กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 816.2 แสงจันทร์
เฉินผิงอันกล่าว “เงินฝนธัญพืชแค่สองเหรียญจะพอได้อย่างไร ว่ามาเถอะ หลายปีมานี้จ่ายเงินเทพเซียนไปให้ข้าเท่าไร ข้าจะชดเชยให้เอง”
ปีนั้นเฉินผิงอันคิดไม่ถึงว่าตัวเองไปที่กำแพงเมืองปราณกระบี่แล้วจะต้องอยู่นานไม่อาจได้กลับคืนมายังบ้านเกิดเช่นนั้น เดิมทีนึกว่าอย่างมากสุดแค่ไม่กี่ปีก็จะได้กลับมาเยือนอุตรกุรุทวีป หวนคืนกลับมายังสำนักมังกรน้ำอีกครั้ง
เดิมทีหลี่หยวนคิดจะปฏิเสธ เงินเทพเซียนน้อยนิดแค่นี้จะนับเป็นอะไรได้ เพียงแต่พอถึงคิดถึงว่านี่เกี่ยวพันกับกฎเกณฑ์ของการเซ่นไหว้จึงยอมบอกจำนวนไปคร่าวๆ บอกให้เฉินผิงอันควักเงินฝนธัญพืชออกมาอีกสิบเหรียญ มีแต่จะมากไม่มีน้อย ไม่ต้องกังวลว่าจะมอบให้เขาน้อยไปแม้แต่เหรียญเกล็ดหิมะเดียว เฉินผิงอันจึงมอบเงินฝนธัญพืชให้ยี่สิบเหรียญโดยตรง หลี่หยวนจึงถามว่าเรื่องนี้จะให้ทำต่อไปอีกประมาณกี่ปี เฉินผิงอันบอกว่าน่าจะอีกสักประมาณหนึ่งร้อยปี
หากมีการกลับมาเกิดใหม่ พูดถึงล่างภูเขา มนุษย์ธรรมดาอายุเจ็ดสิบปีก็ถือว่าเป็นชาติหนึ่งแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็สามารถเอาเวลาร้อยปีมาคำนวณได้พอดี หากมีใครที่ได้กลับชาติมาเกิดใหม่แล้วยังสามารถฝึกตนบนภูเขาต่อได้อีก เฉินผิงอันก็หวังว่าหากมีวาสนาจะได้พบเจอกัน
จากนั้นเฉินผิงอันก็หยิบเอายันต์สีทองที่เตรียมไว้เรียบร้อยแล้วออกมาสิบแผ่น มาจากบันทึกใน ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ บอกให้หลี่หยวนช่วยเผาให้ในงานพิธีกรรมยันต์ทองคราวหน้า ทุกปีเผาหนึ่งแผ่น
แรกเริ่มหลี่หยวนไม่ได้สนใจอะไร กระทั่งมาอยู่ในมือแล้วมองอีกทีสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันใด หลังจากเก็บใส่ไว้ในชายแขนเสื้อแล้วก็มองไปยังเซียนกระบี่ชุดเขียวที่ทำอะไรโดยใช้อารมณ์เกินไปอย่างเหม่อลอย ใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “เฉินผิงอัน ไยเจ้าต้องทำเช่นนี้ด้วย?! นี่จะผลาญโชควาสนาบุญบารมีของตัวเองได้นะ! อีกทั้งหนึ่งปีเผาหนึ่งแผ่น ถี่เกินไปแล้ว เมื่อเทียบกับการผลาญตบะของผู้ฝึกตนบนภูเขาแล้ว นี่ยังเป็นการละเมิดข้อห้ามยิ่งกว่าอีก หากไม่เป็นเพราะเจ้าเลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบแล้ว ข้าคงต้องด่าเจ้าว่าเสียสติไปแล้วหรือไร”
สายตาเฉินผิงอันฉายประกายแจ่มจ้า เอ่ยว่า “ข้าก็แค่หวังว่าหากมีความจริงใจความศักดิ์สิทธิ์ก็จะบังเกิด”
หลี่หยวนถอนหายใจเบาๆ ในใจ เอ่ยอย่างจนใจว่า “เหตุใดข้าถึงมีสหายอย่างเจ้าได้นะ”
เฉินผิงอันหันหน้าไปมองนอกห้อง ยิ้มเอ่ยว่า “คาดว่าก่อนพวกเราจะจากไป เกาะเป็ดน้ำคงต้องต้อนรับแขกอีกครั้ง”
หลี่หยวนพยักหน้า “เกินครึ่งคงเป็นเส้าจิ้งจือ ในเรื่องอย่างการต้อนรับขับสู้นี้ นางยินดีทุ่มเทความคิดจิตใจมากกว่าซุนเจี๋ยแห่งสำนักเหนือ”
แล้วก็จริงดังคาด เส้าจิ้งจือแห่งสำนักใต้กับหญิงชราถือไม้เท้าหัวมังกรคนหนึ่งจับมือกันมาเยี่ยมเยือนเจ้าของเกาะเป็ดน้ำคนใหม่
เส้าจิ้งจือคือผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบ มีเวทคงความเยาว์วัย ลักษณะจึงเหมือนสตรีโตเต็มวัยที่ยังอ่อนเยาว์ นางสวมชุดคลุมอาคมที่เรียบง่าย เป็นชุดจี่ฝู (ชุดมงคลของนางในสมัยโบราณ) ปักลายบุปผาด้วยวิธีการปักแบบน่าซาของสือชิงตี้ มวยผมหลวมๆ ปักด้วยปิ่นหยก แต่งหน้าอ่อนบาง
หญิงชราเป็นขอบเขตก่อกำเนิด หากอิงตามลำดับศักดิ์จะถือว่าเป็นอาจารย์อาหญิงของซุนเจี๋ยเจ้าสำนัก ก่อนที่นางจะข้ามธรณีประตูเข้ามาได้จงใจหยุดชะงักไปชั่วครู่ นางยกมือขึ้นจัดเส้นผมตรงจอนหู แต่กลับได้แค่ใช้นิ้วมือที่เหี่ยวแห้งปัดผ่านหิมะขาว
ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันเดินมาที่ขั้นบันไดนอกประตูเพียงลำพัง เขายืนยิ้มกุมหมัดรอต้อนรับอีกฝ่ายอยู่ก่อนแล้ว
เส้าจิ้งจือนำของขวัญแสดงความยินดีชิ้นหนึ่งมามอบให้ คนที่ต้องการซื้อเกาะเป็ดน้ำถึงกับเป็นเจ้าสำนักที่จริงแท้แน่นอนคนหนึ่ง ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในศาลบรรพจารย์ทำให้นางตกตะลึงอย่างมาก
เพราะตอนที่อยู่ในศาลบรรพจารย์ หลี่หยวนกลับเห็นคนนอกดีกว่า เด็กหนุ่มชุดดำที่เปลี่ยนจากสุ่ยเจิ้งมาเป็นหลงถิงโหวพูดไม่มาก แค่ไม่กี่ประโยคเท่านั้น ประโยคหนึ่งในนั้นก็บอกว่าสหายของตนคนนี้คือเจ้าสำนักของสำนักหนึ่งบนภูเขา ดังนั้นตามหลักแล้วพวกเจ้าซุนเจี๋ย เส้าจิ้งจือสองคน ควรจะต้องไปรอต้อนรับที่ท่าเรือมู่หนูโน่น
จากนั้นเส้าจิ้งจือก็รู้ว่าภูเขาของคนผู้นี้เพิ่งจะเลื่อนเป็นสำนักได้ไม่นาน เหตุผลที่เส้าจิ้งจือมาเป็นแขกที่นี่ก็เพื่อนำของขวัญที่ถือเป็นของวิเศษธาตุน้ำชิ้นหนึ่งมามอบให้กับเจ้าสำนักเฉิน มีชื่อว่าเมี่ยเหมิ่ง ลักษณะเหมือนยุง แต่กลับมีชื่อเรียกอีกชื่อบนภูเขาว่าเจียวหมึกน้อย เลี้ยงอยู่ในกรงไม้ไผ่อันเล็กที่สานมาจากต้นไผ่ของภูเขาชิงเสิน ด้านในมีไอน้ำขมุกขมัว เฉินผิงอันปฏิเสธอย่างละมุนละม่อมไปรอบหนึ่ง สุดท้ายก็ต้องน้อมรับเอาไว้
แต่ข้อดีของผลประโยชน์ที่จับต้องได้จริงประเภทนี้ก็คือ วันนี้รับ พรุ่งนี้มอบให้ มีมามีไป ไม่ต่างจากเงินใส่ซองในงานเลี้ยงแต่งงานล่างภูเขาสักเท่าไร ไม่ถือว่าใครได้เปรียบใคร
ยกตัวอย่างเช่นวันหน้าหากสำนักใต้ของสำนักมังกรน้ำมีพิธีการเลี้ยงฉลองอะไร เฉินผิงอันกับภูเขาลั่วพั่วก็ย่อมต้องมีการแสดงท่าที ตัวคนไม่มาร่วมงานได้ แต่ของขวัญต้องมาถึงที่ ดังนั้นสิ่งที่ทั้งสองฝ่ายได้มาอย่างแท้จริงก็คือความสัมพันธ์ควันธูป
อันที่จริงเฉินผิงอันกับเส้าจิ้งจือทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่สนิทกันแม้แต่น้อย ดังนั้นจึงพูดคุยกันตามมารยาทเพียงเล็กน้อย เพียงแต่ว่าเส้าจิ้งจือเชี่ยวชาญในการหาเรื่องชวนคุย เฉินผิงอันก็เชี่ยวชาญการรับคำ การคุยเล่นครั้งนี้จึงไม่ดูอึดอัดแม้แต่น้อย เหมือนการรำลึกความหลังของเพื่อนรักสองคนที่เป็นสหายกันมานาน ระหว่างนั้นหลี่หยวนเอ่ยแทรกแค่ประโยคเดียว บอกว่าพี่น้องเฉินของข้าคนนี้เป็นเพื่อนรักที่สุดของหลิวจิ่งหลง เส้าจิ้งจือพยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ แต่แท้จริงในใจกลับมีคลื่นถาโถม หรือว่าเซียนกระบี่ต่างถิ่นที่ไปถามกระบี่ที่สำนักสั่วอวิ๋นพร้อมกับหลิวจิ่งหลงก่อนหน้านี้ก็คือคนตรงหน้าผู้นี้?
ในใจเส้าจิ้งจือรู้สึกเสียใจภายหลังยิ่งนัก ของขวัญเบาเกินไปแล้ว
หญิงชราที่ไม่เอ่ยอะไรสักคำมาตั้งแต่ต้น ในสายตาไม่มีเจ้าสำนักเฉินอะไรทั้งนั้น มีเพียงหลี่หยวนที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามซึ่งมีรูปโฉมเป็นเด็กหนุ่มตลอดกาลคนนั้น
ครั้งก่อนจากลากันไปนานแล้วได้กลับมาพบกันใหม่คือในศาลบรรพจารย์ของสำนักมังกรน้ำ หลี่หยวนในเวลานั้นมีแสงสีทองเป็นจุดๆ มารวมอยู่บนร่าง เมื่อนั่งลงบนเก้าอี้ตัวแรกฝั่งขวามือ รูปโฉมอ่อนเยาว์ ทว่าจิตวิญญาณกลับแห้งเหี่ยว ตอนนี้ได้มาพบเจอกันอีกครั้ง โชคชะตาน้ำของลำน้ำใหญ่มารวมตัวอยู่บนร่าง สีหน้าของเด็กหนุ่มชุดดำสดชื่นมีชีวิตชีวาเต็มเปี่ยม นี่ก็คือข้อดีของการเลื่อนขั้นเป็นกงโหวแห่งลำน้ำใหญ่ จากนั้นก็ได้รับการแต่งตั้งที่ริมน้ำจากผู้อำนวยการสถานศึกษาใหญ่ท่านหนึ่งของศาลบุ๋นที่มาเยือนด้วยตัวเอง หญิงชราก่อกำเนิดที่ชีวิตนี้ไร้ความหวังจะฝ่าทะลุขอบเขตได้เห็นภาพเหตุการณ์นี้กับตาตัวเองกลับรู้สึกยินดียิ่งกว่าการที่ตนได้เลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนเสียอีก
บนใบหน้าเหี่ยวยับย่นที่ไม่น่ามองอีกต่อไปของหญิงชรา ดวงตาคู่ที่ไม่มีประกายฉ่ำน้ำงดงามอีกแล้วยังคงเก็บซ่อนความในใจเอาไว้มากมาย
ราวกับจดหมายรักฉบับหนึ่งที่ไม่เคยมอบออกไป เริ่มจรดพู่กันเขียนตัวอักษรตัวแรกตอนเป็นเด็กสาว จนกระทั่งกลายเป็นหญิงชราเส้นผมขาวโพลนก็ยังไม่เคยหยุดเขียน
บนโลกใบนี้ไม่ใช่ว่าความรักของชายหญิงทุกคนจะเป็นดั่งเมล็ดพันธ์พืชหนึ่งเมล็ดที่ปลูกในฤดูใบไม้ผลิ แล้วยามเกี่ยวเก็บในฤดูใบไม้ร่วงจะกลายเป็นหมื่นเมล็ด ไม่มีการปลูกฤดูใบไม้ผลิเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงอะไร หากไม่ทันระวังผืนนาในใจก็จะถูกทิ้งร้าง วัชพืชรกชัฏแผ่ลาม ทว่ายามที่ไฟป่าพัดพากลับเผาไหม้ไม่หมดสิ้น พอลมวสันต์ฤดูโชยมาก็จะงอกงามขึ้นอีกครั้ง
สุดท้ายเฉินผิงอันกับหลี่หยวนก็ไปส่งเส้าจิ้งจือและหญิงชราที่ท่าเรือของเกาะด้วยกัน
หลังจากที่พวกนางนั่งโดยสารเรือยันต์จากไป เฉินผิงอันก็ถามเสียงเบาว่า “มีเรื่องราวหรือ?”
หลี่หยวนกลอกตามองบน “ไม่มีเรื่องอะไรทั้งนั้นแหละ”
เดินกลับไปที่จวนด้วยกัน หลี่หยวนยิ้มเอ่ยว่า “คงไม่โทษว่าข้าปากมากกระมัง?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “คำพูดแค่ไม่กี่คำ ดุจแต้มนัยน์ตามังกร พอเหมาะพอดี”
หลี่หยวนถอนหายใจ สอดสองมือรองไว้ตรงท้ายทอย เอ่ยว่า “แม้ว่าซุนเจี๋ยจะไม่ค่อยชอบสานสัมพันธ์กับใคร แต่ก็ไม่มีทางขาดมารยาทที่พึงมี เกินครึ่งคงกำลังรอฟังข่าว จากนั้นค่อยไปพบพวกเจ้าที่ท่าเรือมู่หนู ไม่อย่างนั้นหากเขามาที่เกาะเป็ดน้ำก่อน ด้วยนิสัยนั้นของเส้าจิ้งจือ เกินครึ่งคงไม่ยินดีจะมาที่นี่แล้ว สตรีอย่างเส้าจิ้งจือนี้มองดูเหมือนฉลาด แต่แท้จริงแล้วกลับยังคิดอะไรเรียบง่ายเกินไป ไม่เคยคิดมากในการยอมถอยให้และความหวังดีในเรื่องยิบย่อยพวกนี้ของซุนเจี๋ย”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็อย่าให้เจ้าสำนักซุนรอนานเลย”
หลี่หยวนเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “เป็นเจ้าสำนัก รักษาตัวให้พ้นจากปัญหายุ่งยากไม่สนใจผู้อื่นยังพูดได้ง่าย แต่หากหวังดีคิดอยากช่วยเหลือคนอื่น คิดพิจารณาทุกด้านอย่างรอบคอบ นี่กลับไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว วันหน้ากิจการใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ ก็มีแต่จะยิ่งเหนื่อยยากมากขึ้นเรื่อยๆ”
เขามองดูสำนักมังกรน้ำค่อยๆ ลุกผงาดขึ้นมาทีละน้อย ก่อนจะค่อยๆ แบ่งหนึ่งสำนักออกเป็นสำนักเหนือและสำนักใต้ หลี่หยวนเองก็ไม่ใช่ว่ามีนิสัยเกียจคร้านเช่นนี้มาตั้งแต่แรกเริ่ม ในความเป็นจริงแล้วสำนักมังกรน้ำสามารถเลื่อนขั้นเป็นสำนักได้ ในอดีตไม่ว่าจะเป็นการวางแผนคิดกลยุทธหรือการลงมือทำด้วยตัวเอง หลี่หยวนก็ล้วนเป็นผู้ที่มีคุณูปการสูงสุด เก้าอี้ตัวแรกฝั่งขวามือในศาลบรรพจารย์นั้น หลี่หยวนนั่งได้อย่างไร้ซึ่งความละอายใจ เพียงแต่ว่ากาลเวลาผันผ่าน นานวันเข้าถึงได้ค่อยๆ เปลี่ยนมาเป็นคนที่ไม่ชอบสนใจเรื่องของคนอื่น ต่อให้จะเคยถูกฮว่อหลงเจินเหรินด่าว่าเป็นโคลนเละเอามาฉาบผนังไม่ติด เขาก็ยอมรับ
เฉินผิงอันพยักหน้า “เหตุผลเก่าแก่แล้ว”
หลี่หยวนเอ่ย “เฉินผิงอัน เจ้าอย่าปล่อยให้ภูเขาลั่วพั่วกลายเป็นสำนักมังกรน้ำแห่งที่สองเด็ดขาดเชียว”
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ เดินเลียบไปริมฝั่งช้าๆ ยิ้มเอ่ยว่า “จะพยายาม”
อย่าเห็นว่ามองดูแล้วหลี่หยวนไม่ค่อยต่างจากนายท่านใหญ่จิ่งชิงสักเท่าไร แต่อันที่จริงกลับแตกต่างอย่างมาก ฝ่ายแรกก็แค่เกียจคร้าน แท้จริงแล้วในใจกลับคิดทุกเรื่องอย่างกระจ่างแจ้ง ส่วนฝ่ายหลังนั้นเป็นพวกไร้สติอย่างแท้จริง
ดังนั้นหลี่หยวนเป็นหลงถิงโหว วันหน้ามีแต่จะยิ่งเจริญรุ่งเรือง ไม่มีทางถูกจวนหลิงหยวนกงของเสิ่นหลินข่มทับได้แน่นอน หากเปลี่ยนเฉินหลิงจวินมาทำหน้าที่นี้ คาดว่าคงจัดงานเลี้ยงสุรา จัดงานเลี้ยงน้ำไหลอยู่เมื่อเชื่อทุกวัน จากนั้นจู่ๆ ก็จะค้นพบว่า อะไรนะ ไม่เหลือเงินแล้ว?
หลี่หยวนถามอย่างระมัดระวังว่า “ในเมื่อภรรยาของเจ้าคือหนิงเหยา ถ้าอย่างนั้นเฉินอิ่นกวานหนึ่งในสิบคนรุ่นเยาว์ของหลายใต้หล้าผู้นั้นก็คือ?”
เฉินผิงอันยิ้มตาหยี “เจ้าเดาดูสิ”
หลี่หยวนเขย่งปลายเท้าตบไหล่เฉินผิงอัน หัวเราะคิกคักเอ่ยว่า “คุณชายเฉิน ปวดเมื่อยตรงไหน? ให้ข้านวดให้ไหม?”
เฉินผิงอันตีหน้าเคร่งเอ่ยว่า “บังอาจ ต้องเรียกว่าเจ้าขุนเขาเฉิน”
ไม่ทันได้ชื่นชมเกาะเป็ดน้ำสักเท่าไร เฉินผิงอันก็ต้องออกมาจากถ้ำสวรรค์วังมังกรแล้ว
ตอนที่นั่งเรือยันต์ เฉินผิงอันเงยหน้ามองดวงอาทิตย์ดวงโต ตามความลับสวรรค์ที่หลี่หลิ่วเปิดเผยในปีนั้น เค้าโครงดวงอาทิตย์ที่ลอยอยู่กลางอากาศก็คือการรวมตัวกันของแก่นควันธูปปีแล้วปีเล่าของศาลแห่งลำน้ำ หลี่หลิ่วไม่เห็นเรื่องนี้เป็นสำคัญ ให้คำวิจารณ์ด้วยประโยคว่า ‘ก่อรูปขึ้นอย่างหยาบๆ ไม่รู้จักวิธีการที่ถูกต้อง’ บอกว่าต่อให้ให้เวลาสำนักมังกรน้ำอีกหมื่นปีในการขัดเกลา ก็ไม่มีทางเทียบกับตะวันจันทราที่อยู่บนไหล่ของเฉินฉุนอันผู้รอบรู้ได้
เฉินผิงอันถอนสายตากลับมา ใช้เสียงในใจคุยกับหนิงเหยาว่า “ก่อนหน้านี้ข้าพูดถึงเรื่องหนึ่งกับหลิวจิ่งหลง อุตรกุรุทวีปไม่เคยมีผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานปรากฏกายมานานมากแล้ว”
ผู้ฝึกกระบี่ในอุตรกุรุทวีปมากมายดุจก้อนเมฆ ตามหลักแล้วในบรรดาเก้าทวีปของไพศาลควรจะเป็นทวีปที่มีผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานปรากฏตัวหนึ่งถึงสองคนมากที่สุด
เหตุผลหนึ่งในนั้นที่สำคัญที่สุด แน่นอนว่าต้องเกี่ยวข้องกับการที่ผู้ฝึกกระบี่ของอุตรกุรุทวีปเดินทางไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ ผู้ฝึกกระบี่บ้างก็รบตายอยู่ที่นั่น บ้างก็มหามรรคาขาดสะบั้น บ้างก็บาดเจ็บสาหัส จำนวนคนมีมากเกินไป ยกตัวอย่างเช่นอาจารย์ของหลิวจิ่งหลง หันไหวจื่ออดีตเจ้าสำนักที่ตอนนั้นเป็นขอบเขตเซียนเหริน เดิมทีขอแค่อยู่ต่อที่สำนักกระบี่ไท่ฮุยก็มีหวังจะเลื่อนเป็นขอบเขตบินทะยานแล้ว
ต่อให้สถานที่แห่งนี้จะมีผู้ฝึกกระบี่มากมายจึงอาจจะแบ่งโชคชะตาวิถีกระบี่ส่วนหนึ่งไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่นอกจากนี้แล้วต้องยังมีเหตุผลอย่างอื่นอีกแน่นอน
หนิงเหยาครุ่นคิด “ป๋ายฉางของทางทิศเหนือถนอมชีวิตเช่นนี้ เขาต้องมีเป้าหมายแน่นอน ยกตัวอย่างเช่นอยากจะกลายเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานที่รากฐานดีเยี่ยม อยากจะเป็นคนที่ในอดีตไม่เคยมีใครทำได้ และในอนาคตจะไม่มีใครเป็นเหมือนของอุตรกุรุทวีป จากนั้นก็เลื่อนขั้นเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบสี่ในรวดเดียว”
อันที่จริงขอแค่หนิงเหยายินดีใช้ความคิดกับเรื่องใด ความเห็นของนางมักจะแม่นยำมากอยู่เสมอ
“ก่อนหน้านี้ได้ยินเผยเฉียนเล่าว่าป๋ายฉางเคยทิ้งประโยคหนึ่งไว้ให้กับเฮ้อเสี่ยวเหลียงแห่งสำนักชิงเหลียง บอกว่าจะไม่ให้เฮ้อเสี่ยวเหลียงได้เลื่อนเป็นขอบเขตบินทะยานไปตลอดชีวิต ป๋ายฉางผู้นี้ต้องไม่มีทางจงใจพูดจาอาฆาตมาดร้ายเพียงเพื่อยุแยงให้คนลือกันไปแน่นอน”
“คนผู้นี้ก่อตั้งสำนักมานานหลายปีแล้ว อีกทั้งยังหยุดอยู่ที่ขอบเขตเซียนเหรินมานานหลายร้อยปี แต่กระนั้นก็ยังรับลูกศิษย์ผู้สืบทอดมาแค่คนเดียว หากเปลี่ยนมาเป็นข้า จะต้องมองขอบเขตบินทะยานเป็นของในกระเป๋านานแล้วแน่นอน ดังนั้นถึงได้รู้สึกว่าแทนที่จะเสียสมาธิไปยุ่งวุ่นวายกับกิจธุระยิบย่อยก็ไม่สู้ตัวเองหลอมกระบี่คนเดียวดีกว่า เพราะได้ผลประโยชน์ที่ยาวนานยิ่งกว่า”
“ในอดีตชื่อเสียงของป๋ายฉางในกำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่ถือว่าดีนัก แต่ก็ไม่แย่ ไม่เหมือนคนที่จะปล่อยกระบี่ออกไปอย่างเลอะเลือน การที่เขาพลาดสงครามใหญ่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ก่อนหน้านี้ไป เพียงแค่รอให้ใต้หล้าเปลี่ยวร้างบุกโจมตีมาถึงนครมังกรเฒ่าถึงได้ติดตามเทียนจวินเซี่ยสือไปที่แจกันสมบัติทวีปด้วยกัน ไม่แน่ว่าป๋ายฉางอาจจะกำลังรอคอย ยอมเดิมพันด้วยชื่อเสียงทั้งหมดของผู้ฝึกกระบี่ แต่ก็ต้องรั้งอยู่ที่อุตรกุรุทวีปให้จงได้ เพื่อรอคอยโอกาสในการฝ่าทะลุขอบเขตที่รับประกันว่าจะมีแต่ได้ไม่มีเสีย”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับแล้วจมเข้าสู่ภวังค์ความคิด
หนิงเหยาสีหน้ากระอักกระอ่วนเล็กน้อย แต่กระนั้นก็ยังใช้เสียงในใจคุยกับเฉินผิงอันอย่างตรงไปตรงมาว่า “ข้าไปที่ทะเลสาบกระบี่ฝูผิงก็เพียงเพราะว่าที่นั่นมีลี่ไฉ่และมีเด็กรุ่นเยาว์ของบ้านเกิดสองคนอย่างเฉินหลี่ เกาโย่วชิง”
มองดูเหมือนเป็นประโยคที่อยู่ดีๆ ก็โพล่งขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
เฉินผิงอันคืนสติ ยิ้มเอ่ยว่า “ข้าเข้าใจ”
หนิงเหยายิ้มกล่าว “คงไม่ได้แอบจดลงบัญชีของเผยเฉียนกระมัง?”
เฉินผิงอันถามอย่างสงสัย “ไม่มีต้นสายปลายเหตุเสียหน่อย หมายความว่าอย่างไร?”
หนิงเหยาพยักหน้า “ที่แท้ก็เข้าใจแต่แสร้งทำเป็นเลอะเลือน”
เฉินผิงอันทำท่าจะโอบไหล่นางมากอด แต่กลับถูกหนิงเหยาผลักมือออกเบาๆ แล้วยังถลึงตาใส่เขาดุๆ
ตอนที่คืนตราประทับแผ่นไม้ที่ท่าเรือ ข้างกายผู้ฝึกตนหญิงสำนักมังกรน้ำที่คลี่ยิ้มหวานหยดย้อยมีผู้ฝึกตนคุมกฎของสำนักเหนือยืนอยู่ด้วยสีหน้าเคารพนอบน้อม ใช้เสียงในใจเอ่ยกับเฉินผิงอันเรื่องหนึ่ง
นอกท่าเรือมู่หนู มีคนสามคนมาปรากฏตัวอยู่ที่ริมน้ำ คือซุนเจี๋ยเจ้าสำนัก อู่หลิงถิงผู้ถวายงานขอบเขตก่อกำเนิด ป๋ายปี้ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของศาลบรรพจารย์
เฉินผิงอันส่งจดหมายกระบี่บินไปยังจวนไฉ่เชวี่ยฉบับหนึ่งก่อน จากนั้นจึงทะยานลมไปพบเจ้าสำนักซุนเจี๋ย
——