กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 817.1 ปลาใหญ่เหมือนมังกร
การเดินทางไปเยือนศาลบุ๋น บวกกับการเดินทางมายังอุตรกุรุทวีปในครั้งนี้ ได้รับผลเก็บเกี่ยวไปอย่างอุดมสมบูรณ์ เฉินผิงอันจึงเตรียมตรวจสอบทรัพย์สมบัติของตัวเอง ม้วนชายแขนเสื้อขึ้น เป่าลมใส่มือ ถูมือเข้าด้วยกัน
ท่าทางนั้นแทบไม่ต่างจากฟ้าดินเล็กที่มีอริยะเฝ้าพิทักษ์
โจวหมี่ลี่นั่งติดกับเด็กชายผมขาว คนหนึ่งนอนคว่ำบนโต๊ะ เบิกตากว้างรอคอย คนหนึ่งกำลังตบโต๊ะแบบไม่ให้โดนผิวโต๊ะอย่างเบื่อหน่าย ครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะก่อนหน้านี้ตอนที่ขึ้นเรือมาได้ถูกบรรพบุรุษอิ่นกวานคิดบัญชีย้อนหลัง บอกว่าชอบตบโต๊ะนักไม่ใช่หรือ ถ้าอย่างนั้นก็ตบให้ครบหมื่นครั้งไปเลย ไม่อย่างนั้นหากไปถึงภูเขาลั่วพั่ว แม้แต่ลูกศิษย์นักการก็อย่าหวังว่าจะได้เป็น
เฉินผิงอันหยิบของสามชิ้นออกมาจากชายแขนเสื้อ เป็นของขวัญที่ซานจวินใหญ่ของแผ่นดินกลางสองท่านมอบให้เพื่อแสดงความยินดีกับอาจารย์ของตนที่สวนกงเต๋อ มีชางผูหนึ่งกระถางที่เทพภูเขาจิ่วอี๋มอบให้ จูอวี้เซียนแห่งภูเขาแยนจือมอบผงประทินโฉมให้สิบสองตลับ นอกจากนี้ยังมีนกนางแอ่นดำที่พับจากกระดาษซึ่งหาได้ยากอย่างถึงที่สุดตัวหนึ่ง
เด็กชายผมขาวเหลือบมองแวบเดียวก็ไม่สนใจอีก เอามือตบโต๊ะแบบไร้เสียงพลางอ้าปากหาวไปด้วย แต่พอสังเกตเห็นว่าบรรพบุรุษอิ่นกวานเหล่ตามองมาก็รีบเอ่ยอย่างหนักแน่นทันที “สมบัติหนัก! มีชิ้นใดบ้างที่ไม่ใช่สมบัติพิทักษ์ภูเขา”
เฉินผิงอันหมุนกระถางใบเล็กที่อยู่ในมือ ยิ้มพลางเอ่ยแนะนำว่า “ชางผูกระถางนี้มองดูเหมือนไม่ใหญ่ แต่อันที่จริงมีอายุนับพันปีแล้ว เห็นหยดน้ำเล็กๆ ตรงยอดใบหรือไม่ ล้วนเป็นโชคชะตาบุ๋นเชียวนะ ภูเขาจิ่วอี๋ยังมีอีกหลายกระถางที่อายุสามพันปี หยดน้ำโชคชะตาบุ๋นที่กลั่นตัวออกมาได้ก็ยิ่งมีขนาดใหญ่ ใหญ่เท่าเงินเหรียญทองแดงเหรียญหนึ่งเชียวล่ะ แต่อย่าได้ดูแคลนหยดน้ำเล็กๆ นี่เด็ดขาด หากเอาไปวางไว้ที่ต้นกำเนิดของแม่น้ำลำธาร หรือจุดที่มีน้ำไหลผ่าน ก็จะมีปราณบุ๋นก่อกำเนิดขึ้นมา ไม่แน่ว่าในหมู่บ้านรายทางที่อยู่ในรัศมีหลายร้อยลี้ วันใดอาจมีจิ้นซื่อหรือเคอจวี่ของแคว้นเล็กใต้อาณัติปรากฏขึ้นมาก็เป็นได้ ต่อให้ไม่อาจมีชื่อติดกระดานทองคำก็สามารถเพิ่มพูนโชคชะตาที่ดีได้ ประดุจจรดพู่กันก่อเกิดบุปผา”
เผยเฉียนถามอย่างสงสัยใคร่รู้ “อาจารย์พ่อ กระถางเล็กๆ ใบนี้มีมูลค่าเท่าไรหรือ?”
เฉินผิงอันกล่าว “ผลประโยชน์ที่ได้รับเหมือนน้ำเส้นเล็กไหลยาว ดังนั้นของชิ้นนี้หากนำไปขายให้สำนักใหญ่ เงินฝนธัญพืชยี่สิบเหรียญก็ยังไม่แพงเกินไป สำนักเล็กๆ จ่ายเงินฝนธัญพืชหนึ่งเหรียญก็ยังรู้สึกว่าไม่ถูกเลย”
เด็กชายผมขาวอดไม่ไหวจริงๆ จึงถามว่า “เทพภูเขาจิ่วอี๋ผู้นี้ที่บ้านยากจนมากหรือ ไม่อย่างนั้นทำไมถึงได้มอบของเล่นน้อยนิดแค่นี้ให้เป็นของขวัญอวยพรแก่นายท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งกันเล่า?”
งานฉลองของตำหนักสุ้ยฉู แขกที่มาร่วมอวยพรล้วนไม่มีใครกล้าเอาของขวัญมามอบให้แค่พอเป็นพิธีเช่นนี้
หนิงเหยายิ้มเอ่ย “ของที่หายากย่อมล้ำค่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งของที่สามารถเพิ่มพูนโชคชะตาบุ๋นที่ได้แต่ปรารถนามิอาจได้มาครอบครอง แล้วนับประสาอะไรกับเงินฝนธัญพืชยี่สิบเหรียญที่ก็ไม่ถือว่าเป็นเงินเล็กน้อยอะไรจริงๆ”
หมี่ลี่น้อยคิดแล้วก็เอ่ยว่า “พวกเราสามารถเอาชางผูกระถางนี้ไปวางไว้ที่พื้นที่มงคลรากบัว น้ำดีไม่ไหลเข้านาคนนอกนี่นะ”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “คนละครึ่งก็แล้วกัน หยดน้ำโชคชะตาบุ๋นพวกนั้น ภูเขาลั่วพั่วและพื้นที่มงคลรากบัวแบ่งกันคนละครึ่ง”
หมี่ลี่น้อยพยักหน้ารับ “สร้างความผาสุกให้กับบ้านเกิด ทำเรื่องดีไม่ทิ้งนาม นั่นคือดีที่สุดแล้ว”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาสามารถคิดเช่นนี้ได้ก็ดีที่สุดเลยล่ะ”
หมี่ลี่น้อยคลี่ยิ้มอย่างเขินอาย
เฉินผิงอันตบกล่องไม้ไผ่ที่บรรจุผงเครื่องประทินโฉมเบาๆ มองไปทางหนิงเหยา นางส่ายหน้า เฉินผิงอันจึงหันไปมองเผยเฉียน เผยเฉียนเองก็ส่ายหน้าทันที
เผยเฉียนพลันถามว่า “อาจารย์พ่อ ข้าสามารถนำไปมอบให้กับพี่หญิงสือ เฉินยวนจีและหยวนเป่าได้หรือไม่?”
เฉินผิงอันผลักกล่องไม้ไผ่ไปให้เผยเฉียน ยิ้มเอ่ย “ทำไมจะไม่ได้เล่า นี่เป็นเรื่องที่ดีมาก”
จากนั้นเฉินผิงอันก็คีบนกนางแอ่นดำที่พับจากกระดาษขึ้นมา เอ่ยว่า “หากเอาไปวางไว้ริมกรอบป้ายของบ้านบรรพบุรุษหรือบนคานของบ้านก็เท่ากับว่าในบ้านจะมีคนจิ๋วควันธูปเพิ่มมาคนหนึ่ง ยิ่งอยู่ใกล้กับภูเขาใหญ่ที่มีชื่อเสียงมากเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น ภูเขาลั่วพั่วของพวกเราอยู่ใกล้กับภูเขาพีอวิ๋น ดูสิ บังเอิญหรือไม่เล่า?”
เฉินผิงอันมองไปทางหนิงเหยา กล่าวว่า “เทพภูเขาหญิงของภูเขาแยนจือท่านนี้มีฉายาว่าขู่ไช่ น่าสนใจใช่หรือไม่? แม่นางน้อยราชวงศ์เส้าหยวนคนนั้น เจ้ายังจำได้กระมัง คนที่ชื่อว่าจูเหมย เป็นลูกสมุนคอยตามอยู่ข้างกายจวินปี้น่ะ”
หนิงเหยาคิดตามแล้วก็พยักหน้า ดูเหมือนว่าจูเหมยจะชอบป้วนเปี้ยนอยู่รอบกายอวี้เจวี้ยนฟู อันที่จริงแม่นางน้อยนิสัยไม่เลว คุณสมบัติพอใช้ได้ หากจำไม่ผิดยังได้รับปณิธานกระบี่ส่วนหนึ่งไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ด้วย
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ว่ากันว่าตอนที่จูเหมยยังเด็กมาก อยู่ดีๆ ก็ฝันว่าได้ไปเที่ยวเยือนภูเขาแยนจือ ได้เจอกับเทพภูเขาหญิงท่านนั้น ทั้งสองฝ่ายจึงผูกสัญญาต่อกัน โชควาสนาระดับนี้ โดยทั่วไปแล้วมีเฉพาะในตำราเท่านั้น”
หมี่ลี่น้อยเอ่ยอย่างเคลิ้มฝัน “เจ้าขุนเขาคนดี วันหน้าช่วยข้าเขียนเรื่องเล่าขุนเขาสายน้ำทำนองนี้บ้างได้ไหม? ยกตัวอย่างเช่นตอนเด็กข้าเคยงีบหลับในทะเลสาบคนใบ้แล้วก็ฝันเห็นภูเขาลั่วพั่ว?”
เฉินผิงอันเอ่ยสัพยอก “แบบนั้นก็หลอกลวงคนอื่นน่ะสิ”
หมี่ลี่น้อยยิ้มกว้าง เจ้าขุนเขาท่านคิดแล้วตัดสินใจเอาเองเถอะ หนังสือข้าไม่ได้เป็นคนเขียนเสียหน่อย หลอกลวงคนอื่นหรือไม่ ข้าไม่สนหรอกนะ
ส่วนวัตถุจื่อชื่อที่สกุลหลิวธวัลทวีปไม่ทันระวังลืมนำกลับไปชิ้นนั้น เฉินผิงอันคิดว่าจะมอบให้เฉาฉิงหล่างเอาไว้ติดกาย วันหน้าเป็นเจ้าสำนักของสำนักเบื้องล่าง การต้อนรับขับสู้ผู้คนเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ ตอนนี้เฉาฉิงหล่างเองก็ยังไม่มีวิชาอภินิหารจักรวาลชายแขนเสื้อของขอบเขตหยกดิบ ทุกครั้งที่ออกจากบ้านก็คงไม่อาจหอบหิ้วสัมภาระน้อยใหญ่พะรุงพะรังเต็มร่างเพื่อลงจากภูเขาไปทำการค้าหรอกกระมัง
เฉินผิงอันหยิบเอาเทียบตัวอักษรสองฉบับของซูจื่อ หลิ่วชีออกมาอีกครั้ง วางลงบนโต๊ะอย่างระมัดระวัง
หมี่ลี่น้อยยื่นมือไปสัมผัสเทียบอักษรเพื่อแตะกลิ่นอายเซียนเบาๆ แล้วเอ่ยทอดถอนใจว่า “ซูจื่อหนอ หลิ่วชีหนอ ผลงานที่แท้จริงหนอ”
หลิงจือหยกขาวของอวิ๋นเหมี่ยวเซียนเหรินจากหอเซียนจิ่วเจิน ระดับขั้นเป็นอาวุธกึ่งเซียน ไม่ตีกันก็ไม่ได้รู้จักกัน เฉินผิงอันเดาว่าวันหน้าความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายมีแต่จะเป็นพันธมิตรยิ่งกว่าพันธมิตรที่ลงนามสัญญาภูเขาสายน้ำต่อกันเสียอีก
คราวหน้าที่เดินทางไปเที่ยวเยือนทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางพร้อมกับหลิวจิ่งหลง เฉินผิงอันก็คิดไว้เรียบร้อยแล้วว่าจะมอบของขวัญพบหน้าเป็นอะไรดี เขาจะซื้ออุปกรณ์การเล่นหมากล้อมชุดหนึ่งจากนครล่างภูเขาอย่างง่ายๆ ไม่ต้องเป็นของตระกูลเซียนบนภูเขาหรือของที่สร้างจากในวังหลวงด้วยซ้ำ ราคายิ่งถูก ยิ่งเรียบง่ายก็ยิ่งดี
เฉินผิงอันกอดหลิงจือหยกขาวไว้ในอ้อมอก จากนั้นร่ายเวทอำพรางตา พริบตาเดียวก็กลายร่างเป็นเซียนเหรินอวิ๋นเหมี่ยวที่มีภาพบรรยากาศของร่างวารี และบนร่างยังมีความคล้ายคลึงด้านจิตวิญญาณอยู่หลายส่วน
สองนิ้วของมือข้างหนึ่งทำมุทราเต๋า กวาดตามองไปรอบด้าน เปลี่ยนน้ำเสียง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อวิ๋นเหมี่ยวเดินทางไกลมาถึงที่นี่ สหายโปรดหยุดพูดคุยกันก่อน”
หนิงเหยากล่าว “หลอกหยกดิบยังพอได้”
เฉินผิงอันยิ้มแล้วคลายเวทอำพรางตาออก วางหลิงจือหยกขาวลงบนโต๊ะ
หมี่ลี่น้อยกระตุกชายแขนเสื้อของเจ้าฟักแคระข้างกาย เด็กชายผมขาวตบโต๊ะไม่หยุด หันหน้ามาถามอย่างสงสัย “อะไรหรือ?”
หมี่ลี่น้อยมองเจ้าซื่อบื้อน้อยหัวทึบด้วยสายตาสงสาร พูดจาไพเราะน่าฟังกับเจ้าขุนเขาคนดีสักสองสามประโยคเข้าสิ เรื่องแค่นี้ก็ทำไม่เป็นหรือ ตบโต๊ะไม่เหนื่อยหรือไร
ตอนอยู่บนเรือราตรีได้ ‘เทียบ ณ ขณะนั้น’ มาจากอู๋ซวงเจี้ยง วันหน้าจะเอาไปแขวนไว้ในห้องหนังสือ และยังมีกลอนคู่ที่เป็นตัวอักษรเจ็ดสีซึ่งเป็นสมบัติล้ำค่าอย่างแท้จริง ถึงเวลานั้นเฉินผิงอันจะเอาไปติดไว้ที่หน้าประตูใหญ่ของศาลบรรพจารย์สำนักเบื้องล่างในใบถงทวีป
หลินชิงชิงเค่อชิงสกุลชิวอวี๋โจวมอบตราประทับสุยสิงแกะสลักภาพขุนเขาสายน้ำนูนต่ำให้ ตอนอยู่ตลาดไน่เหอ ภูตน้อยมอบแท่นฝนหมึกที่แกะสลักคำว่า ‘เข้าใจหลักการแจ่มชัด ก้าวเดินอย่างมั่นคง’ มาให้ ของสองชิ้นนี้เฉินผิงอันคิดว่าจะนำไปวางไว้บนโต๊ะที่ชั้นหนึ่งของเรือนไม้ไผ่
ก่อนหน้านี้อยู่ที่ร้านผ้าห่อบุญของเกาะนกแก้วยังติดเงินหลิ่วชื่อเฉิงและถัวเหยียนฮูหยินไว้อีกเล็กน้อย ส่วนเรือข้ามทวีปที่ราชวงศ์เสวียนมี่ไม่เพียงแต่มอบให้เปล่าๆ ยังเป็นฝ่ายออกเงินค่าซ่อมแซมให้ด้วยลำนั้น มีชื่อว่าเฟยยวน ตอนที่เฉินผิงอันพูดคุยกับฮูหยินภูเขาชิงเสินอยู่ที่หน้าประตูใหญ่ของศาลบุ๋นได้ขอซื้อต้นไผ่ที่ลำต้นเชื่อมติดกันมาสองต้น และยังมีไผ่ปราณบุ๋น ไผ่ชะตาบู๊ที่เสวียนมี่จะช่วยนำไปส่งให้ที่ท่าเรือหนิวเจี่ยวพร้อมกัน
บนยอดเขาหย่างอวิ๋นของสำนักสั่วอวิ๋นได้เสื้อเกราะหลิงเป่าของศาลซานหลางมาหนึ่งตัว เสื้อเกราะจินอูของสำนักการทหารหนึ่งตัว
สำนักมังกรน้ำ ซุนเจี๋ยมอบปลาวัวคำรามให้คู่หนึ่ง เส้าจิ้งจือมอบเมี่ยเหมิ่งบนภูเขาที่มีอีกชื่อว่าเจียวหมึกน้อยมาให้หนึ่งตัว สามารถนำไปมอบให้กับหงเซี่ยและอวิ๋นจื่อได้ เอาไปเลี้ยงไว้ในจวนน้ำใกล้กับภูเขาหวงหู
ซื้อเกาะเป็ดน้ำมาหนึ่งเกาะ จ่ายเงินไปแปดสิบเหรียญเงินฝนธัญพืช หลี่หยวนมอบแผ่นหยก ‘จวิ้นชิงอวี่เซียง’ ให้หนึ่งแผ่น
มดย้ายรัง นกนางแอ่นคาบดินมาทำรัง ช่วยสะสมทรัพย์สมบัติให้กับภูเขาลั่วพั่วทีละเล็กทีละน้อย หากพูดกันตามมโนธรรมในใจแล้ว ตนที่เป็นเจ้าขุนเขาก็เรียกได้ว่าทำหน้าที่อย่างสุดความสามารถแล้วจริงๆ
หนิงเหยาเอ่ยเตือน “เรื่องเค่อชิงของจวนไฉ่เชวี่ยเป็นการแหกกฎบนภูเขามากเกินไป ภูเขาลั่วพั่วที่เป็นคนสานสัมพันธ์ควรต้องแสดงท่าทีอีกสักหน่อยหรือไม่?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ต้องทำแน่นอนอยู่แล้ว”
เรื่องที่ต้องช่วยขอบคุณแทนจวนไฉ่เชวี่ย เฉินผิงอันมีแผนการอยู่นานแล้ว รอให้กลับไปถึงภูเขาลั่วพั่วก็จะมอบของขวัญขอบคุณไปให้ทั้งสามฝ่ายทันที นอกจากใบชาเสวียนปี้เล็กหลายกระปุกนั้นแล้ว ยังรวมถึงแผ่นไม้ไผ่และใบไผ่ที่เป็นผลิตภัณฑ์พิเศษเฉพาะภูเขาลั่วพั่วอีกหนึ่งชุด มีทั้งหมดยี่สิบสี่แผ่น แต่ละแผ่นแยกเขียนชื่อของยี่สิบสี่ช่วงฤดูกาล บวกกับกลอนบทเล็กที่สอดคล้องกัน ล้วนเป็นลายมือจูเหลี่ยนที่เขียนด้วยตัวอักษรบรรจงเล็กจานฮวา จะนำไปมอบให้กับหยวนหลิงเตี้ยนแห่งยอดเขาจื่อเสวียน หยางโฮ่วแจว๋ของหน่วยฉงเสวียน หรงช่างแห่งทะเลสาบกระบี่ฝูผิง บวกกับจดหมายขอบคุณอีกหนึ่งฉบับที่เฉินผิงอันเขียนด้วยตัวเอง ของขวัญเบาน้ำใจหนัก
หากหยวนหลิงเตี้ยนเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตเซียนเหริน มรรคกถาสูงกว่านี้ พลังพิฆาตมากกว่านี้ อีกทั้งหยวนหลิงเตี้ยนมีความเป็นไปได้ที่จะได้เป็นเจ้าสำนักคนถัดไปของผู้ฝึกตนในหลายยอดเขาของยอดเขาพาตี้ แต่นี่เป็นแค่ความรู้สึกอย่างหนึ่งของเฉินผิงอันเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่นเมื่อสองครั้งก่อน มีครั้งหนึ่งที่มาส่งกระบี่จำลองให้กับเฉินผิงอันและครั้งหนึ่งที่มาเข้าร่วมงานพิธีของภูเขาลั่วพั่ว ฮว่อหลงเจินเหรินล้วนให้หยวนหลิงเตี้ยนที่ได้รับการขนานนามว่า ‘บุคคลอันดับหนึ่งของหยกดิบอุตรกุรุทวีป’ เป็นผู้ปรากฏตัว
หยางโฮ่วแจว๋ที่มีฉายาว่า ‘ถวนหนี’ ได้เป็นผู้ดูแลที่แท้จริงของหน่วยฉงเสวียนต้าหยวนมานานแล้ว ประเด็นสำคัญคือเมื่อเทียบกับขอบเขตหยกดิบแล้ว อายุของคนผู้นี้ถือว่าน้อยมาก อีกทั้งยังมีชื่อเสียงมีคุณธรรมที่ดีงาม สามารถฝึกตนและรับหน้าที่ดูแลกิจธุระต่างๆ ควบคู่กันโดยไม่ถ่วงรั้งทั้งสองด้าน น่าเสียดายคราวก่อนที่ไปพบฮ่องเต้ราชวงศ์ต้าหยวนไม่ได้พบเจอคนผู้นี้ ตอนนั้นพอฮ่องเต้สกุลหลูได้ยินว่าจวนไฉ่เชวี่ยต้องการเค่อชิงก็แนะนำคนผู้นี้ให้ทันทีโดยไม่ลังเล
ลี่ไฉ่ผ่านสงครามใหญ่ติดต่อกันหลายครั้ง ออกกระบี่อำมหิตดุดัน ไม่เคยสนใจรากฐานมหามรรคาของตัวเอง จิตแห่งกระบี่ได้รับความเสียหาย บาดเจ็บสาหัส สำหรับเรื่องของการเดินขึ้นสู่ที่สูงบนวิถีกระบี่ที่จำต้องหยุดเดินเพียงเท่านี้ ลี่ไฉ่เพียงมองอย่างเฉยชา ความคิดและเรี่ยวแรงส่วนใหญ่ถูกนำไปทุ่มเทให้กับการถ่ายทอดวิชาความรู้แก่ลูกศิษย์ผู้สืบทอดและพวกลูกศิษย์ของลูกศิษย์ในสำนักมากกว่า และหรงช่างที่เป็นลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของลี่ไฉ่ก็คือตัวเลือกเพียงหนึ่งเดียวในการเป็นเจ้าสำนักทะเลสาบกระบี่คนถัดไป
ต่อให้สามคนนี้ต่างก็ตกเป็นที่ต้องสงสัยว่าจะเป็นเพียงเจ้าสำนักที่ถูกผลัดเปลี่ยน แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ในช่วงเวลาที่พวกเขาอยู่ในตำแหน่งก็ยังคงเป็นเจ้าสำนักของสำนักหนึ่งในอุตรกุรุทวีปอยู่ดี
เฉินผิงอันเก็บทรัพย์สินที่อยู่บนโต๊ะลงไป เผยเฉียนพาหมี่ลี่น้อยและเด็กชายผมขาวเดินออกไปจากห้อง
หนิงเหยาถาม “เรื่องของการหลอมกระบี่ วันหน้าจะเอาอย่างไร?”
เฉินผิงอันปวดหัวยิ่งนัก “หินพิฆาตมังกรหาได้ยากเกินไป หาได้แล้วก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะซื้อมาได้”
การถามกระบี่กับเผยหมิ่นที่ใบถงทวีป กระบี่บินซงเจินที่จำลองมาจาก ‘กู่ชุ่ย’ ของภูเขาชังกระบี่ได้แตกสลายไปอย่างสิ้นเชิง อีกทั้งปลายกระบี่ของชูอีก็ได้รับความเสียหายอย่างหนัก
เพราะได้ครอบครองน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่ระดับขั้นไม่แย่ลูกหนึ่ง อีกทั้งก่อนหน้านี้การหลอมกระบี่ก็เผาผลาญทรัพย์สินไปไม่มาก เพราะถึงอย่างไรชูอีสืออู่ก็ไม่ใช่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่ เป็นเหตุให้ไม่เคยขาดแคลนแท่นสังหารมังกร ในเรื่องของการหลอมกระบี่ เฉินผิงอันจึงแทบไม่เคยปวดหัวมาก่อน ผลคือตอนนี้กลับต้องเริ่มใช้หนี้เสียแล้ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ได้เป็นผู้ฝึกกระบี่ มีกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตอย่างนกในกรงและจันทร์ในบ่อเพิ่มมาสองเล่มในคราวเดียว ดังนั้นแท่นสังหารมังกรที่ทุกวันนี้เฉินผิงอันต้องการย่อมต้องมีน้ำหนักไม่เบา พอคิดถึงเงินเทพเซียนที่ต้องใช้กับเรื่องนี้ เฉินผิงอันก็รู้สึกอกสั่นขวัญผวาแล้ว อีกอย่างแท่นสังหารมังกรก็เป็นสมบัติหนักที่มีราคาแต่หาซื้อได้ยากมาโดยตลอด นอกจากผู้ฝึกกระบี่ที่หากนำมาหลอมกระบี่จะได้ผลลัพธ์เป็นเท่าตัวแต่เหนื่อยเพียงครึ่งเดียวแล้ว ผู้ฝึกลมปราณที่นำมาใช้ก็มีผลประโยชน์หลากหลาย ผู้ฝึกตนตระกูลเซียนที่ได้ครอบครองของชิ้นนี้แทบจะไม่ยินดีนำออกมาขาย หากไม่มีเงินก็หยิบยืมมาได้ แต่แท่นสังหารมังกรใครจะยอมให้ยืม?
หนิงเหยากล่าว “ทางฝั่งนครบินทะยานก็ไม่มีเหลืออยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นครั้งนี้ข้าต้องพกติดตัวมาด้วย”
เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้น ใช้เสียงในใจถามเด็กชายผมขาวที่อยู่ห่างไปไกล “ตำหนักสุ้ยฉูมีหินสังหารมังกรที่ไม่ใช้บ้างหรือไม่?”
เด็กชายผมขาวใช้เสียงในใจตอบกลับมาไกลๆ “มีสิ ตำหนักสุ้ยฉูชอบเก็บของผุๆ พังๆ มาที่สุดแล้ว ไม่ว่าสมบัติอะไรก็ล้วนมีหมด หินสังหารมังกรก็มีตั้งสองก้อนใหญ่ สูงเท่าตัวคนเชียวล่ะ เจ้าหมอนั่นเอามาแกะสลักเป็นคู่รักคู่หนึ่งกับมือตัวเอง เศษหินที่เหลือจากการแกะสลักเขาก็เอาไปมอบให้คนอื่นง่ายๆ หมดแล้ว”
เฉินผิงอันถอนหายใจ ถ้าอย่างนั้นก็หมดหวังแล้ว
สรุปว่าตอนนี้มีทางเลือกแค่สามทางเท่านั้น คลังเก็บสมบัติลับของสกุลซ่งต้าหลี ศาลบรรพจารย์ของภูเขาเจินอู่ คนพิฆาตมังกรเองก็อาจเก็บของชิ้นนี้เอาไว้เป็นการส่วนตัว
ภูเขาใหญ่ทางทิศตะวันตกของบ้านเกิดมีเพียงภูเขาหลงจี๋ที่ถูกทางราชสำนักต้าหลีกำหนดให้เป็นพื้นที่ต้องห้าม เพราะว่าภูเขาหลงจี๋มีหน้าผาสังหารมังกร แบ่งหนึ่งออกเป็นสาม ศาลลมหิมะ ภูเขาเจินอู่ หร่วนฉงต่างก็ได้ครอบครองคนละหนึ่งส่วน
สำหรับเรื่องการขุดเจาะแท่นสังหารมังกร เวลาหลายสิบปี ทางการมีคำสั่งห้ามเข้มงวด ลงมือทำกันอย่างมิดชิดอำพราง หลังจากที่อริยะหร่วนฉงได้ไป หินที่ขุดค้นมาได้ ตัวเขาเองเก็บไว้แค่เกือบครึ่ง ส่วนที่เหลืออีกเกินครึ่งล้วนมอบให้แก่ราชสำนักต้าหลี จากนั้นก็แทบจะถูกฮ่องเต้สกุลซ่งต้าหลีเอาไปใช้หนี้ทั้งหมด หลักๆ คือมอบให้กับสำนักโม่ จวี้จื่อสำนักโม่สร้างนครแห่งนั้นขึ้นมา วัตถุดิบวิเศษหลายชนิดที่สำคัญที่สุดในบรรดานั้นก็มีแท่นสังหารมังกรอยู่ด้วย
ฮ่องเต้สกุลซ่งต้าหลีก่อนและหลังสองพระองค์ต่างก็ให้ความเคารพนับถือผู้ถวายงานอันดับหนึ่งผู้มีคุณูปการต่อบ้านเมืองท่านนี้อย่างมาก แน่นอนว่าย่อมมีมารยาทต่อหร่วนฉงมากเป็นพิเศษ หลังจากศึกใหญ่ผ่านไป ในอาณาเขตขุนเขาสายน้ำของหนึ่งทวีป เจียวหลงมากมายที่เดิมทีซ่อนตัวอยู่ตามป่าเขาลำเนาไพรก็พากันปรากฏตัว ทว่าตำแหน่งเก้าอี้ผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของหร่วนฉงกลับกลายเป็นว่าต่อให้ฟ้าผ่าก็ไม่สะเทือน
ส่วนของศาลลมหิมะกลับถูกขุดไปจนเกลี้ยงอย่างลับๆ นานแล้ว ทว่าศาลลมหิมะกลับไม่ขาดทุนแม้แต่น้อย ได้วิชาลับที่หายสาบสูญไปซึ่งสามารถเดินตรงสู่ห้าขอบเขตบนมาสองบท รวมไปถึงวิถีแห่งกระบี่ที่สูงและลี้ลับยิ่งกว่า
ทางฝั่งของภูเขาเจินอู่ เฉินผิงอันยังไม่รู้ว่าหลายปีมานี้พวกเขาเคลื่อนย้ายหินสังหารมังกรไปใช้ในการใด เพราะเกี่ยวข้องกับหม่าขู่เสวียน เฉินผิงอันจึงไม่เคยยินดีจะเป็นฝ่ายไปมาหาสู่กับภูเขาเจินอู่
แน่นอนว่าก็ใช่ว่าไม่มีหินสังหารมังกรแล้วจะหลอมกระบี่ไม่ได้ เพราะถึงอย่างไรผู้ฝึกกระบี่ในใต้หล้าที่ได้ครอบครองแท่นสังหารมังกรก็มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้น
แต่เฉินผิงอันหวังว่าจะหลอมกระบี่ได้เร็วกว่าเดิมและเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตเซียนเหรินได้ไวกว่าเดิม
หนิงเหยากล่าว “กลับไปแล้วสามารถถามชุยตงซานได้”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
จากนั้นเรือข้ามฟากก็ล่องลงใต้ต่อไปอีกครั้ง วันนี้เฉินผิงอันเรียกเผยเฉียนมาช่วยสอนหมัดให้กับนาง แต่ไม่ได้ป้อนหมัดให้
หมัดที่เฉินผิงอันสอนให้กับเผยเฉียนเป็นวิชาหมัดที่ป๋ายหมัวมัวแห่งจวนหนิงคิดค้นขึ้นด้วยตัวเอง วิชาหมัดกระบวนท่าหมัดล้วนไม่มีชื่อเรียก
ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวของกำแพงเมืองปราณกระบี่ หากคิดจะกลายเป็นปรมาจารย์ใหญ่ก็ยากลำบากพอๆ กับการที่เมื่อก่อนแจกันสมบัติทวีปจะมีผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบนปรากฏขึ้นสักคน
——