กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 819.2 เด็กหนุ่มข้ามแม่น้ำ
อันที่จริงพอได้พบคนผู้นี้ เหวยเยว่ซานก็รู้สึกเสียใจภายหลังขึ้นมาทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งกวานดอกบัวที่เป็นสัญลักษณ์ของระบบสืบทอดสายเต๋า ทำเอาผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรอย่างเหวยเยว่ซานใจสั่น กระแอมหนึ่งทีเตือนศิษย์น้องหญิงว่าเจ้าเป็นคนพูด
หนีเยว่หรงคลี่ยิ้ม พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เฉาเซียนซือ ทางฝั่งของโรงเตี๊ยมเพิ่งจะได้รับคำสั่งมาจากทางศาลบรรพจารย์ ด้วยภาระหน้าที่ พวกเราจึงจำต้องตรวจสอบสถานะของแขกทุกคนใหม่อีกครั้ง ต้องขอโทษด้วยจริงๆ รบกวนความสงบของเซียนซือแล้ว”
นางเห็นเพียงว่านักพรตหนุ่มขมวดคิ้วน้อยๆ แต่แล้วก็พลันคลี่ยิ้มอย่างสง่างาม สุดท้ายพูดด้วยสีหน้าเป็นมิตรว่า “เอกสารผ่านด่านของข้าก็ถูกโรงเตี๊ยมของพวกเจ้าเก็บไว้ตามกฎของบนภูเขาแล้วไม่ใช่หรือ ด้วยรากฐานของสำนักภูเขาตะวันเที่ยงแล้ว ของชิ้นนี้เป็นของจริงหรือของปลอมก็น่าจะแยกแยะได้ไม่ยากกระมัง ทำไม หรือว่ายังไม่พอ ต้องให้ข้ารายงานทำเนียบขุนเขาสายน้ำของสำนักข้าด้วย? แม้ว่าข้าจะลงจากภูเขามาไม่บ่อย แต่ก็รู้ว่านี่เป็นการละเมิดกฎแล้ว ภูเขาตะวันเที่ยงทำเช่นนี้จะตกเป็นที่ต้องสงสัยว่าร้านใหญ่รังแกแขกไปหน่อยหรือไม่?”
ดูสิดู ฟังสิฟัง เหวยเยว่ซานที่เป็นผู้ดูแลท่าเรือซึ่งต้องคอยต้อนรับขับสู้ผู้คน รู้จักสังเกตสีหน้าท่าทางและคำพูดคนมากที่สุดก็ยังรู้สึกว่านักพรตต่างถิ่นแซ่เฉาที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ หากไม่ใช่คนในทำเนียบของลัทธิเต๋าที่ถูกต้อง เขาเหวยเยว่ซานก็จะยอมกินเอกสารผ่านด่านไปเสียเลย
เหวยเยว่ซานเคยเห็นยอดฝีมือที่ท่องเมฆเดินทางไปเยี่ยมเยือนเซียนมาไม่น้อย นักพรตอายุน้อยที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ พูดถึงมาดของเทพที่เป็นดั่งกิ่งทองใบหยกและฐานกระดูกที่มีกลิ่นอายแห่งเซียนแล้วก็ต้องสามารถติดอันดับสิบคนแรกได้แน่นอน
สายตาของหนีเยว่หรงฉายแววตำหนิ กัดริมฝีปากเอ่ยเสียงเบาว่า “อาจารย์เฉา โรงเตี๊ยมของพวกเราไม่กล้าขัดคำสั่งศาลบรรพจารย์จริงๆ ขอเฉาเซียนซือโปรดอภัย เยว่หรงจะซาบซึ้งใจเป็นที่สุด เมื่อเรื่องนี้ผ่านพ้นไปจะต้องมาเยี่ยมเยือนถึงบ้านและดื่มสุราขออภัยต่อเฉาเซียนซืออย่างแน่นอน”
ทว่าเฉาโม่เพียงแค่ยิ้มบางๆ ไม่เอ่ยอะไร
หนีเยว่หรงจึงเริ่มเกิดความคิดว่าจะถอนตัวแล้ว
ศิษย์พี่ศิษย์น้องเช่นพวกเขาอาศัยการเป็นดั่งศาลาใกล้น้ำของยอดเขาชิงอู้ อีกทั้งยังมีความสัมพันธ์ควันธูปที่จี้เยี่ยนอาจารย์ผู้มีพระคุณสะสมไว้ ต่างคนจึงต่างได้งานนี้มา คนทั้งสองต่างก็ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ หากเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่สูงศักดิ์ก็แค่นอนเสวยสุขอยู่ในยอดเขาแห่งใดก็ได้ ไหนเลยจะต้องคอยมาจัดการกับเรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้งพวกนี้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ไม่เพียงแต่ถ่วงรั้งการฝึกตน ยังต้องคอยยิ้มประจบก้มหัวเอาใจผู้อื่นอีกด้วย
อยู่ที่ภูเขาตะวันเที่ยง บางทีผู้ฝึกลมปราณขอบเขตประตูมังกรคนหนึ่งยังพูดจาหรือกระทำการแข็งกระด้างสู้ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตถ้ำสถิตไม่ได้ด้วยซ้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสงครามใหญ่ครั้งนั้นผ่านไป ผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์หลายคนติดตามบรรพจารย์และผู้อาวุโสในสำนักลงจากภูเขา แม้จะบอกว่าผู้ฝึกกระบี่ส่วนใหญ่ล้วนไม่ได้ไปเยือนสนามรบที่การต่อสู้ดุเดือดอย่างนครมังกรเฒ่าและชายฝั่งสองด้านของลำน้ำใหญ่ สถานที่ฝึกประสบการณ์ล่างภูเขาที่ภูเขาตะวันเที่ยงเลือกให้พวกเขามีความพิถีพิถันอย่างยิ่ง เป็นแค่การไปเยือนพอเป็นพิธีเท่านั้น แล้วก็ได้ออกกระบี่ ก็แค่ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่มีอันตรายถึงชีวิต หลังย้อนกลับมาที่ภูเขา แต่ละคนยิ่งหยิ่งผยองไม่เห็นหัวใคร อันที่จริงคนที่เอาหัวไปผูกไว้กับเข็มขัดกางเกงอย่างแท้จริงกลับเป็นเหล่าเซียนกระบี่ผู้เฒ่าที่เอะอะก็ชอบลุกยืนจะเดินออกจากการประชุมบนยอดเขาอีเซี่ยนอย่างเจ้าขุนเขาของยอดเขาโปอวิ๋นเสียมากกว่า พวกเขาต่างหากที่พาลูกศิษย์ผู้สืบทอดกลุ่มหนึ่งเดินทางไปด้วยกัน ยินดีสละชีวิตลืมตายออกกระบี่สังหารปีศาจบนสนามรบอย่างนครมังกรเฒ่าและเมืองหลวงแห่งที่สองของต้าหลี
แซ่เฉา? แล้วยังสวมกวานดอกบัว อยู่ดีๆ เหวยเยว่ซานก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมา ในใจเกิดคลางแคลงไม่แน่ใจ ถามหยั่งเชิงว่า “ขอถามเฉาเจินเหริน ท่านได้ฝึกตนอยู่ในภูเขาของราชวงศ์ป๋ายซวงเก่าหรือไม่?”
บนสนามรบนครมังกรเฒ่าในอดีตเคยมีเซียนเหรินลัทธิเต๋าที่ใช้นามแฝงว่าเฉาหรงคนหนึ่งโผล่มา เวทคาถาล้ำเลิศยอดเยี่ยม แค่ร่ายวิชาอภินิหารไม่กี่บทก็สร้างความตะลึงพรึงเพริดได้แล้ว
เฉินผิงอันสะบัดชายเสื้อคลุมลัทธิเต๋าเบาๆ หรี่ตายิ้มเอ่ย “ใช่แล้วอย่างไร? ไม่ใช่แล้วอย่างไร?”
เหวยเยว่ซานยิ้มอย่างขลาดๆ รีบใช้เสียงในใจเอ่ยเตือนศิษย์น้องหญิงทันทีว่าอย่าทำให้คนผู้นี้เกิดโทสะเด็ดขาด พวกเราสามารถหยุดได้แล้ว เฉาโม่ผู้นี้มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะมีความเกี่ยวข้องกับเฉาหรงเซียนเหรินที่เล่าลือกันว่าเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิง
หนีเยว่หรงรีบใช้เสียงในใจสอบถามศิษย์พี่ว่าไม่อย่างนั้นแจ้งไปทางสำนักโองการเทพเพื่อสอบถามพวกเขาสักหน่อยดีไหม? ทุกวันนี้เทียนจวินใหญ่ฉีเจินกับพวกลูกศิษย์ผู้สืบทอดอย่างเกาเจี้ยนฝูก็พักอยู่ที่ยอดเขาอีเซี่ยน ตอนนั้นเจ้าสำนักจู๋หวงยังลงจากภูเขาไปต้อนรับด้วยตัวเอง ไปรอรับเกาเจินลัทธิเต๋ากลุ่มของฉีเจินถึงหน้าประตูภูเขา ส่วนเรือข้ามฟากของสำนักโองการเทพลำนั้น แน่นอนว่าไม่ต้องจอดที่ท่าเรือป๋ายลู่ ตรงไปจอดที่ยอดเขาอีเซี่ยนได้เลย
เหวยเยว่ซานกำลังจะตอบศิษย์น้อง หางตาก็เหลือบไปเห็นว่าเฉาโม่ผู้นั้นมีสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้งคล้ายเข้าใจทุกอย่างโดยไม่ต้องเอื้อนเอ่ยออกมา
เหวยเยว่ซานมั่นใจได้แล้วจึงรีบพาศิษย์น้องบอกลาจากไปทันที ส่งกระบี่บินไปแจ้งข่าวรบกวนฉีเทียนจวินแห่งสำนักโองการเทพที่อยู่บนยอดเขาอีเซี่ยนด้วยเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ช่างเป็นเรื่องตลกใหญ่เทียมฟ้าเสียจริง ฉีเจินเป็นบุคคลที่เป็นผู้นำเซียนซือของหนึ่งทวีป แล้วจะให้ผู้ฝึกตนน้อยสองคน คนหนึ่งเป็นขอบเขตประตูมังกร คนหนึ่งขอบเขตถ้ำสถิตที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นของเหรียญทองแดงจากหอกั้วอวิ๋นและท่าเรือป๋ายลู่เล็กๆ แห่งภูเขาตะวันเที่ยงนี้ไปสอบถามเทียนจวินผู้มีสถานะสูงศักดิ์ว่า ในตระกูลของเฉาหรงเซียนเหรินในสามสายของป๋ายอวี้จิงพวกเจ้ามีนักพรตทำเนียบวงศ์ตระกูลที่ชื่อว่าเฉาโม่อยู่หรือไม่อย่างนั้นหรือ?
อีกอย่างแจกันสมบัติทวีป นอกจากเซียนกระบี่ก่อกำเนิดที่ไร้เหตุผลอย่างหวงเหอแห่งสวนลมฟ้าแล้ว ใครเล่าจะกินอิ่มว่างงาน อยู่ดีไม่ว่าดีมาท้าทายภูเขาตะวันเที่ยง? ต่อให้เสียสติ มีความกล้าหาญนั้น แต่จะมีความสามารถนั้นหรือ?
เฉินผิงอันปิดประตูลง หันตัวเดินกลับไปที่ระเบียงชมทิวทัศน์
หลิวเสี้ยนหยางเงยหน้าขึ้น “ยังนึกว่าต้องให้ข้าลงมือเองเสียอีก”
“ใจคนล้วนเป็นเช่นนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว”
เฉินผิงอันหยิบหลิงจือหยกขาวออกมาจากในชายแขนเสื้อ ตีลงบนฝ่ามือเบาๆ คล้ายกำลังเคาะใจคน “อันที่จริงหากทางฝั่งของหอกั้วอวิ๋นแห่งนี้สัมผัสได้ถึงความผิดปกติก็เป็นเรื่องดีเหมือนกัน วันหน้าหากข้าทำเรื่องประเภทนี้อีกก็จะได้ระมัดระวังมากกว่าเดิม พยายามให้รอบคอบรัดกุมมากขึ้น เรื่องน่าเสียดายหลายๆ อย่าง อันที่จริงความสามารถมีถึง เพียงแต่เพราะคิดไม่ถึง หลังจบเรื่องถึงทำให้เกิดความเสียดายเพิ่มเติมเข้ามา แต่ครั้งนี้อยู่ที่นี่ อันที่จริงข้าไม่ได้คิดจะปิดบังตัวตนสักเท่าไร ก่อนที่เจ้าจะมา มีข้าอยู่ที่นี่คนเดียว เพราะอยู่ว่างไม่มีอะไรทำก็เลยคิดว่าหาเรื่องเล่นสนุกไป”
หลิวเสี้ยนหยางถาม “ทำไมถึงต้องมาถึงที่นี่ล่วงหน้าหลายวัน?”
เฉินผิงอันเริ่มเอนกายนอนงีบหลับบนเก้าอี้หวาย เงียบไปพักใหญ่ถึงตอบกลับเสียงเบาว่า “หนึ่งเพราะกังวลว่าหลังจากการประชุมของศาลบุ๋นสิ้นสุดลง รายงานขุนเขาสายน้ำถูกยกเลิกคำสั่งห้ามอย่างเป็นทางการ แม้จะบอกว่าข้าไหว้วานให้อาจารย์ช่วยปิดบังสถานะไว้ล่วงหน้าก่อนแล้ว ดังนั้นในการประชุมจึงมีรองเจ้าลัทธิท่านหนึ่งบอกอย่างเป็นนัย ไม่อนุญาตให้คนนอกที่ออกจากศาลบุ๋นไปแล้วพูดถึงเรื่องวงในของกำแพงเมืองปราณกระบี่ง่ายๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งห้ามพูดถึงชื่อข้า แต่ทุกเรื่องล้วนกลัวหมื่นหนึ่งเสมอ หากคนที่ถามกระบี่กับภูเขาตะวันเที่ยงไม่ใช่แค่เฉินผิงอันแห่งตรอกหนีผิงอีกต่อไป จะสูญเสียความน่าสนใจไปเยอะมาก นอกจากนี้ข้ามาอยู่ที่นี่ก่อนล่วงหน้า มานั่งอยู่ตรงนี้ มองยอดเขาทั้งหลายของภูเขาตะวันเที่ยงที่มีปราณกระบี่พุ่งทะยานสู่ชั้นเมฆ ประดุจตะวันกลางนภา ยามค่ำคืนมีเซียนซือทะยานลมกันมากมายเหมือนแสงหิ่งห้อยในค่ำคืนของฤดูร้อน ก็สามารถช่วยฝึกฝนขัดเกลาจิตใจ วันหน้าบนเส้นทางการฝึกตนจะได้เอามาใช้เป็นบทเรียนได้บ่อยๆ”
หลิวเสี้ยนหยางเอาหัวนอนหนุนหลังมือ ยกขาไขว่ห้าง แกว่งขาเบาๆ ยิ้มเอ่ยว่า “เจ้าน่ะมีชะตาที่ต้องเหนื่อยยาก ชั่วชีวิตนี้ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่มีอิสระเสรีเหมือนข้า”
เฉินผิงอันกล่าว “ไม่เคยกลัวความยุ่งยากที่มีความหวัง เวลาปกติยิ่งยุ่งเท่าไรใจข้าก็ยิ่งสงบมากเท่านั้น กลัวก็แต่เรื่องที่ได้แต่ขอร้องวิงวอนให้เกิดหนึ่งในหมื่น นับตั้งแต่วันแรกที่ออกจากบ้าน การที่ข้ายุ่งขนาดนี้ก็เพื่อให้ไม่ต้องยุ่งมากขนาดนั้นอีก”
หลิวเสี้ยนหยางอืมรับหนึ่งที แล้วถามชวนคุยว่า “การประชุมศาลบุ๋นครั้งนี้ได้พบกับเจ้าขี้มูกยืดน้อยหรือไม่?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ตอนที่อยู่อำเภอพ่านสุ่ย เดินไปถึงหน้าประตูแล้ว เดิมทีอยากไปพบเขา แต่บังเอิญได้ยินการถ่ายทอดมรรคาของอาจารย์เจิ้งแห่งนครจักรพรรดิขาวเข้า ก็เลยไม่ได้พบเขา แค่ไปเดินเล่นกับอาจารย์เจิ้งมารอบหนึ่งเท่านั้น”
หลิวเสี้ยนหยางจุ๊ปากเอ่ย “เดินเล่นเคียงคู่กับเจิ้งจวีจง? ช่างมีหน้ามีตายิ่งนัก อิจฉา อิจฉา”
เฉินผิงอันทำสีหน้าระอาใจ ส่ายหน้ากล่าวว่า “อิจฉาอะไรกัน อันที่จริงในใจข้ากระวนกระวายตลอดทางเลย หากเป็นไปได้ล่ะก็ ข้าไม่อยากไปมาหาสู้กับอาจารย์เจิ้งอีกตลอดชีวิต เจ้าไม่รู้อะไร ท่ามกลางการประชุมครั้งหนึ่งที่สองฝ่ายคุมเชิงกัน อาจารย์เจิ้งถึงกับกำจัดผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจห้าขอบเขตบนสองคนที่ตอนนั้นอยู่บนภูเขาทัวเยว่ต่อหน้าต่อตาผู้ฝึกตนบนยอดเขาของสองใต้หล้า จนถึงตอนนี้ข้าก็ยังสงสัยว่าอาจารย์เจิ้งเคยมาเยือนถ้ำสวรรค์หลีจูด้วยหรือไม่ เคยเป็นผู้ดูแลเป็นองค์รักษ์บนถนนฝูลวี่หรือไม่ก็ในตรอกเถาเย่ เป็นลูกจ้างเป็นเถ้าแก่ร้าน หรือเคยเป็นอาจารย์เป็นช่างในเตาเผามังกรหรือไม่? ผู้ชายหรือผู้หญิง? อันที่จริงแล้วเคยปรากฏตัวอยู่ข้างกายพวกเรามานานแล้ว เคยพบหน้าเคยพูดคุยกันมาก่อนหรือไม่? ใครเล่าจะรู้ได้”
หลิวเสี้ยนหยางยกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นมา เอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “เจ้าว่าบ้านเกิดของพวกเราก็ใหญ่เพียงแค่นั้น เหตุใดถึงได้มีคนประหลาดเยอะนักนะ”
หลิวเสี้ยนหยางหุบฝ่ามือกำเป็นหมัด เอ่ยเยาะเย้ยตัวเองว่า “ตอนยังเด็กมักจะรู้สึกว่าด้านนอกฟ้าดินกว้างใหญ่ จะต้องออกไปดูให้จงได้ คิดไม่ถึงว่าพอออกจากบ้านเดินทางไกลแล้วได้กลับคืนมายังบ้านเกิดอีกครั้ง ถึงได้ค้นพบว่าที่แท้บ้านเกิดที่เล็กเท่าฝ่ามือกลับเป็นสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยมากที่สุด ราวกับว่าไม่เคยรู้จักมาก่อน”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ก็บ้านเกิดนี่นะ ลืมไปแล้วว่าใครเป็นคนพูด บอกว่ามันก็คือผู้เฒ่าผ่ายผอมคนหนึ่ง พอเจ้าเติบใหญ่ก็จำเขาไม่ได้แล้ว เขาเองก็จำเจ้าไม่ได้เช่นกัน”
หลิวเสี้ยนหยางกล่าว “นอกจากเฉาโม่และเฉินคนดีแล้ว หรือเจ้ายังมีนามแฝงอีกอย่างว่า ‘ลืมแล้วว่าใคร’?”
เฉินผิงอันหัวเราะเสียงดังลั่น
หลิวเสี้ยนหยางได้ยินเสียงหัวเราะของเฉินผิงอันก็คลี่ยิ้ม เจ้าน้ำเต้าตันที่อยู่ข้างกายผู้นี้ ตอนอายุน้อยไม่ค่อยชอบพูดคุยเท่าใดนัก ยิ่งไม่ค่อยยิ้มหรือหัวเราะ ก็แค่ว่าไม่เคยทำหน้าหมดอาลัยตายอยากเท่านั้น ราวกับว่าความดีใจความเสียใจทุกอย่างล้วนถูกเขาเหลือค้างเก็บไว้อย่างระมัดระวัง ตอนที่ดีใจก็ไม่ดีใจมากขนาดนั้น ตอนที่เสียใจก็ไม่เสียใจมากขนาดนั้น เหมือนบ้านหลังหนึ่งที่มีห้องหลักและห้องข้างสองห้อง มีเฉินผิงอันสามคนพักอยู่ ตอนที่ดีใจเฉินผิงอันที่อยู่ในห้องหลักก็จะไปเคาะประตูหาเฉินผิงอันคนที่ไม่ดีใจ ตอนที่ไม่ดีใจก็จะไปเคาะประตูบานที่ดีใจ
เด็กหนุ่มที่เป็นเช่นนี้ อันที่จริงน่าสงสารอย่างมาก
ดังนั้นในช่วงเวลาเหล่านั้น หลิวเสี้ยนหยางจึงชอบพาเฉินผิงอันเตร็ดเตร่ไปทั่ว ภายหลังข้างกายมีเจ้าขี้มูกยืดน้อยเพิ่มมาคนหนึ่ง คนทั้งสามจึงเดินไปทั่วบ้านเกิดด้วยกัน
เด็กหนุ่มตัวสูง เด็กหนุ่มถ่านดำตัวผอมเหมือนลำไม้ไผ่ เจ้าแมลงตามก้นที่มักจะมีน้ำมูกไหลอยู่ตลอด ต่างคนต่างสวมรองเท้าสาน เดินไปบนทางรกชัฏของบ้านเกิด ร่วมกันใฝ่ฝันถึงอนาคต
เสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ
เป็นหนีเยว่หรงที่หิ้วกาเหล้ามาขออภัยถึงที่
เฉินผิงอันไม่ได้สนใจ หนีเยว่หรงที่อยู่นอกประตูจึงเคาะประตูอีกครั้ง ยืนอยู่พักหนึ่ง เห็นว่ายังคงไม่มีคนมาเปิดประตูนางก็จากไปเงียบๆ ทิ้งเหล้าหมักตระกูลเซียนกาหนึ่งเอาไว้
……
ในจวนแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่กึ่งกลางภูเขาของยอดเขาอีเซี่ยน เทียนจวินฉีเจินนั่งอยู่ตรงข้ามกับเกาเจี้ยนฝูผู้เป็นลูกศิษย์ กำลังเล่นหมากล้อมกัน
ในเรือนที่แขวนกรอบป้ายคำว่า ‘ฉางเจี๋ย’ (กระบี่ยาว) แห่งนี้ แต่ไหนแต่ไรมายามที่ภูเขาตะวันเที่ยงมีงานเฉลิมฉลองก็มักจะเอามาใช้รับรองแขกที่สถานะสูงศักดิ์ที่สุดเสมอ
เกาเจี้ยนฝูยิ้มถาม “ศาลลมหิมะและภูเขาเจินอู่ไม่มีใครมาร่วมแสดงความยินดีสักคน อาจารย์ระวังว่าคราวหน้าจะถูกพวกเขาหัวเราะเยาะเอานะขอรับ”
ฉีเทียนจวินที่บนศีรษะสวมกวานหางปลาคีบหมากเม็ดหนึ่งขึ้นมา ส่ายหน้าเอ่ยว่า “ถึงอย่างไรสำนักโองการเทพก็ไม่ใช่นกกระเรียนโบยบินกลางหมู่เมฆอย่างอิสระเสรีเหมือนพวกเขา”
สำนักโองการเทพของแจกันสมบัติทวีป จวนเทียนเจินของเซี่ยสือในอุตรกุรุทวีป สำนักกุยหยกในทุกวันนี้ สำนักใบถงในอดีตของใบถงทวีป ล้วนเป็นผู้นำตระกูลเซียนของขุนเขาสายน้ำในหนึ่งทวีปทั้งสิ้น
เกาเจี้ยนฝูถาม “จู๋หวงก็ฝ่าทะลุขอบเขตแล้วใช่หรือไม่?”
ฉีเจินพยักหน้า “เพิ่งจะฝ่าทะลุขอบเขตได้ไม่นาน ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางถูกก่อกำเนิดอย่างเจ้ามองเบาะแสออก แน่นอนว่าความคิดจิตใจของจู๋หวงละเอียดอ่อน ทำเช่นนี้ไยจะไม่ใช่การจงใจเปิดเผยเรื่องนี้ให้คนที่ตาดีได้เห็น ถึงอย่างไรก็ไม่ค่อยยินดีจะให้หยวนเจินเย่ช่วงชิงความมีหน้ามีตาทั้งหมดไปครอง”
เกาเจี้ยนฝูใช้เสียงในใจถาม “ซ่งจ่างจิ้งและอาจารย์ต่างก็เข้าร่วมการประชุมด้วย ด้วยความสัมพันธ์ระหว่างสกุลซ่งต้าหลีกับภูเขาตะวันเที่ยง ตามหลักแล้วไม่ควรปิดบังสถานะทั้งหลายนั้นของเฉินผิงอัน ถึงอย่างไรเอ่ยแค่ไม่กี่ประโยคบนจดหมายลับฉบับหนึ่งก็สามารถอธิบายได้กระจ่างแล้ว เหตุใดถึงดูเหมือนว่าทางฝั่งของยอดเขาอีเซี่ยนยังถูกปิดหูปิดตาอยู่เลย”
——