กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 810.2 ฝีเท้า
เดินเข้าออกตามร้านต่างๆ ต่อจากนั้น พวกหนิงเหยากับเผยเฉียนเข้าไปเลือกของกันข้างใน เฉินผิงอันยืนรออยู่หน้าประตู
ในหุบเขาผีร้ายมีเส้นทางขึ้นเหนืออยู่สองเส้น แบ่งออกเป็นเดินทางไปยังสองเมืองอย่างชิงหลูและหลันเซ่อ เส้นทางหนึ่งตลอดทางมีแต่อันตราย ขุนเขาสายน้ำคดเคี้ยว แต่โอกาสก็มากเหมือนกัน อีกเส้นทางหนึ่งค่อนข้างปลอดภัย เหมาะแก่การชมทัศนียภาพมากกว่า
ตอนนั้นเฉินผิงอันเลือกจะไปเมืองเล็กชิงหลู จากนั้นก็ไม่ได้ไปเมืองหลันเซ่ออีก
นครฟูนี่ นครถงโช่ว เฉินผิงอันล้วนค่อนข้างคุ้นเคย โดยเฉพาะฝ่ายหลังที่ยังเคยไปทำการค้าอยู่ที่นั่น แลกเปลี่ยนหน้ากากเซียนซือผู้เฒ่ามาใบหนึ่ง ซื้อของใช้ในห้องสตรีที่กวาดจากภูเขาตี้หย่งมาจากเถ้าแก่ผีหญิงที่ชื่อเจินกวานและน้องสาวเจ้านครที่แต่งตั้งตำแหน่งอัครมหาเสนาผู้อำนวยการให้กับตัวเอง ถึงขั้นพูดได้ว่าการที่เฉินผิงอันเป็นร้านผ้าห่อบุญก็สามารถมองว่ามีจุดเริ่มต้นมาจากนครถงโช่วได้ ตอนนี้มาย้อนนึกดู นครถงโช่ว (กลิ่นเหม็นของเงิน) อันที่จริงชื่อนี้ก็ดีมาก
ส่วนนอกเหนือจากเจ้านครที่เป็นวิญญาณวีรบุรุษของหุบเขาผีร้ายแล้ว ‘ปีศาจใหญ่’ ทั้งหลายในปีนั้นที่มีชื่อเรียกรวมกันว่าหกอริยะ ไม่ว่าจะเป็นนามแฝงหรือฉายาบนมรรคา แต่ละตนตั้งได้ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน ทำให้คนตกใจกลัวได้ดียิ่ง
ปี้สู่เหนียงเนียงแห่งภูเขาโปลั่ว พี่เฉินหยวนจวินแห่งภูเขาตี้หย่ง ขุนพลเทพชื่อเหลยแห่งภูเขาจีเซียว เซียนใหญ่จัวเยาแห่งถ้ำสถิตจางสุ่ย และยังมีอริยะใหญ่ย้ายภูเขา ราชันย์เฮยเหอ…
บนถนนมีภูตน้อยตนหนึ่งที่พอจะจำแลงร่างเป็นมนุษย์ได้อย่างถูไถปรากฏตัว มันสะพายตะกร้าไม้ไผ่ใบใหญ่ ด้านในมีแต่ยาสมุนไพรและหินดินประหลาดที่อยู่ในหุบเขาผีร้าย เอามาที่นี่เพื่อแลกเงิน แล้วค่อยเอาไปซื้อหนังสือ!
มันมาจากตำหนักหยางฉางของเซียนใหญ่จัวเยา ทุกวันนี้สำนักพีหมาไม่ห้ามการเข้าออกของพวกภูตในหุบเขาผีร้ายแล้ว แค่ต้องแขวนป้ายที่คล้ายการ ‘ขานชื่อ’ ก็พอ เพราะชื่อนี้จะถูกจดเอาไว้ในบันทึก
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ยืนอยู่ตรงหน้าร้าน บนถนนที่ผู้คนสัญจรกันแออัดเขาก็ยังมองเห็นภูตน้อยจากตำหนักหยางฉางตนนั้นได้ในปราดเดียว ใช้เสียงในใจเอ่ยเรียกหนึ่งคำพลางโบกมือทักทาย
ภูตหนูตัวน้อยวิ่งตะบึงมาตลอดทาง ยังคงผอมราวกับลำต้นไผ่ มันเอ่ยด้วยท่าทางปิติยินดีถึงขีดสุด “นายท่านเซียนกระบี่?!”
เฉินผิงอันยิ้มพลางพยักหน้ารับ “ไม่ได้เจอกันนาน มาซื้อหนังสือหรือ?”
มันพยักหน้า “ก็ใช่น่ะสิ เพียงแต่ว่าราคาไม่ถูกเอาเสียเลย”
ไม่กล้าเดินไปไกลนัก
ในตลาดด่านไน่เหอที่มีเทพเซียนรวมตัวกันแห่งนี้ เดิมทีก็ไม่ใช่สถานที่สำหรับขายหนังสือซื้อหนังสืออยู่แล้ว
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “รอให้วันหน้าโลกสงบสุขกว่านี้อีกสักหน่อย เจ้าก็สามารถเดินเลียบริมลำคลองเหยาเย่ขึ้นไปทางเหนือ ซื้อหนังสือจากตลาดในเมืองพวกนั้นจะราคาถูกมาก”
เขาก้มตัวลงไปหยิบดูของในตะกร้าของภูตหนูน้อย ยิ้มถามว่า “ขายได้เงินเท่าไร?”
ข้าวของด้านในมีขนาดเล็กใหญ่ต่างกัน วางไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะสามารถใส่ของได้มากขึ้น
ก็เหมือนอย่างตอนเด็กที่เฉินผิงอันช่วยไปเก็บใบหม่อนให้คนอื่น ก็จะวางทับซ้อนกันเป็นชั้นๆ ตะกร้าใบหนึ่งก็เหมือนว่าสามารถบรรจุใบหม่อนได้เป็นร้อยเป็นพันจิน
พอพูดถึงเรื่องนี้มันก็อารมณ์ดีทันใด “ตอบนายท่านเซียนกระบี่ เมื่อหลายปีก่อนช่วงที่ขายดีที่สุดก็ขายได้ตั้งสองสามเหรียญเงินเกล็ดหิมะเชียวนะ! เถ้าแก่ใจดี บางครั้งยังมอบเศษเงินเหรียญมาให้ด้วย”
ทุกๆ สามเดือนห้าเดือน มันจะมาที่ตลาดสักครั้ง ทุกวันนี้ค้าขายไม่ค่อยดี จึงขายได้แค่หนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะเท่านั้น
ถึงอย่างไรเถ้าแก่ร้านว่าอย่างไรก็ว่าตามนั้น มันก็ต่อราคาไม่เป็นเสียด้วย อีกอย่างก็ไม่คิดจะต่อราคาด้วย
เฉินผิงอันนวดคลึงหว่างคิ้ว เอ่ยอย่างขันๆ ปนฉุน “ร้านไหนที่รับของของเจ้าไป มโนธรรมในใจของเถ้าแก่ถูกหมากินไปแล้วหรือไร? กล้าทำการค้าเช่นนี้ ไม่กลัวว่าวันใดเดินทางตอนกลางคืนแล้วจะถูกคนเอาถุงป่านครอบหัวซ้อมเอาหรือ?”
ด้านในหุบเขาผีร้ายมีปราณหยางเข้มข้น วัตถุดิบทั้งหลายถูกปราณหยางอาบไล้อยู่นานนับร้อยนับพันปี ประหนึ่งการหล่อหลอมวัตถุด้วยวิธีการที่โง่ที่สุดของผู้ฝึกตน ข้าวของเต็มตะกร้าใบใหญ่ขนาดนี้ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ไม่ควรขายได้สองสามเหรียญเงินเกล็ดหิมะเท่านั้น คาดว่าคงเพราะรู้สึกว่าภูตหนูน้อยซื่อเกินไป หลอกลวงได้ง่ายกระมัง
ด้านในหุบเขาผีร้าย หากไม่พูดถึงนครน้อยใหญ่ที่เหมือนแยกตัวไปตั้งตนเป็นอิสระ ตำหนักหยางฉางในอดีต ภูเขาจีเซียว และตำหนักกว่างหานของปี้สู่เหนียงเนียง สถานที่เหล่านี้ล้วนถือเป็นสถานที่ของวีรบุรุษ ยึดภูเขาตั้งตนเป็นราชา ครอบครองน้ำบุกเบิกจวน ดังนั้นภูตหนูน้อยอาศัยสถานะของจวนหยางฉาง หลายปีมานี้จึงสามารถไปเยือนสถานที่ต่างๆ มาได้ไม่น้อย หากพอจะมีหัวคิดในการทำการค้าบ้าง ไม่แน่ว่าอาจจะสะสมทรัพย์สมบัติได้เป็นเงินร้อนน้อยหลายเหรียญแล้ว
มันยิ้มเอ่ย “นายท่านเซียนกระบี่ ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรข้าก็แค่เปลืองแรงเล็กน้อยเท่านั้น วิ่งไปแค่ไม่กี่ก้าวก็สามารถหาเงินได้แล้ว ไม่ได้ต้องการอะไรมากกว่านี้ เวลาปกติตอนอยู่ในบ้านก็ไม่มีค่าใช้จ่ายอะไร”
เฉินผิงอันยิ้มพยักหน้า “คิดแบบนี้ได้ก็ดีมากเลย”
มันกดเสียงลงต่ำถามว่า “นายท่านเซียนกระบี่ ทุกวันนี้ท่านคือเซียนกระบี่อย่างสมชื่อแล้วหรือยัง?”
เฉินผิงอันยิ้มตาหยี พยักหน้ารับ “นับว่าพอใช้ได้”
มันจึงพูดทันทีว่า “ถ้าอย่างนั้นรอข้าเดี๋ยวนะ ขายของได้เงินมาแล้ว ข้าจะไปซื้อของขวัญแสดงความยินดีให้กับนายท่านเซียนกระบี่”
เฉินผิงอันโบกมือ “ไม่ต้องหรอก”
เฉินผิงอันเลือกหาหนังสือสภาพสมบูรณ์หายากหลายเล่มจากในวัตถุจื่อชื่อเอามามอบให้กับภูตตัวน้อย “มอบให้เจ้าแล้ว”
ภูตน้อยรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย นี่เป็นหนังสือที่นายท่านเซียนกระบี่มอบให้เชียวนะ หากเวลานี้ไม่รับเอาไว้ กลับไปถึงบ้านแล้วต้องเสียใจจนไส้เขียวแน่
ดังนั้นมันจึงไม่เกรงใจอีกต่อไป รีบยกสองมือขึ้นมาเช็ดมือกับเสื้อผ้าบนร่างแรงๆ ก่อน แล้วค่อยใช้สองมือรับหนังสือเหล่านั้นมา
พวกเผยเฉียนยังเลือกของกันต่อ หนิงเหยามายืนอยู่หน้าประตู มองใบหน้าด้านข้างของเฉินผิงอัน สีหน้าของเขาอ่อนโยนเหมือนเหล้าหมักข้าวเหนียวกาหนึ่งของบ้านเกิด
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ข้ามีคำแนะนำอย่างหนึ่ง อยากฟังหรือไม่?”
ภูตน้อยที่สะพายตะกร้าใบใหญ่รีบยืนตัวตรง ยืดอกตั้งทันใด “นายท่านเซียนกระบี่เชิญเปิดปากทองคำได้เลย!”
คนบนถนนได้ยินคำเรียกขานว่า ‘เซียนกระบี่’ ก็มีคนไม่น้อยหันมามองด้วยสายตาสงสัยใคร่รู้ทันใด ในบรรดานั้นมีกลุ่มคนดุดันมือเท้าใหญ่โตอยู่กลุ่มหนึ่งที่สายตาไม่เป็นมิตร มารดามันเถอะ เจ้าหน้าขาวผู้นี้ สวมชุดสีเขียวสวมรองเท้าผ้า สะพายกระบี่เล่มหนึ่งก็คิดว่าตัวเองคือเซียนกระบี่บนภูเขาจริงๆ แล้วรึ? ทำไมเจ้าแม่งไม่ชื่อหลิวจิ่งหลง หลิ่วจื้อชิงไปด้วยเลยเล่า? ดูแล้วเนื้อนุ่มอ่อนบาง แค่ลมพัดก็ปลิวแล้ว สีหน้ายังซีดขาวน้อยๆ เป็นพวกขี้โรคคนหนึ่ง? ถ้าอย่างนั้นก็มาประลองฝีมือกันดีไหมเล่า?
เฉินผิงอันเหลือบตามองไป “มองอะไร?”
ชายฉกรรจ์ร่างกำยำคนหนึ่งในนั้นหลุดหัวเราะพรืด “บิดาเจ้าจะมองอะไร เจ้ามายุ่งอะไรด้วย?”
พริบตานั้นตรงหว่างคิ้วก็รู้สึกเย็นวาบน้อยๆ
ชายฉกรรจ์เห็นเพียงกระบี่บินเล่มหนึ่งที่หยุดลอยอยู่ตรงหน้าก็รีบกุมหมัดเอ่ยทันทีว่า “ท่านพ่อ! ลูกไปแล้ว”
ผู้ฝึกยุทธกลุ่มใหญ่ก้าวเดินจากไปเร็วๆ เหมือนดาวตก
เก็บกระบี่จำลองของภูเขาชังกระบี่เล่มนั้นมา เฉินผิงอันก็หันมายิ้มเอ่ยกับภูตน้อยต่อว่า “วันหน้าเมื่อเจ้าเก็บของมาได้เต็มตะกร้าแล้ว สามารถไปที่เมืองชิงหลูก่อนได้ ข้าจะช่วยแนะนำคนให้เจ้า หากไม่ชื่อตู้เหวินซือก็ชื่อหยางหลิน ล้วนเป็นสหายของข้า เจ้าทำการค้ากับพวกเขาคนใดคนหนึ่ง ขายของครึ่งตะกร้าไปแล้ว ที่เหลืออีกครึ่งตะกร้าก็เอามาที่นี่ ยืนกรานขายแค่ราคาเดียว หนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะ”
ภูตหนูน้อยลังเลตัดสินใจไม่ได้ รู้สึกลำบากใจอย่างถึงที่สุด ใช้นิ้วเช็ดกับชายแขนเสื้อ สุดท้ายปลุกความกล้าให้ตัวเอง เอ่ยว่า “นายท่านเซียนกระบี่ ช่างเถิดนะ ฟังแล้วเหมือนจะยุ่งยากอย่างมาก”
ไม่อาจอธิบายเป็นเหตุผลอะไรได้ ก็แค่ไม่ค่อยยินยอมจะทำเช่นนี้ เพียงแต่ก็รู้อีกว่านายท่านเซียนกระบี่หวังดีกับตน ยิ่งคิดจึงยิ่งละอายใจ
เฉินผิงอันคล้ายจะไม่แปลกใจกับผลลัพธ์ที่เป็นเช่นนี้ เขาหัวเราะแล้วพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นก็ทำตามเดิม?”
“ตกลง!”
ในอดีตก็เคยมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ปฏิเสธอาจารย์ผู้เฒ่าที่ชอบดื่มเหล้าไปอย่างละมุนละม่อม ตอนนั้นจึงไม่ได้เป็นอาจารย์และศิษย์กัน
ถ้าเช่นนั้นวันนี้มีเจ้าตัวน้อยคนหนึ่งปฏิเสธความหวังดีของเซียนกระบี่ท่านหนึ่ง แล้วจะอย่างไรเล่า? ไม่อย่างไร ดีมากเลยล่ะ
เฉินผิงอันถาม “รู้หรือไม่ว่าการอ่านหนังสือกลัวอะไรมากที่สุด?”
มันส่ายหน้า ตนอ่านตำรามาแค่ไม่กี่เล่ม ไม่รู้ปัญหายากๆ เช่นนี้หรอก
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “กลัวว่าจะอ่านตำรามาก”
มันยิ่งมึนงงเข้าไปใหญ่
เฉินผิงอันจึงอธิบายว่า “หนังสือเมื่ออ่านมากเข้า ก็ยากที่จะอ่านได้อย่างตั้งใจเหมือนตอนที่ข้างมือมีหนังสืออยู่แค่ไม่กี่เล่ม อีกอย่างก็คือเมื่ออ่านหนังสือมากเข้า เข้าใจหลักการเหตุผลมากขึ้น ก็ง่ายที่หลักการเหตุผลจะตีกับหลักการเหตุผล กลับกลายเป็นว่าไร้หลักการไร้เหตุผลที่สุด ดังนั้นวันหน้ายามที่เจ้าอ่านหนังสือก็สามารถคิดสองเรื่องนี้ให้มากๆ ได้”
มันเอ่ยว่า “นายท่านเซียนกระบี่ ข้าไม่เข้าใจ!”
เฉินผิงอันหัวเราะ ตบไหล่ของมันเบาๆ “ไม่กลัวว่าจะไม่เข้าใจ กลัวแค่ว่าจะไม่คิดให้มาก เรื่องที่ควร ‘ยืมเงินไม่คืน’ มากที่สุดในใต้หล้านี้ก็คือการอ่านหนังสือ ความรู้ไม่อาจคืนไปให้เหล่าอริยะปราชญ์ได้ทั้งหมด ไปซื้อหนังสือเถอะ ข้าคงไม่ไปกับเจ้าแล้ว วันหน้าเจอกับด่านยากอะไร รู้สึกว่าตัวเองไม่อาจข้ามผ่านมันไปได้แล้วก็ไปที่เมืองชิงหลู ไปหาผู้ฝึกตนของสำนักพีหมา บอกว่าเจ้ารู้จักเฉินผิงอัน พวกเราเป็นเพื่อนรักกัน”
มันเกาหัว “พวกเทพเซียนพวกนั้นจะเชื่อได้อย่างไร”
เฉินผิงอันตอบ “ต้องเชื่อแน่”
มันพยักหน้ารับอย่างแรง “จำไว้แล้ว”
ภูตน้อยแบกตะกร้าใบใหญ่ก้าวถอยหลังจากไป โบกมืออำลานายท่านเซียนกระบี่ที่สอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อมองมาทางตน
เพียงแต่ผ่านไปไม่นานเท่าไรมันก็วิ่งตะบึงกลับมาหาพวกเฉินผิงอัน ในตะกร้าว่างเปล่าแล้ว ด้านในมีของที่ไม่สะดุดตาเพิ่มมาชิ้นหนึ่ง คือแท่นฝนหมึกอันเล็กสีเหลืองแวววาว พอจะถือว่าเป็นของบนภูเขาได้
แกะสลักคำว่า ‘เข้าใจหลักการแจ่มชัด ก้าวเดินอย่างมั่นคง’
เฉินผิงอันรับของขวัญแสดงความยินดีชิ้นนี้เอาไว้ ยิ้มถามว่า “จ่ายเงินไปเท่าไร?”
มันเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก คลี่ยิ้มสดใส “ตอบนายท่านเซียนกระบี่ หนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะพอดี”
เฉินผิงอันเข้าใจได้ทันที เจ้าตัวน้อยต้องเชื่อเงินจากเถ้าแก่ใจดำแน่นอน เพียงแค่ไม่ได้เอ่ยอะไร ทั้งสองฝ่ายโบกมือลากัน
หนิงเหยายิ่งสงสัยใคร่รู้มากกว่าเดิม
ก่อนหน้านี้ตีกับเฉาสือไปรอบหนึ่ง ดูภาพแม่น้ำแห่งกาลเวลาที่เฉินผิงอันไม่ได้บอกเล่ารายละเอียดบนเรือราตรี จากนั้นวันนี้มาที่ตลาดแล้วพบเจอกับภูตน้อยตนนี้ ดูเหมือนว่าทั้งร่างกายและจิตใจของเฉินผิงอันจะผ่อนคลายกว่าเดิมเยอะมาก เพียงแต่ว่าจิตใจ ปณิธานกระบี่ ปณิธานหมัด จิงชี่เสินของทั้งร่างกลับเพิ่มทะยานขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เฉินผิงอันเอ่ยกับหนิงเหยาว่า “ข้าจะไปที่หุบเขาผีร้ายคนเดียว ไปยังสถานที่ที่อยู่ใกล้มาก ไม่นานก็กลับมา พวกเจ้าไม่ต้องตามไปแล้ว ค่าผ่านทางที่ซุ้มประตูทางเข้าของหุบเขาผีร้ายแพงจนเหมือนหลอกให้คนจ่ายเงินเลยล่ะ”
หนิงเหยาไม่ได้คิดอะไรมาก อย่างมากก็แค่พาพวกเผยเฉียนเดินเล่นไปตามร้านต่างๆ อีกรอบ ก่อนหน้านี้มีของสองสามชิ้นที่ถูกใจ จะซื้อหรือไม่ซื้อก็ได้ ก็ไม่สู้ซื้อมาด้วยกันเสียเลย
เฉินผิงอันเกิดอยากไปสถานที่หนึ่งกะทันหัน ไม่ไกลมาก เพียงแต่ต้องผ่านสันเขาอีกา ทว่ายังอยู่ไกลเกินกว่าจะไปถึงเมืองชิงหลู
คือหน้าผาแห่งหนึ่งที่มีสะพานโซ่เหล็กปูเต็มไปด้วยแผ่นไม้ คนธรรมดาก็สามารถเดินผ่านไปได้ไม่ยาก
คราวก่อนเฉินผิงอันผ่านทางมาทางนี้ มันยังเป็นสะพานเหล็กที่ผุพัง ปลิวไสวไปตามลม มีงูเหลือมใหญ่สีดำมะเมื่อมขดตัวอยู่ และยังมีภูตที่มีศีรษะเป็นสตรีกำลังถักไยแมงมุม คอยดักจับพวกนกที่บินผ่านไปมาระหว่างภูเขา
หลังจากสถานการณ์ในหุบเขาผีร้ายเกิดการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกฟ้าพลิกดิน พวกมันก็หันไปสวามิภักดิ์ต่อนครฟูนี่ทันที
จากนั้นก็ถือว่าได้รับยันต์คุ้มกันกายมาแล้วแผ่นหนึ่ง พวกมันจึงปลูกกระท่อมขึ้นที่ด้านหนึ่งของสะพานแขวน ถือว่าได้แบ่งอาณาเขตให้เป็นพื้นที่ฝึกตนอย่างข้นแค้นขึ้นมา
เฉินผิงอันเคยมาพักค้างคืนอยู่ที่นี่
ตอนนั้นอยู่ว่างไม่มีอะไรทำก็มีภูตในภูเขาสองตนเดินเลียบสะพานแขวนอย่างขลาดๆ มาหาเฉินผิงอัน
พวกมันจะไม่กลัวก็ไม่ได้ ตอนนั้นบนพื้นยังมีบัณฑิตชุดดำสลบเหมือดนอนอยู่ด้วย จากนั้นคนผู้นั้นก็ถอดชุดคลุมอาคมบนร่างของอีกฝ่ายออก แล้วยังได้ยันต์มาอีกหลายแผ่น ส่องประกายแสงเรืองรอง คนโง่ก็ยังมองออกว่ายันต์พวกนั้นมีมูลค่าควรเมือง
ปีนั้นก่อนที่จะหนีเอาชีวิตรอด พี่ชายคนดีกับพี่มู่เม่าแค่พบเจอกันก็เหมือนรู้จักกันมานาน ถูกชะตากันอย่างมาก พี่น้องร่วมใจ ช่วยกันเก็บเงินจากทั่วสารทิศ
เฉินผิงอันปรากฏตัวที่ริมหน้าผา เพียงไม่นานตรงกระท่อมก็มีคนสองคนเดินออกมา คนหนึ่งในนั้นคือชายฉกรรจ์ชุดดำ กล้ามเนื้อบนร่างแน่นปูดเป็นก้อนๆ มีกลิ่นอายของความองอาจห้าวหาญ สตรีสวมชุดสีชาด หน้าตางามเย้ายวน ต่างก็มีขอบเขตถ้ำสถิตกันทั้งคู่ พอจะฝืนแปลงร่างเป็นคนได้ ใบหน้า มือเท้าและผิวพรรณของพวกมัน อันที่จริงยังมีรายละเอียดอีกไม่น้อยที่เปิดเผยรากฐานที่แท้จริง
ตอนนั้นเกาเฉิงแห่งนครจิงกวานไปจากหุบเขาผีร้าย จากไปอย่างลี้ลับยิ่ง ราวกับว่าได้สลายโชคชะตาของทั้งร่างทิ้งไป สิ่งมีชีวิตในพื้นที่ต่างก็ได้รับน้ำฝนชุ่มชื้นกันถ้วนหน้า เพียงแต่ว่าโชควาสนามีมากหรือน้อยล้วนขึ้นอยู่กับดวงใครดวงมัน แม้แต่ฟ่านอวิ๋นหลัวก็ยังประหลาดใจ ภูตสะพานแขวนสองตนที่เดิมทีตบะตื้นเขิน โชควาสนาธรรมดานี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นคนกลุ่มน้อยที่โชคดีท่ามกลาง ‘ขุนเขาสายน้ำเปลี่ยนสี’ ในครั้งนั้น ถึงกับฝ่าทะลุขอบเขตกันทั้งคู่ แล้วก็ได้จับมือกันเลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลาง
คนทั้งสองทะยานร่างผ่านสะพานมาหยุดอยู่ตรงหน้าเฉินผิงอัน แล้วพากันหมอบกราบก้มหัวไม่ยอมลุกขึ้นมา
“เฉียวฟูคารวะผู้มีพระคุณ”
“เจวี้ยนซิ่วคารวะผู้มีพระคุณ”
เฉินผิงอันไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ส่ายหน้าเอ่ยว่า “คืนนั้นก็แค่พูดคุยเรื่องการฝึกตนไปแค่ไม่กี่ประโยค ไม่คู่ควรกับคำว่าผู้มีพระคุณอะไรหรอก วันหน้าตั้งใจฝึกตนให้ดี ถือเสียว่าเป็นการตอบแทนบุญคุณที่ฟ้าดินเลี้ยงดูมา”
รอกระทั่งภูตทั้งสองลุกขึ้นยืนก็มองไม่เห็นเงาร่างของเซียนกระบี่ชุดเขียวอีกแล้ว
กลับไปถึงหน้าซุ้มประตูของตลาด เฉินผิงอันพบว่าหนิงเหยาอ่าน ‘รวมเล่มวางใจ’ เล่มนั้นอยู่ตลอดเวลา นางเพิ่งจะอ่านจบจึงปิดหน้าหนังสือลง
คำถามแรกของนางก็คือ “ทางไปเมืองชิงหลู บริเวณใกล้เคียงมีนครฟูนี่อยู่ใช่หรือไม่?”
ใน ‘รวมเล่มวางใจ’ เขียนเอาไว้ อันที่จริงในบันทึกขุนเขาสายน้ำเล่มที่เฉินผิงอันมอบให้หนิงเหยาในปีนั้นก็มีบันทึกเอาไว้ เพียงแต่ว่ามรสุมไม่ใหญ่มากเฉินผิงอันจึงเขียนไว้ลวกๆ แค่ไม่กี่ประโยคเท่านั้น
——