กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 808.2 ภาษาใบ้ของหุ่นไม้
ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันอยู่ที่สวนกงเต๋อได้ไปหาหลิวชา ไม่มีวัตถุประสงค์อะไร ก็แค่ไปพูดคุยกับผู้ฝึกกระบี่ที่เคยมีวิถีกระบี่และเวทกระบี่สูงสุดในใต้หล้าเปลี่ยวร้างสองสามคำเท่านั้น
หลังจากที่จิงเซิงซีผิงช่วยคลายตราผนึกของพื้นที่ลับออกให้ เฉินผิงอันก็ไปเจอกับจอมยุทธพเนจรเคราดกที่เวลานั้นนั่งตกปลาอยู่ริมทะเลสาบ
เฉินผิงอันนั่งลงด้านข้างแล้วก็ถามอย่างสงสัยใคร่รู้ “ท่านตั้งชื่อให้ลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาว่าจู๋เชี่ย มีความหมายที่ลึกล้ำกว่านั้นหรือไม่?”
หลิวชาตอบกลับ “ไม่ต่างจากที่เจ้าคาดเดาสักเท่าไร”
ต่งซานเกิงเซียนกระบี่ผู้อาวุโสของกำแพงเมืองปราณกระบี่ เดิมทีกระบี่พกมีชื่อว่าอีจั้งเกา (สูงหนึ่งจั้ง) เพียงแต่ว่ากระบี่หักอยู่ที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ต่งซานเกิงใช้ตะกร้าไม้ไผ่ (จู๋เชี่ย) บรรจุหัวของปีศาจใหญ่บินทะยานหัวหนึ่ง หลังกลับมาถึงบ้านเกิดก็หลอมกระบี่เล่มใหม่ขึ้นมา ตั้งชื่อว่าจู๋เชี่ย
แม้ว่าจะกลายมาเป็นนักโทษ แต่หลิวชาที่สีหน้าเฉยเมยกับอิ่นกวานคนสุดท้ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่ แท้จริงแล้วทั้งสองฝ่ายไม่มีเรื่องอะไรให้คุยกันได้ แต่มีเพียงเรื่องนี้ที่หลิวชายินดีพูดหลายประโยคหน่อย
“ผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ หมื่นปีที่ผ่านมานี้ ข้าเลื่อมใสแค่ต่งซานเกิง”
“หากเปลี่ยนให้ข้าไปเที่ยวเยือนใต้หล้าไพศาลแล้วใช้วิธีการออกกระบี่แบบเขา ก็ไม่รู้ว่าต้องตายไปกี่รอบแล้ว”
“ปีนั้นเจอกับอาเหลียงที่บ้านเกิด การที่พวกเราสองคนสามารถกลายมาเป็นสหายกันได้ นั่นก็เพราะอาเหลียงบอกว่าตัวเองคือสหายรักต่างวัยของต่งซานเกิง ไอ้หมอนั่นพูดจาจริงจังน่าเชื่อถือ ข้าก็เลยเชื่อ”
รู้คำตอบแล้ว อันที่จริงเฉินผิงอันก็พึงพอใจมากแล้ว มองหลิวชาตกปลาอยู่ครู่หนึ่งก็อดไม่ไหวจึงพูดขึ้นมาอีกว่า “ผู้อาวุโสตกปลาเช่นนี้ บอกตามตรง ก็เหมือนกับกินหม้อไฟแล้วถูกน้ำแกงกระเด็นมาโดนหน้านั่นแหละ มีแต่จะแสบตา”
หลิวชาไม่คุยด้วย
บัณฑิตของกำแพงเมืองปราณกระบี่ พูดจาล้วนไม่น่าฟัง
เฉินผิงอันเหลือบตามองข้องปลา “สามารถตกปลาพวกนี้มาได้ ไม่ใช่เพราะฝีมือการตกปลาของผู้อาวุโสนับว่าพอใช้ได้จริงๆ แต่เป็นเพราะถ้าไม่ใช่ปลาพวกนั้นหิวโหยจนรีบอยากไปเกิดใหม่ ก็คงเป็นเพราะพวกมันโชคร้ายจริงๆ ก็เหมือนผีขี้เหล้าที่เมาเดินตกคลองข้างทาง”
หลิวชาถามว่า “มีข้อพิถีพิถันอะไรหรือ?”
อยู่ที่นี่ยังคงฝึกกระบี่เหมือนเดิม ไม่มีความสนใจจะอ่านตำรา ดังนั้นจึงมีเพียงการตกปลาเท่านั้นที่สามารถฆ่าเวลาได้ หลิวชาจงใจละทิ้งสถานะของผู้ฝึกลมปราณทิ้งไป ไม่อย่างนั้นก็จะกลายเป็นว่าไม่มีความหมายแล้ว
เฉินผิงอันย้อนถาม “ผู้อาวุโสคิดว่าอย่างไรล่ะ?”
หากจะคุยเรื่องนี้กับข้า ก็ไม่มีขอบเขตบินทะยานขอบเขตสิบสี่อะไรทั้งนั้น ล้วนเป็นผู้เยาว์ของข้าทั้งสิ้น
หลิวชาคิดแล้วก็เอ่ยว่า “คน ปลา น้ำ คันเบ็ด ตะขอ เหยื่อล่อ ข้ารู้สึกว่ามีข้อพิถีพิถันแค่นี้เท่านั้น”
เฉินผิงอันไม่ค่อยมั่นใจในความหมายของคำพูดประโยคนี้ของหลิวชาสักเท่าไร จึงถามว่า “ผู้อาวุโสกำลังเล่นทายคำปริศนากับข้าหรือคิดว่ามันเรียบง่ายแค่นี้จริงๆ?”
หลิวชาไม่เอ่ยอะไรอีก
เฉินผิงอันเงียบไปครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “วันหน้าค่อยมาถามกระบี่กับผู้อาวุโส”
หลิวชายิ้มถาม “ทำไมล่ะ?”
เฉินผิงอันลุกขึ้นมานั่งยอง หยิบหินสองสามก้อนขึ้นมา โยนลงไปในน้ำเบาๆ “ผู้อาวุโสห้าวหาญองอาจ ผู้เยาว์นับถือ ก็แค่ว่ามีอยู่ไม่กี่เรื่องที่ลงมือทำอย่างไร้คุณธรรมเท่านั้น”
หลิวชาหัวเราะ “ตามใจ หวังว่าจะไม่ให้ข้ารอนานนัก หากรอแค่สองสามร้อยปีก็ไม่มีปัญหา”
แม้ว่าการออกกระบี่ไม่กี่ครั้งในใต้หล้าไพศาลของมือกระบี่เคราดกผู้นี้จะไม่ได้เกิดจากความตั้งใจเดิมของตัวเอง แต่หลิวชาก็ไม่รู้สึกว่านี่จะเป็นเหตุผลอะไรได้
จะว่าไปแล้วก็ยังเป็นเพราะเวทกระบี่ของตัวเองไม่สูงมากพอ ตอนที่ข้ามผ่านซากปรักของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ยังไม่ได้เลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่ ไม่อย่างนั้นเหตุใดยังต้องสนใจว่าบรรพบุรุษใหญ่ภูเขาทัวเยว่และโจวมี่จะมองอย่างไรด้วยเล่า?
เฉินผิงอันปัดมือ ลุกขึ้นแล้วขอตัวลาจากไป
หลิวชาอึ้งตะลึง พลันหันขวับกลับมา
เห็นเพียงว่าเจ้าหมอนั่นยืนอยู่ตรง ‘หน้าประตู’ ของสวนกงเต๋อ โบกมือยิ้มร่าเอ่ยว่า “ตกปลา ตกปลาต่อไป ผู้อาวุโสทำต่อไปเถอะ ปลาเล็กหนีไปหมดแล้ว สามารถรอปลาใหญ่ได้”
หลิวชาจึงได้แต่แหกกฎตัวเอง แอบเหลือบมองความเคลื่อนไหวของปลาที่ว่ายอยู่ในทะเลสาบ ถูกไอ้หมอนั่นใช้หินขว้างแล้วขว้างซ้ำอีกที ยังจะมีปลากะผายลมอะไรให้ตกอีกเล่า
เจ้าตัวดี ชาติสุนัขยิ่งกว่าอาเหลียงเสียอีก
หลิวชามองไปที่น้ำทะเลสาบ เอ่ยว่า “หากเป็นไปได้ ช่วยข้านำความไปบอกจู๋เชี่ยที”
เฉินผิงอันที่เดินข้ามประตูไปแล้วเอนตัวมาด้านหลัง ถามว่า “บอกว่าอะไร?”
หลิวชายิ้มบางๆ “บอกกับเขาว่าต้องกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดของใต้หล้าเปลี่ยวร้างให้ได้”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ถือว่าตอบตกลงแล้ว”
หลิวชาถาม “ข้าขอให้ช่วย เจ้าไม่ต้องการอะไรตอบแทนหรือ?”
เฉินผิงอันยังคงค้างอยู่ท่านั้น คิดอยู่นาน สุดท้ายก็ยังส่ายหน้า “เหลือค้างไว้ก่อนเถอะ?”
หลิวชายกมือขึ้น
เฉินผิงอันโยนสมุดเล่มหนึ่งที่ตัวเองเขียนขึ้นเองไปให้ เป็นความรู้ความเข้าใจและประสบการณ์เกี่ยวกับการตกปลาอย่างละเอียด
หลิวชารับมาเก็บไว้ในชายแขนเสื้อ เอ่ยขอบคุณหนึ่งคำ
ตามคำกล่าวของหลี่ไหว ในช่วงเวลาที่เฉินผิงอันฝึกตนบนภูเขาในอนาคต ควรจะต้องหาเรื่องผ่อนคลายอารมณ์ทำบ้าง ไม่ต้องเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่อะไร แค่เป็นเรื่องที่ทำให้อารมณ์ผ่อนคลายเท่านั้นก็พอ
ยกตัวอย่างเช่นลงจากภูเขาไปเป็นอาจารย์ของโรงเรียนที่ปิดบังชื่อแซ่ หากความรู้ไม่พอก็แค่สอนให้พวกเด็กประถมของโรงเรียนในชนบทรู้จักตัวอักษร บางทีอาจไม่ใช่ในอาณาเขตของหลงโจวที่อยู่ใกล้กับภูเขาลั่วพั่ว สามารถออกไปไกลยิ่งกว่านั้น หรือไม่ไปเป็นอาจารย์สอนหนังสือในพื้นที่มงคลรากบัวก็ได้
หรือยกตัวอย่างเช่นบางครั้งก็ทะยานลมเดินทางไกล ไปยังแม่น้ำลำคลองทะเลสาบที่อยู่ห่างไกลหมื่นลี้ ตกปลาอยู่เพียงลำพัง หิ้วกาเหล้าไปด้วยสองสามกา จากนั้นก็ทำแกงปลากินเองสักหม้อ
หากจะบอกว่าหาเงินก็เพื่อประทังชีพ ทว่าจะมีชีวิตอยู่เพียงแค่เพื่อหาเงินไม่ได้
ถ้าอย่างนั้นขึ้นเขาฝึกตนคือชีวิตคน ชีวิตคนก็ไม่อาจเอาแต่ฝึกตนได้เช่นกัน
เพียงแต่ว่าฝึกกระบี่เรียนวรยุทธ หาเงินฝึกบำเพ็ญตน อ่านหนังสือศึกษาหาความรู้ ล้วนไม่อาจเกียจคร้านได้ก็เท่านั้น
เฉินผิงอันลืมตา ยังมองไม่เห็นร่องรอยของเรือราตรีลำนั้น
คนข้างกายสามคนนี้ คงเป็นเพราะอยู่ในอาณาเขตของบ้านตัวเอง น่าหลันเซียนซิ่วได้หยิบเอาถุงปักลายออกมาเปลี่ยนยาสูบไปบ้างแล้ว นางนิสัยเย็นชา ไม่ค่อยชอบพูดคุย อีกสองคนที่เหลือกลับพูดจาอย่างไร้ความยำเกรง โดยเฉพาะผีที่อยู่ในรูปลักษณ์ของเด็กสาว ดูเหมือนว่านางจะสนใจคนหนุ่มมากความสามารถอย่างพวกเฉาสือ ฟู่จิ้น สวี่ป๋ายมากเป็นพิเศษ แม่นางน้อยที่ดูเฉลียวฉลาดซุกซนผู้นั้นพูดคุยอย่างไม่เห็นตัวเองเป็นคนนอกแม้แต่น้อย แม่นางน้อยรู้สึกว่าเฉาสือหล่อกว่าทุกคน ทว่าคนที่ถูกนางเรียกว่าพี่หญิงเฟยชุ่ยกลับบอกว่าฟู่จิ้นหล่อกว่า เพราะลูกศิษย์คนแรกของเจ้านครจักรพรรดิขาวคนนี้คือผู้ฝึกกระบี่นี่นา เมื่อเทียบกับคนที่ต้องใช้วิชาหมัดเท้าแล้วย่อมมีมาดสง่างามมากกว่า ถือว่าเหนือกว่าตามธรรมชาติไปหนึ่งระดับ
แม่นางน้อยคนนั้นจึงเหลือบตามองผู้ฝึกกระบี่ชุดเขียวคนนั้น รู้สึกว่าคนที่อยู่ข้างกายผู้นี้หน้าตาไม่เท่าไรเลยจริงๆ
เฉินผิงอันจึงแสร้งทำเป็นว่ามองไม่เห็น ไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น
คิดไม่ถึงว่าคุยไปคุยมา เฟยชุ่ยกลับพูดไปถึงการถามหมัดที่ศาลบุ๋น ที่แท้เวลาเพิ่งผ่านไปเพียงแค่ไม่กี่วัน ข่าวนี้ก็แพร่จากศาลบุ๋นมายังสำนักซานไห่แล้ว
เรื่องราวใต้หล้านี้มากมายดุจขนวัว เพียงแต่ว่ามักจะมีอยู่สองสามเรื่องที่ถูกคนนำมาพูดคุยกันอย่างเพลิดเพลิน ก็เหมือนคนบางคนที่เป็นนกกระเรียนในฝูงไก่ เรื่องบางอย่างก็ทำให้คนมองรู้สึกสดใหม่
ดูเหมือนแม่นางน้อยอารมณ์ไม่ใคร่จะดี นางที่เดิมทีพูดเจื้อยแจ้วไม่หยุด จู่ๆ ก็ไม่พูดอะไรแล้ว
คงเป็นเพราะรู้สึกไม่ยุติธรรมต่อเฉาสือ? รู้สึกว่าอิ่นกวานอะไรนั่นไม่มีคุณธรรมน้ำใจในยุทธภพ ถึงได้ต่อยเข้าที่หน้าของเฉาสือ?
เฟยชุ่ยมีนิสัยเปิดเผยตรงไปตรงมา นางหันหน้าเป็นฝ่ายชวนบุรุษที่เหมือนน้ำเต้าตันคุยว่า “เจ้าคือผู้ฝึกกระบี่ อย่างน้อยก็ต้องเป็นเซียนเหรินกระมัง? สายตาต้องไม่เลวเป็นแน่ ถ้าอย่างนั้นเจ้าคิดว่าการถามหมัดครั้งนั้น หากสองฝ่ายแบ่งเป็นตายกัน ผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ข้าไม่ค่อยเข้าใจวิธีการของผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางสักเท่าไร ดังนั้นจึงไม่สะดวกจะบุ่มบ่ามให้ข้อสรุป แต่ข้าเดาเอาว่าขอแค่ถามหมัดกับเฉาสือ ไม่ว่าจะแบ่งแพ้ชนะหรือแบ่งเป็นตาย อย่างมากสุดก็มีคนจำนวนแค่หนึ่งมือนับ นอกจากนี้แล้วผู้ฝึกยุทธทุกคนในใต้หล้าไพศาล สิบส่วนล้วนต้องแพ้เต็มสิบ ไม่มีโอกาสใดๆ ให้ลุ้นอีก”
ในบรรดาคนจำนวนหนึ่งมือนับนั้นก็มีเผยเปย ซ่งจ่างจิ้ง จางเถียวเสีย หลี่เอ้อ
แม่นางน้อยที่เดิมทีหงอยเหงาพลันเลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้น ได้ยินคำพูดที่เป็นกลางประโยคนี้ นางก็อารมณ์ดีขึ้นมาโดยพลัน โคลงศีรษะไปมา พูดด้วยสีหน้าสดใสว่า “อิ่นกวานอะไร เซียนกระบี่ชุดเขียวอะไร นิสัยแย่ขนาดนั้น ไอ้หมอนี่น่าโดนซ้อมเกินไปแล้ว หากเปลี่ยนข้ามาเป็นเซียนเหรินอวิ๋นเหมี่ยวของหอเซียนจิ่วเจิน เหอะ หากเปลี่ยนมาเป็นเจิ้งจวีจง เฮอๆ หากไอ้หมอนั่นกล้ามายืนอยู่ข้างกายของข้า หึๆๆ”
เฉินผิงอันที่นั่งอยู่ด้านข้างพยักหน้าเบาๆ แสดงให้เห็นว่าคล้อยตาม เห็นด้วยกับความคิดของแม่นางน้อยอย่างมาก
แม่นางน้อยที่ใช้หางตาแอบลอบมองคนผู้นี้ตลอดเวลายกนิ้วโป้งให้ “เซียนกระบี่ท่านนี้พูดจาน่าฟัง สายตาดีเยี่ยม หน้าตาก็…ใช้ได้ วันหน้าท่านก็คือสหายของข้าแล้ว!”
เฉินผิงอันคลี่ยิ้มอบอุ่น พยักหน้ารับเบาๆ
แน่นอนว่าย่อมมองออกถึงสถานะภูตในภูเขาของแม่นางน้อยเพียงปราดเดียว
แม่นางน้อยถามชวนคุย “ท่านกำลังรอเรือข้ามฟากอยู่หรือ จะไปที่ไหน?”
เฉินผิงอันกล่าว “ไปอุตรกุรุทวีป”
แม่นางน้อยร้องอ้อหนึ่งที แล้วก็พูดเหมือนคนแก่ว่า “บ้านเกิดของท่านคืออุตรกุรุทวีปหรือ เป็นสถานที่ที่ดี มิน่าเล่าๆ ที่นั่นมีผู้ฝึกกระบี่เยอะนี่นะ แต่ว่าบ้านเกิดของข้าคือแจกันสมบัติทวีป วันหน้าจะพาท่านไปเที่ยวเล่น”
เฉินผิงอันอึ้งตะลึงไป เพียงแต่ไม่ได้ถามอะไรมาก
เหตุใดแม่นางน้อยที่ตบะและขอบเขตไม่สูงผู้นี้ถึงข้ามทวีปมาถึงทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางได้ และดูเหมือนว่าตำแหน่งของนางในสำนักซานไห่แห่งนี้ก็ไม่ต่ำด้วย?
แม้จะไม่รู้สาเหตุ แต่เฉินผิงอันก็มีความประทับใจต่อสำนักซานไห่ดีกว่าเดิมหลายส่วน
น่าหลันเซียนซิ่วใช้กระบอกยาสูบเคาะกับหินหน้าผา จากนั้นค่อยคีบเอายาเส้นส่วนหนึ่งออกมาจากในถุง เหลือบตามองม่านฟ้าแวบหนึ่ง แล้วนางก็เหม่อลอยไป
นางคืนสติกลับมา ยิ้มถามว่า “ชอบสูบยาเหมือนกันหรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่เคยสูบมาก่อน”
นางยิ้มเอ่ย “อันที่จริงน่าสนใจกว่าผีขี้เหล้าดื่มเหล้าอีกนะ”
เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม ไม่ได้ต่อคำ
นอกจากพวกต้นไผ่ของภูเขาชิงเสินที่จะถูกนำไปส่งยังภูเขาลั่วพั่วพร้อมกับเฟิงยวนเรือข้ามทวีปของราชวงศ์เสวียนมี่แล้ว การประชุมของศาลบุ๋นครั้งนี้ เรียกได้ว่าเฉินผิงอันได้ผลเก็บเกี่ยวกลับไปเต็มไม้เต็มมือ
ชางผูกระถางที่เทพภูเขาจิ่วอี้มอบให้ และยังมีนกนางแอ่นดำพับจากกระดาษที่ซานจวินหญิงแห่งภูเขาแยนจือมอบให้ ล้วนถูกอาจารย์เอาออกจากชั้นวางมามอบให้เฉินผิงอัน
ส่วนผงประทินโฉมกล่องนั้น เฉินผิงอันกลับรับมาไว้อย่างไม่มีลังเล รับไว้อย่างสบายใจมากเป็นพิเศษ ไม่อย่างนั้นอาจารย์จะต้องมอบให้ศิษย์พี่จั่วโย่ว? หรือว่าศิษย์พี่จวินเชี่ยนดีล่ะ?
สิ้นเปลืองของดีไปเสียเปล่า ไม่มีความจำเป็นแม้แต่น้อย
ตอนนั้นเฉินผิงอันรับของสามชิ้นนี้มา
ของอื่นๆ ที่เหลือ เฉินผิงอันล้วนไม่ได้รับเอาไว้ ไม่ว่าอาจารย์จะเกลี้ยกล่อมอย่างไร เขาก็ไม่ตอบตกลงด้วย
มีเหตุผลอย่างเต็มที่ วันหน้าอาจารย์จะต้องมีลูกศิษย์ของลูกศิษย์เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ควรจะต้องมีทรัพย์สินเป็นของตัวเองเก็บไว้บ้าง อาจารย์ปล่อยให้สองชายแขนเสื้อมีแต่ลมเย็นแบบนี้ จะได้อย่างไร
ทว่าก่อนจะจากกัน อาจารย์ยังคงมอบวัตถุจื่อชื่อชิ้นที่เทพเจ้าแห่งโชคลาภหลิวไม่ทันระวังทิ้งไว้ให้แก่ลูกศิษย์คนสุดท้าย บอกว่าของเล่นชิ้นนี้ วันหน้าภูเขาลั่วพั่วคิดจะทำการค้าใหญ่ ต้องเอามาใช้ได้แน่นอน ถึงอย่างไรขอแค่ภูเขาลั่วพั่วหาเงินได้ก็เท่ากับว่าสายเหวินเซิ่งหาเงินได้
ขณะเดียวกันซิ่วไฉเฒ่ายังยิ้มพลางหยิบม้วนภาพสองอันออกมาจากในชายแขนเสื้อ บอกให้เฉินผิงอันลองเดาดู
อันที่จริงเฉินผิงอันไม่ต้องเดาก็รู้ว่าต้องเป็นผลงานของผู้อาวุโสสองท่านอย่างซูจื่อและหลิ่วชีแน่นอน
เฉินผิงอันรู้สึกว่าตัวเองมีนิสัยที่ไม่เลวอย่างหนึ่ง นั่นก็คือรับฟังคำโน้มน้าวของผู้อื่น
ยกตัวอย่างเช่นรับฟังคำพูดประโยคนั้นของฮว่อหลงเจินเหรินเข้าหูได้อย่างรวดเร็ว ทำการค้า หากหน้าบางย่อมทำอะไรไม่สำเร็จจริงๆ
คำพูดเก่าแก่ของคนเฒ่าคนแก่ คนรุ่นเยาว์ต้องรับฟัง ฟังแล้วก็ต้องทำตามด้วย
ดังนั้นพอเฉินผิงอันได้ยินว่าเซียนเหรินอวิ๋นเหมี่ยวยังไม่ออกไปจากภูเขาอ๋าวโถวก็รีบส่งจดหมายลับฉบับหนึ่งไปให้กับเจ้าของหอเซียนจิ่วเจินที่หากไม่ตีกันก็ไม่ได้รู้จักกันทันที
เซียนเหรินอวิ๋นเหมี่ยวตอบจดหมายกลับมาอย่างรวดเร็ว แล้วยังมอบของชิ้นหนึ่งส่งมาให้ที่สวนกงเต๋อด้วย
คือหลิงจือหยกขาวที่มีระดับขั้นเป็นอาวุธกึ่งเซียนชิ้นนั้น
อวิ๋นเหมี่ยวยอมตัดใจยกของรักมาให้เช่นนี้ ไม่เพียงแต่ไม่เสียดาย กลับกันยังยินยอมพร้อมใจ ทั้งรู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอกด้วย
จิตใจที่เคารพยำเกรงซึ่งอวิ๋นเหมี่ยวมีต่อเจ้านครจักรพรรดิขาวผู้นี้เกินจริงจนถึงขั้นที่ไม่อาจมีเพิ่มไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว
——