กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 813.2 ขึ้นเขา
นักพรตคนนั้นเบิกตากว้าง กัดฟันก้าวเดินว่องไวด้วยเท้าพายุลมกรด สองนิ้วทำมุทราเรียกวัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นหนึ่งออกมา คือภูเขาหยกแกะสลักเป็นรูปชือหลงนูนขึ้นมาหนึ่งชิ้น มองดูเหมือนมีชือหลงหกตัวขดตัวอยู่ในภูเขา เขาสามารถรับหน้าที่เป็นคนเฝ้าประตูของสำนักสั่วอวิ๋นได้ ต่อให้ขอบเขตจะไม่สูง แต่ก็มีตบะมีฝีมืออยู่บ้างไม่มากก็น้อย ผู้ฝึกตนตัดใจใช้วิธีการที่ต้องทุ่มด้วยด้วยการใช้แก่นเลือดในหัวใจมาช่วย ‘แต้มนัยน์ตา’ ให้กับกลุ่มของชือหลงไม่ลง เพราะถึงอย่างไรก็จะทำให้จิตวิญญาณเสียหายหลายส่วน คนเฝ้าประตูจึงได้แต่รีบก้มหน้าลง กัดปลายนิ้วให้แตก แต้มไปยังหกจุดของภูเขาหยก ทันใดนั้นแสงสว่างก็เปล่งจ้าอยู่กลางท้องฟ้าราตรี ชือตัวเล็กสีเหลืองหลายตัวถูกเซียนซือแต้มนัยน์ตาแล้วก็พลันมีชีวิตชีวา เริ่มส่ายหัวสะบัดหาง หมายจะออกมาจากภูเขาหยก กระโจนเข้าหาอาจารย์และศิษย์คู่นั้น
คิดไม่ถึงว่านาทีนี้เอง นักพรตเฒ่าที่ก้มหน้าก้มตาเดินขึ้นบันไดจะเพียงแค่ยิ้มเอ่ยสองคำว่า กลับไป
กลุ่มชือหลงเหมือนได้รับคำสั่งจึงกลับไปหลับสนิทต่อจริงๆ
บนขั้นบันได กลุ่มผู้ฝึกกระบี่ที่มีผู้ฝึกตนโอสถทองคนหนึ่งเป็นผู้นำพากันขี่กระบี่มาถึงอย่างพร้อมเพียง ผู้ฝึกกระบี่โอสถทองคือชายสวมชุดสีทองมีโฉมหน้าเป็นวัยกลางคน สะพายกระบี่หลุบตามองต่ำมาจากมุมสูง เอ่ยเสียงเย็นว่า “พวกเจ้าสองคนรีบไสหัวออกไปจากประตูภูเขาซะ สำนักสั่วอวิ๋นไม่เคยออกเงินค่าโลงศพให้ใคร”
คนผู้นี้คือผู้ฝึกกระบี่เซียนดินเพียงหนึ่งเดียวของสำนักสั่วอวิ๋น คือลูกศิษย์ผู้สืบทอดที่เป็นที่ภาคภูมิใจที่สุดของบรรพจารย์ภูเขาชิงจือเล็ก แล้วก็มีสถานะเป็นเจ้ายอดเขาของภูเขาในทุกวันนี้ ส่วนบรรพจารย์ก่อกำเนิดท่านนั้น ไม่ได้สนใจเรื่องราวทางโลกมาร้อยกว่าปีแล้ว
ผู้ฝึกกระบี่ท่านนี้คิดไม่ถึงว่าคนสองคนที่เดินขึ้นเขาจะเอาแต่เดินมุ่งหน้าขึ้นสู่ที่สูงอย่างเดียว แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินที่เขาพูด
เขาจึงหัวเราะหยันเย็นชา ชักกระบี่ยาวออกจากฝัก เอามาถือไว้ในมือ กระบี่หนึ่งฟันฉับลงไป ปราณกระบี่พุ่งทะยานดุจน้ำตกที่ทิ้งตัวดิ่งลงไปยังขั้นบันไดเบื้องล่าง
แต่จากนั้นก็ไม่เห็นว่านักพรตทั้งสองคนจะลงมืออย่างไร ปราณกระบี่ที่เป็นดั่งสายน้ำท่วมทะลักก็เป็นฝ่าย…แยกตัวออกเป็นสองส่วน ตรงดิ่งไปที่ประตูภูเขาโดยไม่แม้แต่จะย้อนกลับมา
ในใจผู้ฝึกกระบี่โอสถทองสะท้านสะเทือน พยายามข่มอารมณ์ให้เยือกเย็น เรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่งออกมา เส้นยาวสีเงินยวงเส้นหนึ่งพลันถูกดึงออกมาระหว่างผู้ฝึกกระบี่และนักพรต
เฉินผิงอันเหลือบตามองกระบี่บินที่ ‘ค่อยๆ หยุดลอยนิ่ง’ เบื้องหน้าตนเล่มนั้น เพียงแค่ยื่นนิ้วข้างหนึ่งออกไป ปัดเบาๆ หนึ่งทีกระบี่บินก็ลอยออกไปด้านข้างไกลหลายร้อยจั้ง
ผู้ฝึกกระบี่โอสถทองใจสั่นรัว จิตวิญญาณแกว่งไกวเหมือนคลื่นน้ำ ตวาดกร้าวใส่คนเฝ้าประตู ยังไม่รีบเรียกยันต์หลากสีออกมาแจ้งข่าวแก่ศาลบรรพจารย์อีก!”
คนเฝ้าประตูเรียกยันต์หลากสีออกมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ
ผู้ฝึกกระบี่ของสำนักสั่วอวิ๋นส่วนใหญ่มาจากภูเขาชิงจือเล็ก ผู้ฝึกกระบี่ที่ชุดคลุมสีทองสะดุดตาอย่างถึงที่สุดผู้นั้นเอ่ยเสียงหนัก “วางค่ายกล”
แสงกระบี่ผุดขึ้นจากสี่ทิศ ทำให้ทั้งดวงตาและจิตใจของคนมองสะท้านไหว
เป็นค่ายกลกระบี่ชิงจือของสำนักสั่วอวิ๋น แต่ว่าภูเขาชิงจือเล็กต้องยืมตัวผู้ฝึกกระบี่สองคนมาจากภูเขาบรรพบุรุษ ไม่อย่างนั้นหากจำนวนคนไม่พอก็จะไม่สามารถจัดวางค่ายกลที่สมบูรณ์แบบได้
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ชิงจือ (คือชื่อสมุนไพรชนิดหนึ่งของจีน) ออกดอก ไม่ต้องขอบคุณข้า”
ก้าวออกไปหนึ่งก้าว มายังจุดศูนย์กลางของค่ายกลกระบี่ ค่ายกลกระบี่ที่เพิ่งจะก่อตัวก็สลายกระจายออก คนเจ็ดคนที่รวมผู้ฝึกกระบี่โอสถทองเป็นหนึ่งในนั้นปลิวกระเด็นออกไปเหมือนกลีบบุปผาผลิบาน
เฉินผิงอันกล่าว “ภูเขาที่ไม่มีผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเซียนเหรินนั่งพิทักษ์ หรือสำนักที่ไม่มีผู้ฝึกลมปราณขอบเขตบินทะยานก็ควรถามกระบี่อย่างพวกเรานี่แหละ”
หลิวจิ่งหลงเอ่ยอย่างอ่อนใจ “เรียนรู้แล้ว”
บนจุดที่สูงขึ้นไปบนขั้นบันได ตำแหน่งอยู่กึ่งกลางภูเขา มีผู้ฝึกตนเฒ่าขอบเขตก่อกำเนิดคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น ในมือถือประคองแส้ปัดฝุ่น ทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายของเซียน คือเจ้ายอดเขาโล่วเยว่
ผู้ฝึกตนเฒ่ายิ้มกล่าว “หากเกาเจินลัทธิเต๋าทั้งสองท่านยอมหยุดมือ ถอยออกไปจากประตูภูเขาแต่เพียงเท่านี้ ทางสำนักสั่วอวิ๋นก็จะไม่เอาเรื่องในความผิดที่พวกเจ้าก่อไว้”
พูดแบบนี้ก็จริง แต่อันที่จริงค่ายกลใหญ่พิทักษ์ภูเขาของสำนักสั่วอวิ๋นกลับถูกเปิดใช้งานแล้ว ภูเขาทั้งลูกมีประกายแสงหลากสีเป็นจุดๆ พร่างพราวละเลื่อม สาดส่องให้ทั่วทั้งสำนักสั่วอวิ๋นสว่างไสวราวกับเวลากลางวัน ถึงขั้นที่ว่าเทพทวารบาลทั้งหมดล้วนพากันปรากฏตัว มีทั้งสิ้นหนึ่งร้อยแปดตน
เฉินผิงอันจุ๊ปากอย่างชื่นชม ถามว่า “ครั้งนี้เปลี่ยนเป็นเจ้าบ้างไหม?”
หลิวจิ่งหลงยิ้มเอ่ย “เจ้ามีฝีมือขนาดนั้น แล้วก็ยังไม่ได้เจอผู้ฝึกใหญ่ขอบเขตบินทะยานเสียหน่อย”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ กระทืบเท้าหนักๆ หนึ่งที “ถ้าอย่างนั้นก็ถอยอีกรอบ!”
แม้ว่าเทพทวารบาลทั้งหลายจะไม่ได้กลับไปยังตำแหน่งเดิม แต่ก็พร้อมใจกันหยุดอยู่กับที่ไม่เดินหน้าต่อ
นี่ทำให้ผู้ฝึกตนเฒ่าตะลึงพรึงเพริดสุดขีด
หลิวจิ่งหลงถามอย่างสงสัย “นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
เฉินผิงอันกล่าว “เรื่องนี้เริ่มจากทะเลสาบซูเจี่ยน ข้าจึงใคร่ครวญอยู่นานมาก ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็คิดไม่ตก ภายหลังไปอยู่ที่คฤหาสน์หลบร้อนก็เปิดตำราอ่านอยู่ตลอด บางทีอาจเกี่ยวข้องกับพวกยันต์ทั้งหลายที่เคยศึกษามาตอนที่เพิ่งเรียนหมัด แต่ก็เป็นแค่ความเป็นไปได้ ความจริงเป็นอย่างไรก็ยากที่จะรู้ได้แล้ว”
ปีนั้นระหว่างการเดินทางไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ครั้งแรก เฉินผิงอันได้แปะยันต์ปราณที่แท้จริงแปดตำลึงไว้บนมือและเท้าทั้งหมดสี่แผ่น แต่ก่อนที่จะไปเจอกับเจิ้งต้าเฟิงที่นครมังกรเฒ่า ยันต์พวกนั้นก็ได้สลายไปหมดแล้ว
ทุกวันนี้เรือนด้านหลังร้านตระกูลหยางไม่มีผู้เฒ่าคนนั้นอยู่อีกแล้ว เฉินผิงอันเคยถามหลี่เอ้อตอนอยู่บนยอดเขาสิงโตเกี่ยวกับความเป็นมาของยันต์ชนิดนี้ หลี่เอ้อบอกว่าเขาเองก็ไม่รู้ถึงความนัยที่ซ่อนอยู่เหมือนกัน แต่ศิษย์น้องอย่างเจิ้งต้าเฟิงน่าจะรู้ น่าเสียดายที่เจิ้งต้าเฟิงไปอยู่นครบินทะยานของใต้หล้าห้าสีแล้ว รอกระทั่งเฉินผิงอันอยู่ในคุกของกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้วหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นสุดท้ายออกมาก็ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องนี้ต้องสืบสาวราวเรื่องกันให้รู้แน่ชัด
หลิวจิ่งหลงกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็เปลี่ยนให้ข้าทำ”
จากนั้นคนทั้งสองก็เดินขึ้นเขากันไป ผู้ฝึกตนสำนักสั่วอวิ๋นที่รวมถึงก่อกำเนิดผู้เฒ่ายอดเขาโล่วเยว่เป็นหนึ่งในนั้นดูเหมือนจะยืนอยู่ที่เดิมกันทั้งหมด ต่างคนต่างร่ายเวทคาถาส่งเดช คนที่มองศึกอยู่ไกลๆ เห็นภาพนี้แล้วก็ได้แต่รู้สึกว่าน่าเหลือเชื่อ
นักพรตเฒ่าสองคนหนึ่งแก่หนึ่งเด็กจึงเดินสวนทางผู้ฝึกตนคนแล้วคนเล่าที่พยายามจะมาขวางทางไปทั้งอย่างนี้
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “กระบี่บินเล่มนี้ของเจ้าไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย”
หลิวจิ่งหลงเอ่ยอย่างเฉยเมย “อยู่ในกฎเกณฑ์ ล้วนต้องฟังข้า”
เฉินผิงอันถาม “ขอบเขตกว้างแค่ไหน?”
หลิวจิ่งหลงตอบ “เท่าที่สายตามองเห็น”
เฉินผิงอันถามอีก “ก่อนหน้านี้เจ้าเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบน เซียนกระบี่สามท่านอย่างพวกลี่ไฉ่มาถามกระบี่ที่ยอดเขาเพียนหรานตามประเพณี ตอนนั้นเจ้าไม่ได้เรียกกระบี่บินเล่มนี้ออกมาใช่ไหม?”
หลิวจิ่งหลงพยักหน้า “การถามกระบี่ประเภทนั้นเป็นมารยาทที่พึงมีกันทั้งทวีป อันที่จริงไม่ควรจะเอาจริงเอาจังเกินไป”
แล้วคนทั้งสองก็เดินไปถึงยอดเขาหย่างอวิ๋นภูเขาบรรพบุรุษกันทั้งอย่างนี้ เฉินผิงอันไม่มีเรื่องอะไรให้ทำจึงได้แต่ปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาดื่มเหล้าอีกครั้ง
ก่อนที่พวกเขาจะมองเห็นศาลบรรพจารย์ บรรพจารย์เว่ยจิงชุ่ย หยางเชว่เจ้าสำนักคนปัจจุบัน ชุยกงจ้วงเค่อชิง คนทั้งสามต่างก็ปรากฏกายพร้อมกัน
เว่ยจิงชุ่ยหรี่ตาเอ่ย “ตั้งแต่เมื่อใดกันที่เจียวหลงพสุธาแห่งอุตรกุรุทวีปรู้จักทำอะไรหลบๆ ซ่อนๆ ถามกระบี่ก็ถามกระบี่สิ สำนักสั่วอวิ๋นของพวกเราแค่รับไว้ก็เท่านั้น หากรับได้แล้วก็เป็นดั่งน้ำเส้นเล็กไหลยาว ค่อยๆ วางแผนระยะยาวกันไป รับไว้ไม่ได้ ฝีมือไม่ได้เรื่องก็ต้องยอมรับความซวย ไม่ว่าจะอย่างไรก็ดีกว่าเจ้าสำนักหลิวทำอะไรลับๆ ล่อๆ เช่นนี้ ทำให้เสียเกียรติเสียขนบธรรมเนียมของสำนักกระบี่ไท่ฮุยซะเปล่าๆ วันหน้าหากมีลูกศิษย์ลงจากภูเขาอีกครั้งจะถูกคนชี้นิ้วนินทา อาจตกเป็นที่ต้องสงสัยว่าคานบนไม่ตรงคานล่างเอียงเอาได้”
หลิวจิ่งหลักชี้ไปที่ ‘นักพรตเฒ่า’ ข้างกาย “เรียนรู้มาจากเขา”
เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้ากังขา “สำนักสั่วอวิ๋นแห่งนี้ไม่ได้อยู่ที่อุตรกุรุทวีปหรอกหรือ?”
หลิวจิ่งหลงพยักหน้า “แน่นอนว่าต้องอยู่ที่อุตรกุรุทวีป”
เฉินผิงอันโบกมือ “ไม่มีทาง อย่ามาหลอกข้าเชียว! เท่าที่ข้าจำได้ผู้ฝึกตนของอุตรกุรุทวีปเจอใครขวางหูขวางตา หากไม่เป็นอีกฝ่ายที่ล้มไปกองบนพื้นลุกไม่ขึ้นก็ต้องเป็นข้าที่นอนหลับอยู่บนพื้น มีหรือจะมาพูดพล่ามจู้จี้อยู่แบบนี้”
หลิวจิ่งหลงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ถึงอย่างไรก็เป็นสำนักสั่วอวิ๋นนี่นะ ยามอยู่นอกภูเขามักจะทำอะไรอย่างมั่นคงหนักแน่น แต่อยู่บนภูเขากลับพูดมากอยู่บ้าง เจ้าก็ให้อภัยสักหน่อย”
เฉินผิงอันทำท่ากระจ่างแจ้ง “ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง”
จากนั้นคนสามคนของสำนักสั่วอวิ๋นก็มองเห็นว่า ‘นักพรตเฒ่า’ คนนั้นยกเท้าข้างหนึ่งขึ้น เหลือบตามองใต้ฝ่าเท้าแล้วพูดบ่นว่า “ก่อนจะลงเขา สำนักสั่วอวิ๋นต้องชดใช้รองเท้าสะอาดๆ ให้ข้าคู่หนึ่งด้วย”
สีหน้าของชุยกงจ้วงบิดเบี้ยวกระอักกระอ่วน เขาเป็นแค่เค่อชิง ไม่ใช่ผู้ถวายงาน ถึงอย่างไรความสัมพันธ์ระหว่างเขากับสำนักสั่วอวิ๋นก็ยังมีเส้นบางๆ กั้นอยู่อีกเส้นหนึ่ง
ชุยกงจ้วงได้ยินมาว่าเซียนกระบี่หลิวของสำนักกระบี่ไท่ฮุยท่านนั้น ทุกครั้งที่ลงจากเขาไปทำธุระต่างๆ จะเหมือนอริยะปราชญ์ลัทธิขงจื๊ออย่างมาก ทำไมตอนนี้มองดูแล้วไม่เหมือนจะเป็นเช่นนั้นเลย
อีกทั้งหลิวจิ่งหลงมีสหายบนภูเขาที่ทำให้คนสะอิดสะเอียนตายโดยไม่ต้องชดใช้ด้วยชีวิตแบบนี้ได้อย่างไร
หลิวจิ่งหลงชำเลืองตามองศาลบรรพจารย์ที่อยู่ห่างไปไกล เอ่ยว่า “ผู้ฝึกตนเป็นของข้า ผู้ฝึกยุทธเป็นของเจ้า?”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ตามใจ”
เจ้าสำนักหยางเชว่จับจ้องมองนักพรตเฒ่าแล้วถามเบาๆ ว่า “เจ้าคือ?”
ชุยกงจ้วงหลุดหัวเราะพรืด “เจ้าสำนักหยางไม่ต้องถามชื่อคนผู้นี้ ก็แค่คนที่ทำเล่นผีหลอกเจ้า พอจะมีฝีมือหมัดเท้าเล็กน้อยก็เห็นว่าตัวเองเป็นหวังฟู่ซู่จริงๆ เสียแล้ว อีกเดี๋ยวจะให้เขานอนบอกชื่อแซ่บนพื้นก็แล้วกัน”
ชุยกงจ้วงเห็นเพียงว่านักพรตเฒ่าพยักหน้ารับ “ใช่ๆๆ นอกจากอย่านับบรรพบุรุษเข้าตระกูลกันแล้ว เรื่องอื่นๆ ที่เหลือเจ้าพูดอะไรก็ถูกหมดนั่นแหละ”
บรรพจารย์เซียนเหรินที่มีฉายาว่าเฟยชิงสนใจแค่หลิวจิ่งหลงคนเดียว เขาพูดกลั้วหัวเราะเสียงดังว่า “หลิวจิ่งหลงตัวดี ขอบเขตหยกดิบตัวดี คิดว่าตัวเองจะสมใจปรารถนาอยู่ในสำนักสั่วอวิ๋นได้จริงๆ หรือไร?”
หลิวจิ่งหลงพยักหน้า “ข้าคิดว่าใช่”
เว่ยจิงชุ่ยส่ายหน้า “ทำไม เป็นเจ้าสำนักของสำนักกระบี่ไท่ฮุยแล้วก็ช่วยให้ขอบเขตเจ้าเพิ่มสูงอีกระดับได้แล้วหรือ?”
คืนนี้ต่อให้ต้องเกิดการต่อสู้ครั้งใหญ่แล้วภูเขาได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงก็ยังไม่เป็นปัญหา โอกาสหาได้ยากขนาดนี้ เป็นเจ้าสำนักหนุ่มที่พาตัวมาส่งถึงที่ ถ้าอย่างนั้นก็จะเล่นงานให้ชื่อเสียงของสำนักกระบี่ไท่ฮุยของเจ้าหมดสิ้นไม่มีเหลือ!
ปราณวิญญาณของหลิวจิ่งหลงไม่มีริ้วกระเพื่อมใดๆ ไม่มีความเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย ทว่าเพียงชั่วพริบตานั้นยอดเขาทุกแห่งของสำนักสั่วอวิ๋นก็มีเส้นแสงสีทองตัดสลับกันนับพันนับหมื่นเส้น ทว่ากลับอ้อมผ่านผู้ฝึกตนบนภูเขาทุกคนไป
ขอแค่ผู้ฝึกตนไม่ขยับตัวก็ย่อมปลอดภัย
……
แจกันสมบัติทวีป สวนลมฟ้า
ฤดูร้อนอากาศร้อนระอุ ทว่าหวงเหอกลับสวมเสื้อคลุมหนังจิ้งจอก พิงราวรั้วทอดสายตามองไปไกลด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ไม่รู้ว่าเหตุใดเมื่อหลายวันก่อนถึงรู้สึกว่าแรงกดดันที่กดทับทั่วร่างพลันหายไป ร่างจึงเบาโหวง
วันนี้หลังจากฝึกกระบี่เสร็จหวงเหอจึงเรียกให้ศิษย์น้องหลิวป้าเฉียวมาที่นี่ “หลิวป้าเฉียว เลิกแสร้งทำเป็นไม่สนใจโลกทำตัวเสเพลไปเรื่อยได้แล้ว หน้าที่อะไรที่ควรเป็นของเจ้าก็ต้องเป็นของเจ้า ไม่มีทางหลบเลี่ยงได้พ้น เป็นผู้ฝึกกระบี่มัวแต่หลอกตัวเองอยู่อย่างนี้จะมีประโยชน์อะไร?”
ยามที่หวงเหอพูดคุยกับคนอื่นมักจะชอบเรียกชื่อของอีกฝ่ายตรงๆ เสมอ เรียกพร้อมกันทั้งชื่อและแซ่
ต่อให้อยู่กับศิษย์น้องอย่างหลิวป้าเฉียวก็ยังไม่ใช่ข้อยกเว้น
หลิวป้าเฉียวไม่ได้พูดอะไร
หวงเหอกล่าว “ข้าจะไปยังซากปรักของกำแพงเมืองปราณกระบี่ จากนั้นไปฝึกกระบี่ที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ที่นั่นฟ้าสูงแผ่นดินกว้างใหญ่ เหมาะแก่การออกกระบี่มากกว่า”
หลิวป้าเฉียวถามหยั่งเชิง “ให้ข้าไปเถอะ ศิษย์พี่คือเจ้าสวน ใครไปจากสวนลมฟ้าก็ได้ทั้งนั้น มีเพียงศิษย์พี่ที่ไปไม่ได้”
หวงเหอเอ่ยด้วยสีหน้าเฉยชา “ไปอยู่ข้างนอก เจ้ามีแต่จะทำให้อาจารย์ขายหน้า”
ตัดใจจากสตรีคนหนึ่งไม่ลง แล้วจะสามารถฝึกเวทกระบี่ชั้นสูงได้อย่างไร?
ไม่ใช่ว่าไม่อาจชอบสตรีคนหนึ่งได้ ผู้ฝึกตนบนภูเขามีคู่บำเพ็ญตนไม่ใช่ปัญหาอะไร
แต่หากชอบสตรีแล้วถ่วงรั้งการฝึกกระบี่ ถ้าอย่างนั้นน้ำหนักของสตรีที่อยู่ในใจผู้ฝึกกระบี่ก็จะหนักกว่ากระบี่สามฉื่อในมือ ไม่พูดถึงภูเขาหรือสำนักแห่งอื่น พูดถึงแค่สวนลมฟ้า พูดถึงแค่หลิวป้าเฉียว ก็เท่ากับว่าเป็นเศษสวะไปครึ่งตัวแล้ว
ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิดคนหนึ่งที่อายุไม่มาก ไม่ถือว่าแย่แล้ว แต่เจ้าหลิวป้าเฉียวคือคนที่อาจารย์รู้สึกว่าเป็นคนที่มีความคิดจิตใจเหมือนเขามากที่สุดในบรรดาลูกศิษย์ทุกคน จะพอใจแค่นี้ได้อย่างไร รู้สึกว่าโล่งอกแล้วก็เลยเที่ยวเตร่เล่นไปอีกสักร้อยปีค่อยฝ่าทะลุขอบเขตก็ยังไม่สายอย่างนั้นหรือ?
เพียงแต่คำพูดพวกนี้ หวงเหอคร้านจะพูด
——