กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 805.4 ยิ้มบางลูบไล้จอกแหน
เด็กชายร้องอ้อหนึ่งที แล้วถามว่า “ศิษย์พี่ สำนักแห่งนี้ของพวกเราสามารถแต่งภรรยาได้หรือไม่?”
“ได้สิ”
“ถ้าอย่างนั้นรอให้ข้าขึ้นเขาไปสักสี่ห้าปีก็จะลงจากภูเขาไปสู่ขอเด็กโง่ข้างบ้านคนนั้น นางเรียนหนังสือโง่มาก ตัวอักษรก็เขียนบิดๆ เบี้ยวๆ มักจะเลื้อยออกไปนอกช่องเสมอ อาจารย์เห็นแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ”
หากถึงเวลานั้นนางไม่ได้หน้าตางดงามเหมือนตอนเด็กแล้วก็ค่อยว่ากันอีกที
เด็กชายดีดลูกคิดรางเล็กๆ ดังป้อกๆ แป้กๆ
เขากระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันใด ถามเสียงเบาว่า “เป็นศิษย์พี่ไปทำไม ไม่สู้ท่านมาเป็นอาจารย์ของข้าเลยดีกว่า?”
ยังคงดีดลูกคิดรางเล็กนั้น เจ้าคนที่อยู่ข้างกายผู้นี้มองดูแล้วเป็นคนใจเย็นนิสัยดี เป็นศิษย์พี่ไม่อาจดูแลอะไรได้ วันหน้าหากทำความผิด โดนด่าโดนตีก็ไม่สามารถปกป้องตนได้ แต่หากเป็นอาจารย์ของตน หึหึ “ใช่ไหม ศิษย์พี่ ข้าเห็นว่าท่านดูเป็นคนดี นิสัยดี พูดจาน่าฟัง ดีอย่างมากเลยล่ะ วันหน้าอาจารย์ของข้าก็คือท่านแล้ว พวกเราควรเกี่ยวก้อยสัญญากันก่อนหรือไม่…”
จ้าวเหวินหมิ่นรู้สึกปวดหัวแปลบ สายตาในการเลือกลูกศิษย์ของอาจารย์ปู่ยังคงเหมือนในอดีต…เจ้าเล่ห์นัก
อันที่จริงปีนั้นที่เขาสามารถขึ้นเขาไปฝึกตนได้ก็เพราะอาจารย์ปู่ช่วยลูกศิษย์ผู้สืบทอดของตัวเองรับลูกศิษย์ผู้สืบทอด
ครั้งนี้ถือว่าตนใช้หนี้ให้แล้วหรือไม่?
นักพรตเฒ่าสวมชุดสีม่วงตรงเอวห้อยกาเหล้าพลันมาปรากฏตัวอยู่ข้างกาย จ้าวเหวินหมิ่นเตรียมจะลุกขึ้นยืนคารวะ นักพรตเฒ่าโบกมือ พิธีการไร้สาระ ไม่รำคาญบ้างหรือไร
อวี๋เสวียนหาข้ออ้างกับทางฝั่งของศาลบุ๋นออกมาผ่อนคลายอารมณ์
การประชุมครั้งนี้ใช้เวลานานเกินไป ช่างอืดอาดทรมานคนเสียจริง
ตอนนี้ได้รับลูกศิษย์คนใหม่มาไม่ใช่เรื่องง่าย ถึงอย่างไรก็ควรจะมาดูให้เห็นกับตาสักหน่อย
อวี๋เสวียนคิดแล้วก็กระแอมหนึ่งที ตีหน้าเคร่งวางมาดของเทพเซียนผู้เฒ่าบนภูเขาอย่างที่หาได้ยาก
จ้าวเหวินหมิ่นเอ่ยเตือนเสียงเบา “อาจารย์ของเจ้ามาแล้ว”
เด็กชายเงยหน้าขึ้น แค่มองก็เห็นใบหน้าแก่ๆ ที่มองดูแล้วน่าจะพูดคุยด้วยยากอย่างถึงที่สุด ต่างอะไรกับอาจารย์ในโรงเรียนของตนที่ต่อให้หลับตาก็ใช้ถ่านขว้างโดนผู้นั้นตรงไหน?
เด็กชายยู่หน้า น้อยเนื้อต่ำใจจนอยากร้องไห้ คราวนี้ไม่ได้แสดงแล้ว แต่กลัวจริงๆ ความคิดของเด็กชายเรียบง่ายอย่างมาก ถึงอย่างไรโรงเรียนก็อยู่ใกล้บ้าน ไปอยู่บนภูเขาแล้วจะหนีอย่างไร? ต้องกินให้อิ่มมากแค่ไหนถึงจะมีแรงวิ่งกลับมาถึงบ้านรวดเดียวได้โดยที่ไม่หิว?
อวี๋เสวียนรีบทรุดตัวลงนั่งยอง ถลึงตาใส่เจ้าคนที่แค่เรื่องเล็กๆ อย่างรับอาจารย์อาน้อยมาก็ยังทำได้ไม่ดีดุๆ จากนั้นเอ่ยปลอบใจเด็กชาย “จิ่งเซียวอ่า ข้าคืออาจารย์เอง”
เด็กชายอึ้งตะลึง เหตุใดถึงได้เหมือนตาแก่นักต้มตุ๋นที่แม้แต่ถังหูลู่ก็ยังซื้อกินเองไม่ได้นักเล่า?
เขาควักเงินเหรียญทองแดงกำหนึ่งออกมาอย่างอิดออด เกือบจะเป็นสมบัติทั้งหมดที่มีแล้ว เหลือไว้แค่เงินสำหรับซื้อถังหูลู่เท่านั้น ส่วนที่เหลือล้วนมอบให้ศิษย์พี่คนนั้น “มีเงินแค่นี้แล้ว เจ้าเอาให้เขา ข้ากลับบ้านล่ะ เดี๋ยวจะไปเอาเงินมาให้พวกเจ้ามากกว่าเดิม พวกเจ้ารอข้าอยู่ที่นี่แหละ ข้าจำทางได้ ไม่ต้องไปส่ง…”
ยัดเงินเหรียญทองแดงใส่มือของนักพรตแล้วเด็กชายก็วิ่งหนีทันที
นักพรตปากอ้าตาค้าง มองอาจารย์ปู่อย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง
อวี๋เสวียนส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม บอกเป็นนัยว่าไม่ต้องขัดขวาง แค่รออยู่ตรงนี้ก็พอ
เด็กชายเดินถอยหลัง จากนั้นจึงหมุนตัวเดินไปด้วยฝีเท้าไม่เร็ว หันกลับมามองอยู่สองสามที แล้วถึงได้ชักเท้าวิ่งตะบึงหนีไป
เพียงแต่ว่าวิ่งออกไปไกลมากแล้ว เด็กชายถึงได้หยุดฝีเท้า หอบหายใจพลางหันมามองนักพรตวัยกลางคนแวบหนึ่ง
เด็กชายเกาหัว ดูเหมือนว่าจะรู้สึกผิดอยู่บ้าง ทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด สุดท้ายก็ยังไม่กล้าพอจึงหมุนตัวกลับแล้ววิ่งหนีไปต่อ
นักพรตสองคนที่ลำดับอาวุโสห่างกันหนึ่งชั้นยืนเคียงบ่ากันอยู่ริมน้ำ
จ้าวเหวินหมิ่นถามเสียงเบา “อาจารย์ปู่ ไม่สู้ให้ข้าอำพรางตนคุ้มครองอาจารย์อาน้อยกลับไปบ้านรอบหนึ่งดีไหม?”
อวี๋เสวียนกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ใครเป็นอาจารย์ของเขา? เป็นหน้าที่ของเจ้าหรือ? ผู้ฝึกตนต้องมีความหยิ่งในศักดิ์ศรี เรื่องการประจบสอพลอนั้นไม่ควรทำ!”
ในที่สุดก็มีโอกาสได้ก้มหัวคารวะตามขนบลัทธิเต๋าอย่างถูกระเบียบต่ออาจารย์ปู่เสียที พอจ้าวเหวินหมิ่นยืดตัวขึ้นแล้วก็เอ่ยว่า “เกือบจะลืมคำสั่งสอนของอาจารย์ปู่ไปแล้ว พฤติกรรมของคนก็คือแก่นแห่งยันต์ ความเคารพจริงใจในใจก็คือรากฐานของมรรคกถา”
อวี๋เสวียนหรี่ตายิ้มเอ่ย “เหวินหมิ่น ครั้งนี้ช่วยข้ารับลูกศิษย์มาคนหนึ่งจะต้องจดบันทึกคุณความชอบของเจ้าหนึ่งครั้ง กลับไปก็ไปรับรางวัลจากอาจารย์อาที่ดูแลเงินของอารามจิงเหว่ยเจ้า อย่างน้อยต้องเป็นอาวุธกึ่งเซียน ระดับขั้นไม่สูง รูปลักษณ์แย่ไป ย่อมไม่เข้าท่า เจ้าบอกกับเขาไปเลยว่าไม่ใช่คำสั่งของข้า เขาสามารถตัดสินใจเอาเองได้ ส่วนอาจารย์อาของเจ้าจะเอาไปบอกใคร ถึงอย่างไรอีกเดี๋ยวข้าก็ต้องไปที่ธารดวงดาวนอกฟ้าแล้ว ยิ่งไม่สามารถควบคุมดูแลเรื่องจุกจิกยิบย่อยของพวกเจ้าได้”
จ้าวเหวินหมิ่นคารวะอีกรอบ
อารามจิงเหว่ยของเขาคือผู้ที่ยากจนข้นแค้นด้านทรัพย์สินเงินทองที่สุดในบรรดาสายเต๋าทั้งหลายของอาจารย์ปู่ ดังนั้นจึงมีคำกล่าวที่ว่า ‘ผู้ที่ชอบร้องทุกข์บอกว่าตัวเองยากจนเก่งที่สุดคืออารามจิงเหว่ย’
ฟังจากความหมายของอาจารย์ปู่ก็คืออยากให้ตนไปแสดงความสามารถของอารามจิงเหว่ยที่ภูเขาบรรพบุรุษของอาจารย์ตนอย่างนั้นหรือ? ถ้าอย่างนั้นก็จะทำตามคำสั่งของอาจารย์ปู่แล้ว เสียงของอาจารย์อาในศาลบรรพจารย์ต้องไม่เบาอย่างแน่นอน
อวี๋เสวียนถาม “เหวินหมิ่น แม้จะบอกว่าทุกวันนี้ใต้หล้าไพศาลมีสันติสุขแล้ว แต่เจ้ายินดีจะลงจากเขาออกเดินทางไกลไปสังหารโจรร้ายหรือไม่?”
จ้าวเหวินหมิ่นยิ้มเอ่ย “อาจารย์ปู่ เดิมทีศิษย์ก็อยากกลับอารามจิงเหว่ยแล้วขอจดหมายฉบับหนึ่งมาจากภูเขาบรรพบุรุษ ไม่สนใจแล้วว่าทางฝั่งนั้นจะตอบตกลงหรือไม่ ศิษย์ก็จะต้องไปใต้หล้าเปลี่ยวร้างให้จงได้ พวกอาจารย์อาอาจารย์ลุงทั้งหลายที่อยู่บนภูเขาบรรพบุรุษคงไม่ถึงขั้นไปจับตัวข้ากลับมาอารามจิงเหว่ยหรอก ส่วนเรื่องเจ้าอาราม ในใจศิษย์ก็มีตัวเลือกที่เหมาะสมอยู่แล้ว จะไม่ถ่วงรั้งเรื่องของการสืบทอดอย่างแน่นอน ในเมื่อวันนี้พูดเรื่องนี้กับอาจารย์ปู่แล้ว กลับอารามจิงเหว่ยครั้งนี้ก็สามารถลดเรื่องของการส่งจดหมายไปได้”
อวี๋เสวียนพยักหน้า “ขอเทียนจุนอำนวยพร”
นักพรตเฒ่าชำเลืองตามองจ้าวเหวินหมิ่นที่ยืนนิ่งไม่ขยับ “มัวยืนอึ้งอยู่ทำไม ยังไม่รีบไปช่วยคุ้มกันอาจารย์อาน้อยของเจ้าอีก จิ่งเซียวเป็นเด็กตัวเล็กแค่นั้น เจ้าที่เป็นศิษย์หลานจะวางใจได้หรือ หา?!”
จ้าวเหวินหมิ่นยิ้มแล้วขอตัวลาจากไป
อวี๋เสวียนเงยหน้ามองท้องฟ้า
ปลดน้ำเต้าสีชาดตรงเอวลงมา นักพรตเฒ่าดื่มเหล้าไปหนึ่งอึก
ลืมเลือนทั้งวัตถุและตัวข้าเอง หล่อหลอมธารดวงดาว พร้อมใจเดินเข้าสู่บ้านเกิดแห่งเต๋า
อวี๋เสวียนถอนสายตากลับมา มารดามันเถอะ เจ้าพวกตะพาบเฒ่าทั้งหลายในใต้หล้าเปลี่ยวร้างชอบรุมซ้อมคนอื่นกันนักไม่ใช่หรือ ยืดคอยาวๆ ออกมารอกันได้เลย สักวันหนึ่งจะต้องมีธารดวงดาวเส้นหนึ่งกระแทกลงบนหัวแน่
……
มีคนเริ่มทยอยกันเดินออกมาจากศาลบุ๋น ครั้งนี้ไม่ได้ออกมาดื่มเหล้าแก้เบื่อแล้ว แต่เป็นเพราะการประชุมของพวกเขาสิ้นสุดลงแล้ว
คนหนึ่งในนั้นก็มีเฉาผู่ราชครูของราชวงศ์เส้าหยวนที่พาลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจอย่างหลินจวินปี้ออกมาด้วย
เฉาผู่กล่าว “ทางฝั่งของฝ่าบาท เรื่องที่จะให้เจ้ามารับหน้าที่เป็นราชครูก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว ปัญหาน้อยใหญ่นอกจากนั้น ทั้งในทางมืดและทางสว่างล้วนต้องให้เจ้าแก้ไขด้วยตัวเอง”
อันที่จริงเดิมทีควรต้องรอไปอีกสักยี่สิบสามสิบปี ช่วยปูทางให้กับลูกศิษย์มากกว่านี้ถึงจะมั่นคง เพียงแต่เวลาไม่คอยใคร ไม่อาจถ่วงเวลาไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่เป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน หลินจวินปี้สามารถขัดเกลาฝีมือได้มากขึ้น
ส่วนตัวเฉาผู่เองต้องเดินทางไปยังทวีปอื่นทันที รับหน้าที่เป็นเจ้าสำนักของสำนักหนึ่ง ใช้สถานะของผู้ฝึกตนบนภูเขาเต็มตัวมาวางแผนให้กับทวีปหนึ่ง
จำต้องยอมรับว่าตนเดินบนทางเส้นเก่าที่ซิ่วหู่ชุยฉานเคยเดิ นผ่านไปแล้ว
ส่วนระดับความสูงในท้ายที่สุด ในเมื่อคนทำสุดความสามารถแล้วที่เหลือก็ต้องฟังลิขิตจากสวรรค์
หลินจวินปี้พยักหน้า “จะพยายามไม่ทำให้อาจารย์ต้องผิดหวัง”
เฉาผู่เอ่ยเตือน “สามารถเรียนรู้จากเฉินผิงอันให้มากๆ ได้ แต่อย่าได้กลายเป็นเฉินผิงอันคนที่สอง อันที่จริงในเรื่องนี้ เจ้าควรจะเรียนรู้มาจากเขามากที่สุด”
หลินจวินปี้กระจ่างแจ้งอยู่ในใจ “แน่นอน”
ฮว่อหลงเจินเหรินเดินออกมาจากประตูใหญ่แล้วก็ยังไม่ได้จากไปไหน
แทบทุกคนที่เดินผ่านมาล้วนเป็นฝ่ายมาทักทายเจินเหรินผู้เฒ่าคนนี้ก่อน พูดคุยตามมารยาทกับเขาสองสามประโยค
รอกระทั่งตั้นตั้นฮูหยินแห่งหลุมน้ำลู่ที่มีฉายาว่าชิงจงเดินออกมาพร้อมกับเจ้าแห่งบุปผาของพื้นที่มงคลร้อยบุปผา เห็นแผ่นหลังของฮว่อหลงเจินเหริน นางก็รีบเตรียมจะอ้อมเดินไปลงบันไดทางอื่นทันที
คิดไม่ถึงว่าฮว่อหลงเจินเหรินจะหันหน้ามามองสตรีร่างอ้วนฉุ ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ฝีเท้าของตั้นตั้นฮูหยินหนักแน่น ผินเต้าอุดหูก็ยังได้ยิน”
ตั้นตั้นฮูหยินกระชากแขนเสื้อของเหนียงเนียงเจ้าแห่งบุปผาให้มาพบฮว่อหลงเจินเหรินด้วยกัน
ใบหน้าของฮว่อหลงเจินเหรินเต็มไปด้วยความเสียดาย ถอนหายใจยาวเหยียดเอ่ยว่า “ผินเต้ายังไม่เคยไปเที่ยวเยือนที่หลุมน้ำลู่เลยสักครั้ง ตั้นตั้นฮูหยินก็ยังไม่เคยไปเป็นแขกที่ยอดเขาพาตี้ นี่เป็นเรื่องที่น่าเสียดายไม่น้อยในชีวิตของผินเต้า”
ตั้นตั้นฮูหยินเข้าใจแล้ว จ่ายเงินฟาดเคราะห์นี่นะ หากไม่นับเงินก้อนที่มอบให้กับศาลบุ๋น อันที่จริงนางก็ยังพอมีเงินเก็บส่วนตัวอยู่บ้าง
เหวยอิ๋งเดินออกมาพร้อมกับซ่งจ่างจิ้ง
สำนักกุยหยกและสกุลซ่งต้าหลีลงนามเป็นพันธมิตรกัน
ไม่มีคำสัญญาใดๆ แล้วก็ไม่จำเป็นต้องลงนามสัญญาบนหน้ากระดาษอะไรด้วย
เพียงแค่สัญญาปากเปล่าของคนทั้งสองเท่านั้น
ยกตัวอย่างเช่นหน่วยจานหลางกรมอาญาของต้าหลี ทุกๆ สิบปีจะต้องส่งตัวอ่อนด้านการฝึกตนระดับต้นๆ ไม่ต่ำกว่าสิบคนไปที่สำนักเจินจิ้งของทะเลสาบซูเจี่ยน หากเลื่อนเป็นเซียนดินก็ต้องรับหน้าที่เป็นผู้ถวายงานลำดับต่างๆ ของกรมอาญาต้าหลี ทำหน้าที่หกสิบปี รับผิดชอบจัดการกับภารกิจลับที่ไม่อาจแพร่งพราย
ส่วนสำนักเจินจิ้งก็ต้องส่งผู้ฝึกกระบี่เซียนดินให้ไปเป็นผู้ฝึกตนติดตามกองทัพของกองทัพชายแดนต้าหลี ทุกคนจะต้องฝึกประสบการณ์อยู่ในกองทัพอย่างน้อยสามสิบปี ไม่ว่าผู้ฝึกตนเซียนดินคนใดของสำนักเจินจิ้งก็ห้ามปฏิเสธ
หย่าเซิ่งยืนอยู่ขั้นบนสุดของบันไดนอกประตูใหญ่ศาลบุ๋น ทอดสายตามองไกลไปยังจุดหนึ่งของม่านฟ้า
จิงเซิงซีผิงยืนอยู่ด้านข้าง ยิ้มถามว่า “ในเมื่อไม่วางใจ เหตุใดถึงไม่บอกให้เขารู้ล่ะ?”
หย่าเซิ่งกล่าว “เขาก็เองก็ไม่ใช่เด็กอายุแค่ไม่กี่ขวบแล้ว จะพูดเรื่องพวกนี้ไปไย”
ซีผิงยิ้มถาม “ใคร่รู้ยิ่งนัก อะไรที่ไม่ควรถามก็ต้องถามแล้ว ตอนที่อยู่บนหัวกำแพงเมือง ชุยฉานไม่ได้ด่าคนหรือ?”
หย่าเซิ่งส่ายหน้า “เปล่า พูดแค่ว่าหากเขาเกิดเร็วกว่านี้สักหนึ่งถึงสองร้อยปี โลกมนุษย์ก็จะมีคนตายน้อยลงกว่าเดิมเยอะมาก น่าเสียดายที่เกิดช้าเกินไป มีเวลาวางแผนแค่ร้อยกว่าปีเท่านั้น ต้องเดินอย่างเร่งร้อน ย่อมเจออุปสรรคมากมายอย่างเลี่ยงไม่ได้”
ซีผิงไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ซิ่วหู่อย่างเจ้านี่ก็ยังเรียกว่าเจออุปสรรคมากมายอีกหรือ?
หย่าเซิ่งนึกถึงภาพสุดท้ายที่หัวกำแพงเมือง
ทั้งสองฝ่ายนั่งลงพูดคุยกันแล้ว ชุยฉานก็ยกฝ่ามือขึ้น ตั้งแนบข้างหู คล้ายกำลังรับฟังอะไรบางอย่าง
ราวกับว่าก่อนที่ฟ้าจะถล่มลงมา ลมได้พัดพาเอาเสียงสะอื้นไห้ทั้งหมดของโลกมาให้ได้ยิน มีทั้งไพศาล แล้วก็มีทั้งเปลี่ยวร้าง
ทางฝั่งของภูเขาอ๋าวโถว หนันกวงจ้าวพลันรู้สึกวุ่นวายใจ จึงทำนายดวงให้ตัวเอง
วิญญูชนถามถึงหายนะไม่ถามถึงโชค นี่คือข้อพิถีพิถันของลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อ ส่วนความยากจนความร่ำรวยล้วนเป็นบุญกรรมที่ทำมาแต่ชาติปางก่อน อายุขัยสั้นยาวก็ล้วนเป็นสิ่งที่ชะตากำหนดไว้ หนันกวงจ้าวเองก็ไม่เชื่อในเรื่องนี้
หลังจากเห็นคำทำนาย หนันกวงจ้าวก็เหงื่อแตกท่วมเต็มร่าง เลื่อนลอยทำอะไรไม่ถูก หัวใจบีบรัดตัว ตัดสินใจแล้วว่าจะปิดด่าน จำเป็นต้องปิดด่านแล้ว ต่อให้ทางฝั่งของศาลบุ๋นจะสั่งให้เขาไปลงสนามรบก็ต้องหาข้ออ้างถ่วงเวลาไปสักหลายๆ ปี
เจ้าแห่งบุปผาของพื้นที่มงคลร้อยบุปผากลับไปถึงที่พักก็คลี่กางกระดาษจดหมายหลากสีแผ่นหนึ่งลงบนโต๊ะ ยกพู่กันขึ้นมาแต่กลับไม่รู้ว่าจะเขียนอะไร วางข้อมือไว้บนที่รองข้อมือ (อุปกรณ์อย่างหนึ่งในห้องหนังสือที่คนโบราณเอาไว้ใช้พักรองข้อมือ ลักษณะเป็นไม้โค้งมน บนไม้สามารถแกะสลักภาพหรือตัวอักษร) อย่างเกียจคร้าน
นางถอนหายใจผะแผ่ว สุดท้ายก็ไม่ได้พบหน้าบุรุษที่หายตัวไปนานหลายปีผู้นั้น
ก้มหน้าลงมองที่รองข้อมือ ด้านบนแกะสลักเป็นอักษรแบบหวัดสี่บรรทัด
อำพันเรื่อเรืองผมสีนิล อัญมณีแวววาวผงชาดประทินโฉม
ลมเย็นบนสะพานพัดแสบตา บนผิวน้ำเต้าหลิงจืองอกงาม
สองบรรทัดสุดท้ายมีการลงชื่อเอาไว้ แบ่งออกเป็นบรรทัดละสองตัวอักษร เป็นสองตัวอักษรที่เขาแกะสลักไว้ ประหนึ่งคู่รักบนภูเขาที่อิงแอบแนบชิดกัน
ปีนั้นที่นางยังเป็นเพียงแค่เทพีบุปผาธรรมดาคนหนึ่งของพื้นที่มงคลร้อยบุปผา ระดับขั้นยังไม่สูง ชื่อของนางในเวลานั้นก็คือ ‘เซี่ยงซิ่ว’
ชื่อเซี่ยงซิ่วนี้ เขาจากไปกี่ปี นางก็เลิกใช้ไปนานเท่านั้น
นางวางพู่กันลง พลิกที่รองข้อมือกลับขึ้นมาเบาๆ ด้านในมีตัวอักษรเล็กๆ แกะสลักไว้อีกสี่คำ ‘จิตใจปลอดโปร่งบำรุงลมปราณ’ เขียนได้ราวกับมังกรโบยบิน ตัวอักษรเปี่ยมไปด้วยความมีชีวิตชีวาเหมือนกับคนผู้นั้น
ต่อให้นางจะรู้ดีว่าการมาประชุมที่ศาลบุ๋นครั้งนี้ โอกาสที่จะได้พบเจอเขามีไม่มาก แต่ถึงอย่างไรก็ยังหวังว่าจะมีหมื่นหนึ่งนั้น
ถ้าหากหมื่นหนึ่งนั้นกลายเป็นหนึ่งหมื่นเล่า
……
สวนกงเต๋อศาลบุ๋น
สายของเหวินเซิ่ง
ซิ่วไฉเฒ่า
จั่วโย่ว หลิวสือลิ่ว เฉินผิงอัน
หลี่เป่าผิง หลี่ไหว และยังมีภูตน้อยที่หลิวสือลิ่วพาออกจากพื้นที่มงคลอวี่ฮว่ามายังใต้หล้าไพศาล
และยังมีเหมาเสี่ยวตง
วันนี้ซิ่วไฉเฒ่าดื่มเหล้าหนักมาก ไม่ต้องมีใครยุให้ดื่ม เพียงไม่นานผู้เฒ่าก็ดื่มจนตาปรือปรอย พึมพำเสียงเบาว่า “เรื่องจริงหรือ?”
เมื่อดื่มสุราเลิศรสจนเมามาย ความฝันที่งดงามกลายเป็นความจริง ทำให้ผู้เฒ่าคนนี้รู้สึกไม่กล้าจะเชื่อเท่าใดนัก
ซิ่วไฉเฒ่าพลันตบโต๊ะ “ดื่มเหล้าไม่ร้องคำราม เหล้าก็ไม่มีรสชาติแล้ว ใครจะต่อคำสักสองสามคำ?”
สายตาของทุกคนล้วนพากันหันไปมองที่เฉินผิงอันผู้เป็นทั้งลูกศิษย์ ศิษย์น้องและอาจารย์อาน้อยเหมือนกันหมดโดยไม่มีข้อยกเว้น
ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันเพียงแค่วางกระบี่พาดไว้บนหัวเข่า จิบเหล้าคำเล็กๆ คิดถึงใครบางคนอยู่
อยู่ดีๆ เสียงก็เงียบลง เห็นว่าทุกคนพากันหันมาจับจ้องมองตน เฉินผิงอันก็ได้แต่ยกจอกเหล้าขึ้น “นอกจากดื่มสุราคารวะ ยุให้คนดื่มสุราแล้ว ข้าก็เล่นการละเล่นในวงสุราอะไรไม่เป็นเลย ไม่อย่างนั้นข้าดื่มลงโทษตัวเองจอกหนึ่งดีไหม?”
หลี่เป่าผิงกล่าว “อาจารย์อาน้อยท่านอย่าออมฝีมืออยู่เลย”
หลี่ไหวเอ่ยคล้อยตาม “หาเรื่องจะดื่มเหล้าหรือ แบบนี้เกินไปหน่อยแล้วนะ”
เหมาเสี่ยวตงพยักหน้ายิ้มเอ่ย “แต่งกลอนสักสองสามประโยค ข้าว่ากลอนคู่ในร้านเหล้าแห่งนั้นไม่เลวเลยนะ”
เฉินผิงอันโบกมือ “ไม่ได้จริงๆ”
จั่วโย่วกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็ดื่มเหล้า”
หลิวสือลิ่วยิ้มเอ่ย “ดื่มสุราลงโทษต้องมีความจริงใจ อย่างน้อยต้องสามชาม”
เฉินผิงอันจึงดื่มเหล้าชามใหญ่ติดต่อกันสามชามจริงๆ
ซิ่วไฉเฒ่าคิดจะห้ามก็ห้ามไม่ทัน เลยเริ่มหันไปด่าพวกจั่วโย่ว จวินเชี่ยนและเหมาเสี่ยวตงสามคนแทน
แต่ในดวงตาของผู้เฒ่า ตอนที่ด่ากลับเก็บซ่อนรอยยิ้มเอาไว้ไม่อยู่
เฉินผิงอันดื่มเหล้าไปแล้วถึงกับรู้สึกว่าเหตุใดชามเหล้าถึงได้เล็กขนาดนี้ จึงรินให้อาจารย์ก่อนหนึ่งชาม จากนั้นค่อยรินให้ตัวเองอีกชาม สุดท้ายกระดกดื่มจนหมด
วันนี้ดูเหมือนจะคอไม่แข็งเท่าไร เฉินผิงอันดื่มไปได้ไม่เยอะก็เริ่มตาปรือด้วยความเมาแล้ว
ก่อนหน้านี้ซีผิงเอาสำเนาคัมภีร์มาให้สามชุด ชุดหนึ่งเพิ่งเขียนขึ้นมาสดๆ ร้อนๆ อีกสองชุดกลับเป็นของศิษย์พี่ศิษย์น้องคู่หนึ่ง คิดดูแล้วปีนั้นซีผิงจ่ายเงินซื้อมา เวลานั้นก็อาจจะจ่ายเงินไปแค่ไม่กี่ตำลึงเท่านั้น สิบตำลึง ยี่สิบตำลึง? ไม่มีทางมากไปกว่านี้แล้ว
และนั่นก็เป็นฉบับสำเนาที่ศิษย์พี่ร่วมสำนักสองคนของเฉินผิงอันเป็นผู้คัดด้วยตัวเอง
ตบกระบี่ที่วางพาดเข่าเบาๆ หัวเราะพูดคุยท่ามกลางลมวสันต์
คลี่ยิ้มลูบไล้จอกแหน เหลือบมองดินแดนแห่งความเมามาย ฟ้าดินเล็ก จักรวาลแคบ กาลเวลาแสนสั้น
กระบี่สามฉื่อในมือของมือกระบี่ บัณฑิตไม่เคยทำผิดต่อชีวิตที่ผันผ่าน
——