กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 812.5 ซ้อมมือ
เจิ้งจวีจงกล่าว “ไฉ่ป๋อฝู ไม่ต้องรู้สึกว่าเวลานี้ทำตัวไม่ถูก จะรุกหรือถอยก็เสียกิริยาก็คือเสียกิริยา หากไม่มีจิตใจที่หวาดกลัวยำเกรงเสียบ้าง คนที่เป็นผู้ฝึกตนอิสระต้องตายไวมาก”
ไฉ่ป๋อฝูสีหน้าทึ่มทื่อ ได้แต่พยักหน้า
เจิ้งจวีจงยิ้มถาม “หลายปีมานี้ฝึกตนอยู่ในนครจักรพรรดิขาว ลำบากหรือไม่?”
เพียงชั่วพริบตานั้น ไฉ่ป๋อฝูที่น้อยเนื้อต่ำใจก็เกือบจะน้ำตาไหลพรากราวกับสายฝน จะไม่ลำบากได้หรือ? ราวกับว่าจิตใจแหลกสลายครั้งแล้วครั้งเล่า ขมขื่นเจ็บปวดจนพูดไม่ออก เหลือเพียงความด้านชาเท่านั้น
เพียงแต่ว่าทั้งๆ ที่รู้ว่าร้องทุกข์โอดครวญไปก็ไม่มีประโยชน์ใดๆ ก่อกำเนิดผู้เฒ่าที่เคยเรียกลมได้ลมเรียกฝนได้ฝนในหนึ่งทวีปผู้นี้ก็ยังได้แต่กัดฟันอดทนเท่านั้น
แต่ตอนนี้ไฉ่ป๋อฝูกลับทำเพียงแค่พยักหน้ารับ กระนั้นก็ยังไม่กล้าเอ่ยอะไรแม้แต่คำเดียว
บอกตามตรง นั่งอยู่ตรงนี้ ไฉ่ป๋อฝูรู้สึกว่าต่อให้ตัวเองพูดออกมาแค่ประโยคเดียวก็ยังเป็นการล่วงเกินอาจารย์เจิ้งอยู่ดี
เจิ้งจวีจงกล่าว “พวกหันเชี่ยวเซ่อ หลิ่วเต้าฉุน ฟู่จิ้นอาจรู้สึกว่ากู้ช่านเกิดมาก็เหมาะแก่การเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของนครจักรพรรดิขาว ส่วนเจ้ากลับไม่ค่อยถูกคนเห็นอยู่ในสายตามากนัก”
ไฉ่ป๋อฝูยังคงทำเพียงแค่พยักหน้ารับ เรื่องแบบนี้ไม่มีอะไรให้ต้องอาย ตนไม่อาจเปรียบเทียบกับเจ้ามารน้อยกู้ช่านนั่นได้จริงๆ เจ้าลูกกระต่ายน้อยคนนั้นเจ้าเล่ห์เจ้าอุบายมากนัก ประเด็นสำคัญคือไม่ว่าจะเรียนรู้เรื่องอะไรก็เป็นเร็วอย่างมาก
เจิ้งจวีจงรินน้ำชาหนึ่งถ้วย ผลักไปบนโต๊ะเบาๆ มันก็ไถลไปอยู่ริมขอบโต๊ะเบื้องหน้าไฉ่ป๋อฝูพอดี ยิ้มเอ่ยว่า “ยามคิดถึงคนให้ดื่มเหล้า ยามคิดถึงเรื่องราวให้ดื่มชา”
ไฉ่ป๋อฝูตกใจที่ได้รับความเมตตาโดยไม่คาดฝัน รีบโน้มตัวไปด้านหน้า ใช้สองมือถือถ้วยชาเอาไว้ ก้มหน้าจิบหนึ่งคำด้วยท่าทางกล้าๆ กลัวๆ
เจิ้งจวีจงกล่าว “ลัทธิพุทธบอกว่าฟ้าดินแห่งนี้ก็คือสหาโลกธาตุ คนผู้หนึ่งไม่กลัวหากต้องลำบาก กลัวก็แต่ไม่รู้ว่าทำไมตนถึงต้องลำบาก ก็เหมือนตลาดล่างภูเขา หาเงินมาไม่ได้ก็ได้แต่บ่นว่าโลกใบนี้ช่างเย็นชา คนข้างกายใช้สายตาสุนัขมองคนอื่นอย่างดูแคลน ชีวิตของมนุษย์ธรรมดาล่างภูเขาเลื่อนลอย ความสุขความทุกข์ก็แค่หกสิบปี ผู้ฝึกตนบนยอดเขาอย่างพวกเราหากไม่มีจิตแห่งมรรคาที่เป็นเช่นนี้ก็ยากที่จะพิสูจน์มหามรรคา ไม่อาจเป็นอมตะ”
“แน่นอนว่ายามที่กำลังของมนุษย์เราหมดลงก็จะค้นพบเองว่าเงินบางอย่างไม่อาจหามาได้จริงๆ เรื่องบางเรื่องไม่อาจทำได้จริงๆ แต่ว่าขอแค่มาถึงนาทีนี้ เจ้าถึงจะมีคุณสมบัติเอ่ยประโยคหนึ่งว่า ชะตาชีวิตกำหนดไว้แล้ว ธรรมชาตินำพาให้เป็นไป ข้าพูดแบบนี้ เจ้าฟังเข้าใจหรือไม่?”
พูดร่ายยาว
ผู้ฝึกตนแห่งวิถีมารอันดับหนึ่งในใต้หล้าที่มีนามว่า ‘ไหวเซียน’ ผู้นี้เหมือนอาจารย์ในโรงเรียนที่นิสัยดีอย่างถึงที่สุดคนหนึ่งซึ่งกำลังถ่ายทอดวิชาความรู้ไขข้อข้องใจให้กับนักเรียน
ไฉ่ป๋อฝูพยักหน้ารับ ก่อนจะส่ายหน้า ในที่สุดก็เปิดปากพูดประโยคแรกอย่างจริงใจว่า “ผู้เยาว์ไม่รู้ว่าตัวเองเข้าใจเป็นเพราะเจ้านครต้องการให้ข้าเข้าใจหรือไม่”
เหตุผลนั้นเรียบง่ายอย่างยิ่ง บุคคลประดุจเทพอย่างเจิ้งจวีจงนี้ ไม่ว่าจะพูดจา การกระทำหรือการฝึกตน จะเรียบง่ายได้หรือ? ไม่ว่าคำที่เขาพูดจะเป็นถ้อยคำที่ย้อนกลับสู่ความเป็นจริงอย่างไร ไฉ่ป๋อฝูก็เชื่อมั่นอยู่ตลอดว่าเจ้านครจะไม่ถึงขั้นพูดถ้อยคำที่ตัวเองฟังเข้าใจทั้งหมดแน่นอน
ในช่วงเวลาหลายปีมานี้ที่ฝึกตนอยู่ในนครจักรพรรดิขาว ไฉ่ป๋อฝูเข้าใจหลักการเหตุผลข้อหนึ่งอย่างแท้จริงแล้ว
คนที่โชคดีง่ายที่จะเรียนรู้เอาอย่างคนที่โชคดี ราวกับว่าไม่ว่าเรียนรู้เรื่องอะไรไปก็ล้วนถูกต้องทั้งหมด แต่คนโง่กลับยากที่จะเรียนรู้ได้อย่างคนฉลาด
เจิ้งจวีจงใช้สองนิ้วทิ่มไปตรงหว่างคิ้วของไฉ่ป๋อฝูอยู่ไกลๆ ไฉ่ป๋อฝูก็คล้ายคนโง่ที่สติปัญญาพลันเปิดกว้าง พริบตาเดียวก็หวนคืนสู่ขอบเขตก่อกำเนิด เป็นไปตามธรรมชาติดุจน้ำมาคลองสำเร็จ
ในสายตาของหันเชี่ยวเซ่อที่อยู่อีกมุมหนึ่งในห้อง ภาพที่นางมองเห็นก็คือกู้ช่านเคาะประตูแล้วเปิดออก ยืนอยู่ข้างนอก เบี่ยงตัวหลีกทางให้ จากนั้นศิษย์พี่ก็ให้กู้ช่านและไฉ่ป๋อฝูเข้ามาในห้องด้วยกัน สอบถามถึงปมของโรคจากด่านการฝึกตนของไฉ่ป๋อฝู แล้วช่วยไขข้อข้องใจไปทีละข้อ ดังนั้นหันเชี่ยวเซ่อจึงประหลาดใจเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเหตุใดศิษย์พี่ถึงยินดีเปลืองน้ำลายพูดคุยกับเศษสวะผู้นี้ ไม่ถูกสิ ไฉ่ป๋อฝูคือเศษสวะที่ไม่หักไม่ลบจริงๆ แต่ศิษย์พี่กลับไม่เคยเปลืองน้ำลายพูดจาเหลวไหล หรือว่าเขาคิดจะใช้หินของภูเขาลูกอื่นมาขัดเกลาหยกของตัวเอง อันที่จริงกำลังอาศัยโอกาสนี้ชี้แนะมรรคกถาให้แก่ลูกศิษย์อย่างกู้ช่าน
ตอนนั้นหลังจากที่กู้ช่านเปิดประตูแล้ว เขาก็เห็นว่าในห้องมีแค่อาจารย์อย่างเจิ้งจวีจงที่กำลังเล่นหมากล้อมกับตัวเอง ไม่มีอาจารย์อาหญิงอย่างหันเชี่ยวเซ่ออยู่ หลังจากที่ตนเองปิดประตูลง เห็นไฉ่ป๋อฝูเพิ่งจะข้ามธรณีประตูเข้าไป สองขาก็อ่อนยวบ คุกเข่าลงบนพื้น ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงเริ่มหมอบกราบร้องไห้น้ำมูกน้ำตาไหลไม่ยอมลุกขึ้นมา
ส่วนเจิ้งจวีจงตัวจริงนั้นยืนอยู่ตรงหน้าต่าง ปล่อยให้ ‘เจิ้งจวีจง’ ที่นั่งอยู่ช่วยถ่ายทอดวิชาให้กับไฉ่ป๋อฝู ในความเป็นจริงแล้วบทสนทนาทำนองนี้ระหว่างไฉ่ป๋อฝูกับ ‘เจิ้งจวีจง’ เกิดขึ้นหลายสิบครั้งแล้ว เพียงแต่ว่าเจิ้งจวีจงไม่ค่อยพอใจผลลัพธ์บางอย่างสักเท่าไร เพราะยังไม่เป็นอย่างที่คาดการณ์เอาไว้จึงถอนความทรงจำเหล่านั้นของไฉ่ป๋อฝูทิ้งไป หยกดิบจำเป็นต้องขัดเกลาซ้ำแล้วซ้ำล่าถึงจะกลายเป็นหยกงามได้
แสงจันทร์นอกหน้าต่างของเรือข้ามฟากส่องประกายสว่างไสว
เจิ้งจวีจงตัวจริงเอาสองมือไพล่หลัง ในมือถ้วนตำราม้วนหนึ่ง
ในบรรดาศิษย์น้องชายหญิงทั้งหลาย เจิ้งจวีจงไม่เหลือความสนใจที่จะปลูกฝังอบรมพวกเขาเท่าใดนัก สำหรับผู้ฝึกตนของนครจักรพรรดิขาวที่มีฟู่จิ้นเป็นหนึ่งในนั้นแล้ว เจิ้งจวีจงเจ้านครไม่ค่อยเผยโฉม น้อยครั้งนักที่จะตั้งใจถ่ายทอดมรรคาให้กับใคร แต่ในความเป็นจริงแล้ว ต่อให้จะเป็นแค่ผู้ฝึกตนทำเนียบวงศ์ตระกูลที่คุณสมบัติแย่ที่สุดของนครจักรพรรดิขาว ยามที่เจิ้งจวีจงอยู่ว่างไม่มีอะไรทำก็มักจะขัดเกลาพวกเขาด้วยมือตัวเอง แต่ส่วนใหญ่กลับถูกเจิ้งจวีจงลบความทรงจำทิ้งไป หรือหากรู้สึกพอใจแล้วก็จะทิ้งเส้นสายในหัวใจที่พวกผู้ฝึกตนเหล่านั้นไม่รู้ตัวเอาไว้ ทั้งช่วยปูเส้นทางสร้างสะพานให้ มองดูเหมือนเป็นทางเส้นเล็กไส้แกะ แต่แท้จริงแล้วกลับมีหวังที่จะเดินขึ้นสู่ที่สูงทีละน้อย และเส้นทางกว้างใหญ่บางอย่างแท้จริงแล้วกลับกลายเป็นทางหัวขาด จึงต้องถูกสะบั้นเสียแต่เนิ่นๆ เอาปลามาให้ไม่สู้สอนวิธีตกปลา เจิ้งจวีจงรู้สึกมาโดยตลอดว่าเส้นทางการเดินขึ้นเขาของผู้ฝึกตนไม่ได้อยู่แค่ใต้ฝ่าเท้าเท่านั้น แต่ควรอยู่ในใจ
แต่เพราะวิธีการของเจิ้งจวีจงผีไม่รู้เทพไม่เห็นเกินไป ถึงได้ทำให้เจ้านครเหมือนเทวดาที่หลบซ่อนตัวอยู่ในเมฆหลากสี ยากที่จะพบเจอ
ลูกศิษย์เปิดขุนเขา ฟู่จิ้นฝึกกระบี่ เวทกระบี่ยิ่งนานก็ยิ่งใกล้ชิดกับอาจารย์ปู่ผู้พิฆาตมังกรของเขา
ลูกศิษย์คนสุดท้าย การฝึกตนของกู้ช่าน คือการเคารพฟ้าดินและเข้าเมืองตาหลิ่วหลิ่วตาตามของเฉินผิงอัน แล้วก็เป็นการ ‘แยกหมื่นสรรพสิ่งมาหล่อหลอมให้ตัวเองใช้’ ที่เชี่ยวชาญเข้าขั้นสุดยอดของอู๋ซวงเจี้ยง ทั้งยังเป็น ‘หนอนหนังสือเฒ่าล้านเล่ม กลืนกินตัวอักษรเทพเซียน’
แสงจันทร์ยามราตรี
เปิดหน้าต่างใต้แสงจันทร์ เป็นเจ้าที่อ่านหนังสือหรือหนังสือที่อ่านเจ้า หรือดวงจันทร์ให้เจ้ายืมแสงอ่านตำรา?
หนึ่งในร่างแยกของเจิ้งจวีจงเคยถามมรรคาถกความรู้กับชุยฉานที่รู้รากฐานของเขาครั้งหนึ่งในถ้ำสวรรค์ฉานเจวียน
ตอนนั้นชุยฉานถามคำถามหนึ่งที่ดีมาก แสงจันทร์สว่างไสวกระจกใสเรืองรอง เงยหน้าเห็นดวงจันทร์ ใครเป็นใคร คนในกระจกยังคงเป็นข้าหรือไม่?
เจิ้งจวีจงชอบพูดคุยกับคนฉลาด ไม่เปลืองแรง ถึงขั้นที่ว่าต่อให้แค่ได้คุยเล่นกันไม่กี่ประโยคก็ยังสร้างประโยชน์ให้กับมหามรรคาของตนได้หลายส่วน
เขาเคยหาเส้นทางสามเส้นในการเลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่ให้กับตัวเอง ล้วนสามารถทำได้ เพียงแต่ว่ายากง่ายต่างกัน มีความต่างบ้างเล็กน้อย ความกังวลใหญ่สุดของเจิ้งจวีจงก็คือหลังจากเลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่แล้วควรจะเดินขึ้นฟ้าอย่างไร สุดท้ายแล้วเส้นทางไหนถึงจะทำให้ความสำเร็จบนมหามรรคาสูงยิ่งกว่า จำเป็นต้องมีการอนุมานอย่างต่อเนื่อง
ปีนั้นอยู่ในถ้ำสวรรค์ฉานเจวียน ชุยฉานมองหนึ่งในร่างแยกของเจิ้งจวีจงออก ถือเป็นการพบเจอกันอีกครั้งหลังจากการเล่นหมากล้อมเมฆหลากสีของทั้งคู่ในปีนั้น ชุยฉานเสนอความคิดเรื่องการแบ่งจิตวิญญาณเป็นสองส่วนให้เขาฟังอย่างเปิดเผย พยายามเปลี่ยนออกมาเป็นสอง เป็นสามหรือมากกว่านั้นให้ได้ก่อน แล้วค่อยพยายามหวนกลับมารวมเป็นคนคนเดียว ไม่เพียงแต่อธิบายขั้นตอนอย่างละเอียดทั้งหมด ชุยฉานยังยินดีให้เจิ้งจวีจงอาศัยโอกาสนี้พิศมรรคาหนึ่งครั้ง
อันที่จริงภายหลังชื่อของชุยตงซานนั้นก็เป็นเจิ้งจวีจงที่ช่วยตั้งให้ในเวลานั้น บอกว่าให้เป็นนิมิตหมายที่ดี
คาดว่านี่ก็คงเป็นความเห็นที่ตรงกันโดยบังเอิญ เพราะแบ่งหนึ่งออกเป็นสอง อันที่จริงนี่ก็คือหนึ่งในสามเส้นทางที่เจิ้งจวีจงต้องเดินผ่าน
แต่ชุยฉานกลับไม่ได้มีอิสระเช่นเจิ้งจวีจง หากสถานการณ์ของใต้หล้าในอนาคตไม่อาจเป็นไปดั่งใจต้องการ ทั้งเรื่องราวและสถานการณ์ เขาชุยฉานก็ได้แต่เลือกเส้นทางที่มิอาจหวนคืนอีกเส้นหนึ่งซึ่งถูกกำหนดมาแล้วว่าจะทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี แล้วค่อยเปลี่ยนแปลงโลกมนุษย์อีกครั้ง
สุดท้ายชุยฉานเอ่ยอย่างหนักแน่น โน้มน้าวเจิ้งจวีจงว่าเดินไปบนทางเส้นนี้ก่อน ขอแค่อาศัยสิ่งนี้มาผสานมรรคาขอบเขตสิบสี่ หลังจากนี้ก็จะมีความเป็นไปได้อีกมากมาย ไม่อย่างนั้นเดินไปบนเส้นทางขึ้นสวรรค์เพียงเส้นเดียวก็เท่ากับว่าจำเป็นต้องสะบั้นอีกสองเส้นทางที่เหลือ แบบนั้นจะไม่น่าเบื่อแย่หรอกหรือ?
หลังจากแยกจากกันคราวนั้น เพียงไม่นานชุยฉานก็ไปเป็นราชครูต้าหลีที่แจกันสมบัติทวีปบ้านเกิด วางแผนนานร้อยปี ระหว่างนั้นแบ่งหนึ่งออกเป็นสอง บนโลกมนุษย์จึงมีชุยตงซานเพิ่มมาอีกคน
น่าเสียดายที่ใต้หล้าไพศาลไม่มีซิ่วหู่อีกต่อไปแล้ว
คนสุดท้ายที่ชุยฉานพบเจอในโลกมนุษย์ไม่ใช่หย่าเซิ่ง แต่เป็นเจิ้งจวีจงที่ออกจากใต้หล้าเปลี่ยวร้างเร่งเดินทางไปยังกำแพงเมืองปราณกระบี่ แล้วก็มีการถามตอบที่เรียบง่ายต่อกันเท่านั้น
‘เหตุใดถึงทำเช่นนี้?’
‘ไม่อยากให้อาจารย์ผิดหวังเสียใจอีกแล้วจริงๆ โชคดีที่ไม่เคยเป็นเช่นนั้น’
‘ต้องการอะไร?’
‘หวังว่าวันหน้าอาจารย์เจิ้งจะดูแลศิษย์น้องเล็กของข้าให้หน่อย ไม่ใช่เรื่องของมรรคกถา แต่เป็นเรื่องของจิตแห่งมรรคา ไม่ต้องมากมาย แล้วก็ไม่ต้องน้อยเกินไป’
ตอนนั้นเจิ้งจวีจงตอบตกลง
ดังนั้นตอนที่อยู่อำเภอพ่านสุ่ยถึงได้ยินดีแหกกฎเพื่อเฉินผิงอัน
เจิ้งจวีจงในเวลานี้ถอนหายใจ หันเชี่ยวเซ่อและไฉ่ป๋อฝูที่อยู่ในห้องต่างก็มีความคิดต่างกันไป คืนนี้ต่างก็ได้ในสิ่งที่ตัวเองสนใจ จึงบอกลาแล้วจากไปพร้อมกัน
เจิ้งจวีจงยกมือขึ้น ใช้ม้วนหนังสือเคาะหน้าต่างเบาๆ เรือนกายของร่างแยก ‘เจิ้งจวีจง’ ที่นั่งอยู่พลันหายไป กลายไปเป็นแสงจันทร์ ราวกับว่าชุดคลุมอาคมได้ถูกเจิ้งจวีจงสวมไว้บนร่าง
ผู้ฝึกตนบนโลกใบนี้หลอมจิตหยินจิตหยางออกมา ถือว่าเป็นการบรรลุมรรคาครั้งแรก ไม่ถือว่าเป็นขอบเขตที่สูงส่งลี้ลับอะไร เพราะแทบจะไม่มีใครเป็นข้อยกเว้น หากแยกร่างได้เมื่อไหร่ ตัดขาดจิตใจกับร่างจริง สั้นหน่อยก็แค่ครู่เดียว นานหน่อยก็หลายวัน อย่างมากสุดก็หลายเดือนหลายปี อันที่จริงนั่นก็จะกลายเป็น ‘คนสองคน’ แล้ว อีกทั้งเมื่อเวลาผ่านไปนานวันเข้า คนที่เดิมทีเป็นคนเดียวกัน ยิ่งนานก็จะยิ่งแตกต่าง เว้นเสียจากว่าจิตหยินจิตหยางกลับคืนสู่ตำแหน่งเดิม ต่างฝ่ายต่างเอาความทรงจำของตัวเองมาหลอมเป็นหนึ่งเดียว แล้วยังต้องแบ่งจิตแห่งมรรคาออกเป็นหลักรอง ถึงจะถือว่ากลับมาเป็นคนคนเดียวกันได้อีกครั้ง
นี่จึงเป็นเหตุให้โอกาสในการผสานมรรคาขอบเขตสิบสี่ของเจ้านครจักรพรรดิขาวท่านนี้ก็คือข้อยกเว้นนั้น
โลกมนุษย์มีเจิ้งจวีจงสองคน
เหมือนกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยน ไม่ต่างสักเสี้ยว ต่อให้แยกจากกันไปร้อยปีพันปี ต่างฝ่ายต่างพบเจอร้อยพันเรื่องราวร้อยพันผู้คน จิตแห่งมรรคาส่วนหนึ่งก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม
ดังนั้นเจิ้งจวีจงจึงไม่เพียงแต่เลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่แล้ว
ยังเป็นผู้ฝึกตนใหญ่คนเดียวที่มีสองขอบเขตสิบสี่ด้วย
คนหนึ่งอยู่บนเรือข้ามฟากของไพศาลลำนี้ อีกคนหนึ่งอยู่ในนครจินชุ่ยของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง
ในเมื่อเขาเจิ้งจวีจงคือลูกศิษย์ของคนพิฆาตมังกร ทั้งยังชอบเล่นหมากล้อม ก็ไม่สู้เอาภูเขาทัวเยว่ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างมาเป็นมังกรใหญ่ที่ถูกพิฆาตบนกระดานหมาก
……
การประชุมในศาลบรรพจารย์ของสวนน้ำค้างวสันต์ก่อนหน้านี้ บรรยากาศเคร่งเครียดเงียบสงัดจนถึงขั้นที่กระทั่งเข็มตกก็ยังได้ยิน
หญิงชราอย่างหลินฉั่วเอ๋อวางตัวเหมือนคนนอกสถานการณ์ ใบหน้ามีแต่รอยยิ้ม
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ปีนั้นหญิงชราต่างหากถึงเป็นคนที่ส่งจดหมายไปยังภูเขาลั่วพั่ว ถ้อยคำที่ใช้ในจดหมายก็บีบบังคับคนอื่นอย่างเห็นได้ชัด แต่ดูเหมือนว่าพอได้พบเจอกับเซียนกระบี่หนุ่มคนนั้น หญิงชราก็รู้สึกว่าเรื่องพวกนี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับนางแล้ว
ซ่งหลันเฉียวกับถังซีหันมาสบตากัน ทั้งรู้สึกว่าสถานการณ์ค่อนข้างยุ่งยาก เพราะถึงอย่างไรมิตรภาพบนภูเขาก็สะสมยากหายไปได้ง่าย ทว่าในใจของคนทั้งสองก็รู้สึกโล่งด้วย
เพราะเจ้าขุนเขาถานหลิงบอกว่านางจะออกเดินทางทันที ไปเยือนภูเขาลั่วพั่วด้วยตัวเอง
เกาซงที่ดูแลเรื่องเงินทองของสวนน้ำค้างวสันต์ ทว่าโลกภายนอกกลับมองว่าถังซีเป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภ บอกว่าจะเดินทางไปพร้อมกับเจ้าขุนเขาด้วย ทว่าถานหลิงกลับไม่ตอบตกลง
บรรพจารย์ผู้คุมกฎจึงถามว่าเหตุใดไม่ตามเซียนกระบี่เฉินไปเลย จะต้องอ้อมเส้นทางไปทำไม
ซ่งหลันเฉียวกับถังซีหันมาสบตากันอีกครั้ง สมองหมู การประชุมในศาลบรรพจารย์หลายครั้งก่อนหน้านี้ ผู้คุมกฎผู้นี้กับเกาซงสองคน อันที่จริงคอยกระพือไฟยุแยงอาจารย์ของซ่งหลันเฉียวไปไม่ใช่น้อย
ดูเหมือนถานหลิงจะเริ่มเหนื่อยล้า นางจึงโบกมือบอกเป็นนัยว่าการประชุมสิ้นสุดลงแล้ว รั้งตัวหลินฉั่วเอ๋อไว้แค่คนเดียว สอบถามหญิงชราว่าพูดคุยอะไรกับเจ้าขุนเขาเฉินไปบ้าง
จากนั้นถานหลิงก็นั่งเรือข้ามฟากของซ่งหลันเฉียว มุ่งหน้าไปยังชายหาดโครงกระดูก ตอนที่รอเรือข้ามทวีปของสำนักพีหมา บรรพจารย์ผู้เฒ่าก่อกำเนิดที่เป็นสตรีผู้นี้ก็อดกระวนกระวายไม่ได้ ไม่รู้ว่าไปถึงท่าเรือหนิวเจี่ยวแล้ว รอจนได้พบกับเจ้าขุนเขาหนุ่มคนนั้น ตนจะยังกอบกู้สถานการณ์กลับมาได้อีกหรือไม่
ส่วนคนสองคนที่จับมือกันเดินทางไกลไปถามกระบี่กับสำนักแห่งหนึ่ง พอขยับเข้าไปใกล้ภูเขาลูกนั้น เฉินผิงอันก็หยิบหน้ากากออกมาสองแผ่น แผ่นหนึ่งแปะลงบนหน้าตัวเอง แผ่นหนึ่งยื่นส่งให้หลิวจิ่งหลง บอกว่าบนร่างเขามีแค่หน้ากากสองแผ่นนี้ เตรียมเอาไว้ใช้งาน
หลิวจิ่งหลงชำเลืองตามอง ไม่ได้ยื่นมือออกไปรับ เพราะนั่นเป็นหน้ากากของสตรี
เฉินผิงอันยังโน้มน้าวต่อ ตั้งใจยุยิ่งกว่าตอนยุให้ดื่มเหล้าเสียอีก “เอาแต่ใจตัวเองแล้วใช่ไหม? ผู้ฝึกกระบี่อย่างพวกเราค้ำฟ้ายันดิน จะมาถือสาอะไรกับหน้ากากแผ่นเดียว”
หลิวจิ่งหลงเพียงแค่ร่ายเวทอำพรางตา ไม่ยอมสวมหน้ากาก เฉินผิงอันร้องโอ๊ะโอหนึ่งที บอกว่าลืมไปว่ายังมีหน้ากากเหลืออีกแผ่น จึงยื่นส่งไปให้อีกรอบ
ดังนั้นผู้ฝึกกระบี่สองคนหนึ่งแก่หนึ่งเด็กจึงเดินไปถึงตีนภูเขาของสำนักแห่งนั้นท่ามกลางแสงจันทร์กับดอกซิ่งสีขาวอ่อนจาง
——