กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 814.3 นักดื่ม
หลิวจิ่งหลงตอบ “ถ้าอย่างนั้นข้าก็สามารถแก้เนื้อหาในจดหมายให้เจ้าได้ จะให้เขียนว่าเจ้าสามารถสู้ขอบเขตบินทะยานได้เป็นกองก็ยังไม่เป็นปัญหา ว่ามาเถอะ จะให้เขียนว่าเจ้าสู้ได้กี่คน?”
เฉินผิงอันหัวเราะร่า “พูดจาเหมือนคนเมาอีกแล้วใช่ไหม?”
เซียนสุราหลิวตัวดี ถึงขั้นไปถึงขอบเขตของโต๊ะสุราที่ไม่ต้องดื่มเหล้าก็เมามายได้แล้ว
จากนั้นก็ทะยานลมเดินทางไกลไปอย่างเงียบเชียบอีกครั้ง หลังจากปล่อยกระบี่บินส่งข่าวที่สำคัญที่สุดเล่มนั้นออกไป เฉินผิงอันก็กลับมาอยู่ข้างกายหลิวจิ่งหลง ไม่เสียแรงที่รอคอยมาตั้งสามวัน
เฉินผิงอันคิดว่าก่อนจะออกเดินทางไปยังถ้ำสวรรค์วังมังกรจะไปที่ยอดเขาหย่างอวิ๋นกับหลิวจิ่งหลงก่อนอีกสักรอบ หรือไม่ก็ไปยังสำนักเล็กที่ชื่อว่าภูเขาถงฮวานั้นดู ดูสิว่าสรุปแล้วเป็นยอดฝีมือที่อยู่เบื้องหลังคนใดกันแน่ที่มีฝีมือเลิศล้ำจนสามารถช่วยหยางเชว่ช่วงชิงกระจกเปินเยว่มาได้ ไม่เพียงแต่นั่งในตำแหน่งเจ้าสำนักได้อย่างมั่นคง ยังจะใช้ชีวิตของผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตเซียนเหรินคนหนึ่งมาเป็นต้นทุน ถือโอกาสสาดน้ำสกปรกใส่สำนักกระบี่ไท่ฮุยด้วย
หลิวจิ่งหลงกลับเอ่ยว่า “ยังไม่ถึงเวลาที่จะแหวกหญ้าให้งูตื่น ข้าจะไปสืบสาวเบาะแสที่นั่นก่อน วันใดจำเป็นต้องถามกระบี่เต็มกำลังอย่างแท้จริง ข้าจะต้องแจ้งข่าวให้เจ้ารู้ทันทีแน่นอน”
เฉินผิงอันพยักหน้า หลิวจิ่งหลงทำอะไรรู้หนักเบาดีอย่างยิ่ง เขาจึงลุกขึ้นเอ่ยว่า “เจ้าเองก็ระวังตัวให้มาก”
หลิวจิ่งหลงลุกขึ้นยิ้มเอ่ย “ระวังกันทั้งคู่นั่นแหละ”
เฉินผิงอันยื่นเหล้ากาหนึ่งส่งไปให้ “ก่อนหน้านี้เข้าร่วมการประชุมที่ศาลบุ๋น ได้เจอกับชิงเสินฮูหยิน หากเป็นเหล้าชนิดอื่นก็คงไม่เท่าไร เจ้าดูตอนอยู่ที่ยอดเขาเพียนหรานสิ ข้าไม่ได้โน้มน้าวอะไรทั้งนั้น มีเพียงเหล้ากานี้ที่ต้องดื่ม”
หลิวจิ่งหลงลังเลอยู่เล็กน้อย ยังคงรับกาเหล้ามา ทั้งสองฝ่ายกำลังจะจากกัน ถึงอย่างไรก็ไม่ต้องมัวมายุให้ดื่มเหล้าอะไรกันแล้ว
เฉินผิงอันไม่ได้เก็บนกในกรงกลับมา เพียงทะยานลมจากไปอย่างเงียบเชียบ
หลิวจิ่งหลงเองก็ไม่ได้เก็บกระบี่บินเล่มนั้นกลับมาชั่วคราว เปิดกาเหล้า ดื่มเหล้าหนึ่งอึก ดีมาก คิดว่าข้าไม่เคยดื่มเหล้าภูเขาชิงเสินที่ขายในร้านเหล้าใช่ไหม?
เฉินผิงอันมุ่งหน้าลงใต้ไปตลอดทาง ไปเจอกับพวกหนิงเหยาที่ท่าเรือของถ้ำสวรรค์วังมังกรของสำนักมังกรน้ำ
หมี่ลี่น้อยบอกว่าพวกนางถือโอกาสแวะไปเป็นแขกที่ทะเลสาบกระบี่ฝูผิงระหว่างที่เดินทางผ่านมาแล้ว
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
ตัวตรงก็ไม่ต้องกลัวว่าเงาจะเอียง
……
ราชวงศ์เส้าหยวน
เหยียนเก๋อผู้ฝึกตนเซียนเหรินรู้เรื่องหนึ่งแล้วก็อึ้งงันไร้คำพูดไปอย่างสิ้นเชิง ในใจมีคลื่นแห่งความตะลึงพรึงเพริดถาโถม เนิ่นนานก็ยังไม่อาจสงบอารมณ์ลงได้ เขาถอนหายใจหนึ่งที สั่งให้คนไปเรียกเหยียนลี่มา บอกว่าเจ้าไม่ต้องออกจากบ้านแล้ว เรื่องที่คิดจะติดตามหนันกวงจ้าวไปฝึกตนบนมหามรรคานั้นไม่ต้องหวังแล้ว
เหยียนลี่ที่หลายวันมานี้หน้าแดงเปล่งปลั่งด้วยความยินดีคล้ายตกจากก้อนเมฆลงสู่โคลนตม อึ้งงันไร้คำพูด อดไม่ไหวต้องออกปากถามบรรพจารย์ว่าเป็นเพราะอะไรกันแน่
เหยียนเก๋อที่เดิมทีก็อารมณ์ไม่ดีอยู่แล้วถูกกวนใจจนโมโหหน้าเขียว ทำไม ทำไม ข้าผู้อาวุโสจะรู้กะผายลมหรือว่าทำไม สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าเหตุใดอยู่ดีๆ ผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานคนหนึ่งถึงตายอยู่หน้าประตูภูเขาอย่างกะทันหัน ถูกคนตัดหัว เหยียนเก๋อยกมือข้างหนึ่งตบจนร่างของเหยียนลี่หมุนคว้างกระเด็นออกจากในห้องไปกลางลานบ้าน ตวาดอย่างเดือดดาลว่าไสหัวไปไกลๆ เหยียนลี่ที่ใบหน้าข้างหนึ่งบวมเป่งเหมือนภูเขาลูกเล็กเอามืออุดหน้า ในใจกระวนกระวาย จากไปอย่างเศร้าสร้อย
หอเซียนจิ่วเจิน
อวิ๋นเหมี่ยวเจ้าหออ่านจดหมายลับที่ส่งมาจากสำนักของหนันกวงจ้าวพร้อมกับคู่รักที่เป็นขอบเขตเซียนเหรินเช่นเดียวกัน ทั้งสองฝ่ายต่างก็ไร้คำพูด
ส่วนหลี่ชิงจู๋ลูกศิษย์ผู้สืบทอดคนนั้น คาดว่าภายในเวลาร้อยปีคงไม่มีหน้าจะลงจากภูเขาไปแล้ว
อวิ๋นเหมี่ยววางจดหมายลับลง พูดเสียงสั่นว่า “ใจสวรรค์ยากคาดเดา เทพและผียากจะคาดการณ์ได้”
คู่รักของเขาถามเสียงเบาว่า “ใครกันที่สามารถมีเวทกระบี่เช่นนี้ ถึงกับสังหารหนันกวงจ้าวให้ตายคาที่ เป็นเหตุให้ขอบเขตบินทะยานท่านนี้ไม่อาจออกไปจากประตูภูเขาบ้านตัวเองได้”
อวิ๋นเหมี่ยวเอ่ย “คิดมากไปก็ไร้ประโยชน์ ไม่ต้องเดาแล้ว”
ต่อให้จะอยู่กับคนรักที่มหามรรคาของทั้งสองฝ่ายแนบแน่น อวิ๋นเหมี่ยวก็ไม่เคยเล่าทุกเรื่องให้นางฟัง ไม่ใช่ว่าไม่ยินดี แต่เพราะไม่กล้าจริงๆ
ในความเป็นจริงแล้ว คู่บำเพ็ญตนไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร แต่ในใจอวิ๋นเหมี่ยวกลับรู้ดี ไม่ต้องคาดเดาแม้แต่น้อย
ต้องเป็นฝีมือของเจ้านครจักรพรรดิขาวท่านนั้นแน่นอน!
หรือว่าอาจารย์เจิ้งกำลังบอกกับตนเป็นนัยๆ ว่า ให้เก็บสำนักของหนันกวงจ้าวที่เป็นดั่งมังกรไร้หัวไว้เป็นของในกระเป๋าตัวเอง
ก่อนหน้านี้มีจดหมายลับฉบับหนึ่งส่งมาถึงภูเขาอ๋าวโถว ขอหลิงจือหยกขาวชิ้นนั้นไปจากตน หรือว่าก็เพื่อการนี้?
หรืออาจารย์เจิ้งจะกำลังหมายความว่า เจ้าอวิ๋นเหมี่ยวแค่มอบอาวุธกึ่งเซียนชิ้นหนึ่งออกไป ก็จะได้สำนักแห่งหนึ่งไปครองเปล่าๆ แล้ว?
ราวกับสวรรค์ลิขิตอย่างไรอย่างนั้น
เพียงแต่ว่าภูเขาของหนันกวงจ้าว ถึงอย่างไรก็เป็นสำนักใหญ่ เดิมทีรากฐานก็อยู่ไกลเกินกว่าที่สำนักกระบี่เหมยซานจะสามารถทัดเทียมได้ การวางแผนจัดการกับมันจึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่ว่าอวิ๋นเหมี่ยวมาลองคิดอีกทีก็รู้สึกตกตะลึงระคนยินดีอย่างยิ่ง ดีก็ดีที่ว่าตาเฒ่าหนันกวงจ้าวผู้นี้มีนิสัยขี้เหนียว แค่อบรมปลูกฝังเจ้าสำนักขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งให้มาเป็นหมอนปักลายบุปผาเท่านั้น ขนาดลูกศิษย์ผู้สืบทอดแท้ๆ ของเขายังเป็นเช่นนี้ พวกศิษย์ลูกศิษย์หลานกลุ่มอื่นก็ยิ่งเป็นว่าเบื้องบนทำอย่างไร เบื้องล่างก็ได้ผลตามนั้น เป็นอย่างนี้ปีแล้วปีเล่า กลายเป็นว่าเลี้ยงเศษสวะไว้รังหนึ่ง เมื่อเป็นเช่นนี้ สำนักที่ไม่มีหนันกวงจ้าวยังจะสู้สำนักกระบี่เหมยซานได้จริงๆ หรือ? จะว่าไปแล้วสำนักแห่งนั้นก็อาศัยหนันกวงจ้าวให้ประคับประคองมาคนเดียวเท่านั้น เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลบนภูเขาไม่ถึงหนึ่งร้อยคน ความสามารถและพละกำลังที่มากกว่าล้วนเอาไปช่วยบรรพจารย์หาเงินทั้งนั้น
ดวงตาของอวิ๋นเหมี่ยวฉายประกายวิบวาว อารมณ์พลันฮึกเหิมตื่นเต้นขึ้นมาทันใด ตนห้ามทำผิดต่อการชิงลงมือก่อนที่ยอดเยี่ยมอย่างถึงที่สุดของอาจารย์เจิ้งในครั้งนี้เด็ดขาด!
ใต้หล้ามืดสลัว อารามเสวียนตูใหญ่
ใต้ต้นท้อต้นหนึ่งมีเด็กคนหนึ่งสวมหมวกหัวเสือ
อยู่ในสถานที่ฝึกตนที่เป็นต่างบ้านต่างเมืองแห่งนี้ นอกประตูกระท่อมมีสระขนาดเล็กอยู่แห่งหนึ่ง นักพรตของอารามเสวียนตูช่วยปลูกดอกบัวไว้ให้เต็มสระ ยามที่ดอกไม้ผลิบานกลีบดอกจะทั้งยาวทั้งกว้าง สีเขียวและขาวแยกจากกันอย่างชัดเจน
ทุกครั้งที่มีลมพัดโชยมา กลิ่นหอมของดอกไม้รวยรินสดชื่น ดอกไม้โยกส่ายมีชีวิตชีวา น่ามองอย่างยิ่ง
ในเมื่ออยู่ที่ใต้หล้ามืดสลัว อารามเต๋าบนภูเขาจึงมีมากมายดุจก้อนเมฆ นักพรตล่างภูเขาก็ยิ่งมีมากมายนับไม่ถ้วน เขาจึงตั้งฉายาให้ตัวเองง่ายๆ ว่า ชิงเหลียน (ดอกบัวเขียว)
วันนี้เจ้าอารามผู้เฒ่าพาคนผู้หนึ่งเดินมาด้วย มาถึงก็ตะโกนดังลั่น “รีบมาดูเร็วเข้าว่าใครมาหา”
ป๋ายเหย่หันหน้าไปมองแล้วยิ้มถาม “จวินเชี่ยน เจ้ามาได้อย่างไร?”
หลิวสือลิ่วยิ้มกล่าว “ได้ยินอาจารย์บอกว่าเจ้าอยู่ที่นี่ ก็เลยแวะมาหา”
ป๋ายเหย่เอ่ยอย่างอ่อนใจ “อยากหัวเราะก็หัวเราะเถอะ”
หลิวสือลิ่วยื่นมือมาเช็ดปาก “ข้าจะพยายามอดทนไว้”
คนที่สามารถทำตัวสนิทสนมกับป๋ายเหย่เช่นนี้ได้ ในหลายๆ ใต้หล้าก็มีเพียงหลิวสือลิ่วที่เคยขึ้นเขาไปเยี่ยมเยือนเซียนพร้อมกับป๋ายเหย่เท่านั้น
นักพรตซุนลูบหนวดยิ้ม “น้องป๋ายเหย่ ช่วงเวลาอันดีทัศนียภาพงดงามดอกไม้ผลิบานเต็มต้น คนรู้จักเก่าได้กลับมาพบเจอกันโดยที่ต่างฝ่ายต่างสบายดี วันนี้ไม่ดื่มเหล้าแล้วจะรอยามใดเล่า?”
ป๋ายเหย่ส่ายหน้า
หลิวสือลิ่วโน้มน้าว “ดื่มสักเล็กน้อยนะ”
ป๋ายเหย่พยักหน้า
กินหม้อไฟที่ภูเขาใหญ่แสนลี้ไปแล้ว ตอนนั้นชิงมี่ผู้ฝึกตนอิสระกินอย่างตั้งใจเป็นพิเศษ ละเลียดเคี้ยวช้าๆ เพราะถึงอย่างไรหากไม่ระวังก็อาจกลายเป็นข้าวหัวขาดได้
อาเหลียงกินอาหารดื่มสุราอิ่มหนำแล้วก็ตบท้องเบาๆ เตรียมจะทะยานลมลงใต้ ยิ้มถามว่า “พี่ชิงมี่ เจ้ารู้สึกว่าทะยานลมเดินทางไกล ไม่พูดถึงการขี่กระบี่ ไปในแนวนอนเหมือนว่ายน้ำ หรือยืนตรงๆ จะดูสง่างามมากกว่ากัน เจ้าไม่รู้อะไร ปัญหานี้ข้าคิดไม่ตกมานานหลายปีแล้ว”
เฝิงเซวี่ยเทาจึงได้แต่ตอบอย่างผิดมโนธรรมในใจว่า “ขอแค่เป็นเจ้าอาเหลียงที่ทะยานลม คนนอกเห็นเข้าก็รู้สึกว่าสง่างามเหมือนกันหมด”
อาเหลียงพยักหน้า “เป็นคำพูดจากใจจริง”
เฝิงเซวี่ยเทาเงียบไปพักใหญ่ก็อดไม่ไหวถามว่า “อาเหลียง เวลาปกติเจ้าไม่จำเป็นต้องหลอมกระบี่หรือ? อยู่ดีไม่ว่าดีมาคิดเรื่องพวกนี้ทำไม”
อาเหลียงยิ้มตอบ “สมองเจ้ามีปัญหาหรือ เป็นตั้งขอบเขตบินทะยานแล้วยังจะถามคำถามปัญญาอ่อนเช่นนี้อีก กระบี่จำเป็นต้องฝึกด้วยหรือ? ข้าไม่คิดเรื่องนี้จะให้คิดเรื่องอะไรเล่า?”
เฝิงเซวี่ยเทาจึงอดกลั้นเอาไว้
เพราะถึงอย่างไรไอ้หมอนี่ก็คือผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบสี่คนแรกในหลายๆ ใต้หล้าตามหลังเฉินชิงตูแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่
ผู้ฝึกกระบี่ลัทธิขงจื๊อจากใต้หล้าไพศาลคนหนึ่ง กลับเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตสิบสี่ที่ใต้หล้ามืดสลัว ฝ่าทะลุขอบเขตได้ดี แต่กลับมาขอบเขตถดถอยอยู่ที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้าง แล้วก็ขอบเขตถดถอยอย่างไม่เลอะเลือนเลยแม้แต่น้อย
อาเหลียงพลันถามว่า “พี่ชิงมี่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าปีศาจแบบใดในใต้หล้าที่สู้ไม่ได้มากที่สุด?”
เฝิงเซวี่ยเทาส่ายหน้า
อาเหลียงกล่าว “แน่นอนว่าต้องเป็นปีศาจเอวบาง”
เฝิงเซวี่ยเทาฟังคำพ้องเสียงที่เป็นอีกความหมายหนึ่งไม่ออก จึงได้แต่คิดว่าอาเหลียงพูดจาสัปดนอีกแล้ว
“ไป จะพาเจ้าไปเล่นงานปีศาจเอวบางตนนั้น!”
อาเหลียงโบกมือเป็นวงกว้าง “คำพูดไม่น่าฟังเอามาพูดกันก่อน หากว่าเอวเจ้าไม่ดีก็ไม่มีทางเอาชนะได้หรอกนะ”
เดิมทีเฝิงเซวี่ยเทาคิดว่าออกจากภูเขาใหญ่แสนลี้แล้ว การเดินทางต่อจากนั้นจะไม่สนอะไรอีก จะแค่บุกตะลุยลงใต้ไปตลอดทางพร้อมกับอาเหลียงเท่านั้น เจอสำนักของเปลี่ยวร้างสำนักหนึ่งก็ซัดให้เละสำนักหนึ่ง
คิดไม่ถึงว่าต่อจากนั้นจะยังได้กินเลี้ยงที่ทุกคนพูดคุยยิ้มแย้มกันอย่างสนุกสนาน หูตาพร่าลายไปกับการตกแต่งในห้องอาหารที่หรูหราโอ่อ่า อีกทั้งผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจยังเป็นเจ้าบ้านด้วย
อาเหลียงกอดคอคุยกับผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจขอบเขตเซียนเหรินตนนั้นในงานเลี้ยงอย่างเบิกบาน เรียกกันเป็นพี่เป็นน้อง ต่างคนต่างระบายความทุกข์ในใจตัวเอง
อาเหลียงเหมือนผู้ฝึกกระบี่ในท้องถิ่นของใต้หล้าเปลี่ยวร้างอย่างมาก ส่วนผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจที่เป็นเจ้าของภูเขาก็พูดจาเหมือนผู้ฝึกลมปราณใต้หล้าไพศาลยิ่ง
ภูเขาลูกนี้ในอดีตได้ทุบหม้อขายเหล็กจ่ายเงินเทพเซียนก้อนใหญ่ให้กับภูเขาทัวเยว่ ผู้ฝึกตนบนภูเขาจึงไม่เคยไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่เคยไปใต้หล้าไพศาล
อาเหลียงชูจอกเหล้าขึ้น พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “โดยทั่วไปแล้วงานเลี้ยงสุรามีกฎ แขกต้องไม่พาแขกมาด้วย เป็นข้าที่ละเมิดกฎจึงจะดื่มลงโทษตัวเองสามจอก”
มันเอ่ยอย่างเต็มไปด้วยเหตุด้วยผล “ที่ไหนกัน ที่ไหนกัน สหายของเจ้าอาเหลียงก็เท่ากับว่าเป็นพี่น้องคนดีที่ตัดหัวไก่เผากระดาษเหลืองกับข้า จะต้องเกรงใจกันไปไย คิดซะว่าที่นี่เป็นบ้านของตัวเองเถอะ!”
มันข่มกลั้นความเสียดาย ผงกปลายคางบอกเป็นนัยให้ผู้ฝึกตนหญิงที่เป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดคนหนึ่งซึ่งอยู่ด้านข้างรีบไปยังสถานที่สำคัญซึ่งเป็นคลังสมบัติของภูเขาอีกครั้ง จากนั้นไปเอาเหล้าเซียนชะตาน้ำของลำคลองเย่ลั่วที่ล้ำค่ากาหนึ่งออกมาให้เจ้าชาติสุนัขอีกครั้ง ของเล่นชนิดนี้มีน้อยมาก ต่อให้จ่ายเงินก็ใช่ว่าจะหาซื้อมาได้
ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจขอบเขตเซียนเหรินตนนั้นคล้ายจะเข้าใจอาเหลียงเป็นอย่างดี จึงเรียกสาวงามเผ่าจิ้งจอกกลุ่มหนึ่งที่หุ่นบางอรชน สวมชุดโปร่งบาง เห็นเนื้อหนังวับแวมออกมา
อาเหลียงมองอยู่สองสามทีคล้ายจะผิดหวังเล็กน้อย เขาโบกมือเป็นวงกว้างทันใด เอ่ยสามคำว่า
กลุ่มถัดไป
อาเหลียงรีบอธิบาย “ข้าน่ะไม่ได้อะไรมากหรอก เป็นสหายคนนี้ของข้าที่ค่อนข้างชอบเรื่องแบบนี้ แต่ดันเป็นพวกสายตาสูง น่ารำคาญยิ่งนัก”
มันหัวเราะเสียงก้อง “นี่เป็นเรื่องดี เป็นเรื่องดี ผู้มีชื่อเสียงต้องเจ้าเสน่ห์จึงจะเป็นวีรบุรุษที่แท้จริง!”
เฝิงเซวี่ยเทารู้สึกว่าหากหย่าเซิ่งอยู่ที่นี่คงไม่ด่าคน แต่คงตีอาเหลียงปางตายเลยกระมัง?
อาเหลียงดื่มเหล้าจนใบหน้าแดงก่ำ เหล่ตามองเฝิงเซวี่ยเทา ยักคิ้วหลิ่วตาให้ คล้ายกำลังพูดว่าข้าเข้าใจเจ้า หากสาวงามกลุ่มถัดไปยังไม่ถูกใจเจ้าก็เปลี่ยนใหม่อีกรอบ
ในงานเลี้ยงสุราเปลี่ยนสาวงามที่มีความงามหลากหลายไปกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า มีทั้งอวบอ้วนมีทั้งผอมบาง ในดวงตาฉ่ำน้ำทอประกายแห่งอารมณ์ที่ไม่ด้อยกว่าน้ำของสุราเลย
กว่าขอบเขตเซียนเหรินผู้นั้นจะส่งอาเหลียงและคนผู้หนึ่งที่ไม่รู้ชื่อแซ่ออกจากบ้านไปอย่างนอบน้อมได้ไม่ใช่เรื่องง่าย
มันแอบรู้สึกโชคดีอยู่ในใจ โชคดีที่ปีนั้นยอมฟังคำเกลี้ยกล่อม ไม่อย่างนั้นวันนี้ได้กลับมาพบเจอกันอีกครั้งก็คงไม่ได้เรียบง่ายเพียงแค่ดื่มเหล้ารำลึกความหวังเท่านั้น
ปีนั้นอาเหลียงที่อยู่ในงานเลี้ยงสุราได้กอดคอมัน หัวเราะคิกคักเอ่ยประโยคหนึ่งว่า วันหน้าหากไปอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ซึ่งเป็นบ้านเกิดของข้าครึ่งหนึ่ง ขอแค่เจอกับมันบนสนามรบหรือได้ยินว่ามันไปที่นั่น ถ้าอย่างนั้นสุราที่ติดค้างไว้ก็ไม่จำเป็นต้องใช้คืนแล้ว
อาเหลียงและเฝิงเซวี่ยเทาทะยานลมพลิ้วกายลงบนภูเขาแห่งหนึ่งที่ห่างมาไกลพันลี้ เฝิงเซวี่ยเทาถามเสียงทุ้มหนักว่า “คงไม่ได้แค่กินดื่มแบบนี้ไปตลอดทางกระมัง?”
อาเหลียงกระตุกมุมปาก “คิดอะไรน่ะ คิดว่าใต้หล้าเปลี่ยวร้างคือสถานที่ที่ชวนรักชวนฝันจริงๆ หรือไร? แนะนำเจ้าว่ารีบเตรียมใจไว้เถอะ วันหน้าหากมีใครปรากฎตัวมาขวางทางย่อมต้องเป็นการต่อสู้ที่เลวร้ายครั้งหนึ่งแน่นอน”
เขายกนิ้วโป้งชี้ไปข้างหลัง “สหายคนนั้นของข้าต้องแอบส่งกระบี่บินแจ้งข่าวไปยังภูเขาทัวเยว่แน่นอน”
เฝิงเซวี่ยเทาถาม “แล้วเจ้าไม่โกรธหรือ?”
อาเหลียงทรุดตัวลงนั่งยอง สายตามองไปยังทิศไกล เอ่ยอย่างเรียบเฉยว่า “หนทางคับแคบเดินได้ยาก แต่จอกเหล้านั้นกว้าง หลักการเหตุผลน้อยนิดแค่นี้ก็ไม่เข้าใจหรือ? ตอนที่ดื่มเหล้าคือพี่น้อง จะหยอกเย้ากันอย่างไรก็ได้ แต่วางชามเหล้าออกจากโต๊ะสุราก็ต้องคิดกันอีกแบบ ต่างคนต่างเดินไปบนเส้นทางของตัวเอง”
หากมันไม่ทำแบบนี้ ย่อมต้องถูกภูเขาทัวเยว่อาฆาตแค้นอย่างแน่นอน
ดังนั้นครั้งนี้อาเหลียงจึงไม่คิดจะดื่มสุราของสหายในยุทธภพเปล่าๆ จริงๆ
เฝิงเซวี่ยเทามีชาติกำเนิดจากผู้ฝึกตนอิสระ จึงเข้าใจเรื่องแบบนี้อย่างลึกซึ้ง พยักหน้าเอ่ยว่า “มีเหตุผล”
โดยไม่ทันรู้ตัวก็เริ่มจะชอบขนบธรรมเนียมของที่นี่ขึ้นมาบ้างแล้ว ไม่ได้มีกฎเกณฑ์มากมายขนาดนั้น หรือควรจะบอกว่ากฎเกณฑ์ของที่แห่งนี้ทำให้ผู้ฝึกตนอิสระอย่างชิงมี่ชื่นชอบอย่างมาก อีกทั้งเดิมทีก็เป็นความเชี่ยวชาญของเขาอยู่แล้ว
เฝิงเซวี่ยเทาถาม “อาเหลียง ขอถามเรื่องหนึ่งได้ไหม กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเจ้าชื่อว่าอะไร? ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครเคยพูดถึง มีแค่เล่มเดียวหรือว่าไม่ใช่แค่เล่มเดียว?”
อาเหลียงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เพียงแค่คุกเข่าด้วยขาข้างเดียว ขยุ้มดินขึ้นมาหนึ่งกำมือ บี้ให้ละเอียดด้วยท่วงท่าอ่อนโยน หรี่ตามองไปยังทิศไกล
เฝิงเซวี่ยเทาเอ่ยว่า “มีคนติดตามพวกเรา?”
อาเหลียงลุกขึ้นยืน ยิ้มกล่าว “ยังไม่ต้องสนใจพวกอาหมาอาแมวแค่ไม่กี่ตัวนี้ พวกเราเดินทางกันต่อ วันหน้าพอมารวมตัวกันจะได้ทุ่นแรง ข้าจะได้ไม่ต้องควานหาตัวไปทั่ว”
เฝิงเซวี่ยเทารู้ว่าคนที่อยู่ข้างกายผู้นี้มักจะพูดจาทำให้คนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นคำคุยโว แต่แท้จริงแล้วกลับไม่ใช่
ดูเหมือนว่ายามนี้อาเหลียงเพิ่งจะคืนสติ “ก่อนหน้านี้เจ้าถามว่าอะไรนะ?”
เฝิงเซวี่ยเทาเอ่ยอย่างจนใจ “กระบี่บินแห่งชะตาชีวิต”
อาเหลียงคลี่ยิ้ม “ก็ข้าชอบดื่มเหล้านี่นะ ยุทธภพมีแค่แห่งเดียว ดังนั้นกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตจึงมีแค่เล่มเดียว”
เฝิงเซวี่ยเทาสงสัยใคร่รู้อย่างยิ่ง “ชื่อว่าอะไร?”
อาเหลียงหันหน้ามาทำหน้าทะเล้น “วันหน้าเป็นศัตรูกับข้า ได้ถามกระบี่กัน เจ้าก็จะรู้เอง”
เฝิงเซวี่ยเทาถอนหายใจ ไม่กล้าพูดอะไรมากอีก
รู้ว่าอาเหลียงกำลังบอกกับตนเป็นนัยๆ ว่า อยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้างแห่งนี้ วันหน้าหากเจอเข้ากับสถานการณ์เป็นตายที่ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายก็สามารถลองแว้งกัดเขา ลองมาถามกระบี่กับเขาอาเหลียงดูได้
อาเหลียงมีกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตแค่เล่มเดียว มีชื่อว่านักดื่ม (อิ่นเจ่อ)
——