กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 818.1 แกะเรือหากระบี่
จุดตัดระหว่างแคว้นซูสุ่ยกับแคว้นกู่อวี๋ ท่ามกลางภูเขาเขียวน้ำใส สายลมอบอุ่นและแสงอาทิตย์งดงาม มีชายหญิงคู่หนึ่งเดินเคียงบ่ากันขึ้นเขา มุ่งหน้าไปยังศาลเทพภูเขาแห่งหนึ่งที่อยู่บนยอดเขา
บุรุษสะพายกระบี่ปักปิ่นหยก สวมชุดกว้าสีเขียวรองเท้าผ้า สตรีสะพายกล่องกระบี่ สวมชุดคลุมยาวสีขาวหิมะ
ทั้งคนและทัศนียภาพล้วนงดงามดุจภาพวาด
ภูเขามีชื่อว่าจิ้งหลิง ศาลเทพภูเขาถูกสร้างขึ้นมาเมื่อประมาณยี่สิบกว่าปีก่อน ระดับขั้นของศาลไม่สูง ผู้ที่ได้เสวยสุขกับควันธูปคือเหนียงเนียงเทพวารีที่ชาวบ้านในพื้นที่ต่างก็ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน ตอนนั้นมีรองเจ้ากรมพิธีการของแคว้นซูสุ่ยคนหนึ่งมาจัดงานพิธีแต่งตั้งให้ บัณฑิตในตัวเมือง แรกเริ่มก็ยุ่งวุ่นวายอยู่กับการตีสนิทหวังได้รับการปกป้องจากร่มเงาบรรพบุรุษ แต่น่าเสียดายที่พลิกเปิดตำราประวัติศาสตร์ของทางการและอักขรานุกรมภูมิศาสตร์จนทั่วแล้วก็ยังไม่อาจหาเจอว่า ‘หลิ่วเชี่ยน’ คือฮูหยินตราตั้งคนใดในประวัติศาสตร์
บริเวณใกล้เคียงมีลำคลองหวงเหอที่มีชื่อเสียงไหลผ่าน ทุกครั้งที่เจอกับช่วงฤดูฝนเหมยจะเป็นภาพบรรยากาศของน้ำไหลพืชพรรณเขียวชอุ่ม ช่วงเวลาแห่งสันติสุขที่กลียุคสิ้นสุดลง ทำให้คนยิ่งทะนุถนอมเห็นค่ามากขึ้น ใบหน้าผู้คนยิ้มแย้มมีความสุข ดังนั้นจึงเป็นช่วงเวลาเหมาะสมที่จวนราชาลำคลองหวงเหอจะจัดงานแต่งงานขึ้น เทพลำคลองสู่ขอภรรยาคือเรื่องน่ายินดีที่ร้อยปีก็ยากจะพานพบ เป็นเหตุให้นับตั้งแต่ขุนนางในพื้นที่ไปจนถึงชาวบ้านร้านตลาดล้วนชื่นมื่นเบิกบาน คล้ายกับได้ฉลองปีใหม่ ควันธูปของศาลเทพภูเขาจิ้งหลิงแห่งนี้จึงเพิ่มมากกว่าเดิมอีกหลายส่วนด้วย
ชายหญิงที่แวะมาเที่ยวเยือนศาลเทพภูเขาจิ้งหลิงก็คือเฉินผิงอันกับหนิงเหยาที่ทะยานลมเดินทางท่องเที่ยวมาทางทิศใต้
ระหว่างที่เดินทางมาเฉินผิงอันได้บอกเล่าสถานการณ์คร่าวๆ ของหมู่บ้านวารีกระบี่ในอดีตให้หนิงเหยาฟังแล้ว เหตุใดผู้อาวุโสซ่งถึงยินดียกกิจการบรรพบุรุษย้ายมาอยู่อย่างสันโดษเช่นนี้ รวมไปถึงการค้าขายที่เป็นเรื่องวงในของราชสำนักแคว้นซูสุ่ย ตัวตนที่แท้จริงของหลิ่วเชี่ยน อดีตสี่พิฆาตแคว้นซูสุ่ย และถือโอกาสพูดไปถึงซูหลางเซียนกระบี่ไผ่เขียวแห่งแคว้นซงซี เวลานี้กำลังยิ้มพูดแนะนำว่า “ภูเขาลูกนี้คนในพื้นที่เรียกว่าซินอี้เจียน ทางฝั่งของลำคลองหวงเหอมีตัวอักษรใหญ่แกะสลักไว้บนหน้าผา เป็นตัวอักษรสีชาดแปดคำ ‘ยึดครองพักพิงในฤดูใบไม้ร่วง มังกรจำศีลฟื้นคืนชีพ’ ท่านเทพลำคลองหวงเหอรู้สึกว่าเป็นนิมิตหมายที่ดี ดังนั้นจึงสร้างจวนวารีลำคลองหวงเหอไว้กลางน้ำด้านล่างหน้าผา อันที่จริงตามกฎของภูเขาสายน้ำทั่วไปแล้ว จวนวารีไม่เหมาะจะสร้างใกล้ภูเขาเช่นนี้ ง่ายที่น้ำและภูเขาจะขัดแย้งกันเอง”
หนิงเหยาถาม “ราชาแห่งลำคลองหวงเหอ? มาจากที่ใดกัน?”
เฉินผิงอันพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ “ร่างจริงคือปลาเหนียน (แคชฟิช ลักษณะคล้ายปลาดุก แต่ไม่ใช่ ลำตัวมีเมือกมาก ไม่มีเกล็ด หลังดำ ท้องขาว หัวแขน ปากกว้าง คางบนและล่างมีหนวดสี่เส้น หางกลม) ยักษ์ตัวหนึ่ง ลำคลองหวงเหอน้ำขุ่น ใกล้ชิดกับมหามรรคา แต่ได้ยินมาว่าเทพลำคลองผู้นี้ปกติแล้วชอบที่จะเรียกตัวเองว่านักพรต ชอบความเงียบสงบ มีความประณีตพิถีพิถันอย่างมาก ดังนั้นจึงไม่ค่อยชอบชื่อเรียกว่าราชาแห่งหวงเหอสักเท่าไร เพียงแต่ว่าชาวบ้านสองแคว้นที่อยู่เลียบลำคลองหวงเหอชอบเรียกอย่างนี้ก็เลยเปลี่ยนได้ยากแล้ว”
หนิงเหยากล่าว “รับอนุก็รับอนุสิ ทำไมถึงพูดว่าเทพลำคลองแต่งภรรยาเล่า”
เฉินผิงอันหุบยิ้มฉับ ไม่เอ่ยอะไรอีก
ไปถึงศาลเทพภูเขาจิ้งหลิง คนที่มาจุดธูปกราบไหว้มีบางตา ส่วนใหญ่เป็นบัณฑิตและปัญญาชน เพราะรองเจ้ากรมพิธีการที่มาแต่งตั้งภูเขาลูกนี้ในปีนั้นเป็นผู้รับผิดชอบจัดการสอบระดับมณฑลครั้งใหญ่ของแคว้นซูสุ่ยปีนี้
เฉินผิงอันคีบธูปภูเขาออกมาสามดอก หลังจากจุดธูปแล้ว แน่นอนว่าเขาไม่ได้เหมือนชาวบ้านที่จุดธูปขอพรที่แค่โขกหัวคำนับก็เสร็จสิ้น ตามหลักมารยาทแล้วไม่เหมาะสม เฉินผิงอันเพียงแค่คารวะฟ้าดินสี่ทิศ ไม่ได้กราบไหว้รูปปั้นเหนียงเนียงเทพภูเขาที่อยู่ในห้องโถงด้วยซ้ำ เอ่ยในใจหนึ่งประโยค จากนั้นก็ปักธูปลงในกระถาง หนิงเหยาถึงขั้นไม่ได้จุดธูป ไม่ใช่เพราะหนิงเหยาดูแคลนสถานะสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำของหลิ่วเชี่ยน เพราะถึงอย่างไรศาลเทพภูเขาของหลิ่วเชี่ยนแห่งนี้ก็ไม่มีทางรับการถือธูปผงกศีรษะสามครั้งจากหนิงเหยาได้แน่นอน ดังนั้นต่อให้หนิงเหยายินดีทำ เฉินผิงอันก็ต้องห้ามอยู่แล้ว
ริ้วแสงกระเพื่อมสว่างวาบขึ้นมาบนเทวรูปหลากสี เพียงไม่นานก็มีสตรีสวมชุดกระโปรงพลิ้วไสวคนหนึ่งเดินก้าวออกมาจากร่างทองของเทพภูเขา หลิ่วเชี่ยนร่ายเวทอำพรางตา นางย่อมมีวิชาอภินิหารที่ทำให้มนุษย์ธรรมดาซึ่งมาขอพรที่ศาลจำนางไม่ได้แม้จะอยู่ตรงกันข้าม
เฉินผิงอันกับหนิงเหยายืนอยู่ในมุมที่เงียบสงัด หลิ่วเชี่ยนถอนสายบัวคารวะด้วยสีหน้าสดใส เฉินผิงอันกับหนิงเหยากุมหมัดคารวะกลับคืน
หลิ่วเชี่ยนเอ่ยเสียงเบาว่า “คุณชายเฉิน ท่านผู้นี้ใช่เซียนกระบี่หนิงแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่หรือไม่?”
หากเป็นคนทั่วไป นางหรือจะกล้าถามเช่นนี้ ถามถึงผิดคนขึ้นมา สตรีตรงหน้าไม่ได้แซ่หนิง ผลลัพธ์ย่อมร้ายแรงจนมิอาจจินตนาการได้ถึง แต่เมื่อเป็นเฉินผิงอัน หลิ่วเชี่ยนกลับยังพอจะมั่นใจอยู่บ้าง
หนิงเหยาพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
ก่อนหน้านี้ได้ยินเฉินผิงอันเล่าให้ฟังถึงอดีตระหว่างหลิ่วเชี่ยนและซ่งเฟิ่งซาน กว่าจะได้เดินเคียงข้างกันได้ ไม่ง่ายเลยจริงๆ
หลิ่วเชี่ยนคลี่ยิ้มหวาน เอ่ยอย่างกระจ่างแจ้งว่า “มิน่าเล่าคุณชายเฉินถึงยินดีเดินทางผ่านพันภูเขาหมื่นสายน้ำ แต่ก็ต้องไปหาแม่นางหนิงที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ให้จงได้”
เฉินผิงอันยิ้มถาม “ทุกวันนี้ผู้อาวุโสซ่งคงอยู่ที่จวนกระมัง?”
หลิ่วเชี่ยนพยักหน้ารับ “คราวก่อนท่านปู่ไปท่องเที่ยวในยุทธภพแล้วกลับมาบ้าน ได้ยินว่าคุณชายเฉินกลับบ้านเกิดแล้วก็ออกท่องยุทธภพอีกครั้ง แต่ว่าคราวนี้ไปแค่ใกล้ๆ ทุกครั้งแค่ไปถึงหน้าประตูก็หยุด”
กล่าวมาถึงตรงนี้ หลิ่วเชี่ยนก็อดไม่ไหวคลี่ยิ้มเต็มใบหน้า ท่านปู่ที่ในอดีตไม่ชอบยิ้มแย้มพูดคุย ทุกวันนี้กลับเหมือนเด็กแก่ เฟิ่งซานคอยคุมไม่ให้เขาดื่มเหล้า เขาก็จะแอบดื่ม ทุกครั้งแสร้งทำเป็นเดินเล่นไปถึงหน้าประตูแล้วยังจงใจหลบเลี่ยงเฟิ่งซาน ภายหลังเฟิ่งซานแกล้งถามว่าจะส่งจดหมายไปให้ที่ภูเขาลั่วพั่วอีกฉบับหนึ่งเพื่อเร่งเฉินผิงอันหรือไม่ ผู้เฒ่าก็จะเป่าหนวดถลึงตาใส่ บอกว่าใครขอร้องให้เขามากัน อยากมาก็มา ไม่อยากมาก็ไม่ต้องมา ไม่เห็นจะอยากเจอ แต่ช่วงที่ผ่านมานี้ผู้เฒ่ากลับไม่ดื่มเหล้าอีกแล้ว คล้ายกับว่าสะสมเอาไว้ก่อน
เฉินผิงอันถาม “พี่สะใภ้เพิ่งมาจากจวนวารีลำคลองหวงเหอหรือ? จะถ่วงเวลาการทำธุระของท่านหรือไม่?”
หลิ่วเชี่ยนส่ายหน้ายิ้มเอ่ย “ไม่หรอก ความสัมพันธ์ระหว่างจิ้งหลิงกับหวงเหอนั้นไม่เลว ครั้งนี้เทพลำคลองแต่งภรรยา เฟิ่งซานกับข้าจึงไปช่วยต้อนรับแขกที่นั่น เมื่อครู่ได้ยินเสียงในใจของคุณชายเฉิน ข้าก็เลยกลับมาก่อน ใช้นกกระจอกภูเขาส่งข่าวไปแจ้งท่านปู่แล้ว ตอนนี้เฟิ่งซานก็น่าจะออกเดินทางแล้ว เขาจะไปที่เรือนโดยตรง จะได้ไม่ต้องอ้อมไปอ้อมมาให้ท่านปู่รอนาน”
การที่หลิ่วเชี่ยนเลือกสถานที่แห่งนี้สร้างศาลภูเขา เหตุผลหนึ่งในนั้นก็คือซ่งอวี่เซาเป็นสหายรักกับเทพลำคลองหวงเหอ ทั้งสองฝ่ายถูกชะตากันมาก ญาติห่างไกลไม่สู้เพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้เคียงนี่นะ
เฉินผิงอันกุมหมัดกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนพี่สะใภ้ช่วยนำทางด้วย”
หลิ่วเชี่ยนทะยานลมนำหน้าเดินทางไปไกล เฉินผิงอันกับหนิงเหยาตามไปเบื้องหลัง เรือนพักห่างจากศาลประมาณร้อยลี้ระยะทางภูเขา หลังจากซ่งอวี่เซาล้างมือลาจากวงการ เก็บตัวอยู่อย่างสันโดษ หลายปีมานี้ก็มีบ้างบางครั้งที่ออกท่องยุทธภพเพื่อผ่อนคลายอารมณ์ แต่กลับไม่พกกระบี่ประจำตัวอีกต่อไป ยิ่งไม่เปิดปฏิทินเหลืองก่อนออกจากบ้านอีก
คนทั้งสามพลิ้วกายลงหน้าประตูบ้าน เมื่อเทียบกับหมู่บ้านวารีกระบี่ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งยุทธจักรของเขตชิงซงในอดีตแล้ว เรือนพักที่อยู่ตรงหน้าเรียกได้ว่าเก่าโทรมแร้นแค้น ตรงหน้าประตูมีผู้เฒ่าที่ทั้งผมและหนวดล้วนเป็นสีขาวยืนอยู่ เขาเอาสองมือไพล่หลัง เรือนกายงองุ้มน้อยๆ หรี่ตายิ้ม
เฉินผิงอันบิดหมุนข้อมือหนึ่งที ในมือก็มีฝักกระบี่ไผ่เหลืองชิ้นหนึ่งเพิ่มขึ้นมา เขาชูมันขึ้นสูงแล้วโยนเบาๆ ไปให้ผู้เฒ่า
ซ่งอวี่เซาอึ้งตะลึง ยื่นมือมารับฝักกระบี่เอาไว้ ถามอย่างสงสัย “เจ้าหนู ไปเอากลับมาได้อย่างไร? ซื้อ ยืม แย่ง?”
กล่าวมาถึงสุดท้ายผู้เฒ่าก็หัวเราะเสียงดังลั่นอยู่กับตัวเอง ช่างมารดามันเถอะ เจ้าเด็กน้อยนี่ก็เอาฝักกระบี่กลับมาได้แล้วไม่ใช่หรือ?
เฉินผิงอันเดินเร็วๆ ไปข้างหน้า ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ตามกฎของยุทธภพ คนเอาไปเอาไปอย่างไรก็ต้องเอากลับมาคืนอย่างนั้น”
ซ่งอวี่เซาเป็นกังวลเล็กน้อย “เมื่อยี่สิบปีก่อน เจ้านั่นก็เป็นปรมาจารย์ขอบเขตเดินทางไกลคนหนึ่งแล้ว ในอดีตดูจากความองอาจห้าวหาญของเขาแล้วไม่เหมือนจะเป็นผีอายุสั้นเลย เส้นทางวรยุทธในอนาคตต้องเดินขึ้นสู่ที่สูงได้แน่ เจ้าหนูเจ้าไม่เป็นไรกระมัง?”
มองออกว่าตอนนี้เฉินผิงอันมีอาการบาดเจ็บ คงไม่ใช่ว่าบาดเจ็บเพื่อฝักกระบี่ชิ้นนี้หรอกกระมัง? ทำแบบนี้ไม่คุ้มเลย
มังกรข้ามแม่น้ำที่พลังอำนาจดุดันตัวนั้น แค่โยกหัวสะบัดหางทีเดียว สำหรับยุทธภพของหลายสิบแคว้นซึ่งมีซูสุ่ย ไฉ่อีเป็นหนึ่งในนั้นแล้ว ก็คือคลื่นโถมกระหน่ำที่น่าอกสั่นขวัญผวา
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เขาชื่อหม่าฉวีเซียน เป็นผู้ฝึกยุทธของต้าตวนแผ่นดินกลาง แล้วยังเป็นแม่ทัพใหญ่นำกองทัพแห่งหนึ่ง ตอนที่ข้าไปถามหมัด เขาคือคอขวดขอบเขตเก้า”
หลิ่วเชี่ยนหน้าซีดขาวเล็กน้อย
ต่อให้จะรู้ว่าเฉินผิงอันคืออิ่นกวานคนสุดท้ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่ แล้วยังเป็นหนึ่งในสิบคนรุ่นเยาว์ของหลายใต้หล้า แต่เมื่อนางได้ยินว่าคนผู้นั้นคือผู้ฝึกยุทธคอขวดขอบเขตเก้า หลิ่วเชี่ยนก็ยังอกสั่นขวัญผวาอยู่ดี
ซ่งอวี่เซากำฝักกระบี่ในมือแน่น ถามว่า “ถามหมัดอันตรายมากเลยหรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า เอ่ยเสียงเบาว่า “บาดแผลเล็กน้อยบนร่างของข้านี้ เป็นเพราะประลองฝีมือกับคนอื่น ไม่ได้เกี่ยวกับการถามหมัดกับหม่าฉวีเซียน ไม่อันตรายเลยสักนิด”
ซ่งอวี่เซาถลึงตาใส่ “พูดจาวางโตขนาดนี้ ทำไมเจ้าไม่ตีกับเฉาสือสักรอบไปเลยเล่า?”
เฉินผิงอันพยักหน้า กะพริบตาปริบๆ “ก็เพราะตีกับเฉาสือนี่แหละ”
ถึงอย่างไรวันนี้ข้าก็มาเพื่อดื่มเหล้า อีกอย่างเรื่องของการยุให้คนอื่นดื่ม ใครฝีมือสูงฝีมือต่ำ ทุกวันนี้กลับบอกได้ยากแล้ว
ซ่งอวี่เซาสะอึกอึ้งไปทันใด เลือกจะไม่สนใจเจ้าเด็กนี่เสียเลย ทำเรื่องที่องอาจห้าวหาญลงไปแล้วกลับพูดออกมาอย่างผ่อนคลายเช่นนี้ เหมือนตนตอนเป็นหนุ่มยิ่งนัก ซ่งอวี่เซาหันหน้าไปยิ้มมองสตรีคนนั้น “หนิงเหยา?”
หนิงเหยากุมหมัดคารวะ “ผู้เยาว์หนิงเหยา คารวะท่านปู่ซ่ง”
ซ่งอวี่เซากุมหมัดคารวะกลับคืน จากนั้นก็ลูบหนวดยิ้ม เหล่ตามองคนบางคน “นับว่าเจ้าเด็กซื่อบื้อนี่โชคดี”
เดินเข้าไปในเรือนพักด้วยกัน หลิ่วเชี่ยนหยิบเหล้าออกมา ยกกับแกล้มสองสามจานมาวางบนโต๊ะ หนิงเหยากับหลิ่วเชี่ยนแต่ละคนดื่มคารวะซ่งอวี่เซากับเฉินผิงอันแล้วก็ออกมาจากโต๊ะเหล้า ให้คนทั้งสองได้ดื่มกันเพียงลำพัง
ซ่งเฟิ่งซานยังอยู่ระหว่างเดินทางมา เพราะว่ายังเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเจ็ด ไม่อาจทะยานลมเดินทางไกลได้ แน่นอนว่าไม่สามารถไปมาได้เหมือนสายลมอย่างภรรยาหลิ่วเชี่ยนที่เป็นเทพภูเขาของหนึ่งพื้นที่
ซ่งอวี่เซามือหนึ่งถือชามเหล้า มือหนึ่งงอนิ้วดีดลงบนฝักกระบี่ไผ่เหลืองที่วางพาดอยู่บนโต๊ะเบาๆ เอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “เจ้าหนูเจ้าพูดได้ง่ายนัก แต่ข้ารู้ว่าเรื่องนี้มีความยากลำบากเพียงใด”
ไม่เพียงแต่พูดถึงการถามหมัดที่เอาชนะหม่าฉวีเซียนที่เป็นขอบเขตเก้าขั้นสมบูรณ์แบบมาได้ ผู้เฒ่ายังพูดถึงการที่เฉินผิงอันสามารถเดินมาจนถึงทุกวันนี้ เดินมาถึงที่นี่ มานั่งลงดื่มเหล้าตรงนี้
เฉินผิงอันยกชามเหล้าขึ้น ยิ้มพูดว่าข้ามาช้าไปแล้ว ต้องดื่มลงโทษตัวเองก่อนสามชาม หลังจากดื่มติดกันรวดสามชามก็รินเหล้าอีกครั้ง ยกชามชนกับผู้อาวุโสซ่งเบาๆ ต่างคนต่างดื่มจนหมด แล้วต่างคนก็ต่างรินเหล้าเต็มชามอีกครั้ง เฉินผิงอันคีบกับแกล้มขึ้นมากินคำใหญ่ ต้องชะลอเสียหน่อย
ซ่งอวี่เซายิ้มถาม “ประมือกับหม่าฉวีเซียนอย่างไร ไหนเจ้าลองเล่าให้ข้าฟังบ้างสิ”
นี่ต่างหากจึงจะเป็นกับแกล้มที่แท้จริง
เฉินผิงอันจึงเล่าขั้นตอนให้ฟังคร่าวๆ เพราะถึงอย่างไรก็เป็นแค่เรื่องของไม่กี่หมัดเท่านั้น
ซ่งอวี่เซาดื่มเหล้าแล้วก็เช็ดปาก จุ๊ปากพูดว่า “ถูกเจ้าต่อยจนขอบเขตถดถอยเชียวหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ยกขาข้างหนึ่งวางลงบนม้านั่งยาว “วันหน้าหากยังกล้ามาถามหมัดก็จะทำให้เขาขอบเขตถดถอยอีก ถดถอยจนกว่าจะไม่กล้าถามหมัด”
ซ่งอวี่เซาผงกปลายคาง เฉินผิงอันก็แกล้งโง่ ซ่งอวี่เซาจึงได้แต่เอ่ยเตือนว่า “กล้าถามหมัดหนักขนาดนี้ ก็ไม่ควรต้องดื่มเหล้าชามใหญ่หรอกหรือ ชามที่บ้านเล็ก เจ้าต้องดื่มสองชามให้เป็นพิธีเสียก่อน เหล้าหมักเองประเภทนี้ นอกจากดื่มจนอิ่มแล้วก็ไม่อาจทำให้เมาได้เลย อย่ามัวแต่อิดออดอยู่เลย อยู่บนโต๊ะเหล้ายุให้คนอื่นดื่มเหล้าเป็นการเสียมารยาท ทว่าเอาแต่กินกับแกล้มไม่ดื่มเหล้า รอให้คนยุก่อนถึงจะดื่มกลับเสียมารยาทยิ่งกว่า”
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างจนใจ “อีกเดี๋ยวรอให้พี่ใหญ่ซ่งมานั่งที่โต๊ะแล้ว คำพูดแบบนี้ผู้อาวุโสก็พูดกับเขาด้วยนะ ให้พี่ใหญ่ซ่งเอาอย่างข้า ดื่มหมดสามชามก่อนค่อยนั่งลง”
ซ่งอวี่เซายิ้มกล่าว “เฟิ่งซานเก็บกดจะแย่แล้ว เมื่อหลายปีก่อนเอาแต่คิดว่าวันหน้าต้องให้กำเนิดลูกสาวสักคน ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นพ่อตาใครบางคนได้ ตอนนี้กลับดีนัก ไม่มีเรื่องให้ลุ้นแล้ว อีกเดี๋ยวเจ้าก็คิดเอาเองแล้วกันว่าจะทำอย่างไร แต่หากเป็นข้าข้าทนไม่ได้หรอก”
เฉินผิงอันลูบหน้า “หาเรื่องดื่มน่ะสิ”
ซ่งอวี่เซาสลัดรองเท้าทิ้ง นั่งขัดสมาธิ ดวงตาฉายประกายวิบวับ ยิ้มถามว่า “อยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่คงได้เจอกับเซียนกระบี่ไม่น้อยเลยกระมัง?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “เคยเห็นมาหมดแล้ว”
หลังจากนั้นซ่งอวี่เซาก็ไม่ได้ถามถึงอดีตตอนที่เฉินผิงอันอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ให้มากความแม้แต่ครึ่งคำ คนต่างถิ่นอายุน้อยคนหนึ่งกลายเป็นอิ่นกวานได้อย่างไร กลายเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่แท้จริงได้อย่างไร ท่ามกลางสงครามใหญ่ครั้งนั้นออกกระบี่ออกหมัดใส่ใครบ้าง รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับเซียนกระบี่คนใดบ้าง เคยยกจอกเหล้าบนโต๊ะสุรามากี่มากน้อย ต้องพบเจอการจากลาไร้เสียงบนสนามรบมากี่ครั้ง ผู้เฒ่าไม่ได้ถามแม้แต่เรื่องเดียว
เฉินผิงอันเองก็ไม่ได้ถามว่าเหตุใดถึงไม่เห็นพ่อบ้านผู้เฒ่าฉู่และคนเฝ้าประตูเหล่าฉี แค่ถามสถานการณ์ในยุทธภพแคว้นซูสุ่ยช่วงที่ผ่านมา รู้ว่าหวังอี้หรานเจ้าประมุขแห่งยุทธจักรของหมู่บ้านภูเขาเหิงเตา วิชาดาบยิ่งพัฒนาขึ้นไปอีกหลายขั้น ได้กลายเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตเจ็ดคนที่สองในยุทธภพตามหลังซูหลางเซียนกระบี่ไผ่เขียวแห่งแคว้นซงซี ฝ่าทะลุขอบเขตเร็วกว่าซ่งเฟิ่งซานอยู่หลายปี และทุกวันนี้ซูหลางก็ปิดด่านอยู่ ว่ากันว่ามีหวังว่าออกจากด่านแล้วจะได้เป็นขอบเขตเดินทางไกล ก่อนจะเปิดด่านครั้งนี้ ซูหลางที่สะพายกระบี่สีเขียวมรกตห้อยไผ่เขียวยังต้องใจแวะเวียนมาเยี่ยมเยือนที่นี่โดยเฉพาะ มาพูดคุยรำลึกความหลังกับซ่งอวี่เซา ถือว่าเป็นการคลี่คลายบุญคุณความแค้นในอดีตกันไป
ส่วน ‘ฉู่หาว’ แม่ทัพใหญ่ที่สถานะแท้จริงคือหันหยวนซ่านแห่งภูเขาเสี่ยวฉงก็ได้ยึดอำนาจของทั้งแคว้นมาไว้ในมือ ทำให้ฮ่องเต้เป็นเพียงตำแหน่งที่ว่างเปล่าอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากสงครามใหญ่ที่ลามมาถึงภาคกลางของแจกันสมบัติทวีปในครั้งนั้น หันหยวนซ่านมีคุณความชอบทางการสู้รบที่โดดเด่น ต่อสู้อย่างยากลำบากในสงครามดุเดือดโดยไม่ยอมล่าถอยอยู่หลายครั้ง ทั้งเรื่องการโยกย้ายทหารและกองกำลัง การต่อสู้ที่มีระบบระเบียบ สร้างความสาแก่ใจให้ผู้คน คำวิจารณ์ที่เกี่ยวกับเขาจึงแปรเปลี่ยนไป ผู้นำของฝ่ายมารที่ในอดีตผู้คนอยากสังหาร กลายเป็นว่ามีชื่อเสียงที่ไม่เลวทั้งในราชสำนัก วงการการประพันธ์และยุทธภพ เป็นเหตุให้ทั่วทั้งราชสำนักของแคว้นซูสุ่ยในทุกวันนี้ต่างก็เล่าลือกันว่าฝ่าบาทตั้งใจจะสละราชบัลลังก์ให้ เพราะสาเหตุมาจากที่หลานสะใภ้หลิ่วเชี่ยนคือสายลับของต้าหลี ซ่งอวี่เซาจึงรู้เรื่องวงในค่อนข้างมาก แคว้นซูสุ่ยในทุกวันนี้ยังคงเป็นแคว้นใต้อาณัติของต้าหลี ฮ่องเต้มีใจจะสลัดสถานะในชั้นนี้ทิ้ง บวกกับที่ไม่อาจแย่งชิงกับ ‘ฉู่หาว’ แม่ทัพใหญ่ที่ควบหลายตำแหน่ง หรือควรจะเรียกว่าหันหยวนซ่านที่พึ่งพาสกุลซ่งต้าหลีคนนั้นไม่ได้จริงๆ จึงเท่ากับว่าสามฝ่ายอย่างฮ่องเต้ หันหยวนซ่านและราชวงศ์ต้าหลีได้ทำการค้ากันใต้โต๊ะ ไม่จำเป็นต้องให้โอรสสวรรค์องค์ปัจจุบันสละราชบัลลังก์ เพราะคนที่เป็นฮ่องเต้ ในนามแล้วยังเป็นองค์ชายที่ไร้ชื่อเสียงของแคว้นซูสุ่ยพระองค์หนึ่ง แน่นอนว่าเป็นหันหยวนซ่านที่เปลี่ยนแปลงสถานะ ดังนั้นจึงเปลี่ยนแค่ชื่อรัชสมัย ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนชื่อราชวงศ์ ส่วน ‘ฉู่หาว’ ที่คุณความชอบสูงส่งสะท้านบัลลังก์ผู้เป็นนายก็ทำให้คนตกตะลึงกันไปครั้งใหญ่ เพราะสามารถลาออกจากตำแหน่งขุนนางถอนตัวกลับบ้านเกิดได้สำเร็จ แคว้นซูสุ่ยในวันหน้าจะไม่ได้เป็นแคว้นใต้อาณัติของสกุลซ่งต้าหลีอีก แต่กลับจะเหมือนแคว้นใต้อาณัติมากยิ่งกว่าเดิม แผนการลับที่คล้ายคลึงกันนี้ ยังต้องมีอีกมากในต้าหลีแน่นอน
——