กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 820.2 ถามหมัดเป็นแขก ทำสองอย่างพร้อมกันไม่เสียเวลา
หากอวี่หลิ่นพ่ายแพ้ก็ยังมีหยวนป๋ายแห่งยอดเขาตุ้ยเซวี่ยไม่ใช่หรือ เยี่ยนฉู่รู้สึกว่าคนผู้นี้ขวางหูขวางตามานานมากแล้ว ทุกครั้งที่มีการประชุมก็ดีแต่จะนั่งเป็นเทพทวารบาลหน้าประตูเหมือนคนตาย ทางที่ดีที่สุดหยวนป๋ายควรทุ่มชีวิตต่อสู้กับหลิวเสี้ยนหยางที่หน้าประตูภูเขา ตายไปพร้อมๆ กันได้เลยยิ่งดี วันหน้าศาลบรรพจารย์จะได้มีเก้าอี้ว่างเพิ่มมาอีกตัว
แต่เพียงไม่นานบรรพจารย์ผู้คุมกฎท่านนี้ก็ส่ายหัว ปฏิเสธความคิดของตัวเอง เปลี่ยนคำพูดใหม่ว่า “ไม่สู้ให้อู๋ถีจิงไปโดยตรง ไม่ต้องชักช้าอืดอาด แค่ไม่กี่กระบี่ก็สิ้นเรื่องกันแล้ว อย่าได้ถ่วงเวลาฤกษ์งามยามดีในงานพิธีเฉลิมฉลองของผู้ถวายงานหยวน”
การถามกระบี่บนภูเขา โดยทั่วไปแล้วมีสถานการณ์แค่สองอย่าง หากไม่ตัดสินแพ้ชนะได้ในทันทีก็มีผลลัพธ์ได้ในเสี้ยววินาที ปีนั้นตอนที่อยู่บนหอเทพศาลของศาลลมหิมะ หวงเหอเจอกับซูเจี้ยนก็เป็นสภาพการณ์เช่นนี้
ไม่อย่างนั้นก็เป็นทั้งสองฝ่ายที่ถามกระบี่ ฝีมือใกล้เคียงกัน แต่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตไม่อาจสยบอีกฝ่ายได้ เป็นเหตุให้เปลืองเวลาไปมาก แสงกระบี่สาดสะท้อนไปทั่วโลกมนุษย์ ต่อสู้กันไปไกลเป็นระยะทางนับหมื่นลี้ แม้จะบอกว่าอย่างแรกมีมากกว่า แต่อย่างหลังก็เกิดขึ้นเป็นประจำ เยี่ยนฉู่กลัวก็แต่ว่าหลิวเสี้ยนหยางผู้นั้นมาเพียงแค่เพื่อสร้างชื่อเสียงทิ้งไว้หมื่นปี เอาชนะได้ครั้งเดียวก็หยุดมือ อีกทั้งเจตนายังชั่วร้าย ตั้งใจถ่วงเวลา บอกว่าถามกระบี่ แต่แท้จริงแล้วทะยานลมไปมาส่งเดชระหว่างยอดเขาทั้งหลายของภูเขาตะวันเที่ยง
หลังจากที่การถามกระบี่เริ่มขึ้น คนนอกมักจะไม่สามารถขัดจังหวะได้ ตอนนี้ภูเขาตะวันเที่ยงมีแขกผู้มีเกียรติมากมายดุจก้อนเมฆ หรือว่าจะต้องรอให้การถามกระบี่สิ้นสุดกันไปทั้งอย่างนี้? ปล่อยให้เจ้าหลิวเสี้ยนหยางผู้นั้นเพ่นพ่านอยู่บนภูเขาบ้านตนอย่างไร้ความยำเกรง?
จู๋หวงครุ่นคิด แม้ว่าจะตัดสินใจได้แล้ว แต่ก็ไม่คิดจะเอาความเห็นของตัวเองเป็นใหญ่ จึงใช้น้ำเสียงของการสอบถามความเห็นถามว่า “ข้ารู้สึกว่าแพ้ไปก่อนครั้งสองครั้ง อันที่จริงก็ไม่มีปัญหาอะไร ผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกร ขอบเขตโอสถทอง ขอบเขตก่อกำเนิด เรียกออกมาอย่างละคน ขอแค่ชนะในครั้งสุดท้ายก็พอแล้ว พวกเจ้าคิดว่าอย่างไร?”
เยี่ยนฉู่ขมวดคิ้ว หลุดปากพูดมาว่า “วันนี้จะแพ้ในการถามกระบี่ได้อย่างไร มีสายตาคนมากมายจับจ้อง เวลานี้ไม่แน่ว่าแม้กระทั่งผู้ฝึกตนของอุตรกุรุทวีปและใบถงทวีปต่างก็กำลังเบิกตากว้างมองมาที่ภูเขาตะวันเที่ยงของพวกเราแล้ว สามารถเอาชนะได้แต่กลับจะยอมแพ้ เล่นเป็นเด็กเช่นนี้ คนแก่ๆ อย่างพวกเราจะไม่ถูกผู้ฝึกตนของสามทวีปหัวเราะเยาะจนฟันหลุดเลยหรอกหรือ?”
ภูเขาตะวันเที่ยงของข้าคือสำนักที่ยิ่งใหญ่ รากฐานในการหยัดยืน แต่ไหนแต่ไรมาก็คือวิถีกระบี่ของกลุ่มยอดเขาที่สามารถเดินขึ้นฟ้าซึ่งเป็นอันดับหนึ่งในทวีป ผลคือในช่วงเวลาสำคัญที่คนทั้งทวีปพากันจับจ้องมองมา กลับถูกลูกกระต่ายตัวหนึ่งมาถามกระบี่ถึงที่ แล้วยังจะจงใจแพ้อีก? เจ้าจู๋หวงที่เป็นเจ้าสำนักน้ำเข้าสมองแล้วหรือไร หรือจะบอกว่าเจ้ารู้สึกว่าหน้าของหยวนเจินเย่ผู้ถวายงานพิทักษ์ภูเขาไม่ใช่หน้า? สามารถถูกคนนอกเหยียบย่ำอยู่บนพื้นได้ตามแต่ใจ? อีกอย่าง สำนักกระบี่หลงเฉวียนแห่งนั้นยังเป็นสำนักที่มีคำว่ากระบี่ด้วย สวรรค์เท่านั้นที่จะรู้ว่าเป็นหร่วนฉงที่ใจแคบเหมือนไส้ไก่ ตัวเองไม่กล้ามาก็เลยจงใจให้ลูกศิษย์อย่างหลิวเสี้ยนหยางมารื้อขาเก้าอี้พวกเขาหรือไม่?
แต่เซี่ยหย่วนชุ่ยกลับรู้สึกว่าความคิดของศิษย์หลานอย่างจู๋หวงค่อนข้างมั่นคง มีการกะน้ำหนักในวงการขุนนางได้ดี บรรพจารย์ผู้เฒ่าจึงลูบหนวดยิ้ม ไม่ได้ใช้เสียงในใจพูด “จะดีจะชั่วพวกเราก็ควรไว้หน้าอริยะหร่วนสักหน่อย คนหนุ่มสมองไม่สมประดี ต่อให้ตายก็ยังต้องรักษาหน้าตา เวลาพูดจาหรือทำอะไรก็ย่อมไม่รู้หนักเบาอย่างเลี่ยงไม่ได้ พวกเราเองก็ถือว่าเป็นผู้อาวุโสของเขาครึ่งตัว คนหนุ่มรนหาที่ตายเอง จะปล่อยให้เขาถูกฆ่าตายจริงๆ ก็คงไม่ได้กระมัง”
เยี่ยนฉู่ยิ้มพลางพยักหน้ารับ
คราวนี้เซี่ยหย่วนชุ่ยใช้เสียงในใจพูดว่า “ทางฝั่งของยอดเขาฉงจือไม่ใช่ว่ามีแม่นางน้อยคนหนึ่งชื่อหลิ่วอวี้ ก่อนหน้านี้ไม่นานดูเหมือนจะเพิ่งเลื่อนเป็นขอบเขตประตูมังกรพอดีไม่ใช่หรือ? หากหลิ่วอวี้แพ้ก็ค่อยให้อวี่หลิ่นลงจากเขาไปรับกระบี่ ต่อให้คนทั้งสองต่างก็แพ้ ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แค่ชนะในการต่อสู้ครั้งที่สามก็พอแล้ว ภูเขาตะวันเที่ยงของพวกเราก็ถือเสียว่าให้พวกแขกที่มาร่วมงานพิธีได้เห็นเรื่องสนุกมากหน่อยก็แล้วกัน”
เถาแยนโปรู้สึกนับถือในกลอุบายและความเฉลียวฉลาดของบรรพจารย์หย่วนชุ่ยผู้นี้อย่างมาก
ตอนแรกก็เป็นหลิ่วอวี้ ตามมาด้วยอวี่หลิ่น ล้วนเป็นคนที่ฝึกกระบี่อยู่บนยอดเขาเสินซิ่วของจังหวัดหลงโจวมานานหลายปี ดังนั้นจึงถือว่าเป็นคนร่วมสำนักได้ครึ่งตัว
หากชนะก็เห็นได้ชัดว่าวิถีกระบี่ของภูเขาตะวันเที่ยงสูงกว่าสำนักกระบี่หลงเฉวียนไประดับใหญ่ แต่หากว่าแพ้ คนที่ตาดีก็ล้วนต้องเข้าใจว่านี่คือวิถีการรับรองแขกของภูเขาตะวันเที่ยง ให้หลิวเสี้ยนหยางได้ใช้โอกาสนี้มารำลึกความหลังกับ ‘คนร่วมสำนัก’ สองครั้ง
แพ้ชนะของทั้งสองฝ่าย อันที่จริงล้วนอยู่บนเส้นทางกระบี่ก่อนหน้านี้แล้ว
อีกทั้งหากภูเขาตะวันเที่ยงให้สองคนนี้ลงจากภูเขาไปรับกระบี่ ก็เป็นการแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ได้เห็นเป็นจริงเป็นจังกับการถามกระบี่ของหลิวเสี้ยนหยางในวันนี้ ทางสำนักใจกว้าง มีน้ำใจอย่างยิ่ง
นอกจากนี้เกรงใจกันไปแล้วสองครั้ง ครั้งที่สามที่ทางฝั่งของภูเขาตะวันเที่ยงรับกระบี่ เซียนกระบี่ไม่ทันระวังลงมือหนักไปหน่อย ทำลายกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตหรือสะบั้นสะพานแห่งความเป็นอมตะ ต่อให้อยู่เหนือการคาดการณ์ แต่ก็ถือว่ายังอยู่ในเหตุในผล
ปีนั้นเพื่อถ่วงเวลาการฝ่าทะลุขอบเขตของหวงเหอ ตอนที่ภูเขาตะวันเที่ยงประชุมกันในศาลบรรพจารย์ค่อนข้างจะปวดหัว ก็เพราะว่าในเรื่องของการถามกระบี่บนภูเขา นอกจากจะมีการแพ้การชนะแล้ว ยังเน้นในเรื่องศักดิ์ศรีหน้าตาด้วย
เพราะถึงอย่างไรภูเขาตะวันเที่ยงในเวลานั้นก็ไม่มีความมั่นใจเหมือนอย่างในวันนี้ ไม่อาจเสียหน้าได้แม้แต่น้อย
ยกตัวอย่างเช่นตอนนี้เซี่ยหย่วนชุ่ยอายุมาก ลำดับศักดิ์สูงที่สุด ขอบเขตก็สูงกว่าหวงเหอไปหนึ่งระดับ จึงไม่สะดวกจะไปเยือนสวนลมหิมะ จู๋หวงเป็นเจ้าสำนักของสำนักหนึ่ง ถึงอย่างไรก็เป็นเซียนกระบี่ผู้อาวุโสรุ่นเดียวกับหลี่ถวนจิ่ง ถามกระบี่กับหวงเหอ ตามหลักมารยาทแล้วก็ไม่เหมาะ ดังนั้นจึงเป็นสภาพการณ์ที่น่ากระอักกระอ่วนพอๆ กัน นอกจากนี้เถาแยนโปและผู้คุมกฎเยี่ยนฉู่ก็ไม่กล้าพูดว่าเมื่อเจอกับหวงเหอที่เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเดียวกันแล้วจะมีโอกาสชนะอะไรจริงๆ
ดังนั้นสุดท้ายถึงได้ผลักหยวนป๋ายที่เปลี่ยนจากสถานะเค่อชิงเป็นผู้ถวายงานชั่วคราวออกไป
วันนี้ไม่เหมือนวันวาน แตกต่างอย่างมากแล้ว เหล่าเซียนกระบี่ผู้อาวุโสบนยอดเขาใหม่เก่าทั้งหลายของภูเขาตะวันเที่ยงไม่รู้สกว่าตัวเองไร้โอกาสชนะอีกต่อไป และไม่ว่าใครก็ไม่ยินดีจะลงจากภูเขา มองดูเหมือนได้เปรียบมาเปล่าๆ แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นการลดค่าตัวเอง ไปพัวพันกับคนหนุ่มซื่อบื้อที่ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ รับมือกับโอสถทองหนุ่มคนหนึ่ง ต่อให้ชนะได้แล้วอย่างไร? ก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะเป็นงานยากลำบากที่ไม่เหลือศักดิ์ศรีหน้าตาใดๆ
คนหนุ่มสิบคนของแจกันสมบัติทวีป ผู้นำก็คือหม่าขู่เสวียนแห่งภูเขาเจินอู่ นอกจากนี้ก็ยังมีเซี่ยหลิง หลิวป้าเฉียว เจียงอวิ้น โจวจวี่ สุ่ยโย่วเปียน อวี๋สืออู้ ฯลฯ ที่ต่างก็เป็นคนหนุ่มสาวผู้มีพรสวรรค์ซึ่งฉายประกายเจิดจ้าในสงครามของทวีป ในบรรดาสิบคนที่เป็นตัวสำรองก็มีอู๋ถีจิงลูกศิษย์คนสุดท้ายของจู๋หวง ระดับรายชื่อสูงมาก อยู่ในอันดับต้นๆ
ในบรรดาคนยี่สิบคนนี้ไม่มีใครที่ชื่อว่าหลิวเสี้ยนหยางสักคน อย่าว่าแต่หลิวเสี้ยนหยางเลย แม้แต่แซ่หลิวก็ยังไม่มี
จู๋หวงถาม “ถ้าอย่างนั้นก็เอาตามนี้นะ?”
เซียนกระบี่ผู้เฒ่าทั้งหลายต่างก็รู้สึกว่าสามารถทำเช่นนี้ได้
สุดท้ายเยี่ยนฉู่ก็บีบกระบี่ยันต์เล่มหนึ่งที่สร้างขึ้นด้วยวิธีการเฉพาะ ส่งกระบี่บินแจ้งข่าวไปยังยอดเขาฉงจือ แสงกระบี่เหมือนประกายน้ำในฤดูใบไม้ร่วง ลากเส้นโค้งตรงไปยังยอดเขาฉงจือ
ยอดเขาเซียนเหรินสะพายกระบี่ เนื่องจากไม่มีคนเฝ้าพิทักษ์ หยวนเจินเย่ผู้ถวายงานพิทักษ์ภูเขาที่สร้างกระท่อมฝึกตนอยู่ที่นี่ไปยังภูเขาบรรพบุรุษแล้ว ตราผนึกขุนเขาสายน้ำก็เปิดออกด้วยตัวเอง
จิตของวานรเฒ่าชุดขาวขยับไหวเล็กน้อย แบฝ่ามือออก มองขุนเขาสายน้ำอยู่ไกลๆ ในอาณาเขตของภูเขาลูกหนึ่ง จิตเขาพุ่งไปถึง ทัศนียภาพของขุนเขาสายน้ำก็ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน แต่สุดท้ายกลับไม่มีความผิดปกติเกิดขึ้น หยวนเจินเย่จึงคิดแค่ว่าเป็นนกพุ่งชนภูเขาซึ่งเกิดขึ้นบ่อยๆ หรือไม่ก็เป็นคลื่นลมปราณของผู้ฝึกตนบางคนที่ผ่านทางไป ไม่ทันระวังไปโดนตราผนึกของขุนเขาสายน้ำเข้าก็เท่านั้น
จู๋หวงสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของผู้ถวายงานพิทักษ์ภูเขาจึงรีบใช้เสียงในใจสอบถามทันที “มีเรื่องหรือ?”
วานรเฒ่าชุดขาวส่ายหน้ายิ้มเอ่ย “ไม่มีอะไร”
จู๋หวงพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม ก็จริงนะ ภูเขาตะวันเที่ยงในทุกวันนี้ไม่มีเรื่องใหญ่มารบกวนจิตใจ
มีเรื่องน่ายินดีมากมาย
บรรพจารย์เปิดขุนเขาของยอดเขาฉงจือคือเซียนกระบี่หญิงคนหนึ่งที่มีฉายาว่าหลิงเหล่า มีชื่อว่าเหลิ่งฉี่ นางเลื่อนเป็นโอสถทองได้นานสองร้อยปีแล้ว พกกระบี่สองเล่ม แบ่งออกเป็นชื่อชิงสุ่ย เทียนเฟิง อีกทั้งนางยังเชี่ยวชาญศาสตร์การจำแลงของตระกูลเซียน เป็นเหตุให้ได้รับการขนานนามที่ไพเราะบนภูเขาว่า ‘ใต้สองแขนมีลมเย็น ขนนกจำแลงบินทะยาน’
ตัวอ่อนเซียนกระบี่สามคนที่ขึ้นเขามาพร้อมกับอวี่หลิ่นในเวลานั้น หนึ่งในนั้นก็มีหลิ่วอวี้ ปีนั้นเด็กสาวถูกยอดเขาฉงจือแย่งไปอยู่ในมือได้สำเร็จ แล้วก็ได้กลายมาเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเหลิ่งฉี่บรรพจารย์ของยอดเขาแห่งนี้
หลังจากเหลิ่งฉี่ได้รับกระบี่ยันต์แจ้งข่าวมาจากอาจารย์ลุงผู้คุมกฎ ใบหน้าของนางก็มีรอยยิ้มอย่างที่หาได้ยาก หญิงชราเจ้าของยอดเขาคนนี้มีใบหน้าเหี่ยวย่น เส้นผมสีขนกาแต่ผิวหนังเหมือนหนังไก่ สายตาเฉียบคม สะสมบารมีไว้มากบนยอดเขาฉงจือ พูดหนึ่งไม่มีสอง แต่เมื่อเจอกับลูกศิษย์ผู้สืบทอดที่เพิ่งรับมาใหม่อย่างหลิ่วอวี้ กลับมีสีหน้าเมตตาปราณี นางพูดเสียงเบาว่า “ผู้คุมกฎเยี่ยนจากยอดเขาอีเซี่ยนส่งจดหมายมา หวังว่าเจ้าจะขี่กระบี่ไปที่ยอดเขาบรรพบุรุษ ถามกระบี่กับหลิวเสี้ยนหยางแห่งสำนักกระบี่หลงเฉวียนสักครั้ง ในจดหมายบอกไว้แล้วว่าภายในหนึ่งก้านธูป เจ้าแค่พยายามอย่างเต็มที่ก็พอ แพ้หรือชนะล้วนไม่สำคัญ”
เป็นแค่คำพูดตามมารยาท จะคิดเป็นจริงเป็นจังได้หรือ?
หลิ่วอวี้มีท่าทางตึงเครียดอย่างเห็นได้ชัด ฝึกตนอยู่ในภูเขา ไม่ว่าจะอยู่ที่ภูเขาเสินซิ่วหรือยอดเขาฉงจือ การจับคู่เข่นฆ่าที่แท้จริงกับการถามกระบี่อย่างจริงจัง ล้วนเป็นครั้งแรกในชีวิตของนาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอีกฝ่ายยังเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของอริยะหร่วน อีกทั้งนางยังต้องออกกระบี่ภายใต้สายตาจับจ้องมองมาของผู้อาวุโสเซียนซือบนยอดเขาในหนึ่งทวีป จะไม่ร้อนรนเลยได้อย่างไร
เหลิ่งฉี่จึงยิ้มเอ่ยว่า “การประลองฝีมือครั้งนี้ก็ถือเสียว่าเป็นการรำลึกความหลังแล้วกัน อวี้เอ๋อร์ การถามกระบี่ครั้งนี้เจ้าแค่พยายามต่อสู้ให้งดงามหน่อยก็พอ”
“เพียงแต่ต้องจำเอาไว้ว่า กระบี่ท้ายๆ อย่าได้ทำให้เสียชื่อของบรรพจารย์แต่ละยุคแต่ละสมัยของยอดเขาฉงจือเด็ดขาด”
หลิ่วอวี้เอ่ยเสียงเบา “อาจารย์ ทางฝั่งของสำนักกระบี่หลงเฉวียนรู้ถึงกระบี่บินและวิชาอภินิหารของข้ามานานแล้ว อีกทั้งคนผู้นั้นยังเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของอริยะหร่วน บางทีอาจจะได้เปรียบไปทุกเรื่อง”
กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของนาง ตี๋ฮวา เมื่อกระบี่บินถูกเรียกออกมา ตัวกระบี่จะจำแลงเป็นเหมือนตี๋ฮวา (ดอกหญ้าที่ต้นลักษณะเหมือนต้นอ้อ ดอกเป็นพวงใหญ่) ที่ลอยเต็มฟ้า
เหลิ่งฉี่ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไม่เป็นไร แค่ทำตามที่ข้าบอกก็พอ เจ้าไม่ต้องคิดมาก”
หลิ่วอวี้สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งที กระบี่ยาวถูกชักออกจากฝัก ดีดปลายเท้าหนึ่งครั้ง พลิ้วกายเหยียบลงบนกระบี่ ขี่กระบี่ลงจากเขาไปยังหน้าประตูภูเขาอีเซี่ยน
ผู้คุมกฎเยี่ยนฉู่มองเงาร่างอรชรของยอดเขาฉงจือแล้วก็ร่ายวิชาอภินิหาร เอ่ยเสียงดังกังวานว่า “หลิ่วอวี้ ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตประตูมังกรแห่งยอดเขาฉงจือ รับกระบี่!”
หากลูกศิษย์ผู้สืบทอดของยอดเขาฉงจือผู้นี้มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นคู่รักกับอวี่หลิ่นแห่งยอดเขาอวี่เจี่ยว จากนั้นในอนาคตก็ถือโอกาสได้ยึดครองยอดเขาคู่รักที่ไร้เจ้าของมานานนับพันปี เยี่ยนฉู่ก็ไม่ถือสาที่จะถ่ายทอดเวทกระบี่บทหนึ่งให้แก่นางจริงๆ ไม่แน่ว่าแม่นางน้อยอาจจะสามารถใช้ขอบเขตของประตูมังกรมาเอาชนะเซียนกระบี่ผู้เฒ่าก่อกำเนิดอย่างตนก็เป็นได้
ทางฝั่งของยอดเขาฉงจือ หลูเจิ้งฉุนที่แต่งเข้าภูเขาลูกนี้ยืนอยู่ข้างคนรัก ในที่สุดก้อนหินใหญ่ในใจของเขาก็วางลงได้เสียที
คู่บำเพ็ญตนของหลูเจิ้งฉุนคือคนที่คุณสมบัติดีที่สุดในบรรดาลูกศิษย์ของลูกศิษย์ผู้สืบทอดหลายสิบคนของเหลิ่งฉี่
บอกตามตรง ก่อนหน้านี้หลูเจิ้งฉุนกังวลว่าเจ้าคนแซ่หลิวที่เหยียบโชคดีขี้หมากลายเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของหร่วนฉง จะใช้วิธีการชั่วร้ายแอบแก้แค้นตนและตระกูลอย่างลับๆ
เวลานี้แน่นอนว่าเขาย่อมอารมณ์ดีมาก มาจากถ้ำสวรรค์หลีจูเหมือนกับหลิวเสี้ยนหยาง ทว่าชาติกำเนิดของทั้งสองฝ่ายแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว หลูเจิ้งฉุนคือลูกหลานสกุลหลูบนถนนฝูลวี่ เขาหรือจะคิดได้ว่าเจ้าคนที่ปีนั้นเกือบจะถูกตนฆ่าตาย อยู่ดีๆ จะสลัดร่างใหม่ ไม่เพียงแต่กลายมาเป็นผู้ฝึกกระบี่ แล้วยังเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของบุคคลยิ่งใหญ่อย่างหร่วนฉงด้วย?
ถูกฆ่าตายคือดีที่สุด
ไม่ถูกสิ ต้องให้ร่อแร่ปางตาย ถูกสะบั้นสะพานแห่งความเป็นอมตะถึงจะดีที่สุด จากนั้นคราวหน้าที่คนรู้จักกลับมาพบเจอกันอีกครั้งก็น่าสนใจแล้ว
คนรักของเขาใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “สามี วันหน้าต้องตั้งใจหาเงินให้มากนะ”
หลูเจิ้งฉุนพยักหน้ารับพร้อมยิ้มบางๆ “เป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว จะไม่ยอมให้ภรรยาหงุดหงิดกังวล หรือต้องถูกคนดูแคลนเรื่องเงินเด็ดขาด”
หน้าประตูภูเขาของยอดเขาอีเซี่ยน
หลิวเสี้ยนหยางที่รออยู่นานลืมตาขึ้น ไม่นึกว่าจะเป็นหลิ่วอวี้คนนี้
เมื่อก่อนทั้งสองฝ่ายไม่เคยเจอหน้ากัน เพราะว่าก่อนที่หลิวเสี้ยนหยางจะกลับบ้านเกิด พวกหลิ่วอวี้ก็ออกไปจากภูเขาเสินซิ่วแล้ว
หลิ่วอวี้พลิ้วกายลงพื้น สอดกระบี่กลับใส่ฝัก ใช้มือเดียวทำมุทรากระบี่คารวะ มีปราณกระบี่เป็นเส้นๆ ล้อมวนอยู่รอบนิ้วมือที่เหมือนต้นหอมอ่อนนุ่มของนาง นางแนะนำชื่อแซ่ของตัวเอง “ผู้ฝึกกระบี่หลิ่วอวี้แห่งยอดเขาฉงจือ”
หลิวเสี้ยนหยางถอนหายใจ ค่อนข้างยุ่งยากแล้ว ในอดีตคนสามคนที่ลงจากภูเขาไป มีเพียงแม่นางน้อยตรงหน้าผู้นี้ที่แท้จริงแล้วสามารถกลายเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของสำนักกระบี่หลงเฉวียนได้ เพียงแต่ว่านางหลงรักอวี่หลิ่นผู้นั้น จึงติดตามเขามาอยู่ที่ภูเขาตะวันเที่ยงด้วย
หลิวเสี้ยนหยางยิ้มกล่าว “แม่นางหลิ่วเชิญออกกระบวนท่าได้ตามสบาย”
หลิ่วอวี้พยักหน้า ไม่มีถ้อยคำที่เอ่ยตามมารยาทแม้แต่ครึ่งประโยค เรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตตี๋ฮวาออกมาโดยตรง
ในรัศมีหลายสิบลี้รอบด้าน ทันใดนั้นก็ราวกับว่ามีดอกตี๋ฮวาล่องลอยแผ่ปกคลุมไปทั่วฟ้าดิน
หลิวเสี้ยนหยางยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมา เพียงแค่สะบัดข้อมือเบาๆ ใช้ปราณกระบี่ที่บริสุทธิ์สร้างกระบี่ยาวเล่มหนึ่งขึ้นมา
ตี๋ฮวามากมายนับร้อยนับพันปลิวคว้างอยู่กลางอากาศ พุ่งเข้าปกคลุมเรือนกายของหลิวเสี้ยนหยางในเสี้ยววินาที
อันที่จริงเวลานี้หลิวเสี้ยนหยางกระอักกระอ่วนอย่างถึงที่สุด ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันก็เคยพูดหยอกล้อว่า หากเป็นผู้ฝึกกระบี่คนอื่นที่มารับกระบี่ล้วนพูดได้ง่าย แต่จะต้องคิดให้ดีว่าควรจะรับมือกับหลิ่วอวี้แห่งยอดเขาฉงจืออย่างไร
——