กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 810.3 ฝีเท้า
เฉินผิงอันเห็นว่าหนิงเหยาเก็บมาใส่ใจแล้ว ถ้าอย่างนั้นเขาก็ไม่วางใจแล้ว
ดังนั้นจึงเล่าประสบการณ์การท่องเที่ยวหุบเขาผีร้ายในปีนั้นให้นางฟังคร่าวๆ ตอนที่อยู่สันเขาอีกาได้เจอกับผีสาวชุดขาวหนึ่งในสี่ภูตผีใหญ่แห่งนครฟูนี่ ถูกฟ่านอวิ๋นหลัวเจ้านครเรียกขานว่า ‘ป๋ายอ้ายชิง’ ผีหญิงผู้นั้นแต่งหน้ากึ่งหนึ่ง ดูเหมือนว่าตอนมีชีวิตอยู่จะเป็นอนุภรรยาของแม่ทัพบู๊คนหนึ่ง จากนั้นต่อมานางกับฟ่านอวิ๋นหลัวที่แต่งตั้งตำแหน่ง ‘แยนจือโหว’ ให้กับตัวเองอยู่ในหุบเขาผีร้าย วิญญาณวีรบุรุษที่ตอนมีชีวิตอยู่คือองค์หญิงผู้สิ้นแคว้นคนนี้ ตอนนั้นได้นั่งราชรถที่ประดับประดาไปด้วยอัญมณีส่องแสงแวววาว สวมมงกฎหงส์ผ้าคลุมไหล่ แต่กลับอยู่ในรูปลักษณ์ของเด็กหญิง สรุปก็คือทั้งสองฝ่ายลงมือต่อกันอย่างดุเดือด ต่างฝ่ายต่างไม่สบอารมณ์ ถือว่าได้ผูกปมแค้นต่อกันไว้แล้ว
หากไม่เป็นเพราะมือกระบี่ผูหร่าง เฉินผิงอันก็สามารถไล่ฆ่าไปถึงนครฟูนี่ เอาให้พินาศวอดวายกันไปข้าง
หนิงเหยาฟังถ้อยคำของเฉินผิงอันแล้วพลันถามว่า “เรื่องราวขุนเขาสายน้ำที่ตื่นตาตื่นใจถึงเพียงนี้ ทำไมไม่จดบันทึกให้มากหน่อยเล่า?”
เฉินผิงอันถาม “ตื่นตาตื่นใจหรือ?”
เด็กชายผมขาวเอ่ย “บรรพบุรุษอิ่นกวานบอกว่าตื่นตาตื่นใจก็ตื่นตาตื่นใจ ไม่ตื่นตาตื่นใจก็ไม่ตื่นตาตื่นใจ บรรพบุรุษอิ่นกวานสรุปแล้วท่านรู้สึกว่าตื่นตาตื่นใจหรือไม่?”
เผยเฉียนกะพริบตาปริบๆ ไม่เอ่ยอะไร
หมี่ลี่น้อยกลับเข้าข้างคนนอกด้วยการพยักหน้ารับอย่างแรง “ตื่นตาตื่นใจจนไร้ขื่อไร้แป สุดจิตสุดใจ มากมายหลายหลากเลยนะ”
เฮ้อ เจ้าขุนเขาคนดีผู้นี้ อุตส่าห์ฉลาดมาตลอดแต่ดันมาเลอะเลือนเอาน้ำตื้นเสียได้ ไม่รู้จักแยกแยะให้ชัดเจน หากตอนนี้ข้าช่วยเจ้า วันหน้าอยู่กันเป็นการส่วนตัวกับพี่หญิงหนิงข้าจะช่วยเจ้าอย่างไร? ถึงเวลานั้นหากพูดจาทวงความเป็นธรรมก็ย่อมไม่น่าเชื่อถือแล้ว
เฉินผิงอันฟังความเห็นของทุกคนจบแล้วก็ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นวันหน้าหากมีเรื่องราวแบบนี้อีก ข้าจะเขียนให้มากหน่อย จะไม่ขี้เหนียวน้ำหมึกอีก”
คนทั้งกลุ่มออกมาจากชายหาดโครงกระดูก ทะยานลมไปยังนครสุยเจี้ยแคว้นอิ๋นผิง
ระหว่างทางได้ผ่านภูเขาแสงจันทร์และยอดเขาแสงทอง ดูเหมือนว่าภูตสองตนกลางภูเขาจะได้รับโชควาสนายิ่งใหญ่จึงติดตามไปฝึกตนอยู่ข้างกายหลี่ซีเซิ่งนานหลายปีแล้ว
คราวก่อนเผยเฉียนกับหลี่ไหวและภูตจิ้งจอกเหวยไท่เจินเดินทางขึ้นเหนือมาด้วยกัน ระหว่างนั้นยังตั้งใจไปหาตู้อวี๋แห่งตำหนักขวานผีเป็นพิเศษ เพียงแต่ว่าตอนนั้นผู้อาวุโสตู้ที่ ‘ยอมให้สามกระบวนท่า’ ซึ่งเผยเฉียนเคารพเลื่อมใสอย่างมากไม่ได้อยู่บนภูเขา ครั้งนี้เฉินผิงอันก็ไม่ได้คิดจะไปตำหนักขวานผี ด้วยนิสัยของตู้อวี๋นั้นต้องยังชอบคลุกคลีอยู่ในยุทธภพ ทนอยู่บนภูเขาไม่ไหวอย่างแน่นอน
ที่นครสุยเจี้ย ในศาลเทพอัคคีมีควันธูปโชติช่วง
ศาลเทพอภิบาลเมืองที่อยู่ทางทิศเหนือของเมืองได้เปลี่ยนเทพอภิบาลเมืองคนใหม่แล้ว
ชายฉกรรจ์เคราดกที่อยู่ในศาลเทพอัคคีเดินก้าวหนึ่งออกมาจากเทวรูปร่างทองลงสี รูปโฉมยังคงเดิม เวลายี่สิบปี สำหรับสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำที่อายุขัยยืนยาวแล้วก็เป็นเวลาเพียงแค่ชั่วดีดนิ้วมือจริงๆ
เฉินผิงอันดื่มเหล้ากับชายฉกรรจ์เคราดก ได้ยินมาว่าควันธูปของศาลเซียนน้ำเจ้าแห่งคูคลองอย่างเถียวซีและเสาซีก็ดีขึ้นไม่น้อย ส่วนเหนียงเนียงเจ้าแห่งคูน้ำเสาซีได้เปลี่ยนสตรีวิญญาณวีรบุรุษตนใหม่ พูดถึงนาง แม้แต่ชายฉกรรจ์เคราดกก็ยังรู้สึกว่าไม่เลว มีนางมารับหน้าที่เป็นเจ้าแห่งคูน้ำคนใหม่ก็ถือว่าเป็นความโชคดีของชาวบ้านในพื้นที่ ฟังเรื่องพวกนี้แล้วเฉินผิงอันก็ไม่คิดจะไปดูเก้าอี้มังกรตัวใหม่ของอินโหวที่จวนวารีทะเลสาบชางอวิ๋นแล้ว
ช่วงสุดท้ายของการร่ำสุรา สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งศาลเทพอัคคีท่านนี้ก็ใช้เสียงในใจยิ้มกล่าว “เซียนกระบี่เฉิน สายตาในการหาภรรยาไม่เลวเลยนี่นา คนหน้าตางดงาม ไม่พูดมาก แล้วยังรู้มารยาท เพียบพร้อมด้วยคุณธรรมอย่างยิ่ง”
ใบหน้าเฉินผิงอันเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ตัวเองดื่มหมดไปแล้วชามใหญ่ ใช้เสียงในใจตอบว่า “ที่ไหนกัน ที่ไหนกัน ออกมาอยู่ข้างนอก ถึงอย่างไรข้าก็เป็นประมุขของครอบครัว นายหญิงอยู่ในนายผู้ชายอยู่นอกอย่างไรล่ะ”
ดื่มจนเริ่มเมากรึ่มๆ กำลังดี
ทะยานลมออกจากนครสุยเจี้ยไปด้วยกัน เฉินผิงอันรีบสลายกลิ่นสุราทิ้งทันที
หนิงเหยายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ข้าไม่ได้ดื่มสุราคารวะอะไรเขาด้วยซ้ำ นี่ก็เรียกว่ารู้มารยาทด้วยหรือ?”
เฉินผิงอันแกล้งทำเป็นหูหนวกเป็นใบ้
มาถึงทะเลสาบคนใบ้หุบเขาลมเหลืองของแคว้นเป่าเซียง พอพลิ้วกายลงพื้น เผยเฉียนก็ยิ้มเอ่ย “เป็นทะเลสาบที่ใหญ่ถึงเพียงนี้เชียวหรือ?”
โจวหมี่ลี่กระโดดโลดเต้นพลางยิ้มกว้างไปด้วย ถึงอย่างไรแม่นางน้อยก็คิดถึงบ้านเกิดอย่างสถานที่แห่งนี้ พอได้ยินเผยเฉียนพูดถึงทะเลสาบคนใบ้เช่นนี้ หมี่ลี่น้อยก็อารมณ์ดียิ่งนัก
แต่อันที่จริงเผยเฉียนเคยมาเยือนที่แห่งนี้แล้ว
เด็กชายผมขาวกลอกตามองบน หากเป็นคำพูดที่ผิดต่อมโนธรรมในใจ ตนไม่เคยพูดออกมาจากปากหรอกนะ อายจะแย่
อยู่ดีๆ ก็สังเกตเห็นว่าบรรพบุรุษอิ่นกวานเหล่ตามองมาที่ตน
เด็กชายผมขาวจึงรีบตบศีรษะของเจ้าฟักแคระข้างกาย ยิ้มบางๆ เอ่ยทันทีว่า “หมี่ลี่น้อยอ่า อาณาเขตกว้างใหญ่ขนาดนี้ ถ้าอย่างนั้นลูกน้องใต้อาณัติของเจ้าจะไม่มีกองทัพกุ้งหอยปูปลานับพันนับหมื่นเลยหรือ? อยู่ที่ไหนกัน รีบออกคำสั่งเรียกให้พวกนั้นออกมาเสียสิ ให้ข้าได้เปิดหูเปิดตาหน่อย ตกลงไว้ก่อนว่าหากทำให้ข้าตกใจ เจ้าต้องชดใช้เงินด้วยนะ”
หมี่ลี่น้อยเกาแก้ม เอ่ยอย่างเขินอายว่า “ไม่มีหรอกๆ ข้าท่องอยู่ในยุทธภพเพียงลำพังน่ะ”
เฉินผิงอันเดินอยู่ริมน้ำ อยู่ดีๆ ก็นึกถึงคนหนุ่มที่เป็นผู้คุมกันของปีนั้น
ทุกวันนี้อีกฝ่ายน่าจะมีอายุครึ่งร้อยแล้ว คนในยุทธภพ เวลายี่สิบกว่าปี ชาวยุทธหนุ่มในอดีต ไม่แน่ว่าอาจผมขาวโพลนไปหมดแล้วกระมัง
แสงจันทร์ใสสะอาด ริ้วน้ำกระเพื่อมแผ่เป็นระลอก ประหนึ่งสาดเงินเกล็ดหิมะเอาไว้จนเต็ม
เดินเล่นไปริมทะเลสาบด้วยกัน เฉินผิงอันกางแขนออก หมี่ลี่น้อยใช้สองมือเกาะแขนเขาห้อยตัวอยู่ด้านบน แกว่งเท้าไปมา หัวเราะร่าเสียงดังอย่างมีความสุข
เฉินผิงอันตั้งใจหยุดพักอยู่ที่นี่นานหน่อย จึงค้างคืนที่นี่ หมี่ลี่น้อยพาเด็กชายผมขาวไป ‘ท่องยุทธภพ’ ในทะเลสาบด้วยกัน เล่นสนุกอย่างมาก
แสงจันทร์จากดวงจันทร์ดวงเดียวกัน สาดส่องไปทั่วเก้าทวีป
สวนน้ำค้างวสันต์ เรือนจ้าวเย่
กว่าซ่งหลันเฉียวจะมีเวลาว่างได้ไม่ใช่เรื่องง่าย วันนี้จึงมาเยี่ยมเยือน มาดื่มเหล้ากับถังซี
สองพี่น้องร่วมทุกข์ร่วมยาก
คนหนึ่งไม่อาจพูดอะไรกับอาจารย์ได้ แค่พูดก็โดนด่า อธิบายเหตุผลอะไรไปอีกฝ่ายก็ไม่ฟัง
คนหนึ่งอยู่กับเจ้าสวนน้ำค้างวสันต์ก็พูดอะไรไม่ได้เหมือนกัน กลับไม่ถึงขั้นโดนด่า แต่ก็เรียกว่าเจอกับตะปูนิ่ม (เปรียบเปรยถึงการปฏิเสธอย่างละมุนละม่อม) เหมือนกัน
บวกกับพวกคนที่กระพือลมพัดไฟให้โหมแรง กลัวว่าใต้หล้าจะเกิดเรื่องวุ่นวายไม่มากพอ ก็ยิ่งทำให้คนเก่าแก่ในยุทธภพสองคนที่ทำการค้ามาจนเคยชิน คุ้นเคยกับเรื่องราวและผู้คนเป็นอย่างดีเหนื่อยใจเหลือเกิน
ดังนั้นช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมานี้ ผู้ฝึกตนสองคนที่ตำแหน่งที่นั่งค่อนไปทางด้านหลังในศาลบรรพจารย์สวนน้ำค้างวสันต์จึงมักจะมาดื่มเหล้าแก้กลุ้มด้วยกันอยู่เป็นประจำ
คนสองคนที่เดิมทีไม่มีมิตรภาพส่วนตัว ทุกๆ สามวันห้าวันที่ดื่มเหล้าหนึ่งจอกหนึ่งกาก็กลับกลายเป็นดื่มจนเกิดมิตรภาพที่ไม่เลว
ก่อนหน้านี้ไม่นานถังซีได้ข่าวลับมาข่าวหนึ่ง เจ้าขุนเขาหนุ่มของภูเขาลั่วพั่วที่เหมือนวัวปั้นดินจมหายไปในมหาสมุทร ข่าวคราวเงียบหายไปยี่สิบปี ในที่สุดก็หวนคืนกลับบ้านเกิดแล้ว
ไม่เพียงเท่านี้ ยังมีคำกล่าวที่น่าตะลึงพรึงเพริดยิ่งกว่า บอกว่าภูเขาลั่วพั่วได้เลื่อนขั้นเป็นสำนักอักษรจงแล้ว
แต่มีเพียงฝ่ายของสวนน้ำค้างวสันต์เท่านั้นที่ไม่มีใครได้รับเชิญให้เข้าร่วมงานพิธีการเลยแม้แต่คนเดียว
นี่เป็นความรู้สึกราวกับว่าลมฝนจะมาเยือน
ซ่งหลันเฉียวยกจอกเหล้าขึ้นสูดซูดหนึ่งที ยกขานั่งขัดสมาธิอยู่บนเก้าอี้ “เจ้ายังถือว่าไม่เลวแล้ว จะดีจะชั่วก็ยังได้ช่วยดูแลร้านผีฝู มีความสัมพันธ์ควันธูปดั่งธารเส้นเล็กไหลยาว เขาเป็นคนที่เห็นแก่มิตรภาพเก่าก่อน จะต้องไม่ทำอย่างไรกับเจ้าแน่”
ถังซีสีหน้ากลัดกลุ้ม “มีใครทำการค้าแบบนี้กันเล่า สถานการณ์หมากที่ดีๆ กระดานหนึ่ง การชิงลงมือก่อนที่งดงามถึงเพียงนั้น กลับถูกคนกันเองก่อกวนจนเละเทะ โทษคนอื่นไม่ได้หรอก กลุ้มจริง”
ซ่งหลันเฉียวกลอกตามองบน “เจ้าก็ไปพูดกับอาจารย์ของเจ้าสิ”
ถังซีเอ่ยอย่างขันๆ ปนฉุน “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ไปคุยกับบรรพจารย์สิ?”
ทั้งสองฝ่ายมองหน้าสบตากันแล้วก็หัวเราะเสียงดังลั่น ต่างฝ่ายต่างยกจอกเหล้า พยายามหาความบันเทิงในความขมขื่น
ซ่งหลันเฉียวเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “เจ้าสำนักที่อายุน้อยขนาดนี้ คาดว่าคราวหน้าที่พบเจอกัน ได้เจอกับเจ้าเด็กนั่น ข้าคงพูดจาไม่คล่องแคล่วอีกแล้ว”
ตลอดทั้งบนและล่างสวนน้ำค้างวสันต์บ้านตนวางแผนมากี่ปีแล้วเพื่อตัวอักษรจงนั้น? บรรพจารย์เจ้าขุนเขา ผู้ฝึกตนหญิงก่อกำเนิดถานหลิง เรียกได้ว่าทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจ แต่ก็ยังไม่อาจเลื่อนขั้นเป็นสำนักอักษรจงได้?
ถังซียิ้มกล่าว “ชีวิตของบุรุษแก่ๆ อย่างพวกเราผ่านพ้นไปแต่ละวันได้ก็ด้วยการดื่มเหล้าดับทุกข์นี่แหละ”
ซ่งหลันเฉียวหัวเราะฮ่าๆ ดังลั่น “ถ้าอย่างนั้นก็ชนกันอีกจอก”
ยามฟ้าสาง ทางฝั่งของทะเลสาบคนใบ้ คนทั้งกลุ่มออกเดินทางกันต่อ
ไปถึงหน้าประตูภูเขาของตำหนักจินอู เผยเฉียนบอกชื่อแซ่ตัวเอง ผู้ฝึกตนที่เฝ้าประตูไปรายงานเรื่องนี้อย่างรวดเร็ว บอกว่ามีแขกผู้มีเกียรติของบรรพจารย์อาไท่ซ่างมาเยือน จำเป็นต้องบอกให้ทางศาลบรรพจารย์และยอดเขาเซวี่ยเฉียวรู้สักคำ
ปีนั้นที่หลิ่วจื้อชิงรับรองแขกเป็นคนต่างถิ่นกลุ่มหนึ่ง คือเรื่องที่ไม่เล็กสำหรับตำหนักจินอู
เพราะถึงอย่างไรอาจารย์อาน้อยของเจ้าตำหนักท่านนี้ก็ขึ้นชื่อว่าไม่มีสหาย แทบไม่เคยไปมาหาสู่กับใคร
ฝ่ายในของตำหนักแค่เคยได้ยินมาว่าบรรพจารย์ที่ไม่ว่าจะลำดับอาวุโสหรือขอบเขตล้วนสูงที่สุดท่านนี้ ดูเหมือนว่าจะมีความสัมพันธ์ที่ดีเยี่ยมกับเจ้าสำนักคนใหม่ของสำนักกระบี่ไท่ฮุย
ก่อนหน้านี้บรรพจารย์ลงภูเขาไปอย่างที่หาได้ยาก ก็ไปอยู่กับเซียนกระบี่เจ้าสำนักท่านนั้น ออกกระบี่หลายครั้ง ทุกครั้งล้วนอำมหิตดุดัน
นอกจากนี้อยู่ที่หน้าผาอวี้อิ๋งของสวนน้ำค้างวสันต์ได้ผูกมิตรกับเซียนกระบี่หนุ่มคนหนึ่งที่เดินทางท่องไปทั่วสารทิศ รู้แค่ว่าแซ่เฉิน
เผยเฉียนกุมหมัดคารวะอย่างนอบน้อม เอ่ยเรียกคำหนึ่งว่าอาจารย์หลิ่ว
คราวก่อนที่แวะมาเยือนตำหนักจินอู หลิ่วจื้อชิงเหมือนอาจาร์สอนหนังสือคนหนึ่ง ทั้งยังเหมือนผู้ใหญ่ในตระกูลครึ่งตัวที่ตรวจสอบการคัดหนังสือของเผยเฉียนอย่างละเอียด สุดท้ายเอ่ยประโยคหนึ่งว่า ตัวอักษรของเจ้าเขียนได้ดีกว่าอาจารย์พ่อของเจ้าอยู่บ้าง
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ยแนะนำ “หนิงเหยา”
หลิ่วจื้อชิงประหลาดใจอย่างมาก แต่ก็เก็บอารมณ์ได้อย่างรวดเร็ว ใช้ฝ่ามือข้างเดียวทำมุทรากระบี่คารวะ เอ่ยเสียงทุ้มหนักว่า “หลิ่วจื้อชิงแห่งตำหนักจินอูคารวะเซียนกระบี่หนิง”
หนิงเหยากุมหมัดคารวะกลับคืน “คารวะอาจารย์หลิ่ว”
หากเรียกว่าเซียนกระบี่หลิ่ว ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยเหมาะสักเท่าไร
ไม่พูดถึงขนบธรรมเนียมของกำแพงเมืองปราณกระบี่ พูดถึงแค่ตัวของหนิงเหยาเองที่เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานคนหนึ่ง หากยังเรียกผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดว่า ‘เซียนกระบี่’ คาดว่าทั้งสองฝ่ายอาจรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองกันทั้งคู่
เฉินผิงอันส่ายหน้า นินทาในใจไม่หยุด ไอ้หมอนี่สู้ตนไม่ได้เอาเสียเลย
ตอนที่ตนอยู่ร้านตีเหล็กริมลำคลองหลงซวี อยู่ข้างกายหลิวเสี้ยนหยาง พบเจอเซอเยว่ ได้เรียกอีกฝ่ายว่าอะไร?
ถ้าอย่างนั้นเจ้าหลิ่วจื้อชิงเจอหนิงเหยาก็ไม่รู้จักเรียกว่าน้องสะใภ้สักคำเลยหรือ? อุตส่าห์ยกลำดับอาวุโสให้เจ้าเปล่าๆ ไม่รู้จักรับไว้บ้างเลย
หลิ่วจื้อชิงมองไปทางเด็กชายผมขาว
เฉินผิงอันใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “ไม่เหมาะจะพูดอะไรมาก”
หลิ่วจื้อชิงเข้าใจได้ทันทีจึงพยักหน้ารับแล้วไม่ถามให้มากความอีก
เทวบุตรมารนอกโลกขอบเขตบินทะยาน ชื่อจริงของนางคือเทียนหรัน มาจากใต้หล้ามืดสลัว เป็นคู่รักของอู๋ซวงเจี้ยงแห่งตำหนักสุ้ยฉู เป็นสิ่งที่เขาใช้ผสานมรรคาขอบเขตสิบสี่ด้วย…
คำกล่าวไหนที่ไม่ใช่ข้อห้ามอันดับหนึ่งของบนภูเขาบ้างเล่า?
เด็กชายผมขาวรออยู่นาน เห็นว่าบรรพบุรุษอิ่นกวานไม่พูดถึงตนกับสหายแม้แต่ครึ่งคำก็ให้เสียใจยิ่งนัก มันที่นั่งอยู่บนเก้าอี้จึงก้มหน้าลง ใช้รองเท้าเตะรองเท้าตัวเองเล่น
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ลงจากเขาไปพร้อมข้าไหม? ได้ยินมาว่าทุกวันนี้หลิวจิ่งหลงที่อยู่ในอุตรกุรุทวีปมีอำนาจบารมียิ่งใหญ่นัก ได้รับการยอมรับจากผู้คนว่าคอแข็งดื่มเหล้าเก่งอย่างไร้เทียมทาน มีแค่ข้าคนเดียวอาจทำให้เขาเบื่อ มีเจ้าอยู่ด้วย ข้าคอยยุให้ดื่มเหล้า เจ้าคอยขัดขวาง พวกเราสองคนไปพิฆาตความห้าวหาญบนโต๊ะสุราของเขาด้วยกัน!”
หลิ่วจื้อชิงหัวเราะร่า “ไม่ไป ต้องปิดด่านฝึกกระบี่”
เฉินผิงอันเอ่ยโน้มน้าวต่อ “ฝึกกระบี่อะไรกัน ไม่เห็นต้องรีบร้อน ทุกวันนี้พวกเราห่างกันแค่หนึ่งขอบเขตเท่านั้น สามารถมองข้ามไปได้เลย”
หลิ่วจื้อชิงยิ้มบางๆ “ข้าคงไม่ไปส่งเจ้าขุนเขาเฉินแล้ว”
เฉินผิงอันคว้าไหล่ของหลิ่วจื้อชิงมากอด แล้วก็สาดเกลือลงบนบาดแผลของเจ้าหมอนี่อย่างเต็มที่ด้วยการจุ๊ปากเอ่ยว่า “โอ้โห มาดใหญ่โตนัก ทำไม รังแกที่ข้าไม่ใช่เซียนกระบี่ก่อกำเนิดหรือ?”
หลิ่วจื้อชิงยกมือขึ้น สองนิ้วประกบกันผลักแขนของเฉินผิงอันออก
เฉินผิงอันหุบยิ้ม ใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “ใช่แล้ว พูดเรื่องเป็นการเป็นงานหน่อย อีกสองสามปีในอนาคต ข้าคิดว่าจะไปท่องทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางสักรอบ จะเรียกหลิวจิ่งหลงไปด้วยกัน เจ้ามีความคิดอะไรไหม พวกเราสามคนไปด้วยกันดีไหม?”
ในอดีตตอนที่อยู่ท่าเรือใกล้กับสวนน้ำค้างวสันต์ก็นัดหมายกับหลิวจิ่งหลงไว้แล้วว่าจะไปท่องแผ่นดินกลางด้วยกัน
หลิ่วจื้อชิงส่ายหน้า “ไม่เลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบ ข้าคงไม่ลงจากเขาแล้ว วันใดเลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบ สถานที่แรกที่อยากไปก็ไม่ใช่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง หวังว่าจะไม่ช้าเกินไปนัก”
หากไม่อาจฝ่าทะลุคอขวดได้จริงๆ ถ้าอย่างนั้นก็ได้แต่อาศัยสถานะของผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดไปเยือนซากปรักของกำแพงเมืองปราณกระบี่ จากนั้นค่อยขี่กระบี่มุ่งลงใต้ไปตลอดทาง
เฉินผิงอันคิดแล้วก็พยักหน้าเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ฝ่าทะลุขอบเขตเร็วๆ”
ไม่แน่ว่าอาจจะมีโอกาสได้ไปท่องใต้หล้าเปลี่ยวร้างด้วยกัน
ไปถึงสวนน้ำค้างวสันต์ เฉินผิงอันก็แยกกับหนิงเหยา เขาไปพบหญิงชรา หลินฉัวเอ๋ออาจารย์ผู้มีพระคุณของซ่งหลันเฉียวเพียงลำพัง
ยังคงปฏิบัติกับอีกฝ่ายตามมารยาทที่ผู้เยาว์พึงมีต่อผู้อาวุโส แวะไปเยี่ยมเยือนถึงที่ จากนั้นก็พูดร่ายยาวกับหญิงชราโดยที่ไม่มีความหงุดหงิดแม้แต่น้อย หลินฉัวเอ๋อได้เจอกับเฉินผิงอัน นางที่ตอนอยู่ในศาลบรรพจารย์ไม่ว่าเจอใครก็ด่ากราดพลันเปลี่ยนมาเป็นผู้อาวุโสที่เมตตาปราณีทันที หญิงชรานั่งอยู่บนเก้าอี้ เบี่ยงตัวมาคอยกุมมือของคนหนุ่มข้างกายอยู่ตลอดเวลา สอบถามว่าออกเดินทางไกลหลายปีมานี้ลำบากหรือไม่ ทำไมมองดูแล้วเหมือนจะผอมลง ไม่ส่งจดหมายมาที่สวนน้ำค้างวสันต์สักฉบับเลย แบบนี้ไม่ดีนะ วันหน้าอย่าทำแบบนี้อีก ทำให้คนเป็นห่วงยิ่งนัก ทุกวันนี้พบเจอคู่รักบนภูเขาที่เป็นคู่สร้างคู่สมแล้วหรือยัง? หากว่ามีแล้ววันหน้าพานางมาพบตนบ้าง หากว่ายังไม่มีต้องรีบทำเวลาแล้วนะ…
หญิงชราเดินมาส่งเฉินผิงอันตลอดทางจนถึงตีนเขา
ดังนั้นการมาเยือนสวนน้ำค้างวสันต์ของเฉินผิงอันในครั้งนี้จึงมาพบนางแค่คนเดียว
ซ่งหลันเฉียวผู้ดูแลเรือข้ามฟาก ถังซีเทพเจ้าแห่งโชคลาภ ถานหลิงเจ้าขุนเขา ล้วนไม่ได้ไปเจอแม้แต่คนเดียว
ดังนั้นรอกระทั่งเฉินผิงอันจากไปแล้ว พอรู้ว่าเซียนกระบี่หนุ่ม เจ้าสำนักของสำนักหนึ่งท่านนี้ถึงกับมาเยือนแล้วจากไป วันนั้นศาลบรรพจารย์ของสวนน้ำค้างวสันต์ก็รีบร้อนเปิดการประชุมขึ้นมาทันที
คนชุดเขียวยืนอยู่ตรงท่าเรือริมมหาสมุทรแห่งหนึ่ง ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า เส้นผมตรงจอนหูปลิวไสว ชายแขนเสื้อสองข้างส่ายสะบัด
ดวงจันทร์บนท้องฟ้า คลื่นลมบนมหาสมุทร คนชุดเขียวบนโลกมนุษย์
——