กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 819.1 เด็กหนุ่มข้ามแม่น้ำ
ธารดวงดาวพราวพร่าง ยอดเขาเขียวขจีรวมกลุ่มราวช่อดอกไม้ ในจวนเซียนสองสามหลังของภูเขาตะวันเที่ยงที่ห่างไปไกลคล้ายจะมีเหล่าเซียนกระบี่ผู้เฒ่าที่เรียกหาสหายให้มาหา กำลังจัดงานเลี้ยงสุรากันเป็นการส่วนตัว แสงเทียนสว่างไสวอยู่ทั่วทุกหนแห่ง ส่องให้ทั่วบริเวณสว่างจ้าราวกับนครแห่งแสงไฟ
ดวงดาวบนท้องฟ้าเคลื่อนคล้อย ในโลกมนุษย์มีการยกจอกสุราผลัดกันชน ช่างเป็นเรื่องที่ชวนให้สบายอุรายิ่งนัก
ยามสามแสงไฟยามห้าไก่ขัน คือช่วงเวลาสำหรับอ่านหนังสือและฝึกกระบี่
โรงเตี๊ยมตระกูลเซียนที่อยู่ใกล้กับยอดเขาชิงอู้มากที่สุด เฉินผิงอันกับหลิวเสี้ยนหยางเอนกายนอนรับลมอยู่บนเก้าอี้หวาย หลิวเสี้ยนหยางนอนกรนหลับครอกๆ ไปนานแล้ว ส่วนเฉินผิงอันที่อยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำก็กำลังเปิดหนังสือเกี่ยวกับนาฬิกาน้ำและปรากฎการณ์ดวงดาวบนท้องฟ้า เฉินผิงอันปิดหน้าหนังสือลง เก็บใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ เอ่ยเสียงเบาว่า “ถึงยามจื่อแล้ว”
ตามคำกล่าวของลัทธิเต๋า มีคำพูดลี้ลับที่บอกว่า ‘ยามจื่อเกิดไฟหยาง สองร้อยสิบหก’ ผู้ฝึกตนจะเลือกเวลานี้ในการบำเพ็ญตน หล่อหลอมเรือนกาย สร้างโอสถทอง หยินหมดเหลือเพียงหยาง เรือนกายเหมือนหยกเย็นฉ่ำ ตามคำกล่าวของเด็กชายผมขาว หวังลู่หยวนโจรข้าวสารหนึ่งในตัวสำรองสิบคนรุ่นเยาว์ เดิมทีก็เป็นคนดูแลเอกสารในอารามเต๋าขนาดเล็กที่ไร้ชื่อเสียงคนหนึ่ง บังเอิญเก็บตำราลัทธิเต๋าเล่มหนึ่งที่ถูกคนทิ้งได้โดยบังเอิญ จึงฝึกตนไปตามวิชานั้น หลอมปราณต้นกำเนิดอยู่ในกระถางใหญ่อย่างขุนเขาสายน้ำ หล่อเลี้ยงไข่มุกสีดำหมื่นเม็ด ตอนที่บรรลุมรรคามีภาพบรรยากาศที่ไอน้ำจางหายท้องฟ้าใสกระจ่าง เมฆเคลื่อนออกแสงจันทร์สาดส่อง
คำพูดประโยคนี้แน่นอนว่าเป็นความทรงจำส่วนหนึ่งที่อู๋ซวงเจี้ยงมอบให้คู่รักเทียนหรานตอนอยู่บนเรือราตรี อู๋ซวงเจี้ยงที่สามารถ ‘ไขหมื่นสรรพสิ่งหล่อหลอมให้ตัวเองใช้งาน’ ให้คำวิจารณ์ที่สูงเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นหากไม่ผิดไปจากที่คาด หวังลู่หยวนผู้นี้ต้องเป็นวีรบุรุษผู้กล้าแห่งพื้นที่หนึ่งของใต้หล้ามืดสลัวในอนาคตแน่นอน เงื่อนไขก็คืออย่าได้ถูกเจ้าลัทธิรองของป๋ายอวี้จิงหมายหัว ร้อยปีนี้เป็นช่วงที่เต๋าเหล่าเอ้อนั่งเฝ้าพิทักษ์ป๋ายอวี้จิง คอยตรวจตราใต้หล้าอยู่พอดี เฉินผิงอันเดาว่าหวังลู่หยวนผู้นี้มีความเป็นไปได้ที่จะแอบเดินทางไปยังใต้หล้าห้าสี รอคอยให้ประตูใหญ่เปิดออกอีกครั้ง รอให้ลู่เฉินเป็นผู้ดูแลกิจการในป๋ายอวี้จิงแล้วค่อยกลับมายังใต้หล้ามืดสลัวก็ยังไม่สาย
หลิวเสี้ยนหยางลืมตาขึ้น ขยี้แก้ม อ้าปากหาว เปลี่ยนท่านอนที่สบายกว่าเดิมด้วยการหดตัวเข้าหากัน สองมือสอดไว้ในชายแขนเสื้อ อดไม่ไหวบ่นว่า “เพิ่งจะยามจื่อเองหรือ? นี่ไม่ใช่ว่ายังต้องรออีกหลายสิบชั่วยามหรือไร หากรู้ว่าจะเป็นอย่างนี้แต่แรกข้าจะมาให้ช้าหน่อย ข้าไม่อยู่บ้าน แม่นางอวี๋ก็ต้องอยู่ที่ร้านริมลำคลองเพียงลำพัง นางขี้ขลาด หากกลางดึกกลางดื่นถูกผีพรายมาเคาะประตูเข้าจะทำอย่างไร”
เฉินผิงอันวางสองมือทับซ้อนกันไว้บนหน้าท้อง มองไปยังธารดวงดาวที่แขวนอยู่บนม่านฟ้า ยิ้มเอ่ยว่า “ความใจกล้าของเซอเยว่ไม่น้อยหรอก”
หลิวเสี้ยนหยางหัวเราะร่า “ข้ากับแม่นางอวี๋เป็นคู่สร้างคู่สมที่ฟ้าประทานมาจริงๆ”
เฉินผิงอันพยักหน้า ลุกขึ้นยืน เดินไปตรงระเบียงมองท่าเรือที่ห่างไปไกล ต่อให้เป็นกลางดึก ท่าเรือป๋ายลู่ก็ยังคงมีเรือข้ามฟากตระกูลเซียนลอยขึ้นลอยลงอย่างต่อเนื่อง ลำหนึ่งในนั้นมีผู้ฝึกตนหญิงที่มีชาติกำเนิดจากตรอกฮวามู่ยอดเขาม่านเยว่ที่ถือตะกร้ามาเด็ดดอกไม้ ดอกไม้ที่เด็ดมาในตะกร้าหากไม่ได้มาจากภูเขาใต้อาณัติ ก็จะมาจากอารามเต๋าและวัดแห่งต่างๆ ที่มีชื่อเสียงของราชวงศ์ล่างภูเขา ยังมีผลไม้ตระกูลเซียนอีกมากที่ซื้อมาจากภูเขาแห่งอื่น ล้วนจำเป็นต้องผ่านท่าเรือตระกูลเซียนทั้งสิ้น ในอดีตภูเขาตะวันเที่ยงไม่มีตรอกมู่ฮวาอะไรทั้งนั้น เพียงแต่ว่ายี่สิบปีที่ผ่านมานี้มีเรื่องน่ายินดีเกิดขึ้นต่อเนื่อง งานเฉลิมฉลองถูกจัดขึ้นหลายครั้ง ภายใต้คำแนะนำจากเถียนหว่านบรรพจารย์หญิงของยอดเขาจูอวี๋ ตรอกนี้จึงถูกสร้างขึ้นมาชั่วคราว ส่วนใหญ่แล้วจะเลือกผู้ฝึกตนหญิงฝ่ายนอกที่คุณสมบัติธรรมดาทว่ารูปโฉมงดงามให้มาเป็นขุนนางเด็ดดอกไม้ สตรีถือตะกร้า
หลิวเสี้ยนหยางยังคงเอนกายนอนบนเก้าอี้หวายไม่ยอมขยับตัว เอ่ยอย่างเกียจคร้านว่า “พอถึงเวลาเข้าจริง ไม่ว่าอะไรที่ควรคิดหรือไม่ควรคิดก็ล้วนคิดหมดแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็อย่าไปคิดให้มากความอีกเลย ถามกระบี่เรื่องใหญ่เท่าก้น สู้ได้ก็สู้ สู้ไม่ได้ก็เผ่นหนี”
ยอดเขาทั้งหลายของภูเขาตะวันเที่ยงไม่ได้ชอบเปิดบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำกันนักหรือ หลิวเสี้ยนล้วนเคยดูมาหมดแล้ว ไม่พลาดไปแม้แต่ครั้งเดียว แต่ไม่เคยทุ่มเงินลงไป
เฉินผิงอันฟุบตัวอยู่บนระเบียงรั้ว ยิ้มเอ่ยว่า “หนีกะผายลมน่ะสิ ไม่มีเหตุผลที่จะสู้ไม่ได้”
หลิวเสี้ยนหยางร้องโอ้โห “คำพูดนี้ไม่เหมือนคำพูดของเฉินผิงอันเลยนะ”
ยามค่ำคืนเย็นสบายไร้ไอร้อน หลิวเสี้ยนหยางเงียบไปครู่หนึ่งก็ถามว่า “นอนไม่หลับหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ชินแล้ว”
หลิวเสี้ยนหยางเอ่ย “ใจหลับก่อน แล้วค่อยตาหลับ ถึงจะสามารถหลับบำรุงจิตได้อย่างแท้จริง ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตล่างยังรู้เรื่องนี้ เจ้าอ่านตำราของลัทธิพุทธและเต๋ามาก็ตั้งมาก หลักการเหตุผลเล็กน้อยแค่นี้ก็ไม่เข้าใจหรือ?”
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างจนใจ “รู้กับทำได้มันคนละเรื่องกัน”
หลิวเสี้ยนหยางกลอกตามองบน “ถ้าอย่างนั้นก็ทำให้เหมือนปีนั้น ขึ้นรูปเผาเครื่องปั้นจะต้องตาเร็วมือช้า ไม่มีไหวพริบเสียบ้างเลย ก็โทษไม่ได้ที่ตาเฒ่าเหยาไม่รับเจ้าเป็นลูกศิษย์”
เฉินผิงอันเพียงยิ้มไม่ตอบโต้ เดิมทีเรื่องที่หลิวเสี้ยนหยางพูดก็เป็นความจริงอยู่แล้ว
แต่หากมีผู้ฝึกกระบี่สายคฤหาสน์หลบร้อนหรือไม่ก็พวกนักพนันผีขี้เหล้าที่เคยรับกระบี่บินจากในกระบุงใบหนึ่งของเถ้าแก่รองกับตัวเองมาก่อนอยู่ที่นี่ คาดว่าดวงตาทั้งคู่คงต้องถลนออกมา ใต้หล้านี้ถึงกับมีคนที่พูดจาแบบนี้กับใต้เท้าอิ่นกวานด้วยหรือ?
เฉินผิงอันพลันเอ่ยว่า “ในที่สุดเหวยเยว่ซานก็พาคนขึ้นเขามาแล้ว เกินครึ่งคงไม่เชื่อในสายตาของโรงเตี๊ยมแห่งนี้ จึงต้องมาตรวจสอบทำเนียบของแขกที่เข้าพักด้วยตัวเองรอบหนึ่ง”
หลิวเสี้ยนหยางเอ่ยอย่างสงสัย “ใคร?”
เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้า “เหวยเยว่ซาน อายุสองร้อยแปดสิบปี มีชาติกำเนิดจากตระกูลปัญญาชนแห่งหนึ่งของเขตฮวาเซียงราชวงศ์ป๋ายซวงเก่า อนาคตบนเส้นทางขุนนางไม่ราบรื่น คุณสมบัติด้านการฝึกตนไม่เลว ยอดเขาชิงอู้จึงหมายตาในฐานกระดูกของเขา ฝึกตนอยู่บนภูเขาสองร้อยสามสิบปี ปัจจุบันเป็นผู้ดูแลท่าเรือป๋ายลู่ ผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกร ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ หากขึ้นเขาตั้งแต่อายุน้อยๆ ก็มีหวังจะได้เป็นโอสถทอง เขาคือคนรุ่นตัวอักษรเยว่ซึ่งเป็นลำดับศักดิ์ที่สูงที่สุดของยอดเขาชิงอู้ในทุกวันนี้ หรือก็คือลูกศิษย์คนรองของจี้เยี่ยนผู้ฝึกตนโอสถทอง จี้เยี่ยนคือบรรพจารย์บุกเบิกขุนเขารุ่นก่อนของยอดเขาชิงอู้ หลังจากที่นางสละร่างตายจากโลกนี้ไป ในสำนักก็เกิดชักหน้าไม่ถึงหลัง เว่ยฉีลูกศิษย์ใหญ่ของจี้เยี่ยนไม่ถนัดการจัดการกิจธุระ ให้ตายอย่างไรก็ไม่อาจฝ่าทะลุคอขวดขอบเขตประตูมังกรไปได้ สุดท้ายไม่อาจประคับประคองจิตแห่งมรรคา ไปก่อเรื่องนอกภูเขา ลงมือสังหารผู้ฝึกกระบี่ของสำนักอื่นไปคนหนึ่ง ไปมีเรื่องกับราชวงศ์จูอิ๋งที่เวลานั้นเป็นดั่งตะวันกลางนภา ผู้คุมกฎเยี่ยนฉู่ลงมือด้วยตัวเอง ป่าวประกาศแก่ภายนอกว่าได้ขังเขาไว้ในคุกของยอดเขา แต่อันที่จริงกลับแอบเก็บกวาดอย่างลับๆ ไปแล้ว ตอนนั้นผู้ฝึกกระบี่ที่มีชาติกำเนิดจากเชื้อพระวงศ์ของราชวงศ์จูอิ๋งก็น่าจะอยู่ในเหตุการณ์ด้วย เห็นเยี่ยนฉู่ลงมือสังหารคนผู้นี้ด้วยตัวเองถึงได้ยอมเลิกรา ไม่ได้ซักไซ้เอาผิดภูเขาตะวันเที่ยงไม่แล้วไม่เลิก”
“หนีเยว่หรงเถ้าแก่ของหอกั้วอวิ๋นเป็นขอบเขตชมมหาสมุทร ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่เหมือนกับเหวยเยว่ซาน เพราะรูปโฉมไม่เลวจึงแอบพึ่งพาบรรพจารย์เถาแยนโปอย่างลับๆ แต่เรื่องนี้ถูกเก็บเป็นความลับ ดังนั้นผู้ฝึกตนในศาลบรรพจารย์ของภูเขาตะวันเที่ยงก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะรู้จักนางที่เป็นอนุซึ่งไม่อาจเอาออกหน้าออกตาได้ พอจี้เยี่ยนตายไป ทุกครั้งที่ศาลบรรพจารย์บนยอดเขาอีเซี่ยนมีการประชุม มีการแบ่งตัวอ่อนเซียนกระบี่ ยอดเขาชิงอู้จึงไม่แม้แต่จะแย่งเศษซากน้ำแกงมาได้ แน่นอนว่าตัวอ่อนเซียนกระบี่ทั้งหลายก็ไม่ยินดีจะมานั่งเก้าอี้เย็นๆ อยู่ที่ยอดเขาชิงอู้ แต่ในอดีตเจ้าสำนักจู๋หวงมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับจี้เยี่ยน ตอนยังเยาว์ทั้งสองฝ่ายเกือบจะได้เป็นคู่บำเพ็ญตบะกัน ดังนั้นไม่ว่าจะด้วยส่วนรวมหรือส่วนตัวก็ล้วนยินดีให้การดูแลอยู่บ้าง ทุกๆ สามสิบห้าสิบปี จู๋หวงจะต้องยกเอากฎของภูเขาออกมา จะดีจะชั่วก็ต้องมอบตัวอ่อนเซียนกระบี่ให้กับยอดเขาชิงอู้คนสองคน น่าเสียดายที่ยอดเขาชิงอู้เองไม่อาจรั้งคนเอาไว้ได้ อย่างมากสุดแค่สิบกว่าปียี่สิบปี ผู้ฝึกกระบี่เหล่านั้นก็จะย้ายไปอยู่ยอดเขาอื่น ส่งสายตาไปมากับเซียนกระบี่ผู้เฒ่าของที่อื่น จากนั้นก็เปลี่ยนทำเนียบวงศ์ตระกูลในศาลบรรพจารย์ ออกไปจากยอดเขาชิงอู้ ไปเข้าร่วมกับยอดเขาอื่นแทน จะโทษพวกผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์ที่เลือกแบบนี้ก็ไม่ได้ เพราะถึงอย่างไรยอดเขาชิงอู้ก็ไม่มีแม้แต่ผู้อาวุโสที่เป็นผู้ฝึกกระบี่ที่เข้าท่าเข้าทีสักคนเดียว ไปฝึกกระบี่อยู่ที่นั่นนอกจากตำรากระบี่ที่เป็นของตายไม่กี่เล่มแล้ว ก็ไม่มีทางได้รับคำชี้แนะด้านเวทกระบี่จากคนมีชีวิตคนใด ดังนั้นสองร้อยปีกว่ามาแล้วที่ยอดเขาชิงอู้ไม่มีผู้ฝึกกระบี่โอสถทองแม้แต่คนเดียว ตามกฎของศาลบรรพจารย์ภูเขาตะวันเที่ยง หากสามร้อยปีเต็มไม่มีโอสถทองสักคนเดียว สายผู้ฝึกกระบี่ของยอดเขาชิงอู้เก่าทั้งสายก็จะต้องยกภูเขาทั้งลูกไปให้คนอื่น”
“เมื่อหกสิบปีก่อนหนีเยว่หรงเคยถูกหลานชายแท้ๆ ของเถาแยนโป หรือก็คือบิดาของเถาจื่อมาที่หอกั้วอวิ๋นแห่งนี้แล้วตบหน้านางไปสิบกว่าที ดังนั้นหากยอดเขาชิงอู้เปลี่ยนเจ้ายอดเขาคนใหม่ หนีเยว่หรงก็อย่าได้หวังว่าจะไปฝึกตนอยู่ที่ยอดเขาชิวลิ่ง นางต้องมีทางถอยเส้นอื่น ยกตัวอย่างเช่นยอดเขาจูอวี๋ที่ถูกผู้ฝึกกระบี่ทั้งแก่และเด็กของภูเขาตะวันเที่ยงหัวเราะเยาะว่าเป็นสถานที่ที่นกไม่มาเกาะ สำหรับนางแล้ว ยอดเขาตุ้ยเซวี่ยที่มีแค่นายบ่าวอยู่คู่เดียวก็ไม่เลวเหมือนกัน เหวยเยว่ซานกลับวางตัวดีกว่า เพราะหาเงินเป็นนี่นะ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ปรับตัวได้ อันที่จริงยอดเขาทั้งหลายของภูเขาตะวันเที่ยงต่างก็ยินดีรับผู้ดูแลท่าเรือป๋ายลู่ที่หาเงินเก่งคนนี้ ช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้เขากับเซี่ยหย่วนชุ่ยที่หากออกจากด่านก็เป็นเซียนกระบี่ผู้อาวุโสห้าขอบเขตบนมีการไปมาหาสู่กันบ่อยๆ ลำพังเพียงแค่วัตถุฟางชุ่นที่เป็นคลังยุทโธปกรณ์ขนาดเล็กของบนภูเขา เหวยเยว่ซานก็มอบไปให้แล้วถึงสองชิ้น แทบจะควักทรัพย์สมบัติทั้งหมดของเขาออกมาแล้ว จึงเป็นเหตุให้จู๋หวงมีอคติต่อคนผู้นี้ไม่น้อย ก่อนหน้านี้ไม่ได้เลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนก็ได้แต่อดทนกับพวกที่ชอบประจบสอพลอผู้มีฐานะอย่างเหวยเยว่ซานผู้นี้ ตอนนี้จู๋หวงต้องวางแผนไว้เรียบร้อยแล้วเป็นแน่ว่าจะต้องให้เหวยเยว่ซานมอบเนื้อชิ้นโตอย่างท่าเรือป๋ายลู่นี้ให้เขา ในอนาคตหากเขารับท่าเรือป๋ายลู่มาดูแล ในใจจู๋หวงต้องมีตัวเลือกอยู่แล้วสองสามคน ตัวสำรองคนหนึ่งก็คือสหายเก่าแก่ของพวกเราแล้ว ก็คือหลูเจิ้งฉุนที่เมื่อหลายปีก่อนแต่งเข้าไปอยู่ในยอดเขาฉงจือ จากถนนฝูลวี่ไปจนถึงนครลมเย็น กระทั่งมาถึงภูเขาตะวันเที่ยง อ้อมไปอ้อมมา โลกก็เล็กแค่นี้เอง ดูเหมือนว่ามักจะได้เจอกับคนรู้จักโดยบังเอิญเสมอ ส่วนความถูกความผิดล่างภูเขาของเหวยเยว่ซานและหนีเยว่หรง บุญคุณความแค้นที่เต็มไปด้วยมลพิษสกปรกทั้งหลาย ข้าคงไม่พูดมากแล้ว ถึงอย่างไรสองคนนี้ต่างก็เป็นคนไม่สำคัญอยู่แล้ว”
เรื่องวงในที่ร้อยเรียงกันเป็นพรวนพวกนี้ หลิวเสี้ยนหยางฟังด้วยความปวดหัว
หลิวเสี้ยนหยางคร้านจะจดจำเรื่องที่ไม่สำคัญพวกนี้จริงๆ เฉินผิงอันเป็นนักบัญชีคนเดียวก็พอแล้ว เขาหลิวเสี้ยนหยางเกิดมาก็เป็นคนที่ควรเป็นเถ้าแก่ เป็นอาจารย์ ดังนั้นจึงเอ่ยสัพยอกว่า “ทำไมเจ้าไม่ไปเป็นนักเล่านิทานนะ?”
เฉินผิงอันหันตัวกลับมา ยิ้มเอ่ยว่า “เจ้าคิดว่าเป็นนักเล่านิทานก็หาเงินได้ง่ายๆ งั้นหรือ ไม่ใช่เลย ตอนที่ข้าอยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ใช่ว่าจะไม่เคยเป็นสักหน่อย ผลคือคิดอยากจะหลอกเอาเงินเหรียญทองแดงสองสามเหรียญมาจากเด็กๆ พวกนั้นก็ยังยาก”
หลิวเสี้ยนหยางลุกขึ้นนั่ง เอ่ยว่า “เจ้าจำเรื่องวุ่นวายไปมากมายขนาดนั้น ทำไม อยากจะช่วยแก้ทำเนียบวงศ์ตระกูลให้ภูเขาตะวันเที่ยงงั้นหรือ?”
เฉินผิงอันนวดคลึงปลายคาง “หากยอดเขาอีเซี่ยนยินดีจ่ายเงิน ให้ราคาสูง ข้าก็ไม่ถือสาจริงๆ”
หลิวเสี้ยนหยางเอนกายนอนบนเก้าอี้หวาย “พวกเขามาแล้ว”
เฉินผิงอันยิ้มเดินเข้าไปในห้อง ไปเปิดประตูต้อนรับแขก
เพราะการออกกระบี่ของหวงเหอที่ท่าเรือป๋ายลู่ แสงกระบี่หนึ่งเส้นแบ่งออกเป็นสิบเก้าส่วน หล่นลงบนยอดเขาต่างๆ ในเวลาเดียวกัน แม้จะบอกว่าเหมือนฟ้าร้องดังแต่ฝนตกเบา แสงกระบี่ล้วนถูกเซียนกระบี่ในพื้นที่หรือไม่ก็แขกที่มาร่วมแสดงความยินดีบนภูเขาลูกต่างๆ สลายทิ้งไป สร้างความตื่นตกใจไปเปล่าๆ แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ยังทำให้เส้นเอ็นหัวใจของแต่ละคนทั้งบนและล่าง ในและนอกของภูเขาตะวันเที่ยงล้วนขมวดตึง กลัวว่าจะมีขั้นตอนไหนเกิดช่องโหว่ขึ้นมาอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหวยเยว่ซานผู้ดูแลท่าเรือป๋ายลู่ที่กว่าจะตรวจสอบเอกสารซับซ้อนของที่ท่าเรือเสร็จได้ไม่ใช่เรื่องง่าย รู้สึกว่าไม่มีปลาที่หลุดรอดตาข่ายไปแล้วถึงได้รีบร้อนมาที่หอกั้วอวิ๋นซึ่งเป็นสถานที่ที่ปลาและมังกรปะปนกัน ขอตรวจสอบความเป็นมา เอกสารผ่านด่านของแขกทุกคนที่เข้าพักในหอกั้วอวิ๋นอย่างละเอียดอีกที ตอนที่เหวยเยว่ซานขึ้นเขามาได้พาลูกศิษย์ผู้สืบทอดมาด้วยหลายคน อีกทั้งยังขอร้องศิษย์น้องหญิงหนีเยว่หรงว่าจะต้องลงมือด้วยตัวเอง ระหว่างทางที่มาเหวยเยว่ซานได้ด่าบรรพบุรุษสิบแปดรุ่นของหวงเหอครบไปรอบหนึ่งแล้ว ด่าว่าเขารีบร้อนอยากไปเกิดใหม่ ทำไมไม่ไปก่อเรื่องในศาลบรรพจารย์ยอดเขาอีเซี่ยนโดยตรงเสียเลย ส่งกระบี่อยู่ไกลๆ จากที่ท่าเรือแห่งนี้นับว่ามีมาดของเซียนกระบี่เสียที่ไหน?
หนีเยว่หรงไม่ได้รู้สึกว่าศิษย์พี่ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ ในความเป็นจริงแล้วก่อนที่เหวยเยว่ซานจะขึ้นเขามา นางได้พาคนมาตรวจสอบบันทึกของโรงเตี๊ยมไปแล้วรอบหนึ่ง ให้พวกลูกศิษย์ผู้ฝึกตนหญิงที่มีไหวพริบทั้งหลายตรวจสอบสถานะของผู้ที่มาเข้าพักทีละคน เพียงแต่ว่ายังมีแขกอีกสิบกว่าคนที่หากไม่ได้มาจากภูเขาใหญ่ก็เป็นแขกผู้สูงศักดิ์ที่พักอยู่ในห้องอักษาเจี่ย ทางโรงเตี๊ยมจึงไม่กล้ารบกวน เหวยเยว่ซานได้ยินเรื่องนี้ก็ด่าไปประโยคหนึ่งว่าสตรีผมยาวความรู้สั้น ไม่ไว้หน้านางแม้แต่น้อย ยืนกรานว่าจะลากนางมาเคาะประตูตรวจสอบสถานะของแขกที่เข้าพักอย่างละเอียดด้วยกันให้จงได้ ในใจหนีเยว่หรงมีไฟโทสะ ไม่ใช่พื้นที่ของเจ้า แน่นอนว่าเจ้าจะทำอย่างไรตามใจชอบก็ได้ ไม่สนใจหน้าตาของแขกผู้สูงศักดิ์ในทำเนียบเหล่านั้นแม้แต่น้อย แต่วันหน้าข้ากับหอกั้วอวิ๋นจะทำการค้าอย่างไร?
หนีเยว่หรงเคาะประตู เหวยเยว่ซานเห็นนักพรตหนุ่มเรือนกายสูงเพรียว สวมกวานดอกบัว ด้านนอกคลุมทับด้วยชุดเต๋าผ้าโปร่งสีเขียวที่เต็มเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของเมฆและน้ำ มีทั้งกลิ่นอายเต๋าที่เข้มข้นของตระกูลเซียนชั้นสูงบนภูเขา แล้วก็มีทั้งความสุภาพสง่างามของลูกหลานตระกูลสูงศักดิ์
——