรื่องเซียวสวิ้นมากที่สุดก็คืออาจารย์จั่วตรงหน้านี้เอง ดังนั้นนางจึงได้แต่ยิ้มประจบอย่างโง่งม
ไม่สนใจตั้นตั้นฮูหยินที่สถานะและขอบเขตไม่ต่ำต้อย มีเพียงความกล้าที่ไม่มากอีกต่อไป ลู่จือถามว่า “การประชุมครั้งนี้ ศาลบุ๋นคิดจะประชุมไปอีกนานแค่ไหน?”
ฉีถิงจี้กล่าว “จะสิ้นสุดเมื่อไหร่ พวกเราไม่ใช่คนตัดสินใจ หากเจ้าทนอยู่ไม่ไหวจริงๆ ก็ออกไปดื่มเหล้าข้างนอกก่อนสักกา จากนั้นก็กลับไปที่ทักษินาตยทวีป หลังจบเรื่องข้าจะอธิบายให้ทางศาลบุ๋นฟังเอง”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “อาจารย์ลู่หนีไปกลางคันไม่ได้เป็นปัญหาอะไร แต่ทางที่ดีที่สุดอาจารย์ลู่อย่าขี่กระบี่ออกไปจากหน้าประตูของศาลบุ๋นก็แล้วกัน สามารถทำให้ยุ่งยากกว่าเดิมสักหน่อย ไปพบกับสิบแปดกระบี่ของสำนักกระบี่หลงเซี่ยงก่อนแล้วค่อยกลับไปที่ทักษินาตยทวีปด้วยกัน”
ฉีถิงจี้พยักหน้ารับ
เพราะถึงอย่างไรเขาและลู่จือต่างก็ไม่ใช่อาเหลียงที่มาศาลบุ๋นเป็นเรื่องปกติเหมือนกินข้าว มารยาทที่ควรให้เกียรติไว้หน้ากัน ก็ยังต้องควรมอบให้กับศาลบุ๋น
ลู่จือคิดว่าสามารถทำได้ ดื่มเหล้าแล้วค่อยดอดหนีไป เดินไปหลายๆ ก้าวก่อนค่อยขี่กระบี่เผ่นหนี อันที่จริงนี่ก็ไม่ต่างจากตอนอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่สักเท่าไร
ลู่จือจึงแสร้งทำเป็นขอเหล้ากาหนึ่งจากเฉินผิงอันมาหิ้วไว้ในมือ แล้วก้าวเดินไปที่หน้าประตูใหญ่
ก้าวข้ามธรณีประตู สตรีที่ใบหน้าผอมตอบ เรือนกายสูงเพรียวผู้นี้ไปนั่งดื่มเหล้าที่ขั้นบันไดเพียงลำพัง คิดไม่ถึงว่าเพียงไม่นานก็มีคนเดินตามออกมา มานั่งลงข้างกายลู่จือ
คือฮูหยินภูเขาชิงเสิน นางยิ้มพลางส่งเหล้าหมักเทพชิงซานที่รสชาติดั้งเดิมไปให้ลู่จือหนึ่งกา เรียกขานคำหนึ่งว่าอาจารย์ลู่
ลู่จือกระดกดื่มเหล้าหมดกาอย่างรวดเร็ว แล้วเก็บกาเหล้าใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ ก่อนจะรับเหล้ากาที่อยู่ในมือของฮูหยินภูเขาชิงเสินมา แกะผนึกดินออก ดมกลิ่น เอ่ยว่า “ดมแล้วหอมกว่า”
ฮูหยินภูเขาชิงเสินถาม “ได้ยินว่าอาจารย์ลู่คือคนของแผ่นดินกลางหรือ?”
ลู่จือเอ่ยอย่างเฉยเมย “พวกเจ้าคิดว่าใช่ก็ใช่ ถึงอย่างไรข้าก็คิดว่าไม่ใช่”
ลู่จือวางกาเหล้าในมือลงบนขั้นบันได
สตรีข้างกายหน้าตางดงามอยู่ก็จริง แต่กลับไม่รู้จักพูดเสียเลย
ฮูหยินภูเขาชิงเสินยิ้มกล่าว “ข้ามีลูกศิษย์ผู้สืบทอดอยู่คนหนึ่ง ชื่อว่าฉุนชิง เป็นแม่นางน้อยที่อายุไม่มาก อยากจะเรียนเวทกระบี่จากอาจารย์ลู่ ไม่ทราบว่าอาจารย์ลู่จะยินดีตอบตกลงหรือไม่”
ลู่จือกล่าว “กล้าไปฝึกกระบี่ด้วยการสังหารปีศาจที่เปลี่ยวร้างหรือไม่?”
ฮูหยินภูเขาชิงเสินพยักหน้ารับ “กล้า”
ลู่จือหยิบกาเหล้าที่วางอยู่ข้างเท้าขึ้นมา ถามว่า “คุณสมบัติของฉุนชิงเป็นเช่นไร หากแย่เกินไปข้าสอนไม่ไหว”
ฮูหยินภูเขาชิงเสินคิดแล้วก็เอ่ยว่า “ไม่ว่าจะเรียนอะไร คุณสมบัติของฉุนชิงนับว่าดีมาก”
ลู่จือถาม “เทียบกับอิ่นกวานของพวกเราแล้วเป็นอย่างไร?”
ฮูหยินภูเขาชิงเสินเอ่ยอย่างจนใจ “อาจารย์ลู่ถามเช่นนี้ยังจะคุยกันต่อได้อย่างไร”
ลู่จือกล่าว “เรื่องของการรับลูกศิษย์ ข้าสามารถตอบตกลงได้ ค่าตอบแทนก็เรียบง่ายมาก ได้ยินว่าต้นไผ่ของภูเขาชิงเสินพวกเจ้าไม่เลว วันหน้าฮูหยินก็มอบให้กับภูเขาลั่วพั่วสักสองสามต้น ได้ยินเฉินผิงอันเล่าให้ฟังว่า บริเวณใกล้เคียงกับบ้านเกิดมีสถานที่แห่งหนึ่งชื่อว่าภูเขาพีอวิ๋น มีซานจวินแซ่เว่ยอยู่คนหนึ่ง ชอบปลูกต้นไผ่ที่สุด”
ฮูหยินภูเขาชิงเสินตอบตกลง ยิ้มเอ่ยว่า “แซ่เว่ยนามป้อ”
พูดถึงแค่เรื่องที่เฉินผิงอัน ‘ช่วย’ ขายเหล้าให้กับถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ตอนอยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่ อันที่จริงนางก็ยินดีมอบไผ่เขียวให้เขาเปล่าๆ หลายต้นแล้ว
เพียงแต่ว่าอิ่นกวานหนุ่มไม่เคยเปิดปากพูดเอง อยู่ดีๆ นางจะเอาของไปมอบให้ก็คงไม่สมควร
ลู่จือกล่าว “ฮูหยินอย่าได้คิดมาก ข้ากับเฉินผิงอันไม่ใช่พวกเดียวกัน เพียงแต่ว่าปีนั้นออกจากภูเขาห้อยหัวไปสังหารปีศาจบนทะเล เฉินผิงอันได้ยกคุณความชอบครึ่งหนึ่งให้กับข้า ในเมื่อไม่อาจเป็นผู้ถวายงานของภูเขาลั่วพั่วได้ ก็เท่ากับติดค้างหนี้ก้อนนี้ไว้อยู่ตลอดเวลา พอดีกับที่ฮูหยินนำมามอบให้ถึงที่ ข้าสอนกระบี่ แล้วก็ถือโอกาสได้ชดใช้น้ำใจคืนด้วย”
ฮูหยินภูเขาชิงเสินพยักหน้ารับ มองลู่จืออย่างเพ่งพิศ แล้วเอ่ยว่า “มิน่าเล่าคนผู้นั้นถึงได้รู้สึกว่าอาจารย์ลู่งดงาม ตอนนี้ข้าเองก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน”
ลู่จือหัวเราะ “คนผู้นั้นคือใคร? ฉีถิงจี้ จั่วโย่ว? คงไม่ใช่เฉินผิงอันหรอกกระมัง”
ฮูหยินภูเขาชิงเสินส่ายหน้า เอ่ยเสียงเบา “คุยกับอาจารย์ลู่ได้ยากจริงๆ”
ลู่จือดื่มเหล้าอึกใหญ่ เหลือบตามองสตรีงามเลิศล้ำที่อยู่ข้างกาย “แต่ข้ากลับรู้สึกว่าแสร้งทำเป็นไม่ชอบคนคนหนึ่งกลับยากยิ่งกว่า”
ฮูหยินภูเขาชิงเสินถาม “อาจารย์ลู่ล่ะ? เป็นอย่างไร?”
ลู่จือส่ายหน้า “ไม่อย่างไร ฝึกกระบี่ก็ไม่ง่ายแล้ว ไยต้องเพิ่มความยุ่งยากหาเรื่องลำบากให้กับตัวเองอีก”
บ้านเกิดในใจของนางมีชายหญิงมากมายเหลือเกินที่เนื่องจากการจากลา ทำให้คนที่มีชีวิตอยู่รอดต้องเจ็บปวดเสียใจจนชั่วชีวิตก็ยังไม่อาจหายดี
เพราะกำแพงเมืองปราณกระบี่แทบจะไม่มีการจากเป็นจากตายอะไรทั้งนั้น เพราะขอแค่มีคนจากไปก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่ได้พบเจอกันอีก
ฮูหยินภูเขาชิงเสินเอ่ย “ขออวยพรให้อาจารย์ลู่ฝ่าทะลุคอขวด เลื่อนขั้นเป็นบินทะยานในเร็ววัน”
ลู่จือกล่าว “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ไม่เกรงใจแล้ว ถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ให้ข้ายืมเงินฝนธัญพืชอีกก้อนหนึ่ง ฝึกกระบี่หลอมกระบี่เปลืองเงินอย่างมาก ทำให้คนปวดหัวยิ่งนัก”
เฉินผิงอันเดินออกมาจากประตูใหญ่ของศาลบุ๋น ลังเลอยู่พักใหญ่ ก่อนหน้านี้เห็นว่าฮูหยินภูเขาชิงเสินเดินออกไปข้างนอก เฉินผิงอันก็รู้สึกว่าเป็นโอกาสที่หาได้ยาก จึงปลุกความกล้าหาญ คิดว่าจะเปิดปากพูดกับฮูหยินภูเขาชิงเสิน ดูว่าจะสามารถซื้อต้นไผ่สักสองสามต้นมาจากถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ได้หรือไม่ แน่นอนว่าไม่มีหน้าจะติดเงินภูเขาชิงเสิน เพราะถึงอย่างไรก่อนหน้านี้ทั้งสองฝ่ายก็ไม่มีความสัมพันธ์ควันธูปอะไรให้พูดถึง ถ้าอย่างนั้นก็ยืมจากคนอื่นก็แล้วกัน นักพรตเนิ่น หลิ่วเต้าฉุน ถัวเหยียนฮูหยิน ยืมจากใครก็ยืมเหมือนกันนั่นแหละ
เฉินผิงอันกุมหมัดกล่าว “ผู้เยาว์เฉินผิงอันคารวะชิงเสินฮูหยิน”
ลู่จือและฮูหยินภูเขาชิงเสินต่างก็ลุกขึ้นยืน ฝ่ายหลังยิ้มถาม “อาจารย์เฉินมาหาข้ามีธุระอะไรหรือ?”
เฉินผิงอันรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย “ผู้เยาว์อยากจะขอซื้อต้นไผ่ภูเขาชิงเสินมาจากฮูหยินสักสองสามต้น เพียงแต่ว่ากระเป๋าฝืดเคือง ไม่กล้าตบหน้าตัวเองให้เป็นคนอ้วน ดังนั้นจึงต้องมาถามราคากับฮูหยินเสียก่อน”
ต้นไผ่ของถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ โดยทั่วไปล้วนมอบให้คนอื่น น้อยครั้งนักที่จะมีการซื้อขายเกิดขึ้น ดังนั้นจึงไม่ถือว่ามีราคาตลาดอะไร แต่หากอิงตามการกระทำของใต้หล้าไพศาลนอกถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ เฉินผิงอันก็ไม่มีความมั่นใจจริงๆ ว่าจะนำต้นไผ่เขียวต้นสองต้นกลับไปยังภูเขาลั่วพั่วได้ เพราะถึงอย่างไรถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ก็มีไผ่เขียวนับพันนับหมื่นต้น ระดับขั้นมีแบ่งสูงต่ำ อีกอย่างเฉินผิงอันก็บอกแล้วว่าเป็นต้นไผ่ของภูเขาชิงเสิน แน่นอนว่ามูลค่าย่อมสูงมาก เฉินผิงอันยังคิดด้วยว่ามีลู่จืออยู่ อาเหลียงไม่อยู่ พูดคุยปรึกษากับฮูหยินภูเขาชิงเสินก็น่าจะง่ายหน่อย
ฮูหยินภูเขาชิงเสินหันไปมองลู่จือ ลู่จือยิ้มกล่าว “อิ่นกวานอยากซื้อ ถ้าอย่างนั้นก็ขายเถอะ”
เฉินผิงอันกุมหมัดเอ่ยกับลู่จืออย่างเกรงใจอย่างที่หาได้ยาก “ขอบคุณอาจารย์ลู่”
ลู่จือหัวเราะหึหึ “ไม่ต้องขอบคุณข้า เป็นเจ้าที่อยากจ่ายเงินซื้อเอง”
เฉินผิงอันถามราคาของต้นไผ่แต่ละสีจนครบถ้วน ในใจอยากได้ต้นไผ่สองกอที่เชื่อมต่อกัน กอหนึ่งคือไผ่ปราณบุ๋น อีกกอคือไผ่ชะตาบู๊
สองต้นมอบให้กับภูเขาพีอวิ๋นของเว่ยป้อ อีกสองต้นที่เหลือเอาไว้ที่บ้านของตัวเอง แบ่งเป็นมอบให้กับหน่วนซู่น้อยกับเผยเฉียน ขอแค่ดินและน้ำของภูเขาลั่วพั่วเหมาะสมก็จะให้ปลูกไว้ในลานบ้านของพวกนาง
แน่นอนว่าไม่ใช่ต้นไผ่บรรพบุรุษทั้งหลายของถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ เป็นเรื่องที่ไม่กล้าแม้แต่จะคิดด้วยซ้ำ แต่ว่าไผ่เขียวที่เติบโตบนภูเขาชิงเสินมานานห้าหกพันปีเต็มๆ แล้วพวกนี้ ‘ลำดับอาวุโส’ ในถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ล้วนไม่ต่ำ ดังนั้นราคาที่ฮูหยินภูเขาชิงเสินบอกมาจึงทำเอาเฉินผิงอันรู้สึกว่าที่แท้ตัวเองก็กล้าตบหน้าให้กลายเป็นคนอ้วนจริงๆ
มองอิ่นกวานหนุ่มที่พูดอะไรไม่ออกสักคำตรงหน้า เป็นใบ้ไปแล้วสินะ?
นางจงใจเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มเอ่ยว่า “ภูเขาลั่วพั่วสามารถเชื่อเงินไว้ก่อนได้ แต่ต้องคิดดอกเบี้ยนะ”
ทว่าเฉินผิงอันยังไม่กล้าตอบตกลง ต้นไผ่ต้นหนึ่งมีราคาตั้งหลายร้อยเหรียญเงินเทพเซียน เงินฝนธัญพืช เงินฝนธัญพืช ไม่ใช่ว่าเป็นฝนตกลงมาจากฟ้า หล่นลงใส่มือแล้วจะกลายเป็นเงินได้จริงๆ เสียหน่อย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งพอได้ยินว่ามีดอกเบี้ย เฉินผิงอันก็ใจฝ่อทันใด ออกจากบ้านครั้งนี้ ใช้จ่ายไปบนร้านผ้าห่อบุญเกาะนกแก้วไม่น้อย จากนั้นยังซื้อเฟิงยวนเรือข้ามฟากลำหนึ่งมาจากเสวียนมี่ เวลานี้หากซื้อต้นไผ่ไปอีกสามสี่ต้น เฉินผิงอันก็เริ่มกังวลแล้วว่าเทพเจ้าแห่งโชคลาภเหวยเหวินหลงจะก่อกบฏ
ทำไม เป็นเจ้าขุนเขาแล้ว กว่าจะเลิกทำตัวเป็นเถ้าแก่สะบัดมือทิ้งร้านได้ไม่ใช่เรื่องง่าย พอออกจากบ้านไปทีหนึ่งก็เริ่มใช้เงินมือเติบแล้วอย่างนั้นรึ?
ฮูหยินภูเขาชิงเสินยิ้มกล่าว “ดอกเบี้ยสามารถคิดกับใครบางคนได้ เดิมทีเขาก็ติดค้างเงินค่าเหล้าจากถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ไปไม่น้อย เชื่อว่าอาจารย์เฉินเองก็น่าจะมีความรู้เกี่ยวกับต้นไผ่พวกนี้ไม่น้อย ต้นไผ่ที่ย้ายจากภูเขาชิงเสินไปปลูกข้างนอก ขอแค่เซียนซือบนภูเขาเป็นผู้ปลูกและดูแลได้อย่างถูกต้องเหมาะสม ต้นไผ่ทุกต้นก็จะกลายเป็นต้นไม้เขย่าเงิน จะเรียกว่าอ่างเก็บสมบัติเล็กๆ ใบหนึ่งก็ยังไม่เกินไป”
เฉินผิงอันยืดเอวขึ้นตรงทันใด “ผู้เยาว์ไม่มีปัญหาแล้ว ซื้อเลย!”
ก็แค่เชื่อเงินไว้เท่านั้น แล้วยังไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ย จะต้องกลัวอะไรเล่า
อย่างมากตอนอยู่บนภูเขาลั่วพั่วก็ไม่ต้องพูดเรื่องนี้กับเหวยเหวินหลง เมื่อไหร่ที่อาศัยร้านผ้าห่อบุญหาเงินส่วนตัวมาได้แล้ว ตนค่อยใช้หนี้ รอกระทั่งวันใดปิดบังไว้ไม่อยู่จริงๆ ก็ค่อยลากชุยตงซานออกมาก็แล้วกัน
นางยิ้มเอ่ย “กลับไปแล้วข้าจะให้คนนำไปส่งที่ภูเขาลั่วพั่ว”
เฉินผิงอันกล่าว “ไม่กล้ารบกวนฮูหยินเช่นนี้ สามารถส่งตรงไปที่สกุลอวี้ราชวงศ์เสวียนมี่ ถึงเวลานั้นจะมีเรือข้ามฟากลำหนึ่งข้ามทวีปไปยังภูเขาของผู้เยาว์เอง”
ฮูหยินภูเขาชิงเสินจึงเตรียมจะกลับเข้าไปในศาลบุ๋น
คิดไม่ถึงว่าเฉินผิงอันจะถามต่อ “ใช่แล้ว ฮูหยิน ยังมีไผ่ขับภูเขากับไผ่สูบน้ำผุ ไผ่จวนม่วงก่อเกิดเมฆา ไผ่ปิ่นเต๋าตักสุรา ราคาแบ่งออกเป็นเท่าไรบ้าง?”
นางหยุดฝีเท้า ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “คัมภีร์การค้าของอาจารย์เฉินร้ายกาจเสียจริง ทำไมไม่เชื่อเงินกับตลอดทั้งถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ไปเลยเล่า? สามารถพูดคุยกันได้นะ”
เฉินผิงอันรีบกุมหมัดเอ่ยขออภัยทันใด “ถ้าอย่างนั้นผู้เยาว์ก็ไม่รบกวนการประชุมของฮูหยินแล้ว”
ล้วนเป็นเพราะความยากจนนำพา ไม่อย่างนั้นได้พบเจอกับฮูหยินภูเขาชิงเสินที่มีกลิ่นอายเซียนล่องลอยท่านนี้ เฉินผิงอันก็มีแต่จะเคารพอยู่ห่างๆ เท่านั้น พูดเรื่องเงินทองดูหยาบกระด้างเกินไป แต่ไม่พูดเรื่องเงินก็ไม่มีอะไรให้พูดคุยกันอีก
นางพลันเปลี่ยนความคิด นั่งกลับลงไปบนขั้นบันได เฉินผิงอันจึงได้แต่นั่งลงด้านข้าง ราวกับว่าตรงกลางคนทั้งสองมีลู่จือขวางกั้นอยู่หลายคน
นางทอดสายตามองไปไกล ถามเสียงเบาว่า “เฉินผิงอัน กำแพงเมืองปราณกระบี่คือสถานที่ที่เป็นเช่นไร?”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็ตอบว่า “หากอิงตามคำกล่าวของหลินจวินปี้ ก็คือสถานที่ที่ทำให้คนสละชีวิตลืมกลัวตายได้”
นางถามอีก “ข้าอยากฟังความคิดในใจของเจ้า”
คนหนุ่มที่อยู่ข้างกายกับเขาต่างก็เป็นบัณฑิต ล้วนเคยเป็นคนต่างถิ่นของกำแพงเมืองปราณกระบี่ แต่กลับสามารถถูกผู้ฝึกกระบี่ของที่นั่นมองเป็นคนในครอบครัวเดียวกันได้
เฉินผิงอันเกาหัว ไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่เห็นว่าหากไม่ได้ยินคำตอบฮูหยินภูเขาชิงเสินก็เหมือนจะไม่ยอมจากไป จึงยืมเอาคำกล่าวของสวีหย่วนเสียมาตอบ
ไม่ใช่สถานที่ที่จะซุกซ่อนความสกปรกโสมมได้ คือบ้านเกิดแห่งการแก้แค้น
ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นถ้อยคำในหัวใจของเฉินผิงอัน
ส่วนคำตอบอีกอย่างหนึ่งที่เฉินผิงอันไม่ได้เอ่ยออกจากปากนั้น เป็นเพราะไม่มีอะไรให้ต้องพูดบอกกับคนนอก
ตอนที่ตนกับสตรีที่รักยังเป็นเด็กหนุ่มเด็กสาว
หนิงเหยาออกจากกำแพงเมืองปราณกระบี่มาหาเขา
เขาจึงไปกำแพงเมืองปราณกระบี่เพื่อพบหนิงเหยา
……
แจกันสมบัติทวีป ท่ามกลางม่านราตรี
ท่าเรือป๋ายลู่ของภูเขาตะวันเที่ยง เม็ดฝนเล็กละเอียดตกปรอยๆ ดินบนถนนอ่อนนุ่มคลายตัว ลมกลางคืนเยียบเย็น
ตอนที่มามากันสองคน ตอนที่กลับกลับไปสามคน
บัณฑิตชุดเขียว เด็กหนุ่มชุดขาวที่มีไฝแดงกลางหว่างคิ้ว
ข้างกายมีเด็กสาวที่สายตาเฉียบคมเพิ่มมาอีกคนหนึ่ง เรือนกายของนางอรชนอ้อนแอ้น เวลานี้กำลังช่วยกางร่มให้เด็กหนุ่ม
ดวงตาที่เฉลียวฉลาดคู่นั้นของนางบางครั้งก็มีแววของความเจ็บปวดวูบผ่านไป
ทุกครั้งที่ถึงเวลานี้ เด็กหนุ่มชุดขาวก็จะจับประคองด้ามร่มไว้เบาๆ
จากนั้นดวงตาของเด็กสาวก็จะกลับคืนสู่ความใสกระจ่าง ดวงตาทั้งคู่แวววาวฉ่ำน้ำ บางครั้งก็เปิดเผยอารมณ์ความรู้สึก ดุจดั่งต้นหญ้าฤดูใบไม้ผลิที่งอกในสระน้ำ ใสกระจ่างตื้นเขิน แค่มองก็เห็นลึกไปถึงก้นบึ้ง
นี่ก็คือจุดจบจากการที่เถียนหว่านเดิมพันกับชุยตงซาน
เดิมพันว่าเขาไม่ต้องให้เถียนหว่านผูกด้ายแดงกับโจวอันดับหนึ่ง แค่ให้เขาเดินทางไปเยือนห้องหัวใจของนางรอบหนึ่ง ซึ่งก่อนหน้าที่จะทำเช่นนั้น จะให้เวลากับนางสองสามวัน เชิญนางปิดประตูสร้างสิ่งกีดขวางด่านหัวใจให้หนาชั้น สร้างตราผนึกชั้นแล้วชั้นเล่าไว้ตามช่องโพรงลมปราณใหญ่ๆ ที่สำคัญในฟ้าดินเล็กร่างกายมนุษย์ได้ตามสบาย ข้อเรียกร้องเพียงหนึ่งเดียวของชุยตงซานก็คือห้ามขยับเกี้ยวรับเจ้าสาวอันนั้น หากละเมิดข้อตกลง บนโลกนี้ก็จะไม่มีเถียนหว่านอีกต่อไป
เจียงซ่างเจินเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “ฮวาเซิง ฮวาเซิง (ถั่วลิสง) เป็นชื่อที่ดีจริงๆ น้องชุยได้รับถ่ายทอดวิชามาจากเจ้าขุนเขาโดยแท้”
ชุยตงซานพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ชื่อนี้แน่นอนว่าสอดแทรกไปด้วยมุกตลก เพียงแต่ว่าไม่เก่งกาจได้สักเศษเสี้ยวของอาจารย์ข้าเลย”
สายตาของเด็กสาวฉายแววไม่พอใจ ไม่ได้รู้สึกสักนิดว่าชื่อนี้เป็นชื่อที่ดี ฟังแล้วบ้านนอกยิ่งนัก
นางรู้แค่ว่าตัวเองสูญเสียความทรงจำ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็จำไม่ได้แล้ว อีกทั้งที่ปวดหัวที่สุดก็คือทุกๆ สามวันห้าวันจะต้องลืมเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานไปหมดสิ้น
ส่วนคนสองคนที่อยู่ข้างกายนี้ คนหนึ่งคือพี่ชาย อีกคนหนึ่งคือ…บิดาของว่าที่สามีที่พ่อแม่เลือกให้ตั้งแต่นางยังอยู่ในครรภ์
ก็จริงนะ บุรุษชุดเขียว แม้จะยังดูอ่อนเยาว์ ทว่าจอนผมสองข้างเป็นสีดอกเลา อายุที่แท้จริงต้องไม่น้อยแล้วอย่างแน่นอน เพียงแค่ว่าดูไม่แก่ก็เท่านั้น พอมาคิดอีกที ว่าที่สามีของตน หากหน้าตาเหมือนบิดาเขาสักหน่อย คาดว่าก็คงไม่เลวร้ายมากนัก
——