กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 820.4 ถามหมัดเป็นแขก ทำสองอย่างพร้อมกันไม่เสียเวลา
มิน่าเล่าตอนที่อยู่เมืองเล็ก สัตว์เดรัจฉานตัวนั้นถึงได้มีความมั่นใจพอที่จะเอ่ยถ้อยคำห้าวเหิมเช่นนั้น
ภูเขาตะวันเที่ยงเปิดภูเขามาสองพันหกร้อยปี มีแค้นต้องชำระ ไม่เคยปล่อยแค้นค้างข้ามคืน
เฉินผิงอันกวาดตามองรอบด้าน สองเท้าไม่หยุดนิ่ง เพียงแค่รู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง
จื๋อหลินโส่วที่ทำงานสกปรกงานเหนื่อยยากมาจนชิน จนป่านนี้แล้วก็ยังไม่ปรากฏตัวเสียที
โดยทั่วไปแล้วผู้ฝึกตนบนภูเขาที่สามารถทำเรื่องประเภทนี้ได้จะต้องเชี่ยวชาญสามเรื่องอย่างการอำพรางร่องรอย ถนัดสังเกตความเคลื่อนไหวอันละเอียดอ่อนและมีวิชาหลบหนีรักษาชีวิตรอด
มารดามันเถอะ หรือจะต้องให้ข้าผู้อาวุโสเดินตีกลองขึ้นภูเขาถึงจะรู้จักออกจากบ้านมาต้อนรับแขก? กวอจู๋จิ่วลูกศิษย์คนนั้นของข้าไม่ได้อยู่ใต้หล้าไพศาลนะ ไม่มีกลองมีฆ้องให้ยืมหรอก
ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่ยอดเขาซึ่งมีชื่อว่าเพียนเซียน มีก่อกำเนิดผู้เฒ่าต่างถิ่นที่มีคุณธรรมชื่อเสียงคนหนึ่งเกรงว่าเรื่องสนุกจะไม่ใหญ่พอ แล้วก็ไม่สนใจสักนิดว่าจะถูกยอดเขาเพียนเซียนอาฆาตแค้นหรือไม่ ผู้ฝึกตนเฒ่ายืนอยู่ริมหน้าผา โบกมือสลายก้อนเมฆ ทันใดนั้นวิชาเซียนบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำก็โผล่ออกมา เพื่อที่จะให้มนุษย์ธรรมดาที่อยู่ในยอดเขาไม่ถึงขั้นพลาดคลื่นลมมรสุมที่เกิดขึ้นบนภูเขาบรรพบุรุษไปอย่างเปล่าๆ
เจ้าของยอดเขาแห่งนี้ก็คือหนึ่งในบรรพจารย์หญิงสามท่านของภูเขาตะวันเที่ยง ส่วนอีกสองคนที่เหลือก็คือเหลิ่งฉี่แห่งยอดเขาฉงจือ เป็นผู้ฝึกกระบี่โอสถทอง และยังมีเถียนหว่านแห่งยอดเขาจูอวี๋ที่รับผิดชอบเรื่องรายงานขุนเขาสายน้ำและบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำ แม้จะเป็นสตรีเจ้าของยอดเขาเหมือนกัน ทว่าแต่ไหนแต่ไรมาก็มักจะเป็นยอดเขาเพียนเซียนที่ดูแคลนยอดเขาฉงจือซึ่งดีแต่จะหลบเสวยสุขอยู่บนภูเขา แล้วก็เป็นยอดเขาฉงจือที่ไปดูแคลนสถานที่ที่นกไม่มาเกาะแห่งนั้นอีกที สุดท้ายเป็นเถียนหว่านที่ไม่กล้าดูแคลนใคร ไม่ว่ากับใครก็ล้วนมีใบหน้าเปื้อนยิ้มให้เสมอ เพราะยอดเขาเพียนเซียนเองก็เหมือนยอดเขาโปอวิ๋น สถานที่ที่ผู้ฝึกกระบี่บนภูเขาลงจากเขาไปหาประสบการณ์คือสนามรบดุเดือดอันตรายอย่างนครมังกรเฒ่า
คนที่เข้าพักที่ยอดเขาแห่งนี้ของภูเขาตะวันเที่ยงส่วนใหญ่ล้วนเป็นจักรพรรดิอัครเสนาบดีของราชวงศ์และแคว้นใต้อาณัติล่างภูเขา ยกตัวอย่างเช่นหันจิ้งหลิงฮ่องเต้แคว้นสือหาวก็พักอยู่ที่นี่ เพียงแต่ว่ากำลังแคว้นอ่อนแอ จึงได้แต่จัดหาเรือนที่พักขนาดเล็กค่อนข้างห่างไกลให้กับจักรพรรดิจากแคว้นเล็กท่านนี้ แม้ว่ายอดเขาเพียนเซียนจะมีผู้ฝึกตนหญิงอยู่เยอะ แต่ผู้ฝึกกระบี่บนภูเขาที่ไม่ว่าจะชายหรือหญิงก็ล้วนมีปราณสังหารเข้มข้น ภูเขาตะวันเที่ยงจัดการเช่นนี้ ยกตระกูลสูงศักดิ์ล่างภูเขาจำนวนมากให้กับยอดเขาเพียนเซียน แน่นอนว่าต้องมีความหมายที่ลึกซึ้ง
ผู้คนมากมายที่เดิมทีต้องนั่งเรือยันต์เดินทางมาร่วมอวยพรที่ยอดเขาอีเซี่ยนต่างพากันหยุดอยู่ในภูเขา หรือไม่ก็เดินออกมาจากเรือนที่พัก พอได้เห็นภาพขุนเขาสายน้ำนั้น เสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็ดังขึ้นทันที
“ใครกัน?”
“ไม่รู้สิ ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน”
“คือหลิวเสี้ยนหยางของสำนักกระบี่หลงเฉวียนในอาณาเขตของต้าหลีไงล่ะ ไม่มีชื่อเสียงอะไร ไม่เคยได้ยินก็เป็นเรื่องปกติ”
“นึกออกแล้ว คือศิษย์น้องของเซี่ยหลิงนั่นเอง”
“ตอนนี้ถือว่าเป็นลูกศิษย์คนเล็กของอริยะหร่วน แต่ต้องไม่ใช่ลูกศิษย์คนสุดท้ายแน่นอน”
ตระกูลเซียนบนภูเขา โดยเฉพาะสำนักอักษรจง บุคคลที่น่าสนใจและชวนให้ขบคิดมากที่สุด อันที่จริงไม่ใช่ลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของเจ้าสำนักหรือของบรรพจารย์คนใดด้วยซ้ำ แต่เป็นลูกศิษย์คนสุดท้าย คนผู้นี้จะต้องเป็นบุคคลที่มีความสามารถเลิศล้ำโดดเด่นแน่นอน ถึงได้มีคุณสมบัติที่จะ ‘ทำให้อาจารย์ปิดภูเขา ปิดประตูให้กับสำนัก’ ก็เหมือนครอบครัวของชาวบ้านล่างภูเขาที่ลูกคนสุดท้ายของตระกูลซึ่งพอจะมีฐานะที่ต้องเป็นลูกรักที่สุดอย่างแน่นอน
เหล่าเซียนซือผู้ถวายงานที่พอจะรู้จักสำนักกระบี่หลงเฉวียนอยู่บ้างเริ่มรู้สึกคึกคักตื่นเต้น ช่วยแนะนำคนผู้นี้ให้กับจักรพรรดิขุนนางหรือไม่ก็ลูกศิษย์ผู้สืบทอดที่อยู่ข้างกายฟัง
หลิวเสี้ยนหยาง คือคนในพื้นที่ของอดีตถ้ำสวรรค์หลีจู เพราะเป็นศาลาใกล้น้ำจึงได้ยลแสงจันทร์ก่อน โชคดีอย่างถึงที่สุดจึงได้กลายมาเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของหร่วนฉงแห่งสำนักกระบี่หลงเฉวียน หลิวเสี้ยนหยางคือคนที่ลำดับอาวุโสสูงที่สุดในบรรดาลูกศิษย์รุ่นแรก แต่ชื่อของเขาถูกรับเข้าไปอยู่ในทำเนียบทองหยกของภูเขาเสินซิ่วช้าที่สุด ดูเหมือนว่าตอนเป็นเด็กหนุ่มจะเคยเดินทางข้ามทวีปไปขอศึกษาต่ออยู่กับสำนักศึกษาของสกุลเฉินผู้รอบรู้ที่ทักษินาตยทวีปอยู่นานหลายปีด้วย
ชื่อเสียงอยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบกับพวกศิษย์พี่ชายหญิงทั้งหลายได้ติด ศิษย์พี่ใหญ่ต่งกู่ได้เป็นขอบเขตก่อกำเนิดแล้ว แม้ว่าจะไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ แต่กลับได้รับความสำคัญจากหร่วนฉงมาก รับหน้าที่ดูแลกิจธุระต่างๆ ของสำนักมานานหลายปี
สวีเสี่ยวเฉียวผู้ฝึกกระบี่โอสถทอง แรกเริ่มสุดคือผู้ฝึกกระบี่ของศาลลมหิมะ เพราะทำความผิดมหันต์จึงถูกตัดชื่อออกจากทำเนียบของศาลลมหิมะ ภายหลังติดตามหร่วนฉงมาฝึกตน สุดท้ายจึงกลายมาเป็นหนึ่งในลูกศิษย์ผู้สืบทอด
ส่วนเซี่ยหลิงก็ยิ่งมีชื่อเสียงขจรไกล เป็นผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนที่คนบนภูเขาทั้งทวีปล้วนรู้จัก และยิ่งเป็นหลานชายของเซี่ยสือเทียนจวินแห่งอุตรกุรุทวีป
ในบรรดาลูกศิษย์ของหร่วนฉง คนหนุ่มที่มีชาติกำเนิดมาจากตรอกเถาเย่ผู้นี้มีชื่อเสียงบนภูเขาของแจกันสมบัติทวีปมากที่สุด คุณสมบัติในการฝึกตนดีที่สุด ถูกโลกภายนอกมองว่าเป็นตัวเลือกเพียงหนึ่งเดียวที่จะได้เป็นเจ้าสำนักของสำนักกระบี่หลงเฉวียนคนถัดไป
มีคนอดไม่ไหวถามว่า “หลิวเสี้ยนหยางผู้นี้ใช่ผู้ฝึกกระบี่หรือไม่? ขอบเขตเป็นอย่างไร?”
ผลคือทุกคนล้วนมึนงง แม้แต่เซียนซือผู้เฒ่าที่เคยคบค้าสมาคมกับสำนักกระบี่หลงเฉวียนก็ยังไม่รู้ความจริง เพราะถึงอย่างไรในบรรดาลูกศิษย์ผู้สืบทอดของหร่วนฉง ลูกศิษย์ใหญ่เปิดภูเขาอย่างต่งกู่ก็ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่
“ทำไมถึงต้องมาถามกระบี่กับภูเขาตะวันเที่ยง? อีกทั้งยังตั้งใจเลือกวันนี้โดยเฉพาะ หรือว่าหลิวเสี้ยนหยางผู้นี้มีความแค้นใหญ่หลวงกับภูเขาตะวันเที่ยง?”
ยังคงไม่มีใครรู้เรื่องวงใน
แต่ในเมื่อหลิวเสี้ยนหยางป่าวประกาศว่าจะถามกระบี่ เกินครึ่งก็ต้องเป็นผู้ฝึกกระบี่อย่างไม่ต้องสงสัย
เพียงแต่ว่าต่อให้ขอบเขตจะสูงแต่จะสูงได้สักแค่ไหนกันเชียว เพราะถึงอย่างไรหลิวเสี้ยนหยางก็ไม่ใช่หนึ่งในสิบคนรุ่นเยาว์และตัวสำรองสิบคนของแจกันสมบัติทวีปด้วยซ้ำ
สิ่งที่พวกเซียนซือผู้เฒ่าที่ประสบการณ์โชกโชนคิดคำนึงถึงมีแต่จะสูงยิ่งกว่ายาวไกลยิ่งกว่า ไม่มีทางคิดแต่เรื่องเข่นฆ่าเต็มหัวสมองอย่างแน่นอน
“ภูเขาตะวันเที่ยงวางแผนมานานมากแล้ว สำนักเบื้องล่างเลือกเป็นจูอิ๋งเก่า มีความพิถีพิถันอย่างยิ่ง เห็นได้ชัดว่าต้องการแย่งชิงตำแหน่งเก้าอี้อันดับหนึ่งของสำนักวิถีกระบี่ในแจกันสมบัติทวีปมาจากสำนักกระบี่หลงเฉวียน”
มีบุญคุณความแค้นบางอย่างต่อกันก็เป็นเรื่องที่ปกติอย่างมาก ยกตัวอย่างเช่นผู้มีพรสวรรค์อายุน้อยอย่างอวี่หลิ่นนั่น ตอนแรกก็ไม่ใช่ว่าฝึกตนอยู่บนภูเขาเสินซิ่วมานานหลายปี แต่อยู่ดีๆ ก็มาอยู่ภูเขาตะวันเที่ยงหรอกหรือ
“ไม่ว่าจะอย่างไร ไอ้หมอนี่ก็ช่างขวัญกล้าจริงๆ”
“ขวัญกล้าจะมีประโยชน์อะไร ถูกเซียนกระบี่คนใดคนหนึ่งบนภูเขาฟันจนร่อแร่ปางตายก็จะกลายเป็นเรื่องตลกของในทวีป วันหน้าคงไม่มีหน้าจะลงจากภูเขาไปหาประสบการณ์อีกแล้ว ยังเดือดร้อนให้บุญคุณความแค้นบางอย่างระหว่างสำนักกับภูเขาตะวันเที่ยงปรากฎชัดเจนขึ้น ถึงอย่างไรก็ยังเป็นคนหนุ่ม ทำอะไรไม่ใช้หัวสมอง วู่วามเกินไป ไม่ฉลาดเอาเสียเลย”
“สรุปแล้วเป็นบุญคุณความแค้นส่วนตัวระหว่างคนหนุ่ม จึงทำอะไรโดยใช้แต่อารมณ์ หรือว่า?”
คนผู้นี้พูดจาแค่ครึ่งๆ กลางๆ เพราะคำพูดที่เหลืออยู่นั้นไม่สะดวกจะพูดออกมาตรงๆ หรือว่าจะเป็นความประสงค์ของหร่วนฉง?
ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบน อริยะสำนักการทหาร บ้านเดิมคือศาลลมหิมะ แล้วยังเป็นช่างหลอมกระบี่ที่มีชื่อเสียงที่สุดในแจกันสมบัติทวีปอีกด้วย
แล้วนับประสาอะไรกับที่หร่วนฉงยังมีตำแหน่งที่โดดเด่นอย่างผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของต้าหลี ดังนั้นทุกการกระทำของหร่วนฉงจึงเกี่ยวพันเป็นวงกว้าง
รอกระทั่งหลิวเสี้ยนหยางคุมเชิงกับผู้ฝึกกระบี่หญิงขอบเขตประตูมังกรที่หน้าประตูใหญ่ของภูเขาบรรพบุรุษ ก็มองดูเหมือนหลิวเสี้ยนหยางจะมีแค่แรงวางมาดใหญ่โตเท่านั้น
มีคนเอ่ยอย่างสงสัย “แค่นี้หรือ?”
คนข้างๆ เอ่ยหยอกเย้า “ความกล้าและน้ำเสียงยามพูดจาของเจ้าหมอนี่สูงกว่าขอบเขตของตัวเองมากไปหรือไม่?”
ดังนั้นรอกระทั่งการถามกระบี่และการรับกระบี่ครั้งแรกสิ้นสุดลง ไม่เพียงแต่ยอดเขาเพียนเซียนเท่านั้น ยอดเขาอื่นๆ ที่เหลือต่างก็มีเรือยันต์ลอยขึ้นฟ้ามุ่งหน้าไปยังยอดเขาอีเซี่ยนอีกครั้ง คงจะรู้สึกว่าเรื่องครึกครื้นนี้ไม่มีอะไรน่าดูนัก
จากนั้นพออวี่หลิ่นแห่งยอดเขาอวี่เจี่ยวนอนหลับอยู่บนพื้น เรือยันต์ก็พากันหวนกลับมาที่ยอดเขาทั้งหลายอีกครั้ง มาดูบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำต่อไป เพราะถึงอย่างไรไปจอดเรือชมเรื่องสนุกอยู่ใกล้กับยอดเขาอีเซี่ยนก็เป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุอยู่บ้าง
ผู้ฝึกตนทำเนียบวงศ์ตระกูลอายุน้อยคนหนึ่งโพล่งประโยคหนึ่งออกมาว่า “ทำไมถึงได้รู้สึกว่ามีกลิ่นอายของอุตรกุรุทวีปของพวกเราอยู่บ้าง?”
คำพูดนี้ดังขึ้นมา ก็มีคนมากมายที่เห็นด้วย
ขณะที่กำลังเดินขึ้นไปบนเส้นทางหลักสำหรับเดินขึ้นภูเขาบรรพบุรุษ หลิวเสี้ยนหยางพลันหยุดชะงัก หันหน้าไปมองแล้วคลี่ยิ้ม
เขามองไกลๆ ไปเห็นผู้ฝึกกระบี่หญิงที่ในอดีตตอนดูบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำหลายครั้งล้วนไม่เคยพบเจอมาก่อน
ดูจากท่าทางน่าจะเป็นเซียนกระบี่ก่อกำเนิดที่อำพรางตัวอย่างลึกล้ำ ทว่าพลังพิฆาตกลับสูงมาก?
ไม่ควรเผยตัวเลย ส่งกระบี่อยู่ไกลๆ น่าจะดีกว่า
ก่อนที่ทั้งสองฝ่ายจะถามกระบี่กัน วานรเฒ่าชุดขาวก็พูดกลั้วหัวเราะเสียงดังว่า “หลิวเสี้ยนหยาง เจ้ามาเพื่อโขกหัวรับผิดต่อภูเขาตะวันเที่ยงแทนเศษสวะผู้ล่วงลับของสกุลหลิวเจ้า หรือว่ามาเพื่อรับบรรพบุรุษกลับเข้าตระกูลเล่า?”
หลิวเสี้ยนหยางนวดคลึงข้างแก้ม ไม่ได้สนใจ เพราะว่าเรื่องอย่างการด่าคนนี้ยังคงเป็นเจ้าคนร้ายกาจอย่างเฉินผิงอันที่เชี่ยวชาญยิ่งกว่า
บนยอดเขาสะพายกระบี่ คนชุดเขียวที่ร้ายกาจอย่างแท้จริงผู้นั้นเอาสองมือไพล่หลัง มองกระบี่โบราณที่เสียบเอียงอยู่บนยอดเขา
ผู้เฒ่าหลังค่อมเดินขึ้นเขามาช้าๆ ยิ้มพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่าว่า “เด็กน้อยเอ๋ย ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่ดีสำหรับคนที่รีบร้อนอยากไปเกิดใหม่หรอกนะ”
เฉินผิงอันหันหน้าไปมอง เป็นผีตนหนึ่ง แต่กลับไม่ใช่ผู้ฝึกตน จึงคลี่ยิ้มตามอีกฝ่าย “มิน่าเล่า ที่แท้ผู้อาวุโสก็ไม่ใช่เซียนกระบี่ แต่เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้า ไม่ทราบว่าเป็นบรรพบุรุษแห่งวิชาหมัดของต้าเซิ่งย้ายภูเขาหรือว่าเป็นศิษย์หลานที่เรียนวิชาหมัดกับต้าเซิ่งย้ายภูเขามานานหลายปีกันเล่า? ผู้อาวุโสพูดได้ถูกต้องแล้ว ลมและน้ำของที่นี่ไม่ได้เรื่อง ไม่เหมาะจะไปเกิดใหม่ ชาติหน้ายากที่จะได้เกิดเป็นคน”
ผู้ถวายงานเบื้องหลังที่มีฉายาว่าจื๋อหลินโส่วผู้นี้ยิ้มจนตาหยี “เด็กรุ่นหลังจากที่ใดกันถึงได้เข้าใจพูดขนาดนี้ หาได้ยาก หาได้ยาก ชอบนัก ชอบนัก อีกเดี๋ยวจะเด็ดหัวของเจ้าเอามาคุยเล่นกับข้าผู้อาวุโสสักสองสามวัน บนภูเขาเงียบเหงา เพื่อขอบคุณเด็กรุ่นหลังอย่างเจ้า เรื่องของตะเกียงวิญญาณก็เว้นไว้แล้วกัน”
เฉินผิงอันยกเท้าข้างหนึ่งเหยียบลงบนด้ามกระบี่ยาว หัวเราะร่าเอ่ยว่า “พวกเราทั้งสองต่างก็เป็นนักเดินทางยามค่ำคืน ต่างคนต่างมาเจอผีระหว่างทาง เห็นแก่ที่เป็นคนบนเส้นทางเดียวกันครึ่งตัว จะให้โอกาสเจ้าได้ส่งกระบี่บินแจ้งข่าวไปขอกำลังหนุนก่อน”
ผีเฒ่าตนนั้นหัวเราะหึหึ “ฟังจากน้ำเสียงคงมีความแค้นกับหยวนเจินเย่ไม่น้อยเลย? ตอนนี้คนหนุ่มนอกภูเขาฝึกเล่นหมัดเท้าแค่ไม่กี่วันก็มีความสามารถขนาดนี้แล้วหรือ?”
เฉินผิงอันจุ๊ปากพูด “ดีสุนัขช่างใหญ่ยิ่งนัก ถึงกับเรียกชื่อต้องห้ามออกมาตรงๆ ต้องเรียกว่าบรรพบุรุษย้ายภูเขาสิ”
ผีเฒ่าถูมือกล่าว “ได้ๆๆ วันหน้าเวลาคุยกับเจ้าจะต้องแก้เบื่อได้ดีมากแน่นอน ชื่อแซ่อะไรล่ะ หมัดของข้าผู้อาวุโสไม่ฆ่าผีไร้ชื่อหรอกนะ”
คนชุดเขียวกระทืบเท้าเบาๆ เหยียบกระบี่ยาวให้จมลง ยิ้มบางเอ่ยว่า “มาจากสถานที่เล็กๆ ชื่อไม่มีค่าพอให้พูดถึง”
ผู้เฒ่าเดินออกไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ปล่อยหนึ่งหมัดออกไป ผลคือถูกเฉินผิงอันยื่นมือมาดันหมัดเอาไว้ ผีที่เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้าเห็นว่าโจมตีครั้งนี้ไม่สำเร็จก็ถอยร่นออกไปทันที
จากนั้นเรือนกายของภูตผีก็ล้อมวนอยู่รอบกายคนชุดเขียว ปล่อยหมัดออกไปไม่หยุด เวลาเพียงชั่วพริบตาก็ปล่อยหมัดออกไปรวดเดียวร้อยกว่าหมัด แต่ละหมัดล้วนสามารถสังหารโอสถทองบนภูเขาได้ทั้งสิ้น
คนชุดเขียวเพียงแค่ยืนอยู่ที่เดิม เอามือหนึ่งไพล่หลัง ใช้มือขวาปัดป้องมือเท้าของอีกฝ่ายอย่างง่ายๆ
ตอนที่ปล่อยหมัดสุดท้ายออกไป จื๋อหลินโส่วผู้นี้ก็ถือโอกาสถอยร่นไปด้านหลัง คีบยันต์แผ่นหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ หมายจะเผ่นหนีไปให้ไกลห่างจากยอดเขาสะพายกระบี่แห่งนี้ แขกที่ไม่ได้รับเชิญคนนี้ ชาติสุนัขเสียจริง ถึงกับเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางที่แปลงโฉมเป็นคนหนุ่ม!
ทว่าหลังคอพลันเย็นวาบ ถูกคนผู้นั้นยื่นมือมากุมไว้แล้วโยนร่างลงกับพื้น เท้าหนึ่งเหยียบลงบนกระดูกสันหลังอย่างอำมหิต กระดูกแตกทันที ผีเฒ่าถูกบีบให้วิญญาณแหลกสลาย ก่อนจะถูกชายแขนเสื้อข้างหนึ่งสะบัดปัดจนเละ
สองฝ่ายที่ถามหมัดกันต่างก็แบ่งเป็นแบ่งตายแล้ว แต่ดูเหมือนว่าจะยังไม่รู้ชื่อแซ่ของอีกฝ่าย
เฉินผิงอันกระทืบเท้าข้างหนึ่ง กระบี่ยาวที่อยู่บนพื้นห่างไปไม่ไกลก็เด้งขึ้นมา ตอนที่เขาทะยานลมเดินทางไกลก็กุมกระบี่ไว้ในมือง่ายๆ มุ่งหน้าไปยังศาลบรรพจารย์ยอดเขาอีเซี่ยน
สุดท้ายเลียบตาม ‘วิถีกระบี่’ เส้นหนึ่งที่มุ่งขึ้นสู่ยอดเขา พลิ้วกายลงบนลานกว้างบนยอดกระบี่ ปราณกระบี่รอบยอดเขาคล้ายหูหนวกเป็นใบ้ แล้วก็คล้ายกับสัมผัสไม่ได้เลยสักนิดว่ามีคนนอกบุกเข้ามาภายใน สรุปก็คือเฉินผิงอันสามารถเดินดิ่งไปที่หน้าประตูของศาลบรรพจารย์ได้โดยตรง
ผู้ฝึกตนหญิงของตรอกฮวามู่คนหนึ่งสังเกตเห็นคนผู้นั้นก่อนใคร นางปากอ้าตาค้างไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ถามเสียงเบาว่า “เจ้าคือ?”
ผู้ฝึกตนหญิงทุกคนเห็นเพียงว่าคนชุดเขียวผู้นั้นนอกจากจะสะพายกระบี่แล้ว ในมือยังหิ้วกระบี่เล่มหนึ่งไว้ง่ายๆ เขาหันหน้ามายิ้มกล่าว “แขก”
——