กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 811.1 สอนหมัด
หากไม่เป็นเพราะมีการค้าที่ต้องพูดคุยปรึกษา เฉินผิงอันก็ไม่มีทางไปท่าเรือดอกท้อรบกวนผู้ฝึกตนของจวนไช่เฉวี่ย ถ่วงรั้งการหลอมชุดคลุมอาคมของพวกนางก็คือถ่วงรั้งการหาเงินของภูเขาลั่วพั่ว มีเรื่องกับใครก็ไม่ควรมีเรื่องกับเงิน
จวนไฉ่เชวี่ยตั้งอยู่ในอาณาเขตของแคว้นสุ่ยเซียวซึ่งเป็นแคว้นของสายน้ำ แคว้นสุ่ยเซียวที่แม้กระทั่งเมืองหลวง นคร เมืองแห่งต่างๆ ล้วนสร้างอยู่บนเกาะ จวนไฉ่เชวี่ยตั้งอยู่บนจุดตัดของลำธารใหญ่และมหาสมุทรยักษ์ ชื่อของธารน้ำก็คือน้ำดอกท้อ บนท่าเรือดอกท้อมักจะมีเมฆขาวหยุดลอยอ้อยอิ่งอยู่ตลอดทั้งปี อ้อมผ่านภูเขาเขียวที่ตั้งของจวนไฉ่เชวี่ย ประหนึ่งสวมมงกุฎหิมะขาวไว้บนศีรษะ ภูเขาสายน้ำอิงแอบเคียงคู่ เมฆขาวล้อมอบอวล ดอกท้อผลิบานสะพรั่ง ทัศนียภาพงดงามถึงขีดสุด
หมี่อวี้เคยมา ‘ฝึกตน’ อยู่ที่นี่นานหลายปี ได้ยินว่ายังเคยสร้างหนี้รักไว้อีกบานเบอะ นี่ถือว่าเป็นการทำลายขนบธรรมเนียมของภูเขาลั่วพั่วหรือไม่?
เฉินผิงอันแอบจดบัญชีไว้เงียบๆ กลับไปถึงภูเขาลั่วพั่วแล้วจะต้องพูดคุยกับเซียนกระบี่ใหญ่หมี่ให้ดีๆ เสียหน่อย
ตรงตีนเขามีร้านน้ำชาที่เป็นกิจการของจวนไฉ่เชวี่ยอยู่แห่งหนึ่ง อันที่จริงการค้าซบเซามาโดยตลอด เพราะราคาน้ำชาแพงเกินไป ผู้ฝึกตนที่ผ่านทางมาที่ท่าเรือของท่าเรือดอกท้อ ส่วนใหญ่จะเลือกเดินทางไปท่องเที่ยวป่าท้อมากกว่า
พวกเฉินผิงอันมานั่งลงแล้ว เขาก็บอกชื่อแซ่กับผู้ฝึกตนหญิงของจวนไฉ่เชวี่ย ผู้ฝึกตนหญิงได้ยินว่าเจ้าขุนเขาหนุ่มของภูเขาลั่วพั่วมาเยือนท่าเรือดอกท้อด้วยตัวเอง ไหนเลยจะกล้าเพิกเฉย รีบส่งว่าวแจ้งข่าวไปยังศาลบรรพจารย์ทันที เพราะถึงอย่างไรผู้ฝึกตนหญิงของจวนไฉ่เชวี่ยต่างก็รู้กันดีอยู่แก่ใจว่าภูเขาลั่วพั่วของแจกันสมบัติทวีป แม้จะบอกว่าก่อตั้งสำนักมาได้ไม่กี่ปี แต่กลับเป็นเศรษฐีบ้านนอกคนหนึ่ง อีกทั้งทุกวันนี้ยังได้กลายเป็นสำนักอักษรจงแล้วด้วย
จวนไฉ่เชวี่ยมีบรรยากาศเฉกเช่นทุกวันนี้ได้ล้วนต้องยกคุณความชอบให้กับชุดคลุม ‘บรรพบุรุษ’ ที่ภูเขาลั่วพั่วนำมามอบให้ตัวนั้น เพราะมีมันจวนไช่เฉวี่ยถึงสามารถแตกกิ่งก้านสาขา มีลูกหลานเต็มบ้านเต็มเมือง อาศัยอ่างเก็บสมบัติใบนี้ ถึงกับสามารถสานสัมพันธ์ทำการค้ากับราชวงศ์ต้าหลีได้ เป็นเหตุให้ในช่วงเวลาสั้นๆ แค่ยี่สิบปี จวนไฉ่เชวี่ยลุกผงาดอย่างรวดเร็ว เลื่อนเป็นภูเขาอันดับหนึ่งของอุตรกุรุทวีป หากไม่เป็นเพราะจวนไฉ่เชวี่ยทำตามกฎของบรรพบุรุษจึงรับแต่ผู้ฝึกตนหญิงมาโดยตลอด ทำให้จำนวนลูกศิษย์มีไม่มาก ไม่อย่างนั้นสำนักอักษรจงก็สามารถลองช่วงชิงมาได้
เพียงไม่นานอู่ชวินผู้คุมกฎก็ทะยานลมมาถึง เจอหน้าเฉินผิงอันก็เอ่ยขออภัยก่อนหนึ่งคำ เพราะซุนชิงเจ้าจวนได้พาลูกศิษย์ผู้สืบทอดอย่างหลิ่วกุ้ยเป่าออกจากสำนักไปหาประสบการณ์การณ์ ซุนชิงพูดจาน่าฟังว่าไปปกป้องมรรคาให้กับลูกศิษย์ ก็แค่ให้มีเหตุผลพอที่จะไปเยือนสำนักกระบี่ไท่ฮุยเท่านั้น
ตามกฎบนภูเขา เจ้าสำนักอย่างเฉินผิงอันมาเยือนถึงที่ อีกทั้งยังเป็นเจ้าของทรัพย์สินเบื้องหลังจวนไฉ่เชวี่ย ซุนชิงก็ควรจะอยู่ที่นี่ด้วย
ต่อให้ก่อนจะมาทางภูเขาลั่วพั่วจะไม่ได้ส่งกระบี่บินมาแจ้งข่าว ถึงอย่างไรก็ยังเป็นจวนไฉ่เชวี่ยที่เสียมารยาท
รากฐานของภูเขาลั่วพั่วเป็นอย่างไร จวนไฉ่เชวี่ยรู้ชัดเจนดี สองคำ ไร้เหตุผล
ซุนชิงพาหลิ่วกุ้ยเป่าไปเข้าร่วมงานพิธีเสร็จก็กลับมาที่ภูเขาบ้านตน นางได้พูดคุยหยอกล้อกับอู่ชวินเป็นการส่วนตัวสองสามประโยค บอกว่าสถานที่แห่งนี้ของพวกเราเบิกตากว้างก็ยังหาเซียนดินไม่เจอ อยู่บนภูเขาลั่วพั่ว ดีนักนะ ดูเหมือนว่าพวกขอบเขตก่อกำเนิดต่างก็ไม่กล้าพูดเสียงดัง ราวกับว่าขอแค่ไม่ใช่เซียนดินก็ไม่กล้าออกจากบ้านไปทักทายกับคนอื่นแล้ว
ตอนนั้นอู่ชวินแค่ฟังรายชื่อผู้เข้าร่วมงานพิธีเปิดสำนักอย่างเป็นทางการจากซุนชิงก็อึ้งค้างไปนาน เป็นความอึ้งที่ไม่อาจหาเหตุผลมาอธิบายได้เลย
อู่ชวินมองสตรีที่สวมชุดคลุมยาวสีขาวหิมะสะพายกล่องกระบี่
หนิงเหยายังคงเอ่ยแนะนำตัวเองด้วยประโยคเดิม “หนิงเหยา ผู้ฝึกกระบี่”
อู่ชวินกุมหมัดคารวะ พูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง “ผู้คุมกฎศาลบรรพจารย์จวนไฉ่เชวี่ย อู่ชวิน อู่ที่ประกอบจากอักษรจื่อและอักษรเกอ ชวินคืออักษรซานและอักษรจวิน”
เดี๋ยวนะ!
ผู้ฝึกกระบี่? หนิงเหยา?
คงไม่ใช่หนิงเหยาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่หรอกกระมัง!?
เพราะกระทั่งวันที่เจ้าจวนซุนชิงเข้าร่วมงานพิธีครั้งนั้นก็ถึงเพิ่งจะได้รู้ว่า ‘อวี๋หมี่’ ที่เล่นสนุกอยู่ในจวนไฉ่เชวี่ยอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ถึงกับเป็นเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่ง อีกทั้งอยู่บนภูเขาลั่วพั่วก็เป็นผู้ถวายงานอันดับหนึ่งไม่ได้ด้วยซ้ำ ชื่อจริงคือหมี่อวี้ มาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่! หมี่ฮู่ผู้เป็นพี่ชายก็ยิ่งเป็นเซียนกระบี่ใหญ่ที่ผลงานทางการสู้รบเกริกก้อง
ใต้หล้ามีเรื่องที่บังเอิญเช่นนี้ด้วยหรือ? เฉินผิงอันร้ายกาจก็จริง เพียงแต่อู่ชวินก็ยังไม่กล้าเชื่อจริงๆ ว่าเขาจะทำให้หนิงเหยาติดตามอยู่ข้างกายได้
อีกอย่างหนิงเหยาติดตามนครบินทะยานไปยังใต้หล้าแห่งที่ห้า มีกฎของศาลบุ๋นวางอยู่ตรงนั้นแล้วจะมาที่ใต้หล้าไพศาลได้อย่างไร?
พกกระบี่บินทะยานหรือ?
นี่ก็คือความต่างระหว่างสำนักบนยอดเขากับกองกำลังตระกูลเซียนลำดับรองของไพศาลแล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่จวนไฉ่เชวี่ยเองก็ไม่มีผู้ฝึกกระบี่ที่เคยไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่มาก่อน บวกกับที่ไพศาลสั่งห้ามรายงานขุนเขาสายน้ำมานานหลายปี ดังนั้นจนถึงตอนนี้อู่ชวินก็ยังไม่รู้ว่าเจ้าขุนเขาภูเขาลั่วพั่วที่นั่งดื่มชาอยู่ตรงหน้าผู้นี้เคยมีบารมียิ่งใหญ่ในวงการขุนนางที่เรือนชุนฟานภูเขาห้อยหัวแค่ไหน
เพียงแต่อู่ชวินก็อดรู้สึกโชคดีไม่ได้ หากเป็นจริงขึ้นมาล่ะ จึงถามหยั่งเชิงว่า “บ้านเกิดของแม่นางหนิงคือ?”
หนิงเหยากล่าว “กำแพงเมืองปราณกระบี่”
อู่ชวินพลันหน้าแดงก่ำ
อุตรกุรุทวีปคือสถานที่ที่มีความสัมพันธ์ดีเยี่ยมกับกำแพงเมืองปราณกระบี่มากที่สุดในบรรดาเก้าทวีปของใต้หล้าไพศาล ไม่มีหนึ่งใน
ดังนั้นผู้ฝึกลมปราณของที่นี่ ต่อให้จะไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ก็ยังเข้าใจกำแพงเมืองปราณกระบี่เป็นอย่างดี
อู่ชวินต้มชารับรองแขกด้วยตัวเอง อารมณ์ตื่นเต้นดีใจ เนิ่นนานก็ไม่อาจสงบอารมณ์ได้ สองมือถึงกับสั่นสะท้านเบาๆ อย่างที่ไม่อาจควบคุม
ใบชาเป็นผลผลิตมาจากภูเขาด้านหลังของจวนไฉ่เชวี่ย มีชื่อว่าเสี่ยวเสวียนปี้ ต้นชาเก่าแก่มีแค่ยี่สิบต้น มีนกไฉ่เชวี่ยที่ล้ำค่าหากยากมาคาบเด็ดใบ แล้วใช้กลวิธีลับทำให้เป็นก้อน จึงเป็นเหตุให้มีชื่อเสียงและราคาแพงมาก
อู่ชวินอดไม่ไหวเหลือบตามองหนิงเหยาบ่อยๆ
หนิงเหยา เป็นหนิงเหยาในตำนานผู้นั้นจริงๆ!
ทุกวันนี้ระหว่างภูเขาใหญ่ของอุตรกุรุทวีปล้วนมีการคาดเดาและคำกล่าวบางอย่าง ล้วนเชื่อมั่นเหมือนกันหมดโดยไม่มีข้อยกเว้นว่าหนิงเหยาคือบุคคลอันดับหนึ่งของใต้หล้าใหม่เอี่ยมแห่งนั้น
ประเด็นสำคัญคือหนิงเหยาคือสตรีนะ เวลาปกติยามที่อู่ชวินดื่มชากับเจ้าจวนและพวกกุ้ยเป่า มีหรือจะไม่เคยคุยกันถึงหนิงเหยาเลย? โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลิ่วกุ้ยเป่าที่หยิ่งทระนงที่ยิ่งเลื่อมใสในตัวหนิงเหยา
หากพูดถึงผู้ฝึกกระบี่ก็ล้วนหนีไม่พ้นพูดถึงหนิงเหยา
ก็เหมือนที่เพียงแค่พูดถึงผู้ฝึกยุทธเต็มตัวของใต้หล้าไพศาล ก็ย่อมต้องหนีไม่พ้นคู่อาจารย์และศิษย์อย่างเผยเปยและเฉาสือแน่นอน
หมี่ลี่น้อยใช้สองมือรับถ้วยชามา เอ่ยขอบคุณหนึ่งคำ จากนั้นก็หันไปบอกเล่าประสบการณ์ให้เจ้าฟักแคระข้างกายฟัง “ดื่มช้าๆ หน่อย จะดื่มเร็วไม่ได้นะ”
เด็กชายผมขาวทำหน้าตกตะลึง “ดื่มชายังต้องมีข้อพิถีพิถันเช่นนี้ด้วยหรือ? หมี่ลี่น้อย เจ้าไปอ่านเจอจากตำราหายากเล่มใด?”
หมี่ลี่น้อยถือถ้วยชาด้วยสองมือ ก้มหน้าลงจิบหนึ่งคำ แล้วจึงพยักหน้าเบาๆ แสดงให้รู้ว่าพึงพอใจ รสชาติดีเยี่ยม จากนั้นจึงหันหน้ามายิ้มร่าเอ่ยว่า “ไม่มีอาจารย์ก็เข้าใจได้ด้วยตัวเองน่ะสิ”
เฉินผิงอันใช้มือถือถ้วยชา หมุนถ้วยเบาๆ ยิ้มตาหยี สายลมพัดเย็นฉ่ำ อารมณ์ดีปลอดโปร่ง ด้านนอกศาลาของร้านน้ำชา น้ำของทะเลสาบนิ่งดุจผิวกระจก ลำธารทะเลสาบดอกท้อมีมากมายนับไม่ถ้วน เรียงรายไล่ระดับขึ้นไปบนภูเขา สีดอกไม้มีเข้มมีอ่อน คล้ายกับสตรีที่ประทินโฉมเข้มอ่อนต่างกันไป
เพราะเฉินผิงอันต้องคุยเรื่องการค้ากับคนอื่น หนิงเหยาดื่มชาแล้วจึงเอ่ยขอตัวกับอู่ชวิน ให้เผยเฉียนที่เคยมาเยือนจวนไฉ่เชวี่ยแล้วเป็นคนนำทาง พวกนางต้องการไปที่หอเทียนอีเพื่อชื่นชมการทอชุดคลุมอาคมของเหล่า ‘สาวทอผ้า’ ของจวนไฉ่เชวี่ย
ตอนที่หนิงเหยาอยู่ อู่ชวินตื่นเต้นอยู่ตลอด ทว่าพอหนิงเหยาจากไป ในใจอู่ชวินกลับรู้สึกอาลัยอาวรณ์
อู่ชวินใช้เสียงในใจถาม “เจ้าขุนเขาเฉิน ขอถามได้หรือไม่ว่าขอบเขตของเซียนกระบี่หนิงคืออะไร?”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ตอนนี้ยังเป็นบินทะยาน”
อู่ชวินรินชาเต็มถ้วยให้กับตัวเอง แหงนหน้ากระดกดื่มรวดเดียวหมด วันนี้มารับรองแขกที่ร้านน้ำชา ขาดทุนอย่างยิ่ง รอให้เจ้าจวนกับกุ้ยเป่ากลับมาที่ภูเขาเมื่อไหร่ ตนจะต้องเล่าว่าตัวเองเคยดื่มชากับหนิงเหยาให้ฟังเสียหน่อย? ถึงอย่างไรก็ยังขาดความหมายไปอีกเล็กน้อย เพราะอยู่ไกลเกินกว่าจะสู้การได้ดื่มสุราร่วมโต๊ะกับหนิงเหยาได้
เด็กชายผมขาวอยู่ต่อ พูดจาน่าเชื่อถือว่าจะต้องเป็นแรงสนับสนุนคอยช่วยเหลือท่านบรรพบุรุษอีกแรง
เฉินผิงอันไม่ได้รู้สึกว่านางกำลังคุยโว เรื่องอย่างการหลอมชุดคลุมอาคม จิตมารที่เป็นคู่รักของอู๋ซวงเจี้ยงคือผู้เชี่ยวชาญอันดับหนึ่งเชียวล่ะ
เฉินผิงอันพูดเข้าประเด็นทันที “ก่อนจะมาที่นี่ข้าไปร่วมการประชุมของศาลบุ๋นมา ชุดคลุมอาคมของจวนไฉ่เชวี่ยได้ถูกศาลบุ๋นจดลงบันทึกแล้ว ตอนนี้ยังอยู่ในรายชื่อตัวสำรอง หากทำสำเร็จก็จะเป็นการค้าครั้งใหญ่ ผู้ฝึกตนของสำนักการค้า สำนักคำนวณและสำนักจี้หรานจะพิจารณาตรวจสอบเรื่องนี้กันต่อ ไม่ว่าสุดท้ายแล้วเรื่องนี้จะสำเร็จหรือไม่ ภูเขาลั่วพั่วและต้าหลีล้วนจะได้รับการแจ้งข่าวจากทางศาลบุ๋น หวังว่าในอนาคตวันใดวันหนึ่งจะมีโอกาสได้แสดงความยินดีกับจวนไฉ่เชวี่ย”
เฉินผิงอันหยิบสมุดเล่มหนึ่งออกมา เป็นสมุดฉบับสำเนาคัดลอกกรรมวิธีลับในการหล่อหลอมของนครจินชุ่ย คาถาในนี้เป็นเถาถิงแห่งเปลี่ยวร้างที่มอบให้ เขาผลักมันไปบนโต๊ะเบาๆ ให้กับอู่ชวิน ยิ้มเอ่ยว่า “ระดับขั้นของชุดคลุมอาคมสามารถพัฒนาให้สมบูรณ์ขึ้นไปอีกระดับได้ กลับไปแล้วทางจวนไฉ่เชวี่ยก็รีบเขียนรายการของวัตถุดิบวิเศษที่จำเป็นต้องใช้ในการหลอมชุดคลุมออกมา ยิ่งละเอียดก็ยิ่งดี ข้าจะช่วยค้นหาตามภูเขาตระกูลเซียนต่างๆ ที่เหมาะสมของอุตรกุรุทวีปให้”
เด็กชายผมขาวใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “บรรพบุรุษอิ่นกวาน ขอข้าดูหน่อยได้หรือไม่?”
ได้รับคำอนุญาตจากเฉินผิงอันแล้วมันก็ลุกขึ้นเขย่งปลายเท้า ฟุบตัวลงไปบนโต๊ะ แล้วจึงหยิบสมุดเล่มนั้นมาเปิดอ่านดู จากนั้นสะบัดข้อมือ ห่างไปไกลก็มีแก่นโชคชะตาน้ำเป็นกลุ่มๆ เส้นๆ จากธารน้ำดอกท้อมารวมตัวกันเป็นพู่กันสีเขียวมรกตด้ามหนึ่ง จากนั้นก็มีดอกท้อหลายดอกพุ่งผ่านลำธารและทะเลสาบพลิ้วลอยมาอยู่บนโต๊ะ ปลายพู่กันแตะไปที่ดอกท้อเบาๆ ก็เหมือนแต้มน้ำหมึก แล้วเริ่มทำการ ‘ตรวจด้วยหมึกแดง’ ตัวอักษรบรรจงขนาดเล็กเท่าหัวแมลงวัน เขียนคาถาตรงนี้หนึ่งบรรทัด เขียนคำแนะนำตรงนั้นสองสามบรรทัด ตรงพื้นที่ว่างของหน้าหนังสือจึงแน่นขนัดเต็มไปหมด เพียงไม่นานตัวอักษรที่เป็นเนื้อหาในสมุดเล่มนั้นก็เพิ่มขึ้นไปอีกเป็นเท่าตัว
ภาพนี้ทำเอาอู่ชวินมองด้วยความอกสั่นขวัญผวา
ลายมือแห่งเซียน กลิ่นอายแห่งมรรคาล่องลอย!
อู่ชวินอดไม่ไหวใช้เสียงในใจสอบถาม “เจ้าขุนเขา ผู้อาวุโสท่านนี้คือ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ลูกศิษย์นักการที่เพิ่งรับมาใหม่ของภูเขาลั่วพั่ว จะให้ไปดูแลร้านที่ตรอกฉีหลงก่อน หากผ่านการทดสอบเมื่อไหร่ค่อยได้บันทึกลงในทำเนียบของยอดเขาจี้เซ่อ”
อู่ชวินจึงได้แต่คิดว่าสถานะของผู้อาวุโสท่านนี้ไม่สะดวกให้เปิดเผย เฉินผิงอันจึงพูดเล่นกับตน
เด็กชายผมขาวเงยหน้าขึ้น ดวงตาคู่นั้นทอประกายใสแวววาวเจ็ดสี ผู้อาวุโสอะไรกัน ผู้หญิงหน้าเหม็นไม่รู้จักพูดจาเอาเสียเลย
เฉินผิงอันงอสองนิ้วเตรียมจะเขกมะเหงก
เด็กชายผมขาวจึงได้แต่เก็บเวทลับที่ใช้ลาดตระเวนจิตใจคนอื่นกลับมา หากบรรพบุรุษอิ่นกวานไม่ได้อยู่ที่นี่ ก็มีแต่จะยิ่งสำรวจตรวจสอบรรพบุรุษสิบแปดรุ่นของอู่ชวินได้อย่างชัดเจนโดยที่ผีไม่รู้เทพไม่เห็น ก่อนจะยกพู่กันขึ้นจุ่มหมึกอีกครั้ง สีแดงเข้มจากกลีบดอกท้อที่อยู่บนโต๊ะจึงอ่อนจางลงไปหลายส่วน มุมานะเขียนตัวอักษรพลางทำการค้ากับบรรพบุรุษอิ่นกวานไปด้วย “ช่วยตรวจสอบช่องโหว่ให้ จำไว้ว่าต้องจดลงบันทึกคุณความชอบให้ข้าด้วย”
เฉินผิงอันยิ้มตาหยี “ก่อนหน้านี้ที่เจ้าไม่ทันระวังพูดคำว่า ‘ขาดทุน’ (เผยเฉียน) ออกมา ถูกจดลงบันทึกไปแล้ว จะให้หักลบกับความผิดบนสมุดบัญชีของเผยเฉียน หรือว่าจะนับแยกกันไปดีล่ะ?”
เด็กชายผมขาวร้องโอดครวญหนึ่งที ก่อนจะเลือกให้หักลบกันไป
“การประชุมที่ศาลบุ๋นครั้งนี้ เสื้อเกราะหลิงเป่าของศาลซานหลางและชุดคลุมอาคมตรอกเหล่าจวินของอุตรกุรุทวีปพวกเจ้าได้ถูกเลือกไปอย่างเป็นทางการแล้ว”
เฉินผิงอันพูดคุยเรื่องวงในคร่าวๆ เหล่านี้กับอู่ชวิน ยกตัวอย่างเช่นทางด้านของเรือข้ามฟาก หากอิงตามวิธีการที่ทางศาลบุ๋นมอบให้จะแบ่งออกอย่างละเอียดเป็นสามหกเก้าระดับ ยกตัวอย่างเช่นเรือข้ามฟากขุนเขาที่มีขนาดมโหฬาร เรือกระบี่ที่มีพลังพิฆาตรุนแรง เรือหลิวเสียที่ความเร็วสูงสุด ล้วนถูกทางศาลบุ๋นรับไว้อย่างเป็นทางการแล้ว อีกไม่นานแต่ละฝ่ายของไพศาลจะลงมือสร้างเรือข้ามฟากเจ็ดชนิดที่มีเรือกระบี่เป็นหนึ่งในนั้นขึ้นมา
ส่วนเรื่องของชุดคลุมอาคมก็มีสถานการณ์ที่ไม่ต่างกันสักเท่าไร ชุดคลุมอาคมของจวนไฉ่เชวี่ย เนื่องจากเสียเปรียบในด้านราคา ดังนั้นต่อให้ข้อเสนอของซ่งจ่างจิ้งแห่งต้าหลีจะมีน้ำหนักมากกว่าพวกจักรพรรดิหรือผู้ฝึกตนทั่วไป ทางฝั่งศาลบุ๋นก็ยังแค่จัดลำดับพวกมันไว้ในส่วนของตัวสำรองเท่านั้น
เรื่องของการหล่อหลอมวัตถุนี้ ฝีมือบนภูเขาของอุตรกุรุทวีป อันที่จริงโดดเด่นและประณีตวิจิตรอย่างมาก เสื้อเกราะหลิงเป่าของศาลซานหลาง กระบี่จำลองเซียนกระบี่ของภูเขาชังกระบี่ จีวรสามสีของวัดฝอกวง ชุดคลุมขนนกของหน่วยฉงเสวียนต้าหยวน หากไม่พูดถึงระดับขั้น พูดถึงแค่ปริมาณการขาย ชุดคลุมอาคมตรอกเหล่าจวินที่สำนักฉงหลินผูกขาดก็เป็นอันดับหนึ่งในทวีป โดยเฉพาะอย่างยิ่งชุดอิ๋งหรานกับเสื้อเกราะต้าเยว่ หนึ่งมอบให้กับผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนโดยเฉพาะ อีกหนึ่งมอบให้กับจักรพรรดิฮ่องเต้ของเชื้อพระวงศ์โลกมนุษย์ ไม่จำกัดจำนวน ก่อนที่จะได้เวทลับในการหล่อหลอมชุดคลุมอาคมของนครจินชุ่ยมา ฝีมือการหลอมชุดคลุมอาคมของจวนไฉ่เชวี่ย อันที่จริงไม่ถือว่ายอดเยี่ยมนัก
เด็กชายผมขาวสะบัดชายแขนเสื้อ พู่กันมรกตในมือ ดอกท้อที่กลีบดอกเป็นสีแดงอ่อนจนเกือบกลายเป็นสีขาวบนโต๊ะล้วนสลายหายไปในน้ำ ครั้นจึงทำท่ากดลมปราณสู่จุดตันเถียน “งานใหญ่สำเร็จเรียบร้อย”
เฉินผิงอันอ่านสมุดเล่มนั้นเร็วๆ รอบหนึ่ง แล้วจึงมอบให้กับอู่ชวินอีกครั้ง เอ่ยเตือนว่า “สมุดเล่มนี้จะต้องเก็บรักษาไว้อย่างระมัดระวัง รอให้เจ้าจวนซุนกลับมา พวกเจ้าก็แค่มอบฉบับสำเนาไปให้กับสกุลซ่งต้าหลี พวกเขาจะส่งไปให้ศาลบุ๋นเอง เรื่องของการ ‘เสริมส่วนที่ขาด’ ของชุดคลุมอาคมจวนไฉ่เชวี่ยมีโอกาสเป็นไปได้ค่อนข้างมาก หากทางศาลบุ๋นพยักหน้าตอบตกลง จำนวนชุดคลุมอาคมของจวนไฉ่เชวี่ยอย่างน้อยที่สุดก็อาจต้องมีสองพันชิ้นเป็นอย่างต่ำ นอกจากนี้ชุดคลุมอาคมคือของที่ใช้แล้วหมดไป ขอแค่บนสนามรบสามารถพิสูจน์ฝีมือของชุดคลุมอาคมจวนไฉ่เชวี่ยได้ ถึงขั้นที่ว่าโดดเด่นกว่าชุดคลุมอีกสิบชนิดที่เหลือ ก็จะมีรายการสั่งซื้อมาไม่ขาดสาย กุญแจสำคัญที่สุดก็คือชุดคลุมอาคมจวนไฉ่เชวี่ยมีชื่อเสียงอยู่ในใต้หล้าไพศาลแล้ว วันหน้ากิจการก็สามารถขยายไปถึงแผ่นดินกลางหรือธวัลทวีปได้”
อู่ชวินฟังด้วยจิตวิญญาณที่แกว่งไกว เป็นเรื่องที่แม้แต่ฝันก็ยังไม่กล้าคิดเลยจริงๆ
แต่เฉินผิงอันกลับเริ่มสาดน้ำเย็นใส่นางด้วยการเอ่ยเตือนว่า “จวนไฉ่เชวี่ยของพวกเจ้า นอกจากเรื่องรับลูกศิษย์ที่จำเป็นต้องมีการเสนอให้เป็นวาระการประชุมแล้ว ก็จำเป็นต้องมีผู้ถวายงานหรือเค่อชิงห้าขอบเขตบนสักคนหนึ่ง ต้นไม้ใหญ่เรียกลม ทรัพย์สมบัติมากเรียกโจร ต้องระวังแล้วระวังอีก”
——