กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 816.4 แสงจันทร์
เรื่องการขุดดินปูพื้นฐานในช่วงที่ผ่านมานี้ หากต้องการให้เรียบง่ายก็เรียบง่ายได้ แต่หากไม่ต้องการอย่างเรียบง่ายก็จะไม่เรียบง่ายอย่างถึงที่สุด และอาจารย์จูแห่งภูเขาลั่วพั่วท่านนี้ก็เลือกอย่างหลัง ไม่พูดถึงวิธีการทั้งหลายของตระกูลเซียน ลำพังเพียงแค่ชั้นดินที่แตกต่างก็มีวิธีการเจ็ดแปดอย่างแล้ว ดินเทา (วัสดุก่อสร้างประเภทหนึ่ง เรียกอีกอย่างว่าดินหินเทา เกิดจากการเอาปูนขาวมาผสมกับดินเหนียวปนทรายแล้วอัดเป็นชั้นๆ) ดินเหนียว อิฐแตก กรวด สลับแทนที่กันซ้ำไปซ้ำมา ทั้งสามารถป้องกันน้ำท่วมแล้วก็สามารถป้องกันให้สิ่งปลูกสร้างทรุดตัวลงด้วย ดินแต่ละชั้นจะมีการกระทุ้งดินให้แน่นก่อนสามรอบด้วยการใช้เท้าย่ำดิน แล้วใช้ไม้ไกว่จื่อ (ท่อนไม้ลักษณะเหมือนตัว I) กระทุ้งให้เป็นรูเต็มลานดินที่ว่างเปล่า หลังจากกระทุ้งแห้งแล้วหากยังมีน้ำเอ่อก็หมุนไม้ไกว่จื่ออัดดินให้แน่นอีก ก่อนจะราดน้ำข้าวเหนียวลงไป การกระทุ้งดินก็จะสำเร็จ และดินมากมายที่ใช้ในขั้นตอนเหล่านี้ล้วนเป็นดินที่จูเหลี่ยนไปขุดจากภูเขาแห่งต่างๆ แล้วเอามาผสมด้วยตัวเอง นอกจากงานดินแล้ว การดีดเส้นของเครื่องโม่โต่ว (เครื่องมือเขียนเส้นตรงของช่างไม้) พู่กันไม้ไผ่ตัดเส้น การขูดขี้เลื้อยและการตัดรูบากกับเดือยซึ่งเป็นงานของช่างไม้ การกลึงหินก้อนใหญ่ให้เรียบ การตัดหินของฝ่ายงานหิน…ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรที่จูเหลี่ยนทำไม่เป็น
เพียงแต่เซียนซือเฒ่ามาลองคิดอีกที สามารถเป็นผู้ดูแลตระกูลเซียนอักษรจงแห่งหนึ่งได้ มีฝีมือติดตัวบ้างก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องเหลือเชื่อสักเท่าไร
จูเหลี่ยนเหลือบตามองคนหนุ่มคนหนึ่งที่อยู่ห่างไปไกล เจี่ยงชวี่ คือผู้ฝึกตนสายยันต์เพียงหนึ่งเดียวของภูเขาลั่วพั่วนอกเหนือจากเจ้าขุนเขา บวกกับที่คนผู้นี้มาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ ดังนั้นบนภูเขาไม่ว่าใครล้วนเกรงใจเจี่ยงชวี่อย่างมาก คนหนุ่มได้รับตำรายันต์ลับไปเล่มหนึ่งก็อยากจะเอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาฝึกตนท่าเดียว จูเหลี่ยนกลับไม่ยอมให้เขาสมปรารถนา แทบทุกครั้งที่มายังภูเขาฮุยเหมิงจะต้องพาเจี่ยงชวี่มาด้วย ไปๆ มาๆ เจี่ยงชวี่จึงเริ่มหงุดหงิด จูเหลี่ยนจึงยิ้มบอกเขาว่าหากคนคนหนึ่งเอาแต่ปิดประตูฝึกตนอย่างเดียวก็จะไม่มีทางเข้าใจการฝึกตนเลย
ไม่ว่าจะเป็นเพราะในใจยำเกรงผู้ดูแลใหญ่ท่านนี้หรือว่าคนหนุ่มฟังเหตุผลเข้าหูแล้วจริงๆ หลังจากนั้นมาเจี่ยงชวี่ก็ไม่เคยบ่นอีก ทุกครั้งล้วนมาตรวจสอบความคืบหน้าของงานก่อสร้างกับจูเหลี่ยนที่นี่ แล้วก็มักจะลงมือช่วยเหลือด้วย
เห็นว่าฝนไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตก จูเหลี่ยนจึงบอกลาแล้วพาเจี่ยงชวี่ลงจากภูเขาไป
ต่างคนต่างกางร่มเดินเท้ากันไปเนิบช้า
จูเหลี่ยนเรือนกายงองุ้ม รองเท้าผ้าบนเท้าสองข้างเปรอะไปด้วยดินโคลน ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เจี่ยงชวี่ เคยคิดหรือไม่ว่าชีวิตคนก็เหมือนดินที่ถูกอัดให้แน่นชั้นแล้วชั้นเล่า พอถูกเหยียบหนักเข้า ฐานรากถึงจะสามารถรองรับสิ่งปลูกสร้างที่งดงามได้ เจ้าคิดว่าสิ่งที่ช่วยบังลมบังฝนให้กับพวกเราคือบ้านหรือ? ล่างภูเขาน่ะใช่ แต่บนภูเขากลับไม่ได้เป็นอย่างนั้น มีเพียงใจเหมือนแผ่นดินกว้างใหญ่ถึงจะสามารถรองรับหมื่นสรรพสิ่งได้ นี่จึงเป็นเหตุให้คนที่จิตใจหนักแน่นมีคุณธรรมก็คือคนที่ได้พิสูจน์มรรคาบรรลุมรรคา”
จูเหลี่ยนหยุดเดิน หันตัวไปอีกทาง
เจี่ยงชวี่จึงได้แต่หันตัวตามไปด้วย
จูเหลี่ยนชี้ไปยังหลังคาสูงแห่งหนึ่ง “จากนั้นก็คือแผ่นกระเบื้องของหลังคาที่เหมือนผืนดินและท้องฟ้าที่เชื่อมโยงติดกัน”
เจี่ยงชวี่ที่ตอนอยู่บ้านเกิดไม่เคยเล่าเรียนหนังสือมาก่อน อันที่จริงฟังไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่ก็ฟังออกถึงความคาดหวังในคำพูดของจูเหลี่ยน จึงพยักหน้าเอ่ยว่า “อาจารย์จู วันหน้าข้าจะคิดถึงคำพูดพวกนี้ของท่านให้มาก”
ฝ่ามือข้างนั้นของจูเหลี่ยนพลิกกลับลงด้านล่าง ยิ้มเอ่ยว่า “ไม่ทุ่มเทลงแรงกับจิตใจดั้งเดิม เพียงแค่กระหายเสาะแสวงหาจะเอาอย่างความองอาจของคนที่เป็นดั่งเทพในสายตา กลับกลายเป็นว่าจะได้ผลลัพธ์ตรงกันข้าม นานวันเข้าเจ้าจะไม่มีทางได้ดิบได้ดี และไม่ว่าจะมุมานะเรียนอะไรอย่างยากลำบากก็ล้วนทำไม่สำเร็จ”
เจี่ยงชวี่เงียบงัน ยังคงฟังไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่กล้าแสร้งทำเป็นเข้าใจทั้งที่ไม่เข้าใจ
จูเหลี่ยนหมุนตัวกลับมา เดินลงเขาไปอีกครั้ง ถามว่า “รู้หรือไม่ว่าทำไมข้าถึงต้องพูดเรื่องพวกนี้กับเจ้า?”
เจี่ยงชวี่กล่าว “ไม่ต้องการให้ข้าเดินไปบนทางแยกของภูเขา ถึงเวลานั้นมีแต่จะผิดต่อความคาดหวังที่อาจารย์เฉินมีต่อข้า”
จูเหลี่ยนยิ้มเอ่ย “ทางแยกอยู่ที่ใด?”
เจี่ยงชวี่ตอบ “ข้าไม่ควรเอาแต่ตั้งใจฝึกเวทคาถาตระกูลเซียนอย่างเดียว”
จูเหลี่ยนอดไม่ไหวหัวเราะออกมา
เจี่ยงชวี่ยิ่งตึงเครียด
จูเหลี่ยนยิ้มบางๆ กล่าวว่า “เจ้าขุนเขาที่พาพวกเจ้ามาอยู่บนภูเขาลั่วพั่ว ใต้เท้าอิ่นกวานแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่มีทางดูแคลนเจี่ยงชวี่และจางเจียเจิน แล้วทำไมเจี่ยงชวี่ถึงดูแคลนจางเจียเจินเล่า?”
เจี่ยงชวี่เหงื่อแตกเต็มแผ่นหลังในทันที มือที่ถือร่มกำแน่นจนข้อต่อบนนิ้วมือซีดขาว เขาอยากจะบอกว่าตัวเองไม่ได้คิดอย่างนั้น แต่ก็ไม่กล้าพูดออกมา
จูเหลี่ยนเอ่ย “วันหน้าค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปก็แล้วกัน ทำผิดไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นชั่วประเดี๋ยวประด๋าว แก้ไขความผิดก็ไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ในวันสองวันเหมือนกัน”
เจี่ยงชวี่พยักหน้ารับอย่างแรง
จูเหลี่ยนเอ่ยด้วยสีหน้าเฉยเมย “จำไว้ว่าขึ้นเขาไม่ง่าย ลงจากเขาก็ยิ่งยาก”
วันนี้หลิวเสี้ยนหยางพาแม่นางหน้ากลมที่สวมชุดกระโปรงพิมพ์ลายดอกสีฟ้ามาด้วยกัน ในสายตาของหลิวเสี้ยนหยางไม่รู้สึกว่านางเหมือนหญิงชนบทแม้แต่น้อย เหมือนคุณหนูตระกูลใหญ่จะตายไป
คนทั้งสองออกจากร้านริมลำคลองไปด้วยกัน ไปยังบ้านบรรพบุรุษของหลิวเสี้ยนหยาง เขาบอกว่าจะพานางไปดูของสิ่งหนึ่ง
เพราะฝนตก คนทั้งสองจึงสวมงอบ
หลังจากที่หลิวเสี้ยนหยางเปิดประตู เซอเยว่ที่ใช้นามแฝงว่าอวี๋เชี่ยนเยว่ก็ปลดงอบลง สะบัดเบาๆ นอกประตู ไม่รอให้เข้าไปในบ้านนางก็มองเห็นชั้นวางที่ทาสีแล้ววาดด้วยดอกไม้สีทองได้ในปราดเดียว ตามคำเรียกขานไพเราะของใต้หล้าไพศาลแห่งนี้ มันมีชื่อว่าชั้นวางป๋อกู่
หลิวเสี้ยนหยางปลดงอบลง เอนตัวพิงโต๊ะ สองแขนกอดอก ยิ้มเอ่ยว่า “ปีนั้นเฉินผิงอันกับหนิงเหยามาที่นี่ หนิงเหยาเองก็สายตาดี ถึงกับเปิดปากว่าจะขอซื้อชั้นวางนี้จากข้าโดยตรง ข้าหรือจะยอม ต่อให้ไม่มีเงินแค่ไหนก็ตัดใจขายไม่ได้ หนิงเหยา เจ้าคงรู้จักกระมัง น้องสะใภ้ข้าเอง หากจะพูดกันจริงๆ ข้าถือว่าเป็นผู้เฒ่าจันทราให้พวกเขาสองคนได้เลยด้วยซ้ำ”
อันที่จริงความจริงไม่ได้เป็นแบบนี้เลยแม้แต่น้อย ปีนั้นหนิงเหยาเพียงแค่เอ่ยเตือนหลิวเสี้ยนหยางว่าชั้นวางไม่มีค่า แต่อย่าขายภาพที่ฝังเลื่อมติดผนังซึ่งเป็นภาพดวงจันทร์ลอยเหนือกิ่งกุ้ยสีทองนั้นง่ายๆ เด็ดขาด หลิวเสี้ยนหยางในเวลานั้นไม่ได้เก็บมาใส่ใจสักเท่าไร
ตอนนั้นหากอิงตามการคาดเดาของเฉินผิงอัน ของสิ่งนี้เกินครึ่งน่าจะเป็นบรรพบุรุษตระกูลหลิวของเขาหลิวเสี้ยนหยางที่ไปเลือกเอาเฉพาะหินดีงูสีเหลืองทองจากธารน้ำในปีนั้นมาบดให้ละเอียดแล้วแปะติดเข้าด้วยกัน สุดท้ายวาดออกมาเป็นภาพต้นกุ้ยสีทองหนึ่งต้นกับดวงจันทร์เต็มดวงที่ลอยอยู่กลางนภา
หลิวเสี้ยนหยางมองสตรี แล้วค่อยมองภาพฝาผนัง เอ่ยพึมพำกับตัวเองว่า “สมกับเป็นคู่สร้างคู่สมกันจริงๆ”
เซ่อเยว่ถืองอบไว้ในมือ จ้องภาพฝาผนังนั้นเขม็ง เนิ่นนานก็ยังไม่ถอนสายตากลับ ราวกับไม่ได้ยินคำพูดของหลิวเสี้ยนหยาง
นางหันหน้ามาถามว่า “รอให้เฉินผิงอันกลับมา อีกไม่นานพวกเจ้าก็จะไปภูเขาตะวันเที่ยงกันแล้วไหม?”
หลิวเสี้ยนหยางพยักหน้ารับ เขาเล่าเรื่องนี้ให้แม่นางเซอเยว่ฟังมานานแล้ว ไม่ได้ปิดบังอะไรนาง แม้แต่เรื่องที่ฝึกกระบี่ในความฝัน หลิวเสี้ยนหยางก็ยังเล่าด้วย
อันที่จริงมีหลายเรื่องที่เซอเยว่ฟังประโยคหนึ่งก็ปล่อยผ่านไปประโยคหนึ่ง หลิวเสี้ยนหยางพูด นางฟังผ่านแล้วก็จบไป แต่เรื่องที่จะไปถามกระบี่ที่ภูเขาตะวันเที่ยงนี้ เซอเยว่ค่อนข้างให้ความสนใจจริงๆ
นางถาม “โอกาสชนะสูงหรือไม่?”
หลิวเสี้ยนหยางลูบคลำปลายคาง “ได้ยินมาว่าบรรพจารย์ย้ายภูเขาท่านนั้นฝ่าทะลุขอบเขตอีกแล้ว”
เซอเยว่อึ้งตะลึง นางถูกคนโยนมาที่เมืองเล็กแห่งนี้โดยตรง แต่สำหรับแจกันสมบัติทวีปเล็กๆ ที่สามารถสกัดขวางมหาสมุทรความรู้โจวมี่และกองทัพใหญ่ของเปลี่ยวร้างได้แห่งนี้ นางรู้สึกกริ่งเกรงอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งพอได้ยินคำกล่าวว่า ‘บรรพจารย์’ อะไรนั่น นางจึงถามอย่างใคร่รู้ว่า “ขอบเขตบินทะยานแล้วหรือ?”
หลิวเสี้ยนหยางอึ้งไปนาน
นางพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ถ้าอย่างนั้นพวกเจ้าก็ต้องระวังตัวสักหน่อยแล้ว”
หลิวเสี้ยนหยางพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ตกลง”
……
ทางฝั่งของจวนไฉ่เชวี่ยได้รับจดหมายกระบี่บินฉบับหนึ่งที่ส่งมาจากท่าเรือมู่หนูของสำนักมังกรน้ำ เจ้าขุนเขาเฉินเขียนมาบอกในจดหมายว่าได้ช่วยหาเค่อชิงที่ได้รับการบันทึกชื่อมาให้แล้วสามคน แบ่งออกเป็นหยวนหลิงเตี้ยนแห่งยอดเขาจื่อเสวียน หยางโฮ่วแจว๋แห่งตำหนักนภากาศหน่วยฉงเสวียน หรงช่างผู้ฝึกกระบี่แห่งทะเลสาบกระบี่ฝูผิง
คนผู้หนึ่งคือลูกศิษย์ผู้สืบทอดของฮว่อหลงเจินเหรินที่คนของอุตรกุรุทวีปมองว่ามีตบะเป็นเซียนเหริน คนหนึ่งคือเซียนซือผู้เฒ่าอันดับสองที่รับผิดชอบกิจการงานต่างๆ ของหน่วยฉงเสวียนต้าหยวนและตำหนักนภากาศ และยังมีผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิดที่ว่ากันว่ากำลังจะฝ่าทะลุขอบเขต
ซุนชิงและลูกศิษย์หลิ่วกุ้ยเป่าเพิ่งจะกลับมาถึงภูเขา ซุนชิงวางจดหมายลงแล้วก็มองไปทางอู่ชวิน ถามอย่างสงสัยว่า “หรือว่าเจ้าใช้แผนสาวงามกับเจ้าสำนักเฉินกัน?”
ไม่อย่างนั้นเหตุใดเฉินผิงอันต้องทำเรื่องใหญ่โตเช่นนี้ ราวกับกำลังจ้างเค่อเชิงให้กับภูเขาของตัวเองอย่างไรอย่างนั้น มอบพี่ใหญ่บนภูเขาสามท่านให้กับจวนไฉ่เชวี่ยเล็กๆ มารวดเดียว มีใครบ้างที่เป็นตะเกียงประหยัดน้ำมัน ไม่ใช่ว่าใครก็จะเชื้อเชิญมาได้ นับแต่วันนี้ไปผู้ฝึกตนของจวนไฉ่เชวี่ยมีเค่อชิงที่ได้รับการบันทึกชื่อสามท่านนี้ พวกนางที่อยู่ในอุตรกุรุทวีปจะไม่เดินกร่างกันเลยหรอกหรือ?
อู่ชวินยิ้มกล่าว “มีเซียนกระบี่หนิงอยู่ ข้าจะกล้าใช้แผนสาวงามหรือ?”
ก่อนหน้านี้รับรองแขกอยู่ที่ร้านน้ำชา ถ้วยชาใบที่หนิงเหยาดื่ม อู่ชวินได้เก็บรักษาเอาไว้แล้ว แต่ก็รู้สึกว่าคล้ายจะไม่เหมาะจึงเก็บถ้วยของเฉินผิงอันไปด้วย นางยังรู้สึกว่าดูเหมือนจะมีอะไรผิดปกติ ก็เลยเก็บชุดชาที่แขกของภูเขาลั่วพั่วทุกคนใช้ก่อนหน้านี้มาไว้ด้วยกันเสียเลย
ซุนชิงเอ่ยอย่างเสียดาย “หากรู้ว่าจะเป็นอย่างนี้แต่แรกคงไม่ออกจากบ้านแล้ว คลาดกับเซียนกระบี่หนิงไปเสียได้”
หลิ่วกุ้ยเป่าถอนหายใจ หันไปมองอาจารย์ของตนด้วยสายตาไม่พอใจ “ช่างเป็นโอกาสที่หาได้ยากนัก หากรู้แต่แรกคงไม่ตามท่านไปพบอาจารย์หลิวแล้ว”
อู่ชวินยิ้มไม่เอ่ยอะไร พวกเจ้าสองอาจารย์และศิษย์กลัดกลุ้มกันไปเถอะ ข้ามีความสุขของข้าอยู่คนเดียว
ไปถึงสำนักพีหมา ในเรือนที่เฉินผิงอันคุ้นเคยดีบนภูเขามู่อี ได้เจอกับจู๋เฉวียนอดีตเจ้าสำนักที่ลาออกจากตำแหน่ง แน่นอนว่ายังมีผู้ถวายงานบ้านตัวเองอีกสองคนอย่างตู้เหวินซือและผังหลันซีอยู่ด้วย
กั๋วฉือเซียนซือที่พกดาบผู้นี้รู้ว่าสตรีที่สะพายกระบี่ถึงกับเป็นหนิงเหยาก็ตบโต๊ะพูดกลั้วหัวเราะเสียงดังลั่น “ขอบเขตสูง คนก็งดงาม โชคดีที่ข้าไม่งามแม้แต่น้อยถึงได้ไม่อิจฉาเลยสักนิด”
เรื่องที่หนิงเหยาพกกระบี่บินทะยานมายังไพศาล สำนักชั้นสูงของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางล้วนรู้กันหมด และสำนักเบื้องบนของสำนักพีหมาที่อยู่แผ่นดินกลางก็คือหนึ่งในนั้น
เฉินผิงอันกำลังจะคลี่ยิ้ม ผลคือกลับยิ้มไม่ออกในทันใด
เพราะหลังจากที่จู๋เฉวียนกรอกเหล้าเข้าปากอึกใหญ่ก็ด่าอย่างขำๆ ว่า “ที่นี่มีพวกตาแก่หน้าไม่อายอยู่หลายคน เพราะเรื่องที่คราวก่อนข้าร่วมมือกับเฉินผิงอันสังหารเกาเฉิง พวกเขาจึงเหมือนถูกผีบดบังใจ พร่ำพูดไปทั่วว่าข้ากับเฉินผิงอันเป็นชู้รักกัน หนิงเหยาเจ้าอย่าได้คิดมาก ไม่มีเรื่องแบบนี้เลยสักนิด ข้าไม่ถูกใจบัณฑิตที่สุภาพนุ่มนวลแบบเฉินผิงอัน เฉินผิงอันก็ยิ่งไม่ชอบสตรีที่เอวหนาก้นไม่ใหญ่อย่างข้า!”
หนิงเหยายิ้มบางๆ ไม่พยักหน้าหรือส่ายหน้า
ตู้เหวินซือได้แต่ยิ้มจืดเจื่อน ผังหลันซีรู้สึกมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น เด็กชายผมขาวที่ฟุบตัวอยู่บนโต๊ะตบโต๊ะอย่างแรง
หมี่ลี่น้อยเกาแก้ม ปลุกความกล้าเอ่ยว่า “ท่านน้าจู๋ ท่านน้าจู๋ เจ้าขุนเขาคนดีของข้าไม่ใช่ว่าใครหน้าตาดีก็จะชอบไปเสียหมดนะ ไม่ว่าจะสวยหรือไม่สวย เขาก็ล้วนไม่สนใจหรอกนะ”
เฉินผิงอันโล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก
จากนั้นคนทั้งกลุ่มก็นั่งโดยสารเรือข้ามทวีปของสำนักพีหมาวนอ้อมอุตรกุรุทวีปไปเกือบครึ่งรอบเพื่อหวนกลับไปยังแจกันสมบัติทวีป
ท่ามกลางม่านราตรีของคืนนี้ เฉินผิงอันฟุบตัวอยู่บนราวรั้ว จิตใจสงบสุข ดื่มเหล้าช้าๆ แสงจันทร์สุกสกาว แสงจันทร์จากจันทร์ดวงเดียวกันเคยสาดส่องอริยะปราชญ์ ปัญญาชนผู้มีชื่อเสียงและเซียนกระบี่ผู้กล้าแต่ละยุคแต่ละสมัย เคยส่องบัณฑิตริมหน้าต่างและสาวงามที่ยืนพิงระเบียง คนพายเรือบนผิวน้ำ นายพรานในภูเขา เคยส่องจักรพรรดิ แม่ทัพ อัครเสนาบดีที่นอนไม่หลับ เคยสาดส่องโคมไฟในเทศกาลโคมไฟ กระดาษเหลืองในวันชิงหมิง ขนมไหว้พระจันทร์ในวันไหว้พระจันทร์ กลอนคู่ปีใหม่ในวันส่งท้ายปี เคยสาดส่องเมฆขาวภูเขาเขียว น้ำใสดอกไม้เหลืองในจุดที่ไร้ผู้คนร้อยปีพันปี…
หนิงเหยามาหยุดยืนอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน วางกล่องกระบี่ไว้บนโต๊ะ ฟุบราวรั้วมองเหม่อเป็นเพื่อนเขา ดูเหมือนว่าไม่ว่าเรื่องอะไรนางก็ไม่จำเป็นต้องคิดมาก
เฉินผิงอันหันหน้ามามองขนตาของนางเงียบๆ
ดูเหมือนหนิงเหยาจะไม่รู้ว่าเขากำลังแอบมองตัวเองอยู่
นอกเรือข้ามฟาก ผิวน้ำและแสงจันทร์ผสานกลืนกันเป็นสีเดียว บนเรือข้ามฟาก สตรีผิวขาวนวลลออ ทว่าข้างหูกลับแดงเรื่อ สีสันนั้นคล้ายกับถ้วยขาวใบเล็กที่แต้มสีชาดริมขอบถ้วยในบรรดาเครื่องกระเบื้องของที่ว่าการตรวจเครื่องกระเบื้อง
รอกระทั่งหนิงเหยาหันหน้ากลับมา เขากลับหลับสนิทไปแล้ว
ครั้งหน้าที่ได้เดินทางมาเยือนอุตรกุรุทวีปอีกครั้ง หากไม่ต้องเดินทางกลับบ้านเกิดอย่างรีบร้อนเช่นนี้อีก บางทีเฉินผิงอันอาจไปเยือนสถานที่ต่างๆ มากกว่านี้ ยกตัวอย่างเช่นตำหนักขวานผีที่ตู้อวี๋อยู่ อยากจะฟังเรื่องน่าสนใจในยุทธภพของเขา ไปที่ทะเลสาบชางอวิ๋นข้างนครสุยเจี้ย ในศาลเทพอภิบาลเมืองของเมืองแห่งหนึ่งในแคว้นฝูฉวี เขาเคยได้เห็นการพิจารณาคดียามค่ำคืนของนายท่านเทพอภิบาลเมืองกับตาตัวเองมาก่อน และในศาลริมน้ำที่ปลูกต้นป่ายพันปีแห่งนั้น อันที่จริงเฉินผิงอันก็เคยทิ้งบทกลอน ‘ลมเย็นแสงจันทร์กระจ่างกิ่งไม้ส่ายไหว สงสัยว่าจะเป็นแสงรัศมีแห่งกระบี่ของเซียนกระบี่’ เอาไว้
และยังจะไปหมู่บ้านส่าส่าวในแคว้นอู่หลิง ดื่มเหล้าโซ่วเหมยของที่นั่น มีผู้ฝึกยุทธที่ใช้นามแฝงว่าอู๋เฝิงเจี่ยที่เคยเอ่ยถ้อยคำอย่างห้าวเหิมว่าฟ้าดินกว้างใหญ่ เทพเซียนไสหัวไป ตอนหนุ่มเคยใช้สองหมัดต่อยให้เซียนซือหลายสิบแคว้นล่าถอย ขับไล่ทุกคนออกไปจนหมดสิ้น และยังมีภูเขาวานรครวญ เรือนเทพสายฟ้าภูเขาอิงเอ๋อ…หากจะบอกว่าสิ่งเหล่านี้คือการหวนกลับคืนไปยังสถานที่ที่เคยไป ถ้าอย่างนั้นวันหน้าเฉินผิงอันก็ย่อมต้องไปเยือนสถานที่ขุนเขาสายน้ำงดงามที่ไม่เคยไปเยือน
ต่อให้ฝีเท้าจะเร่งร้อนแค่ไหน ชีวิตคนก็ต้องสุขุมเยือกเย็น
——