กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 809.1 เสียงในใจ
คนทั้งสามจากไปทิ้งไว้เพียงเฉินผิงอันที่ถือเป็นคนนอกของสำนักซานไห่ให้นั่งอยู่ริมหน้าผามองไปยังทิศไกลอยู่เพียงลำพัง
ตรงจุดเชื่อมต่อระหว่างหน้าผาและทะเลของโลกมนุษย์ แสงภูเขาสะท้อนเข้ากับแสงน้ำ คนชุดเขียวสะพายกระบี่เดินทางไกล ลมเย็นดวงจันทร์กระจ่างล้วนอยู่ในการควบคุมของข้า
ในประวัติศาสตร์สำนักซานไห่เคยเปลี่ยนชื่อสำนักมาก่อน เพียงแต่ว่าเปลี่ยนแค่คำเดียว จากเหอเป็นไห่ ทว่าผู้ฝึกตนมีอายุของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางกลับยังคงเคยชินที่จะเรียกว่าสำนักซานเหอ
น่าเสียดายที่วันนี้ไม่ได้พบเจอบรรพจารย์หญิงท่านนั้น ว่ากันว่านางคือลูกศิษย์ของลูกศิษย์ผู้สืบทอดของน่าหลันเซียนซิ่วเจ้าสำนักอีกที ไม่อย่างนั้นก็จะมีโอกาสรู้แล้วว่าสรุปแล้วนางชอบศิษย์พี่คนใดกันแน่
ไม่ว่าจะชอบชุยฉานหรือจั่วโย่ว ไม่ว่าจะเป็นศิษย์พี่คนใดก็ล้วนสายตาดีทั้งสิ้น
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน รอการมาถึงของเรือราตรีลำนั้น อย่างมากสุดอีกหนึ่งก้านธูปก็น่าจะขึ้นเรือได้แล้ว
ตรงริมหน้าผา คนชุดเขียวยืนองอาจอย่างเดียวดาย
หวนนึกถึงคำพูดประโยคนั้นของหลี่เซิ่ง ความคิดของเฉินผิงอันก็ล่องลอยออกไปไกล เขาปล่อยให้ความคิดที่มากมายซับซ้อนผุดขึ้นผุดลง ประหนึ่งสายลมพัดผ่านทะเลสาบหัวใจจนเกิดริ้วกระเพื่อม
อ่านตำราไม่รู้ว่าการเอาคัมภีร์มานั้นยากแค่ไหน ส่วนใหญ่มักจะมองคัมภีร์อย่างง่ายๆ
จำได้ว่าตรงกอดอกเฟิ่งเซียนหน้าบ้านหลิวเสี้ยนหยาง มีครั้งหนึ่งฝนตกกระหน่ำ ร่องคูน้ำทุกแห่งของเมืองเล็กล้วนเกิดน้ำท่วม ดอกไม้จึงถูกน้ำซัดหายไป เฉินผิงอันรู้สึกว่าน่าเสียดายอย่างมาก ทว่าหลิวเสี้ยนหยางที่เป็นเจ้าของที่แท้จริงกลับไม่ได้เสียใจมากมายขนาดนั้น บอกว่าหายแล้วก็หายไป กลับเป็นกู้ช่านที่เสียดายที่สุด ระหว่างที่เดินกลับบ้านก็บ่นเฉินผิงอันมาตลอดทาง บอกว่าหากรู้ว่าจะเป็นอย่างนี้แต่แรกก็ไม่สู้ย้ายไปอยู่ที่บ้านของเขาแล้วไม่ต้องย้ายกลับมาอีก ไม่แน่ว่าเวลานี้ดอกไม้อาจจะยังบานงดงามอยู่เหมือนเดิมก็เป็นได้
หวนนึกถึงแม่นางหน้ากลมสวมชุดผ้าฝ้ายที่ใช้นามแฝงว่าอวี๋เชี่ยนเยว่ผู้นั้น เฉินผิงอันก็นึกไปถึงในบ้านบรรพบุรุษของหลิวเสี้ยนหยางอย่างเป็นธรรมชาติ ด้านในนั้นยังมีชั้นวางขนาดใหญ่ที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษอยู่อีกชั้นหนึ่ง ฝีมือประณีตอย่างยิ่ง เป็นของเก่าแก่ที่วาดเป็นรูปดอกไม้ลงลายสีทอง ด้านหลังชั้นวางยังฝังภาพผืนหนึ่งเอาไว้ มีต้นกุ้ยสีทองที่ออกดอกบานสะพรั่ง เหนือกิ่งคือดวงจันทร์เต็มดวงหนึ่งดวง เฉินผิงอันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรื่องแบบนี้จะอธิบายด้วยเหตุผลอย่างไร? ด้ายหนึ่งเส้นเชื่อมโยงวาสนาครองคู่ไกลพันลี้? โชคชะตากำหนดมาไว้แล้ว ต่อให้หลิวเสี้ยนหยางกับเซอเยว่จะอยู่ไกลกันโดยมีหนึ่งใต้หล้ากั้นขวางก็ยังได้มาครองคู่อยู่ด้วยกันอย่างนั้นหรือ? หวังว่าพวกเขาสองคนที่พบเจอกันด้วยดีแล้วจะไม่แยกย้ายกันไปอีก ได้ผูกบุญสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
หันเชี่ยวเซ่อแห่งนครจักรพรรดิขาวซื้ออาวุธหนักของผู้ฝึกตนผีชิ้นหนึ่งไปจากร้านผ้าห่อบุญบนเกาะนกแก้ว ตอนนั้นเฉินผิงอันที่อยู่ในสวนกงเต๋อได้ยินเรื่องนี้แล้วก็ไม่สอบถามสถานการณ์การซื้อขายของร้านผ้าห่อบุญจากอาจารย์ซีผิงทุกๆ สามวันห้าวันอีก
และชีวิตของเฉินผิงอันเองก็ไม่ถูกลำธารสายหนึ่งที่น้ำท่วมทะลักกั้นขวางไว้อีกต่อไปแล้ว
เฉินผิงอันพลันหันหน้ากลับไปด้วยความประหลาดใจอย่างมาก นางไม่ได้ไปยังสถานที่ฝึกกระบี่ที่นอกฟ้า แล้วยังเพิ่งจะหวนกลับมายังไพศาลด้วย?
สตรีชุดขาวถือกระบี่ด้วยมือข้างเดียว มองไปยังทิศไกล ยิ้มเอ่ยว่า “เพียงแค่กะพริบตา หนึ่งหมื่นปีผ่านไปแล้วก็เป็นอีกหนึ่งหมื่นปี”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ราวกับว่าแค่กะพริบตาจากห้าขวบก็กลายมาเป็นสี่สิบเอ็ดปีแล้ว”
นางถาม “นายท่านรู้หรือไม่ว่าที่นี่เคยมีเวทคาถาที่ค่อนข้างสำคัญบทหนึ่งร่วงหล่นลงมา?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่เคยรู้ ไม่เคยเห็นจากในเอกสารของคฤหาสน์หลบร้อน ตอนอยู่ศาลบุ๋นก็ไม่เคยได้ยินอาจารย์และศิษย์พี่พูดถึง”
นางบอกความจริงเรื่องหนึ่งที่ถูกฝุ่นเกาะมานานให้เฉินผิงอันฟังคร่าวๆ สถานที่อย่างสำนักซานไห่นี้เคยเป็นซากปรักสนามรบยุคบรรพกาลแห่งหนึ่ง คือสถานที่ปิดฉากศึกช่วงชิงระหว่างน้ำและไฟ นี่จึงเป็นเหตุให้มีปณิธานแห่งมรรคาแฝงอยู่ไร้ที่สิ้นสุด เวทคาถาพังทลายหล่นร่วงลงมายังโลกมนุษย์ ท่วงทำนองที่จำแลงออกมาก็คือโชควาสนาตระกูลเซียนของผู้ฝึกลมปราณในยุคหลัง
เพียงแต่ว่าเรื่องประเภทนี้ ทางฝั่งของศาลบุ๋นมีบันทึกไว้ไม่มาก มีเพียงอริยะปราชญ์ที่มีรูปปั้นของแต่ละยุคสมัยเท่านั้นที่สามารถเปิดอ่านได้ เป็นเหตุให้ต่อให้เป็นเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาก็ยังไม่แน่เสมอไปว่าจะรู้เรื่องนี้
นางยิ้มเอ่ย “ในอนาคตใต้หล้าห้าสีแห่งนั้นจะต้องมีตัวอ่อนผู้ฝึกตนที่เกิดมาก็สามารถข่มหนิงเหยาได้โดยธรรมชาติ แต่ต้องไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่อย่างแน่นอน จะมีการช่วงชิงบนมหามรรคากับหนิงเหยา ดังนั้นบอกหนิงเหยาว่าอย่าได้ประมาท อย่าได้รู้สึกว่ากลายเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานแล้วก็จะสามารถนอนหนุนหมอนสูงได้อย่างสบายใจหายห่วงแล้ว นางที่อยู่ในใต้หล้าห้าสีไม่มีทางไร้ศัตรูทัดเทียมไปได้ตลอดเวลา”
เฉินผิงอันถาม “คนผู้นี้ใช่หนึ่งในโชควาสนาที่ใหญ่ที่สุดของใต้หล้าห้าสีหรือไม่? กองกำลังของลัทธิเต๋าที่มีป๋ายอวี้จิงเป็นหนึ่งในนั้นมีโอกาสได้คนผู้นี้ไปครองมากที่สุดใช่หรือไม่?”
ต่อให้มีคนผู้นี้อยู่จริง ไม่ว่าจะเป็นเหนิงเหยา เขาเฉินผิงอันหรือนครบินทะยานที่ต่อให้รู้ว่าจะมีโชควาสนาใหญ่เทียมฟ้านี้ล่วงหน้า แต่ก็ไม่มีทางวางแผนบนภูเขาที่อาศัยหยินหยางจำแลงไปอนุมานมหามรรคาแล้วทำการตัดรากถอนโคนอย่างแน่นอน
นางพยักหน้า “ดูจากตอนนี้ โอกาสของลัทธิเต๋าค่อนข้างมาก แต่สุดท้ายแล้วบุปผาจะหล่นลงที่บ้านใด ก็ไม่ใช่เรื่องตายตัวเสมอไป คนและเทพอยู่ร่วมกัน เรื่องประหลาดเกิดขึ้นได้มากมาย ทุกวันนี้ชะตาฟ้ายังคงมืดสลัวมองเห็นไม่ชัด ดังนั้นโชควาสนาใหญ่อย่างอื่นๆ ที่เหลือจะเป็นอะไรกันแน่จึงยังไม่อาจบอกได้ในเวลานี้ อาจเป็นวัตถุบางอย่างที่จำแลงจากมหามรรคาของฟ้าอำนวย ใครที่ได้ไปก็จะได้รับการปกป้องจากมหามรรคาของใต้หล้า แล้วก็อาจจะเป็นดินอวยพรบางอยาง ยกตัวอย่างเช่นถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลแห่งหนึ่งที่ป๋ายเหย่และซิ่วไฉเฒ่ายังไม่ค้นพบ สามารถประคับประคองให้ผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่คนหนึ่งฝึกตนประสบความสำเร็จได้ เอาเป็นว่าการที่หนิงเหยาสังหารเจ้าตาเดียวสิ่งศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงไปได้ ก็ถือว่าได้โชควาสนาหนึ่งในนั้นไปครองแล้ว อย่างน้อยที่สุดในเวลาหลายร้อยปีนางก็ยังสามารถนั่งอยู่ในตำแหน่งของบุคคลอันดับหนึ่งในใต้หล้าได้อย่างมั่นคง นี่ก็ควรจะรู้จักพอได้แล้ว ช่วงเวลาระหว่างนี้ หากนางยังไม่อาจฝ่าทะลุขอบเขต ถูกคนแย่งตำแหน่งบุคคลอันดับหนึ่งไปก็โทษคนอื่นไม่ได้”
นางพลันหัวเราะ “จอมปราชญ์น้อยท่านนั้นไม่ได้พูดเรื่องพวกนี้กับนายท่านหรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “หลี่เซิ่งไม่ได้พูดคุยเรื่องพวกนี้ ข้าเองก็ไม่กล้าถามมาก”
นางกล่าว “สมกับเป็นจอมปราชญ์น้อยจริงๆ ไม่ใจกว้างเอาเสียเลย”
คำเรียกว่าจอมปราชญ์น้อยนี้ แรกเริ่มสุดเป็นฉายาที่ป๋ายเหย่ตั้งให้หลี่เซิ่ง
มีเพียงผู้ฝึกตนที่เขียนปฏิทินเหลือง ไม่ใช่คนที่เปิดปฏิทินเหลืองเท่านั้นถึงจะมีคุณสมบัติเรียกหลี่เซิ่งเช่นนี้
ยกตัวอย่างเช่นนางที่อยู่ข้างกายเฉินผิงอัน อดีตหนึ่งในห้าผู้มีตำแหน่งสูงสุดของสรวงสวรรค์อย่าง ผู้ครองกระบี่
เฉินผิงอันเปลี่ยนหัวข้อพูดคุยอย่างรู้กาลควร “ผู้สวมเสื้อเกราะถูกท่านสังหารที่นอกฟ้า ดับสูญไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว สาเหตุส่วนหนึ่งนั้นเป็นเพราะในซากปรักสรวงสวรรค์ได้มีผู้สวมเสื้อเกราะคนใหม่แล้วใช่หรือไม่”
พูดภาษาบ้านๆ หน่อยก็คือ ยิ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตำแหน่งสูงก็ยิ่งเป็นหัวไชเท้าหนึ่งหัวกับหลุมหนึ่งหลุม
ลูกศิษย์คนสุดท้ายของบรรพจารย์ใหญ่ภูเขาทัวเยว่อย่างหลีเจิน อดีตผู้ฝึกกระบี่แห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ กวนจ้าว
กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มนั้นของเขา แม่น้ำแห่งกาลเวลา ลี้ลับมหัศจรรย์เกินไป เป็นเหตุให้เกิดมาหลีเจินก็เหมาะกับการรับตำแหน่งผู้สวมเสื้อเกราะคนใหม่มากที่สุด
ตอนที่พูดเรื่องพวกนี้เฉินผิงอันไม่ได้เรียกนกในกรงออกมา ถึงขั้นที่ว่าไม่ได้ใช้เสียงในใจ แต่อยากพูดอะไรก็พูดออกมาโดยตรง
เพราะมีนางอยู่
ใครจะกล้ามาลอบฟังที่แห่งนี้?
นางอืมรับหนึ่งที ใช้ฝ่ามือตบด้ามกระบี่เบาๆ เอ่ยว่า “เป็นเช่นนี้จริง โจวมี่สนับสนุนกวนจ้าวขึ้นมา เป็นเหตุให้ตำแหน่งเทพของเพื่อนเก่าข้าคนนั้นไม่มั่นคง บวกกับที่ก่อนหน้านี้โจมตีไพศาล ได้ต่อสู้กับหลี่เซิ่งอย่างดุเดือดไปรอบหนึ่ง จึงส่งผลต่อพลังการสู้รบของเขา แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่ใช่สาเหตุที่แท้จริงที่เขาถูกข้าสังหาร พลังพิฆาตของเขาสู้ข้าไม่ได้ ทว่าในด้านการป้องกันของเขากลับแข็งแกร่งมิอาจทำลายอย่างแท้จริง แม้จะบาดเจ็บ ต่อให้กระบี่หนึ่งของข้าจะฟันออกไป เศษซากร่างทองของเขาแตกกระจัดกระจาย ก็ยังสามารถจำแลงออกมาเป็นธารดวงดาวหลายเส้นนอกฟ้าได้อยู่ดี แต่หากคิดจะฆ่าเขาอย่างแท้จริงกลับยากมาก เว้นเสียแต่ว่าข้าไล่ฆ่าเขาไปตลอดร้อยปีพันปี แต่ข้าก็ไม่มีความอดทนเช่นนี้”
อันที่จริงหลังจากการเข่นฆ่าครั้งหนึ่งผ่านไปแล้ว ตรงจุดที่ห่างไปไกลอย่างยิ่งของนอกฟ้าได้ปรากฎธารดวงดาวสีทองใหม่เอี่ยมที่ทอดยาวไปไม่รู้กี่พันกี่หมื่นลี้ขึ้นมาสายหนึ่ง
ความนัยในคำพูดของนางฟังดูเหมือนว่าผู้สวมเสื้อเกราะอยากตายเอง สุดท้ายถึงเป็นฝ่ายยกตำแหน่งเทพอันยิ่งใหญ่นั้นให้กับหลีเจิน พูดให้ถูกก็คือ มอบให้กับโจวมี่
หากผู้ครองกระบี่และหลี่เซิ่งไม่อาจขัดขวางการกลับคืนสู่บ้านเกิดของผู้สวมเสื้อเกราะไว้ได้ ปล่อยให้เขากลับคืนไปยังซากปรักสรวงสวรรค์ได้สำเร็จ ด้วยนิสัยของโจวมี่ คาดว่าจุดจบของหลีเจินคงไม่ได้ดีไปสักเท่าไร
เฉินผิงอันถามเสียงเบา “จำต้องสังหารผู้สวมเสื้อเกราะเองกับมือ ท่านเสียใจหรือไม่?”
ผู้ครองกระบี่กับผู้สวมเสื้อเกราะสู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กันมานับหมื่นปี ก็เหมือนอย่างที่นางพูด ต่างก็เป็นสหายเก่าของกันและกัน
นางส่ายหน้า อธิบายว่า “ไม่เสียใจ มีร่างทองอยู่ก็คือกรงขัง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ตำแหน่งต่ำ ร่างทองจะสลายไปท่ามกลางแม่น้ำแห่งกาลเวลา ส่วนการกายดับมรรคาสลายของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตำแหน่งสูงกลับเป็นการเดินทางไกลอย่างหนึ่งที่คนฝึกตนยุคหลังไม่มีทางเข้าใจได้ ไม่ว่าจะกายหรือใจล้วนมีอิสระเสรี ความน่าสงสารของสิ่งศักดิ์สิทธิ์เดิมก็คือไม่ว่าจะเป็นคำพูดการกระทำ หรือแม้กระทั่งความคิดทั้งหมดล้วนมีเส้นทางให้เดินไปอย่างเข้มงวด เวลานานวันเข้า อันที่จริงนี่ไม่ใช่เรื่องที่น่าสนุกอะไรเลย ราวกับว่าความหมายของการดำรงอยู่ก็มีเพียงแค่เพื่อดำรงอยู่เท่านั้น ดังนั้นการที่ผู้ฝึกลมปราณยุคหลังแสวงหาความเป็นอมตะไม่เสื่อมสลายอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยจึงกลายมาเป็นกรงขังใหญ่ในสายตาของพวกเรา”
เฉินผิงอันหยิบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ออกมาดื่มเหล้าหนึ่งอึก พึมพำว่า “สามารถเข้าใจแบบนี้ได้หรือไม่ เมื่อเปรียบเทียบกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างพวกท่านแล้ว มนุษย์สามารถทำผิด แล้วก็สามารถแก้ไขความผิด ถ้าอย่างนั้นศีลธรรมก็คืออิสระอย่างหนึ่งในใจของมนุษย์เรา?”
นางยิ้มเอ่ย “สามารถคิดแบบนี้ได้ก็คืออิสระอย่างหนึ่ง”
เฉินผิงอันกำลังจะพูด นางกลับยกกระบี่ยาวขึ้นมาแล้ว “ครั้งนี้ไปจริงๆ แล้ว”
เรือนกายสูงใหญ่ของสตรีชุดขาวกลายร่างเป็นแสงกระบี่สีขาวหิมะนับพันนับหมื่นเส้นที่กระจายกันไปรอบด้าน มองข้ามตราผนึกขุนเขาสายน้ำของสำนักซานไห่ สุดท้ายไปรวมร่างกันบนม่านฟ้า หลุบตาลงต่ำมองมายังโลกมนุษย์
เฉินผิงอันจดจำวิถีการโคจรที่ซับซ้อนของแสงกระบี่ที่กระจายตัวกันไปไว้ในใจเงียบๆ ครั้นจึงผูกน้ำเต้าไว้ตรงเอว เงยหน้าขึ้นโบกมือลานาง
นาทีถัดมาเฉินผิงอันก็บังคับจิตแห่งกระบี่ ท่องคาถา เรือนกายพลันสลายกลายเป็นแสงกระบี่หลายร้อยเส้นประหนึ่งดอกบัวสีเขียวดอกหนึ่งที่ผลิบานอยู่ริมหน้าผา แล้วจึงแผ่ขยายไปยังมหาสมุทรกว้างใหญ่นอกหน้าผา
สุดท้ายแสงกระบี่เหมือนโหม่งลงบนค่ายกลใหญ่ขุนเขาสายน้ำ คล้ายคนชนกำแพง จึงส่ายสะบัด แสงกระบี่รวมตัวกลายเป็นเรือนร่างที่ทิ้งตัวดิ่งลงไปยังมหาสมุทร
ห่างไปไกล บนหอสูงแห่งหนึ่งของสำนักซานไห่ น่าหลันเซียนซิ่วที่ในมือถือกระบอกยาสูบพ่นควันโขมง จุ๊ปากชื่นชม “ช่างเป็นวิชาการหลบหนีที่ดียิ่ง”
นางโบกชายแขนเสื้อคลายตราผนึกของค่ายกลใหญ่ คนชุดเขียวกระโดดผลุงพ้นผิวน้ำ ไม่ได้ทะยานลมจากไป แต่เหยียบอยู่บนน้ำแล้ววิ่งตะลุยไปเบื้องหน้า
ห่างออกไปไกลปรากฏร่องรอยของเรือราตรี เฉินผิงอันจึงเหมือนกบกระโดดแตะผิวน้ำ ครั้นจึงกระโดดขึ้นไปบนหัวเรือ ตอนที่สองเท้าเหยียบลงบนพื้นก็มาเยือนนครแห่งหนึ่งที่ไม่คุ้นเคย
เฉินผิงอันยืนอยู่บนหลังคาเรือนหลังหนึ่ง เพ่งสายตามองนิ่งก็สังเกตเห็นว่าห่างไปไม่ไกลคือตลาดอันคึกคักที่สี่ด้านแปดทิศทะลุเชื่อมโยงถึงกัน ผู้คนเบียดเสียดกันแออัด คล้ายจะมีเวทีประลองอยู่แห่งหนึ่ง บนเวทีมีผู้ฝึกยุทธในยุทธภพสองคนถือพู่กันเพิ่งจะลงนามในสัญญาเป็นตายกันไป ชายฉกรรจ์คนหนึ่งในนั้นองอาจผึ่งผายยิ่ง เขาเขียนชื่อลงไปด้วยลายมือที่คาดว่าแม้แต่ตัวเขาเองก็คงอ่านไม่ออก จากนั้นก็ขว้างพู่กันทิ้งอย่างแรง บัณฑิตที่รับผิดชอบเก็บสัญญาเป็นตายทั้งสองฉบับรีบก้มไปเก็บพู่กันที่อยู่บนพื้นมาพลางสบถด่าไปด้วยว่า ไอ้พวกดีแต่ใช้กำลัง
หนิงเหยาสี่คนกำลังร่วมวงดูเรื่องสนุกอยู่ที่นี่ ไม่มีใครเข้าไปในกลุ่มคน แต่ไปนั่งดูผู้ฝึกยุทธต่อสู้กันบนเวทีประลองจากชั้นสองของเหลาสุราแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างไปไม่ไกล
หนิงเหยาและเผยเฉียนยังดีหน่อย แค่ยืนอยู่ตรงหน้าต่างก็พอ ส่วนหมี่ลี่น้อยกับเด็กชายผมขาวกลับทำได้เพียงยื่นศีรษะน้อยๆ สองศีรษะออกมาเท่านั้น
ตอนที่เฉินผิงอันปรากฏตัวในนครแห่งนี้ หนิงเหยาก็หันหน้ามองไปยังคนชุดเขียวสะพายกระบี่ที่อยู่บนถนน
เฉินผิงอันโบกมือบอกเป็นนัยให้พวกนางยืนอยู่ที่เดิมก็พอ เดี๋ยวตนจะไปหาพวกนางเอง
มาถึงชั้นสองของเหลาสุรา เฉินผิงอันค้นพบว่าโต๊ะทั้งหลายที่อยู่ใกล้กับโต๊ะของหนิงเหยาแม่งมีแต่พวกคุณชายหล่อเหลารูปงามที่ลำพองในความมีเสน่ห์ของตน พวกเขาต่างก็ไม่มีอารมณ์จะชมการประลองยุทธบนเวทีอะไร แต่กำลังแย้มยิ้มพูดคุยกันถึงเรื่องราวในยุทธภพของเหล่าผู้มีชื่อเสียงทั้งหลาย ดื่มสุราแต่ความสนใจไม่ได้อยู่ที่สุรา พูดคุยถึงยอดฝีมือและปรมาจารย์ที่มีชื่อเสียงมานาน คุยถึงพวกคนในยุทธภพที่รักอิสระดุจห่านป่าโบยบินท่ามกลางหมู่เมฆ แล้วก็ไม่ลืมที่จะถือโอกาสเล่าไปด้วยว่าตนเอง หรือไม่ก็อาจารย์ของตนโชคดีเคยได้ดื่มเหล้า เคยได้ถูกเซียนกระบี่บางท่านหรือเทพแห่งหมัดท่านใดชี้แนะมาก่อน
หนิงเหยาหมุนตัวกลับมานั่งที่เดิม เผยเฉียนยิ้มผงกศีรษะให้อาจารย์พ่อ หมี่ลี่น้อยเห็นเจ้าขุนเขาคนดีก็เม้มปากยิ้ม เด็กชายผมขาวได้เจอกับบรรพบุรุษอิ่นกวานก็น้ำตาคลอเจียนจะหยด
เดิมทีเฉินผิงอันอยากนั่งลงข้างกายหนิงเหยา ผลคือหมี่ลี่น้อยกลับยกม้านั่งยาวของตัวเองให้ เด็กชายผมขาวที่ช้ากว่าก้าวหนึ่งจึงใช้ชายแขนเสื้อเช็ดถูอย่างแรง เป่าลมใส่เบาๆ ทำท่าเหมือนเป่าฝุ่น
เฉินผิงอันรับเหล้าชามหนึ่งที่เผยเฉียนส่งมาให้ ยิ้มถามว่า “ที่นี่คือ?”
เผยเฉียนกระซิบตอบ “นครไท่ผิง”
อีกชื่อหนึ่งคือนครเจี่ยจื่อ หนึ่งในสี่นครกลาง
คือสถานที่เพียงหนึ่งเดียวบนเรือราตรีที่ไม่มีผู้ฝึกตน คนธรรมดาอายุเจ็ดสิบปี คาดว่าขอแค่ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลางคนหนึ่งมาเยือน ไม่ต้องเป็นเซียนดินอะไรด้วยซ้ำ ขอแค่มีตบะขอบเขตชมมหาสมุทรก็ล้วนเป็นบุคคลอันดับหนึ่งของใต้หล้าแห่งนี้ได้แล้ว
เฉินผิงอันยิ้มถาม “ทำไมถึงมาเดินเล่นที่นี่กันได้ล่ะ”
หนิงเหยาใช้เสียงในใจตอบ “พวกเราได้เจอกับหาวซู่สิงกวานที่เดินทางจากนครหรงเม่าในนครหลิงซี”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ เห็นว่าเหล้าในชามของหนิงเหยายังเหลืออีกเยอะจึงไม่ได้ช่วยรินให้ เผยเฉียนเองก็ดื่มเหล้าอย่างไม่รีบร้อน คนในยุทธภพนี่นะ จากนั้นจึงหันไปมองหมี่ลี่น้อยก็เห็นว่านางถึงกับดื่มเหล้ากับเขาด้วย แต่สายตาของเฉินผิงอันเพิ่งจะเหลือบมองไป หมี่ลี่น้อยที่ร้อนตัวยิ่งอยากปิดก็ยิ่งเผยพิรุธ นางยื่นมือไปบังชามเหล้า “คือน้ำเปล่า ไม่ใช่เหล้านะ ข้าไม่รู้เลยว่าเหล้ารสชาติเป็นอย่างไร ไม่ควรดื่ม ดื่มแล้วก็ไม่ดี รสชาติแสบร้อนจะตายไป คนโง่เท่านั้นถึงจะจ่ายเงินซื้อเหล้าดื่ม…”
เด็กชายผมขาวที่นั่งอยู่เคียงข้างหมี่ลี่น้อยเอ่ยอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น “ใช่ๆๆ คนโง่เท่านั้นที่จะจ่ายเงินซื้อเหล้าดื่ม”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “อีกเดี๋ยวจะคิดบัญชีกับเจ้า”
เด็กชายผมขาวสะอึกอึ้ง จากนั้นก็รีบยกชามเหล้าขึ้น ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มประจบ “บรรพบุรุษอิ่นกวานความรู้เลิศล้ำดุจเทพยดา แผนการลึกล้ำยาวไกล เดินทางไปเที่ยวศาลบุ๋นครั้งนี้ต้องมีหน้ามีตาอย่างมากแน่นอน ชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทั้งใต้หล้าแล้ว ข้าขอยกดื่มให้หนึ่งชาม”
เฉินผิงอันส่ายหน้า ดื่มเหล้าไปอึกหนึ่งแล้วขมวดคิ้วน้อยๆ
หนิงเหยามถาม “เป็นอะไรไป? ไปตีกับคนอื่นมาหรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ต่อสู้ไปสองสามครั้ง หลักๆ แล้วเป็นตอนตีกับเฉาสือที่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย”
เผยเฉียนหูตั้งทันที
เฉินผิงอันหยิบขวดกระเบื้องที่ศิษย์พี่จวินเชี่ยนมอบให้ออกมา เทยาหนึ่งเม็ด ตบใส่ปาก ดื่มเหล้ากลืนลงไป เอ่ยว่า “เฉาสือยังคงร้ายกาจเหมือนเดิม เป็นข้าที่แพ้”
พอหนิงเหยาได้ยินว่าถามหมัดกับเฉาสือ นางกลับไม่ค่อยเป็นห่วงเฉินผิงอันมากนัก สองฝ่ายที่ต่อสู้กันต้องรู้หนักเบาแน่นอน อีกทั้งดูจากเฉินผิงอันในเวลานี้ก็ไม่มีท่าทางอ่อนระโหยโรยแรง กลับกันปณิธานหมัดบนร่างยังบริสุทธิ์มากขึ้นอีกหลายส่วน นี่เป็นเรื่องดี
——