กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 818.2 แกะเรือหากระบี่
หลังจากที่ซ่งเฟิ่งซานมาถึงเรือนก็ถูกเฉินผิงอันใช้สารพัดวิธียุให้ดื่มเหล้าสามชามกว่าจะได้นั่งลง
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ก่อนหน้านี้อยู่ใกล้กับศาลบุ๋นได้เจอกับลูกหลานสกุลชิวอวี๋โจวสองคน ผู้อาวุโส อยากไปกินหม้อไฟของอวี๋โจวด้วยกันสักรอบหรือไม่?”
ซ่งอวี่เซาโบกมือเอ่ยว่า “ไปไม่ไหวแล้ว ของอย่างหม้อไฟนี่ ขาดของที่นั่นไปแค่มื้อเดียวก็ไม่เห็นจะเป็นไร ระยะทางไกลอย่างมากสุดก็เดินทางไปถึงแค่ต้าหลีเท่านั้น วันหน้าหากมีเวลาว่างจะถือโอกาสไปเที่ยวที่ภูเขาของเจ้า ไม่ต้องจงใจรอข้าหรอก ข้าไปคนเดียว ไปดูแล้วก็กลับ เจ้าหนูเจ้าจะอยู่บนภูเขาหรือไม่ ไม่สำคัญ”
ดื่มกันไปดื่มกันมา ซ่งเฟิ่งซานที่เคยป่าวประกาศว่าอยู่บนโต๊ะสุราสามารถเล่นงานเฉินผิงอันได้สองคนก็เริ่มตาลายแล้ว ทุกครั้งที่เขายกชามเหล้าขึ้น เจ้าคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามผู้นั้นก็จะกระดกดื่มหนึ่งอึก ดื่มหมดแล้วก็เอ่ยประโยคว่าตามใจท่าน เรื่องอย่างการยุให้ดื่มโดยไม่ได้พูดยุให้ดื่มนี้ช่างร้ายกาจนัก ซ่งเฟิ่งซานจะยังตามใจตัวเองอีกได้อย่างไร? เฉินผิงอันหนุ่มกว่าตนสิบปี เวทกระบี่ตนสู้ไม่ได้แล้ว หรือยังจะต้องแพ้ในเรื่องความคอแข็งด้วย แน่นอนว่าไม่ได้ ซ่งเฟิ่งซานที่ดื่มจนเมาแล้วยืนกรานจะลากเฉินผิงอันมาวาดกระบวนท่าหมัดด้วยกันให้ได้ ถือว่าเป็นการถามหมัด ผลคือพ่ายแพ้ยับเยิน ต้องวิ่งไปนั่งยองอยู่ด้านนอกประตูถึงสองครั้ง หลิ่วเชี่ยนช่วยตบหลังให้เบาๆ หลังจากซ่งเฟิ่งซานจัดการเช็ดสะอาดเรียบร้อยแล้วก็เดินโซเซกลับมาที่โต๊ะเหล้า มาดื่มเหล้าต่อ หนิงเหยาเอ่ยเตือนไปครั้งหนึ่งว่า จะดีจะชั่วเจ้าก็เป็นแขก ให้ซ่งเฟิ่งซานดื่มน้อยๆ หน่อย เฉินผิงอันจนใจทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ใช้เสียงในใจพูดว่าพี่ใหญ่ซ่งคออ่อนดื่มไม่เก่งแล้วยังดึงดันจะดื่ม ข้าห้ามไม่อยู่จริงๆ นะ หนิงเหยาจึงให้เฉินผิงอันห้ามตัวเองไม่ให้ดื่มหมดชามแทน
ใต้ชายคานอกห้อง หนิงเหยาจำต้องเอ่ยขออภัยหลิ่วเชี่ยน
หลิ่วเชี่ยนยิ้มเอ่ยว่าไม่เป็นไร โอกาสหาได้ยาก วันนี้เฟิ่งซานเมาเหล้าก็แค่รู้สึกไม่ดีไประยะหนึ่ง แต่หากไม่เมาอาจทำให้เขาเสียใจภายหลังไปอีกนาน
ถึงอย่างไรซ่งอวี่เซาก็เป็นคนเก่าแก่ในยุทธภพ อันที่จริงเขาดื่มเหล้ามากกว่าซ่งเฟิ่งซานเสียอีก แต่กลับยังไม่เมา เพียงแค่หน้าแดงก่ำ ส่งเสียงเรออยู่หลายที โน้มน้าวเฟิ่งซานกับเฉินผิงอันว่าให้ดื่มน้อยๆ หน่อย
เฟิ่งซานยังพูดได้ง่าย ดื่มเหล้าเมาแล้วก็นอนหลับพับไป แต่ถึงอย่างไรทุกวันนี้เฉินผิงอันก็เป็นคนที่มีภรรยาแล้ว วันนี้หากดื่มจนเมามายเละเทะ ถึงเวลานั้นหนิงเหยาต้องลงไปตามหาคนใต้โต๊ะ คราวหน้าจะยังได้ดื่มด้วยกันอีกหรือไม่เล่า?
เพียงแต่ว่าเจ้าเด็กเฉินผิงอันนี่คอแข็งใช้ได้ ดื่มกันจนถึงท้ายที่สุดซ่งอวี่เซาก็เห็นว่าเจ้าหมอนั่นดวงตายังใสกระจ่าง ไหนเลยจะมีท่าทางของผีขี้เหล้าเมามาย ผู้เฒ่าจึงได้แต่ยอมรับว่าตัวเองแก่แล้ว จำต้องเป็นฝ่ายยื่นมือไปบังชามเหล้า บอกว่าวันนี้พอแค่นี้เถอะ หากดื่มอีกคงไม่ไหวจริงๆ หลานชายหลานสะใภ้ควบคุมอย่างเข้มงวด เหล้าของมื้อนี้ดื่มเท่าจำนวนของเหล้าครึ่งปีไปแล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่คืนนี้ยังต้องไปดื่มสุราแสดงความยินดีที่จวนวารีลำคลองหวงเหออีก จะให้ไปแล้วได้แต่ดื่มชาก็คงไม่เข้าท่าเท่าไร สรุปก็คือต้องใช้เหล้าถอนเหล้าแล้ว
เฉินผิงอันบอกว่าดื่มเหล้าแล้วจะไปที่แคว้นไฉ่อีรอบหนึ่ง แล้วจะต้องรีบออกเดินทางไปทำธุระต่อทันที ไม่อาจหยุดพักอยู่ที่นี่ได้แล้ว
ซ่งอวี่เซายิ้มบอกว่าไปทำธุระสำคัญเถอะ คราวหน้าค่อยดื่มกันให้เต็มคราบอีกครั้ง ไม่ว่าจะอยู่บนภูเขาลั่วพั่วหรืออยู่ที่นี่ ทำหม้อไฟมาสักโต๊ะ ดื่มกันจนแบ่งสูงต่ำให้ได้อย่างแท้จริง
ตอนที่เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ตัวเซไปเล็กน้อย ซ่งอวี่เซาลุกขึ้นยืนช้าๆ สองนิ้วดันโต๊ะเอาไว้ เรือนกายจึงมั่นคงมากกว่า
ส่วนซ่งเฟิงซานนั้นนอนฟุบอยู่บนโต๊ะนานแล้ว
ซ่งอวี่เซาหยิบฝักกระบี่ไผ่เหลืองขึ้นมา โยนข้ามโต๊ะไปให้เฉินผิงอัน ยิ้มเอ่ยว่า “มอบให้เจ้า”
รับฝักกระบี่มา เฉินผิงอันเดินออกมาจากห้อง มาถึงลานบ้าน เฉินผิงอันกับหนิงเหยาก็บอกลาผู้เฒ่าและหลิ่วเชี่ยนที่ประคองซ่งเฟิ่งซานให้ลุกขึ้น ทะยานลมจากไป ผลคือออกไปได้ไม่กี่สิบลี้ เฉินผิงอันพลันยกมือขึ้นมาอุดปาก รีบพลิ้วกายลงพื้น ยื่นมือไปจะจับต้นไม้ต้นหนึ่งประคองตัว ผลคือมือวืดคว้าความว่างเปล่า หัวทิ่มกระแทกบนต้นไม้แทน ก็เลยเอาหน้าผากดันลำต้น ก้มหน้าอาเจียนโฮกฮากไม่หยุด หนิงเหยาที่ยืนอยู่ด้านข้างเอื้อมมือไปตบหลังให้เขาเบาๆ เอ่ยอย่างระอาใจว่า “ถึงตายก็ยังรักหน้าตา”
ในความทรงจำของนาง เฉินผิงอันไม่เคยดื่มเหล้าจนเมามาก่อน นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอาเจียน
วันนี้เฉินผิงอันถึงขั้นไม่ได้สลายกลิ่นเหล้าสลายฤทธิ์เหล้าทิ้ง ปล่อยให้ตัวเองเมากรึ่มๆ ไปทั้งอย่างนี้ ให้หนิงเหยาเดินไปเป็นเพื่อนเขาสักพัก รอให้รู้สึกดีขึ้นเล็กน้อยค่อยทะยานลมไปยังแคว้นไฉ่อีต่อ
หนิงเหยาเดินอยู่บนทางเส้นเล็กกลางภูเขาเป็นเพื่อนเขา ฝีเท้าเนิบช้า คนชุดเขียวเดินโซเซไปมา นางจึงได้แต่ยื่นมือไปประคองแขนของเขาเอาไว้
บุรุษผู้เมามายเรียกชื่อนางเบาๆ หนิงเหยา หนิงเหยา
หนิงเหยาไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ได้แต่รับคำเขาครั้งแล้วครั้งเล่า
ทางฝั่งของเรือนแห่งนั้น ผู้เฒ่านั่งกลับลงไปบนโต๊ะเหล้า ใบหน้าประดับรอยยิ้ม มองไปนอกประตู
การอยู่ร่วมสังคมของคนรุ่นใหม่ในยุทธภพ ส่วนใหญ่แล้วยามที่ยุให้ดื่มเหล้าก็เพียงแค่เพื่อจะรอดูท่าทางอัปลักษณ์ยามที่คนอื่นเมามาย
แต่คนเก่าแก่ในยุทธภพนั้นเป็นเพราะเหล้าของตนมีไม่พอดื่ม ถึงได้ยุให้ดื่มเหล้าไม่หยุด ให้สหายได้ดื่มให้พอ หรือไม่ยามที่ไม่ขาดเหล้า ยุให้คนดื่มก็เพียงแค่เพราะอยากฟังความในใจสองสามประโยค
บางทีคนเก่าแก่ในยุทธภพทุกคนอาจเหมือนถังเหล้าที่บรรจุสุราไว้เต็มเปี่ยม ถังเหล้าที่มีชื่อว่า ‘เคย’
ไปถึงเรือนแห่งนั้นในแคว้นไฉ่อี ได้เจอกับคู่สามีภรรยาหยางหว่างและอิงอิง ครั้งนี้เฉินผิงอันไม่ได้ดื่มเหล้า เพียงแค่พาหนิงเหยาไปดื่มสุราคารวะที่หลุมศพ จากนั้นจึงกลับไปนั่งในเรือนพักหนึ่ง
หลังออกจากเรือนมาแล้ว เฉินผิงอันก็หันกลับไปมองแวบหนึ่ง
เวลาสี่สิบปีผ่านไปไวราวสายฟ้าแลบ
ตัวอยู่ในยุทธภพ คนรู้จักในอดีตหลายคนได้จากไปแล้ว มีเพียงเรื่องราวที่ยังหยุดอยู่ ก็เหมือนกับการแกะเรือแสวงหากระบี่ (เปรียบเปรยว่ายึดมั่นในกรอบอันคร่ำครึ โดยไม่สนใจว่าโลกเปลี่ยนแปลงไปถึงไหนแล้ว) ครั้งแล้วครั้งเล่า
ในเมืองแยนจือแคว้นไฉ่อี ผู้ฝึกตนหญิงคนหนึ่งนามว่าหลิวเกาซิน ในฐานะลูกศิษย์ผู้สืบทอดของสำนักโองการเทพ หลังลงมาจากภูเขาก็มาเป็นผู้ถวายงานของแคว้นไฉ่อีอยู่นานหลายปี อันที่จริงนางอายุไม่มาก รูปโฉมก็ยังอ่อนเยาว์ เพียงแต่ว่าสีหน้ากลับเหนื่อยล้า เส้นผมขาวโพลนไปทั้งศีรษะแล้ว
คืนนี้นางนั่งอยู่บนหลังคาเรือน ดื่มเหล้าไปหนึ่งกา วางกาเหล้าไว้ข้างเท้า ปลดขลุ่ยไม้ไผ่ที่ทำขึ้นเองออกจากเอว
ดวงจันทร์ลอยสูง เสียงขลุ่ยครวญสะอื้น ชีวิตคนเหมือนความฝัน ดวงจันทร์ในขลุ่ยเรือนกายในสุรา เมาไม่เมาไม่รู้ตัว
นางทิ้งตัวนอนหงายไปข้างหลัง เอนกายนอนอยู่บนหลังคา ยกมือขึ้นแกว่งกระพรวนเงินบนข้อมือเบาๆ ท่ามกลางเสียงกระพรวนคล้ายมีคนเดินผ่านหัวใจ
เพียงแต่ว่าได้ติดตามเสียงกรุ้งกริ้งใสกังวานของกระพรวนจากไปแล้วไม่กลับมา
นางมองดวงจันทร์กลมโต ดวงจันทร์บนฟ้าที่น่าเวทนาที่สุด
วันนี้เหวยเว่ยเหนียงเนียงเทพภูเขาของแคว้นซูสุ่ยรู้สึกอุดอู้ยิ่งนัก ฉวยโอกาสที่กลางดึกไม่มีคนมาจุดธูปจึงมานั่งบนขั้นบันได หยิบเอาบันทึกขุนเขาสายน้ำที่มีเรื่องรักๆ ใคร่ๆ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเล่มนั้นออกมาอ่านด้วยความรื่นเริงใจ ไม่ว่าจะอ่านกี่ร้อยรอบก็ไม่รู้สึกเบื่อ
น่าเสียดายนัก บันทึกขุนเขาสายน้ำเล่มนี้ ร้านหนังสือบนภูเขาไม่ได้จัดพิมพ์เพิ่มแล้ว แล้วก็ไม่มีหนังสือภาพเทพเซียนลงสีที่เหวยเว่ยรอคอยมานาน เทพหญิงสองคนที่มีรูปปั้นตั้งวางอยู่ในศาลอ่านหนังสือตามเหนียงเนียงเทพภูเขาไปด้วย คนหนึ่งในนั้นดวงตาเป็นประกาย หลุดพูดสองคำว่าจุนจุนออกมา เหวยเว่ยเงยหน้าขึ้นมองอย่างคลางแคลง อะไรกัน เจ้ารู้จักตัวอักษรอยู่แค่ไม่กี่ตัว แต่คิดจะสอนให้ข้าอ่านหนังสืออย่างนั้นหรือ?
……
สตรีสวมชุดชาววังคนหนึ่งเรือนกายเล็กเตี้ย แต่กลับมีท่วงทำนองของไข่มุกลมกลึงหยกชุ่มชื้น วันนี้นางออกจากเมืองหลวงหวนกลับมายังตำหนักฉางชุนอีกครั้ง
ปีนั้นถูกขับออกจากเมืองหลวง จำต้องมาสร้างกระท่อมฝึกตนอยู่ที่นี่ สิ่งที่พบเจอสิ่งที่ได้ยินล้วนมืดมนหม่นหมอง เศร้าระทมไปหมด ต่อให้บุปผาจะงดงามแค่ไหนก็พลันโรยรา วันนี้มาย้อนนึกดูอีกครั้ง ทัศนียภาพของทุกหนทุกแห่งกลับเหมือนภาพวาด ชวนให้คนมองสบายตาสบายใจ
ไทเฮาต้าหลีที่เป็นมารดาซึ่งได้ดีเพราะบุตรผู้นี้ ทุกวันนี้คือสตรีที่มีอำนาจมากที่สุดในขุนเขาสายน้ำของแจกันสมบัติทวีปอย่างแท้จริง
บุตรชายสองคน คนหนึ่งคือฮ่องเต้ต้าหลีที่ถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องทิ้งชื่อเสียงอันดีงามไว้พันปี คนหนึ่งคืออ๋องเจ้าเมืองต้าหลีที่คุณความชอบทางการสู้รบเกริกก้อง พี่น้องปรองดอง อดทนจนผ่านพ้นสงครามครั้งนั้นมาด้วยกัน
ส่วนใครกันแน่ที่เป็นซ่งมู่ตัวจริง ใครคือซ่งเหอ สำคัญด้วยหรือ? ถึงอย่างไรสำหรับนางแล้วก็แค่เคยสำคัญเท่านั้น นางยังเคยเสียใจอย่างสุดแสนเพราะเรื่องนี้ แต่ตอนนี้มันกลับไม่สำคัญแม้แต่น้อย
อ๋องเจ้าเมืองซ่งมู่ที่อยู่ในเมืองหลวงแห่งที่สองริมลำน้ำใหญ่ นอกจากไม่มียศฮ่องเต้แล้ว มีอะไรแตกต่างจากฮ่องเต้บ้างเล่า? แม้แต่ที่ว่าการหกกกรมก็ยังมีแล้ว ควรจะรู้จักพอได้แล้ว ไม่ควรจะเรียกร้องอะไรมากกว่านี้
ครั้งนี้นางมาเยือนตำหนักฉางชุน นอกจากจะมีผู้ถวายงานเชื้อพระวงศ์ของต้าหลีที่เป็นผู้ฝึกตนติดตามกองทัพตามมาสองสามคนแล้ว ข้างกายยังมีผู้ฝึกตนเฒ่าของกองโหราศาสตร์คนหนึ่งด้วย
เวลานี้ผู้อาวุโสไท่ซ่างแห่งตำหนักฉางชุนนั่งเป็นเพื่อนอยู่ด้านข้าง ด้านหลังไทเฮามีสตรีที่ลักษณะคล้ายข้ารับใช้ถือกระบี่คนหนึ่งยืนอยู่ เรือนกายของนางอรชร แต่กลับใช้เวทน้ำแห่งชะตาชีวิตบดบังใบหน้าเอาไว้
ต้าหลีไม่อาจรั้งตัวเฉาหรงให้อยู่เป็นผู้ถวายงานสกุลซ่งได้ เป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างมาก เจินเหรินผู้บรรลุมรรคาที่ในอดีตเก็บตัวสันโดษอยู่ในภูเขาของราชวงศ์ต้าซวงมานานหลายปีผู้นี้ ว่ากันว่าคือหนึ่งในลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิง คือศิษย์พี่ของเฮ้อเสี่ยวเหลียงแห่งสำนักชิงเหลียงของอุตรกุรุทวีป ตอนที่อยู่บนสนามรบของนครมังกรเฒ่าและเมืองหลวงแห่งที่สอง เฉาหรงลงมือหลายครั้ง สะดุดตาโดดเด่นอย่างมาก
นอกจากนี้ก็เป็นมือกระบี่กระดูกขาวผูหราง นักพรตหญิงของเรือนซือเตาจากภูเขาห้อยหัวที่ต่างก็ไม่ได้ถูกต้าหลีเรียกตัวมา เพราะหลังจากสงครามยุติลงก็ได้พากันจากไปอย่างเงียบเชียบ
แจกันสมบัติทวีปแห่งหนึ่ง ท่ามกลางสงครามครั้งนั้น คนมหัศจรรย์เผยกายอย่างต่อเนื่อง มีบรรยากาศของกลุ่มปลาที่พากันกระโดดข้ามประตูมังกร
ปัญหาเพียงหนึ่งเดียวก็คือเทพเซียนบนภูเขาเหล่านี้มีความสัมพันธ์ที่ธรรมดากับฮ่องเต้ แต่กลับสนิทสนมกับเมืองหลวงแห่งที่สองอย่างมาก
ส่วนพวกแคว้นใต้อาณัติเก่าทางทิศใต้ที่พอแผลหายก็ลืมความเจ็บปวด นางไม่เห็นอยู่ในสายตาจริงๆ เพียงแต่เบื้องหน้านางตอนนี้มีเรื่องที่ชวนให้เป็นกังวลอยู่เรื่องหนึ่ง
ศาลาริมหน้าผา เวลานี้ผู้เฒ่าที่ดูแลกองโหราศาสตร์กำลังพูดคุยเรื่องการโคจรโชคชะตาบู๊ของหนึ่งแคว้นกับไทเฮา
นางฟังจนหัวคิ้วขมวดมุ่น
หลักๆ แล้วคือทางทิศใต้ของลำน้ำใหญ่ทยอยกันมีผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้าหลายคนปรากฏตัว มีทั้งปรมาจารย์ขอบเขตเดินทางไกลที่มีชื่อเสียงมานานมากแล้ว แล้วก็มีคนหน้าใหม่ที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นบนโลก นอกจากนี้ยังมีผู้ฝึกยุทธขอบเขตสามหลอมดวงจิตที่อายุยังน้อยอยู่อีกหลายคน กรมอาญาของต้าหลีต่างก็ลงบันทึกเอาไว้อย่างลับๆ ชื่อแซ่ ภูมิลำเนา อาจารย์ผู้สืบทอด ประสบการณ์ในขุนเขาสายน้ำ ล้วนมีบันทึกไว้อย่างละเอียด
หันกลับมามองทางทิศเหนือของลำน้ำใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ฝึกยุทธในท้องถิ่นของต้าหลี หากพูดถึงแค่เรื่องภายนอก ถ้าอย่างนั้นในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมานี้ก็เห็นได้ชัดว่าไม่มีอะไรดีๆ ให้พูดถึงแล้ว
กองโหราศาสตร์ของต้าหลีเองก็ได้แต่ยิ้มจืดเจื่อนกับเรื่องนี้
ย่อมไม่ใช่เพียงแค่เพราะปีนั้นซ่งจ่างจิ้งรวบรวมโชคชะตาบู๊ของทั้งแคว้นไว้ที่ร่างของตัวเองอย่างแน่นอน ปัญหาที่ใหญ่กว่านั้นอยู่ที่อดีตถ้ำสวรรค์หลีจู สถานที่แห่งหนึ่งที่ชื่อว่าภูเขาลั่วพั่ว
ต่อให้ตัดเฉินผิงอันผู้เป็นเจ้าขุนเขาที่ป่าเถื่อนไร้เหตุผลไม่พูดถึง เผยเฉียนลูกศิษย์ของเขาที่ใช้นามแฝงว่า ‘เจิ้งเฉียน’ เดินทางไกลไปหลายทวีปก็เป็นขอบเขตเก้าแล้ว นอกจากนี้จูเหลี่ยนผู้ดูแลใหญ่ จ้งชิว หลูป๋ายเซี่ยง เว่ยเซี่ยน…มีใครบ้างที่ไม่ใช่ปรมาจารย์ผู้มีโชคชะตาบู๊ติดกาย
แล้วนับประสาอะไรกับที่ร้านตระกูลหยางของเมืองเล็กที่ยังมีคู่ศิษย์พี่ศิษย์น้องที่ไม่อาจดูแคลนได้ ซูเตี้ยนสตรีที่มีชื่อเล่นว่าแยนจือ รวมไปถึงสือหลิงซานที่มีชาติกำเนิดจากตรอกเถาเย่ ศิษย์พี่หญิงเป็นคอขวดขอบเขตโอสถทอง ศิษย์น้องชายกลับเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลแล้ว ทว่าหากดูตามบันทึกของเอกสารลับจากสองกรมอย่างกรมพิธีการและกรมอาญาของต้าหลีแล้ว กลับเป็นซูเตี้ยนที่คุณสมบัติ ฐานกระดูกและนิสัยใจคอดียิ่งกว่า
ผู้อาวุโสไท่ซ่างของตำหนักฉางชุนเพิ่งจะได้รู้เรื่องวงในบนยอดเขาเหล่านี้เป็นครั้งแรก ทำเอานางที่ได้ยินถึงกับจิตแห่งมรรคาไม่มั่นคง
ภูเขาลั่วพั่วที่อยู่ใกล้กับภูเขาพีอวิ๋นได้เลื่อนเป็นสำนักแล้ว? เรื่องใหญ่ขนาดนี้เหตุใดถึงไม่มีข่าวเล็ดลอดออกมาภายนอกเลยแม้แต่น้อย? อีกทั้งเจ้าขุนเขาหนุ่มที่อยู่ในช่วงวัยอายุสี่สิบผู้นั้นก็เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบแล้ว? เว่ยป้อจัดงานเลี้ยงท่องราตรีหลายครั้งขนาดนั้น ถึงกับยังสามารถปกปิดเรื่องนี้เอาไว้ได้?
ผู้เฒ่ากองโหราศาสตร์เห็นว่าสีหน้าของไทเฮาไม่สบอารมณ์อย่างเห็นได้ชัด จึงใคร่ครวญถึงคำพูดที่จะเอ่ยอยู่พักหนึ่ง ก่อนกล่าวว่า “เกี่ยวกับเรื่องของโชคชะตาบู๊ มีคำพูดที่ว่า ‘ผู้ฝึกยุทธขอบเขตสามหลอมจิตตายเป็นทุนแคว้น ผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางตายเป็นทุนทวีป’ มานานแล้ว ภูเขาลั่วพั่วมีพื้นฐานเช่นนี้ แม้จะบอกว่าโชคชะตาบู๊เข้มข้นขนาดนี้มารวมอยู่ในสถานที่เดียวกัน เป็นเรื่องที่แปลกประหลาดเกินไป แต่ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายไปเสียทั้งหมด อันที่จริงถือว่าเป็นดอกไม้ที่บานอยู่ในกำแพง เพราะถึงอย่างไรอาณาเขตของจังหวัดหลงโจวก็เป็นพื้นที่ของต้าหลีเรา”
สตรีที่สูงศักดิ์มีสถานะเป็นถึงไทเฮาพยักหน้ารับ ผู้ฝึกตนเฒ่าจึงเอ่ยขอตัวลาจากไปอย่างรู้กาลเทศะ
นางลุกขึ้นยืน ผู้อาวุโสไท่ซ่างของตำหนักฉางชุนเตรียมจะลุกขึ้นตาม แต่นางก็ไม่ได้หันไปมอง เพียงยื่นมือมากดลงบนความว่างเปล่าหนึ่งที ฝ่ายหลังก็รีบนั่งกลับลงไปทันที
นางมองไปที่นอกภูเขา หัวคิ้วขมวดแน่น
ภูเขาตะวันเที่ยงกับภูเขาลั่วพั่ว ระหว่างสำนักที่เพิ่งเลื่อนขั้นใหม่ทั้งสองมีความแค้นเก่าต่อกัน ดูเหมือนจะถูกกำหนดมาแล้วว่าไม่อาจแก้ไขให้ดีขึ้นได้
ไม่อย่างนั้นภูเขาพีอวิ๋นก็คงไม่ถึงขั้นช่วยภูเขาลั่วพั่วปิดบังอำพรางเช่นนี้ หากเปลี่ยนมาเป็นภูเขาทั่วไป ป่านนี้ก็คงร้อนใจอยากจะเปิดเผยรากฐานของสำนักตัวเองให้คนอื่นเห็นจะแย่แล้ว
อันที่จริงในสายตาของนาง คลื่นมรสุมที่เกิดขึ้นในถ้ำสวรรค์หลีจูปีนั้น จะนับเป็นเรื่องอะไรได้?
เจ้าเฉินผิงอันเป็นถึงเซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนที่รับตำแหน่งอิ่นกวานแล้ว และยิ่งเป็นเจ้าสำนักของสำนักหนึ่ง เหตุใดยังต้องคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องแค่นี้
ส่วนหลิวเสี้ยนหยางสหายของเจ้า ก็ไม่ได้ตายไม่ใช่หรือ กลับกันยังได้รับโชคดีหลังเคราะห์ร้าย หลังกลับจากการไปขอศึกษาต่อกับสกุลเฉินผู้รอบรู้ที่ทักษินาตยทวีป ก็ได้กลายมาเป็นผู้สืบทอดของอริยะหร่วนและสำนักกระบี่หลงเฉวียนในภายหลัง
เหตุใดจะต้องทวงความเป็นธรรมจากหยวนเจินเย่ที่เป็นผู้ถวายงานพิทักษ์ภูเขาของภูเขาตะวันเที่ยงให้จงได้ด้วย?
นางหันหน้ามาถาม “ให้ทางฝั่งของราชสำนักส่งคนออกหน้าไปช่วยไกล่เกลี่ย ช่วยขอร้องแทนภูเขาตะวันเที่ยงเสียหน่อย ยกตัวอย่างเช่นพยายามให้หยวนเจินเย่เป็นฝ่ายลงจากภูเขาไปเยี่ยมเยือนภูเขาลั่วพั่วด้วยตัวเองแล้วเอ่ยขออภัย นำของขวัญไปชดใช้ให้?”
สตรีที่อยู่ข้างกายของไทเฮาก็คือเทพวารีหยางฮวาที่ออกจากอาณาเขตมาอย่างเงียบเชียบ ตรงเอวพกกระบี่ยาวพู่สีทองเล่มหนึ่ง นางส่ายหน้าเอ่ยเสียงเบาว่า “ทูลเหนียงเนียง ไม่พูดถึงภูเขาตะวันเที่ยงในทุกวันนี้ที่ไม่มีทางตอบตกลงในเรื่องนี้ เฉินผิงอันและหลิวเสี้ยนหยางเองก็ไม่รู้สึกว่าปล่อยให้เรื่องแล้วกันไปเช่นนี้ได้”
นางยื่นมือมาตบเสาศาลา เอ่ยอย่างขุ่นเคือง “สามัคคีย่อมได้รับประโยชน์ แตกแยกย่อมเสียหาย ถึงขั้นที่ว่าอาจได้ผลลัพธ์ที่ทั้งสองฝ่ายต้องเจ็บหนักกันทั้งคู่ สองตระกูลนี้ล้วนเป็นสำนักอักษรจงกันแล้ว เหตุผลตื้นเขินแค่นี้ก็ยังไม่เข้าใจอย่างนั้นหรือ?”
หยางฮวาเงียบงัน คำถามบางอย่าง คนที่ถามมีคำตอบอยู่ก่อนแล้ว
สตรีออกเรือนแล้วแค่นเสียงหยันเย็นชา “ดีนักนะ สำนักสองแห่งนี้ เวลานี้ยังง่วนอยู่กับการเลือกที่ตั้งสำนักเบื้องล่างอยู่เลย หรือจะบอกว่าเซียนกระบี่สองคนอย่างเฉินผิงอันและจู๋หวงคิดว่าตัวเองได้เป็นเจ้าสำนักแล้วก็เลยอยากจะรื้อสะพานหลังข้ามแม่น้ำ มีความสามารถมากพอที่จะเมินข้ามหัวต้าหลีของเราแล้ว”
——